#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๓๒
??
#ถาม : วิจิกิจฉาในนิวรณ์ กับ วิจิกิจฉาในสังโยชน์ ที่พระโสดาบันละได้ สองตัวนี้ต่างกันอย่างไร?
#ตอบ : ต่างกัน..
โดยศัพท์แปลเหมือนกัน วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย
ความลังเลสงสัยที่เป็นนิวรณ์ เป็นความลังเลสงสัยทั่วๆไป หมายความว่ามันเป็นความฟุ้งซ่านของจิตประเภทหนึ่ง ที่มันคอยแสวงหาคำตอบไปทั่ว ไม่ระบุว่าจะสงสัยเรื่องอะไร?
คือพอมันสงสัยปุ๊บ! มันก็ฟุ้งซ่านที่จะหาคำตอบ จิตขณะนั้นไม่สงบแล้ว
พอไม่สงบแล้ว..จึงเรียกว่าเป็นนิวรณ์ ที่ขัดขวางความสงบบ ขัดขวางสมาธิ ขัดขวางการทำฌาน
ถ้ายังสงสัย ใจก็ยังส่งออกอยู่ ขณะนั้นกายเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ ใจเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ ใจกำลังสงสัยอยู่ก็ไม่รู้ เพราะมัวแต่แสวงหาว่าคำตอบของเรื่องที่สงสัย ว่านี้คืออะไร
เช่น สมมุติว่านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เห็นหนอนตัวหนึ่ง เอ๊ะ!หนอนตัวนี้เรียกว่าอะไรนะ? อย่างนี้นะ..จิตส่งออกไปแล้วนะ ไปที่ใบไม้แล้วนะ แล้วก็ยังสงสัย.. กายนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ ใจกำลังสงสัยก็ไม่รู้ ใจนั้นรับรู้อยู่แค่ว่า..”หนอนตัวนี้เรียกว่าอะไร? มันจะคันไหม? โดนไปแล้วจะเป็นอย่างไง? ตอนเป็นผีเสื้ิอมันจะแบบไหน?” อะไรอย่างนี้นะ.. คิดไป.. สงสัยไปว่าเป็นอย่างไร? การสงสัยนี้เป็นการขัดขวางทำให้ไม่มีสมาธิ ทำให้ไม่ได้ฌาน
แต่ความสงสัยที่เป็นวิจิกิจฉาในสังโยชน์ที่พระโสดาบันละได้นั้น ไม่ได้ตัดความสงสัยพวกนี้
จะเป็นการตัดความสงสัยในเรื่องของ ”พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์” ว่า..พระพุทธเจ้ามีจริงไหม? พระธรรมสอนให้ถึงความพ้นทุกข์ได้จริงหรือเปล่า? สงฆ์ที่จะปฏิบัติถึงความพ้นทุกข์มีจริงอยู่หรือเปล่า?
อันนี้พระโสดาบันท่านละไปได้แล้ว
ตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์มุ่งเน้นไปแค่สามเรื่องนี้ คือสงสัยในพระรัตนตรัย
#ถาม : ดังนั้นคนที่สงสัยในนิวรณ์ เขาจะทำอย่างไรดีครับ?
#ตอบ : ให้รู้ทันว่า..สงสัย! แค่นั้นเอง!
ความสงสัยมันหลอกอยู่ วิจิกิจฉามันหลอกอยู่ หลอกให้ควานหาคำตอบ
เช่น อ่านข่าวแล้วสงสัย ฟังคนพูดแล้วก็สงสัยอะไรอย่างนี้ แค่รู้ว่าสงสัยเท่านั้นเอง
บางคำถามในใจเนี่ยนะ ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ! มันเป็นตัวหลอกเฉยๆ หลอกให้จิตมันฟุ้งซ่านออกไป ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
พอมีสงสัย..แล้วรู้ว่าสงสัยนะ! จิตมันสงสัยอยู่ แล้วรู้ว่าจิตสงสัย คือเห็นจิตแล้ว พอเห็นจิตแล้วจิตขณะนั้นก็มีสติแล้ว อย่างน้อยก็มีสติเห็นจิตแล้ว
ถ้าเห็นว่าจิตมันเคลื่อนไปสงสัย อย่างนี้ได้ทั้งสติและสมาธิ
ถ้าเห็นว่าจิตสงสัยได้เอง อย่างนี้เกิดปัญญาด้วยซ้ำไป เห็นว่าจิตนี้เป็นอนัตตา เราบังคับจิตไม่ได้ มันสงสัยไปเอง อย่างนี้ดีมาก!
เรียกว่าอาศัยสิ่งที่ปรากฎอยู่ในจิต พอรู้ทันก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ จิตก็จะฉลาดมากขึ้น อย่างนี้พอมันเกิดขึ้นอีกมันจะหลอกเราไม่ได้แล้ว
ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดความสงสัยอีกนะ! มันก็จะเกิดอีก แล้วก็รู้ทัน เกิดอีกแล้วก็รู้ทัน
เกิดสงสัยอีกเมื่อไหร่..ขณะนั้นเรียกว่ามี”วิจิกิจฉา”เกิดขึ้น
พอรู้ทันอีกเมื่อไหร่ อย่างน้อยๆได้สติแล้ว
ถ้ารู้ทันว่าจิตมันเริ่มไหลไปสงสัย อย่างนี้ได้สมาธิด้วย
แล้วถ้ารู้ทันขณะที่มันสงสัยว่า.. “มันสงสัยเอง” เราจะได้กุศลสามตัว (คือสติ, สมาธิและปัญญา) ขณะที่เห็นวิจิกิจฉาขณะเดียว
เรียบเรียงจากรายการ “คลิกใจให้ธรรม”
ตอน..ทางแห่งพระโสดาบัน
ลิงค์ยูทูป https://yt3.pics.ee/AAMLE
๑๔ กันยายน ๒๕๖๑