ศีล ๕ ข้อ​ ๔​

ถาม​ : หนูไม่กระจ่างในศีลข้อ​ ๔​ ค่ะ​ คือการงด..

– คำหยาบ​ คือคำที่พูดให้ผู้อื่นโกรธเคืองใช่ไหมคะ ?
– คำเพ้อเจ้อ​ คือคำที่พูดไปไม่มีประโยชน์ใช่ไหมคะ ? คำจำกัดความนี้มันกว้างมาก แล้วการร้องเพลงถือเป็นการพูดเพ้อเจ้อรึเปล่าคะ ? ​และ​เพราะอะไร ?

– คำโกหก​ คือคำที่พูดไม่เป็นความจริงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองใช่ไหมคะ ? แล้วถ้าพูดไม่จริงแต่ไม่ได้หวังผลประโยชน์ของตน​ จะเป็นคำโกหกไหมคะ ?
– คำส่อเสียด​ คือคำที่ยุยงให้เขาแตกกันใช่ไหมคะ ?

ตอบ​ : ถาม​มา​เป็น​ชุด​เลย !

มิจฉา​วาจา คือ​ วาจา​ที่​ผิด มี​ ๔​ ได้แก่

๑.​ มุสาวาท​ การ​พูด​เท็จ, พูด​โกหก, พูด​ไม่​จริง, หลอกลวง ๒.​ ปิสุณาวาจา​ การ​พูด​ส่อเสียด, พูด​ยุยง​ให้​เขา​แตกร้าว​กัน

๓.​ ผรุสวาจา​ การ​พูด​คำ​หยาบ, คำ​พูด​เผ็ดร้อน, คำ​ด่า ๔.​ สัมผัปปลาปะ​ การ​พูด​เพ้อเจ้อ, พูด​เหลวไหล, พูด​ไม่​เป็น​ประโยชน์​ ไม่มี​เหตุผล​ ไร้​สาระ​

มุสาวาท​ มี​องค์​ประกอบ​ของ​การ​ละเมิด​อยู่​ ๔​ (เรียก​สั้น ​ๆ​ ว่า​ มี​องค์​ ๔) ได้​แก่

๑.​ เรื่อง​ไม่จริง ๒.​ จิต​คิด​จะ​กล่าว​ให้​คลาดเคลื่อน ๓.​ มี​ความ​พยายาม​เกิด​จาก​จิต​ที่​คิด​จะ​กล่าว​ให้​คลาดเคลื่อน​นั้น

๔.​ ผู้อื่น​เข้าใจ​ความ​ที่​พูด​นั้น​ (ไม่​ว่า​จะ​เชื่อ​หรือ​ไม่​เชื่อ​ก็​ตาม)​

มุสา​ แปล​ว่า​ เท็จ​ ได้แก่​เรื่อง​ที่​ไม่​เป็น​จริง

วาท​ แปล​ว่า​ คำ​พูด​ ใน​ที่​นี้​หมายถึง​ กิริยา​ที่​ทำให้​ผู้อื่น​เข้าใจ​เรื่อง​ที่​ไม่​จริง​ ซึ่ง​อาจจะ​ไม่ได้​พูด​เป็น​เสียง​ออกจาก​ปากก็ได้​ เช่น​ พยักหน้า, บุ้ยใบ้, เขียน​หนังสือ, ส่ง​ไลน์, แชร์​ข้อมูล​ เป็นต้น

การ​โกหก​ แม้​ไม่​หวัง​ผลประโยชน์​ของ​ตน​ ก็​ย่อม​เป็น​การ​โกหก​อยู่​ดี​ บางที​ไม่ได้​มี​เจตนา​ทำลาย​ประโยชน์​เขา​ แต่​เพราะ​เรา​โกหก​ เขา​จึง​เข้าใจผิด​ และ​พลาด​จาก​ประโยชน์​ที่​พึง​ได้​รับ​ อย่างนี้​ก็​อาจจะ​เป็นไปได้

มุสาวาท​ มุ่ง​ที่​เจตนา​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​บุคคล​อื่น​

ถ้า​ประโยชน์​ที่​ทำลาย​ไป​นั้น​มาก​ ก็​มี​โทษ​มาก ถ้า​ประโยชน์​ที่​ทำลาย​ไป​นั้น​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย

เช่น​ เป็น​พยาน​ให้​การ​เท็จ​ ก็​มี​โทษ​มาก พระ​อริยเจ้า​ทั้งหลาย​ไม่​พูด​มุสา​ แม้​ด้วย​เหตุ​แห่ง​ชีวิต

ปิสุณาวาจา มีองค์ ๔ คือ

๑. ผู้อื่นที่พึงให้แตกกัน

๒. มุ่งให้เขาแตกกัน​ โดย​คิดว่า คนเหล่านี้​จะ​แยกกัน​ ไม่​กลมเกลียว​กัน ด้วยอุบายอย่างนี้ หรือ ประสงค์ให้ตนเป็นที่รัก​แทน​คน​ที่​เขา​เคย​รัก​ คิดว่า เรา​จะ​เป็นที่รัก เป็นที่ไว้วางใจ ยิ่ง​กว่า​คน​นั้น​ ด้วยอุบายอย่างนี้

๓. ความพยายามที่เกิดแต่ความมุ่งให้เขาแตกกันนั้น ๔. ผู้นั้นรู้เรื่องนั้น

โดย​หลัก​คือ​ ดู​ที่​เจตนา​ เป็น​เจตนา​ของ​ผู้​ที่​มี​จิต​เศร้าหมอง​ ไม่​ต้องการ​ให้​มี​ความ​รัก​ความ​สามัคคี​ใน​กลุ่ม​คน​เหล่านั้น

ถ้า​ทำ​ความ​แตก​แยก​ใน​บุคคล​ผู้​มี​คุณ​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย ถ้า​ทำ​ความ​แตก​แยก​ใน​บุคคล​ผู้​มี​คุณ​มาก​ ก็​มี​โทษ​มาก

ผรุสวาจา​ มีองค์ ๓ คือ

๑.​ คนอื่นที่ตนด่า ๒.​ จิตโกรธ ๓.​ การด่า

โดย​หลัก​คือ​ เจตนา​หยาบ​คาย​ อัน​เนื่องมาจาก​ความ​โกรธ​ เป็น​เหตุ​ตัด​ความ​รัก​ของ​ผู้​อื่น​ คือ​มุ่ง​ให้​เจ็บ​ใจ​ มุ่ง​ร้าย​ บางที​ วาจา​หยาบ​ แต่​ใจ​ไม่​หยาบ​ ก็​มี

เช่น​ มี​เด็ก​คน​หนึ่ง​ อยาก​ไป​เที่ยวป่า​ แม่​ห้าม​ก็​ไม่​ฟัง​ ไม่​เอื้อเฟื้อ​ต่อ​ถ้อยคำ​ของ​แม่​ ดื้อ​เดิน​หนี​ไป​ แม่​ก็​ด่า​ไล่​หลัง​ไป​ว่า​ “ขอ​ให้​ควาย​ป่า​จง​ไล่​มึง !”

ทันใดนั้น​ ควาย​ป่า​ก็​ปรากฏ​แก่​เด็ก​นั้น​ เหมือน​อย่าง​คำ​ของ​แม่​ทีเดียว​ เด็ก​นั้น​ได้​ทำ​สัจจกิริยา​ว่า​

“สิ่ง​ที่​แม่​ของ​เรา​พูด​ด้วย​ปาก​ จง​อย่า​มี สอง​ที่​แม่​คิด​ด้วย​ใจ​ จง​มี​เถิด” ควาย​ป่า​นั้น​ก็​ได้​แต่​ยืน​นิ่ง​ เหมือน​เป็น​ควาย​เชื่อง ​ๆ​ ที่​ถูก​ผูก​ไว้​ใน​ป่า​นั่นเอง

คำ​พูด​ของ​แม่​อย่างนี้​ ไม่​เป็น​ผรุสวาจา​ เพราะ​มี​จิตใจ​อ่อนโยน บางที​เป็น​ผรุสวาจา​ ทั้ง​ที่​คำ​ดูเหมือนว่า​อ่อนหวาน​ เพราะ​ผู้​พูด​มี​เจตนา​ร้าย​ มี​จิต​หยาบ

กล่าวผรุสวาจา​กับ​ผู้​มี​คุณ​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย กล่าวผรุสวาจา​กับ​ผู้​มี​คุณ​มาก ก็​มี​โทษ​มาก

สัมผัปปลาปะ​ มี​องค์​ ๒​ คือ

๑.​ มุ่ง​แล้ว​ถ้อยคำ​ที่​ไร้​ประโยชน์​ ไร้​สาระ​ ๒.​ พูด​เรื่อง​นั้น​ออกมา

รู้​อยู่​ว่า​เป็น​เรื่อง​ไร้​สาระ​ ก็​ยัง​พูด​ ไม่​คำนึง​ว่า​ใคร​จะ​พอใจ​หรือ​ไม่​ พูด​มาก​ก็​มี​โทษ​มาก​ พูด​น้อย​ก็​มี​โทษ​น้อย

ไม่​ได้​มี​เจตนา​โกหก​ แต่​พูด​เพ้อเจ้อ​ไป​แล้ว​มี​คน​เชื่อ​ ก็​มี​โทษ​มาก​ ถ้า​ไม่​มี​ใคร​เชื่อ​ ก็​มี​โทษ​น้อย พูด​เจือ​กิเลส​มาก​ก็​มี​โทษ​มาก​ เจือ​กิเลส​น้อย​ก็​มี​โทษ​น้อย

การ​ร้องเพลง​ เป็น​มิจฉา​วาจา​ได้​ทั้ง​ ๔​ แบบ​ หรือ​อาจจะ​เป็น​สัมมา​วาจา​ก็ได้​ ขึ้น​อยู่​กับ​เนื้อหา​และ​เจตนา​ใน​การ​ร้อง​

ที่​แสดง​ไว้​ว่า​ พูด​อย่าง​นี้​มี​โทษ​น้อย​ พูด​อย่างนั้น​มี​โทษ​มาก​ ไม่ได้​หมายความ​ว่า​มี​โทษ​น้อย​แล้ว​พูด​ได้​นะ

แต่​ให้​เข้าใจ​ว่า​ ควร​เว้น​มิจฉา​วาจาทั้งหมด​ เพราะมี​โทษ​ทั้งนั้น​

ใน​ เวฬุทวารสูตร​ สังยุตตนิกาย​ มหา​วาร​วรรค​ พระพุทธเจ้า​ได้​ตรัสว่า

“… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​เรา​ด้วย​การ​กล่าว​เท็จ ​(มุสาวาท)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​คนอื่น​ด้วย​การ​กล่าว​เท็จ​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​ยุยง​ให้​เรา​แจก​จาก​มิตรด้วย​คำ​ส่อเสียด (ปิสุณา​วาจา)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​ยุยง​คนอื่น​ให้​แตก​จาก​มิตรด้วย​คำ​ส่อเสียด ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​พูดจา​กับ​เรา​ด้วย​คำหยาบ (ผรุสวาท​)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​พูดจา​กับ​คนอื่น​ด้วย​คำหยาบ
ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​พูดจา​กับ​เรา​ด้วย​ถ้อยคำ​เพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​พูดจา​กับ​คนอื่น​ด้วย​ถ้อยคำ​เพ้อเจ้อ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน,

สิ่งใด​ ตัวเรา​เอง​ไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​ ถึง​คนอื่น​ก็ไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​เหมือนกัน, สิ่งใด​ที่​ตัวเรา​เองไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​ ไฉน​จะ​พึง​เอา​ไป​ผูก​ใส่​คนอื่น​เล่า,

อริยสาวก​นั้น​ พิจารณา​เห็น​ดังนี้​แล้ว​ ย่อม​งดเว้น​จาก​การ​ (กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย​ตนเอง​ด้วย ​(๑) ย่อม​ชักชวน​ผู้​อื่น​ให้งดเว้น​จาก​

การ ​(กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย ​(๑) ย่อม​กล่าว​สรรเสริญ​คุณ​แห่ง​การ​งดเว้น​จาก​การ​ (กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​

พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย (๑), วจี​สมาจาร​ของ​อริยสาวก​นั้น​ ย่อม​บริสุทธิ์​ทั้ง​สาม​ด้าน​อย่างนี้​”

๑๔ กันยายน ๒๕๖๐