นำพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเขาลง Social

ถาม : ถ้าเราเห็นคนที่ทำอะไรไม่เหมาะสม
ไม่เป็นธรรม การที่นำพฤติกรรมของเขา
มาแชร์ใน social เจตนาแค่ต้องการเตือนคนอื่น ระวังหรือหลีกเลี่ยง
เราทำได้ขอบเขตแค่ไหนคะ ?

ที่จะช่วยเหลือสังคม หรือให้วางใจ ปล่อยให้เขารับวิบากไปเอง
หรือถ้าเราทำ เราจะมีวิบากกรรมอะไร ?
ซึ่งแน่นอนค่ะ ถ้าเราแชร์จะต้องผู้ได้รับการกระทบแน่นอนค่ะ
(คำถามนี้ขอถามเผื่อการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ
ที่เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมบน social ทั่ว ๆ ไปด้วยเลยนะเจ้าคะ)
ขอยกตัวอย่างเจ้าค่ะ.. ทุกเช้าจะเห็นมอเตอร์ไซด์มาส่งเป็ดย่าง
ให้กับร้านอาหารหนึ่ง โดยการขนส่ง ของไม่สะอาด ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค
ใส่ในถุงก๊อบแก๊ป หลายถุง หัวเป็ดหลายหัวห้อยออกมานอกถุง
ถุงก็ห้อยข้าง ๆ ล้อรถ มันสกปรกไม่น่าทาน
ไหนจะความสกปรกของรถเอง ไหนจะเขม่า
ท่อไอเสีย เห็นแล้วขัดตามาก ๆ ค่ะ

ตอบ : เรื่องการโพสต์ การแชร์ เรื่องราวต่าง ๆ ใน สังคมออนไลน์ เป็นเรื่องที่ควรระวัง
ยิ่งถ้าเราตั้งสถานะให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงสิ่งที่เราโพสต์ได้ เราก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น
โดยหลักการ ก็เทียบได้กับการพูดคุยกันทั่วไป
คือ ไม่โกหก, ไม่ส่อเสียดให้แตกแยก, ไม่หยาบคาย และไม่เพ้อเจ้อ ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่..

#ในสังคมออนไลน์มีคนมารับรู้มากกว่า ผลจึงมีมากกว่า
ถ้าสิ่งที่โพสต์เป็นประโยชน์ ก็ได้ประโยชน์มาก
แต่ถ้าเป็นโทษ ก็ให้โทษมากเช่นกัน

การที่จะโพสต์อะไรเราก็ต้องดูที่เจตนา เราเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เห็นคนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม
เราก็ช่วยเก็บหลักฐานมาช่วยกันเตือนเพื่อนเราให้ระวัง ก็นับว่าเป็นเจตนาที่ดี
บางคนอาจจะคิดว่า “ช่างเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ปล่อย ๆ ไป อยู่เฉย ๆ ดีกว่า”
ถ้าเราวางเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องมาประเมินว่า เราเฉยแบบอุเบกขาที่เป็นกุศล
คือ เฉยรู้ หรือเฉยที่เป็นอกุศล คือ เฉยเมย

ถ้าเฉยเมย.. ใครจะทำอะไรก็ช่าง จะเลวจะร้าย จะเป็นผลกระทบกับในทางเสื่อมทรามอย่างไรก็ช่าง
ทั้ง ๆ ที่เราเห็นอยู่ – รู้อยู่ แล้วเฉย อย่างนี้น่าจะเข้าข่ายเฉยเมยนะ
เราก็พลาดโอกาสที่จะช่วยกันพัฒนาสังคมและความเป็นอยู่ร่วมกันไปอีกครั้ง
ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี ที่ช่วยกันโพสต์ช่วยกันแชร์
ทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมร้าย ๆ ที่เคยแอบเอาเปรียบสังคม ก็ถูกเปิดเผยออกมา
และถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็มากมาย

นี่เป็นผลจากการไม่นิ่งเฉยดูดาย
คนร้ายอยู่ยากขึ้น เพราะมีสายตาคนดีคอยจับจ้องอยู่
อย่างไรก็ดี การที่เราไม่รู้ถ่องแท้ ไม่ทราบข้อมูลรอบด้าน การโพสต์ก็อาจจะกระทบผู้อื่นในทางเสียหาย
ทั้งที่ผู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไม่ผิด เมื่อมีข้อมูลหลักฐานยืนยันว่า.. เราเข้าใจผิด
เราก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของเรา
เบื้องต้นก็ต้องรับผิด และขอขมา
แต่ถ้ามีเจตนาไม่ดี จะให้ร้ายผู้อื่น ยิ่งถ้าข้อมูลหรือภาพที่เราโพสต์นั้นมาจากการบิดเบือน
ก็กลายเป็นหลักฐานเท็จ

คราวนี้จะผิด “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ด้วย
สังคมจะดีได้ก็อาศัยคนในสังคมช่วยกันดูแลและตักเตือนกัน
แต่ต้องดูแลตักเตือนกันด้วยเมตตาและกรุณา
เหมือนกับพระภิกษุ เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นสงฆ์ ท่านก็ช่วยตักเตือนกันด้วยความปรารถนาดี
พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุทั้งหลายอาศัยความกรุณาว่ากล่าวกัน
ใครมีอาบัติ ก็ให้ช่วยกันให้ออกจากอาบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ไม่ใช่ช่วยกันปกปิด ใครปกปิดก็เป็นอาบัติอีกข้อหนึ่งด้วยซ้ำไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙