#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๓
??
#ถาม : เวลานั่งทำในรูปแบบ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” แล้วดูว่าร่างกายนี้หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” ร่างกายนี้บริกรรมอยู่
ทำถูกไหมคะ?
และถ้าเดินจงกรมพร้อมบริกรรม ทำแบบไหนถึงจะถูกต้องคะ? เคยดูร่างกายเดินแต่ไม่มีบริกรรม พอเริ่มเดินพร้อมบริกรรมทำไม่เป็นเลยค่ะ
#ตอบ : เวลานั่งทำในรูปแบบ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” ร่างกายไม่ได้บริกรรม”พุทโธ”นะ จิตต่างหากที่เป็นผู้บริกรรม
ฉะนั้น แรกๆ จะเห็นว่า “พุทโธ”ถูกบริกรรมโดยจิต จิตกับ”พุทโธ”อยู่ต่างหากจากกัน จิตเป็นผู้รู้”พุทโธ”
ถ้าเผลอ จิตมันลืม”พุทโธ” ไปรู้อย่างอื่น ก็รู้ได้ว่ามีความเผลอเกิดขึ้นกับจิต
ตรงนี้ พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร ท่านสอนว่า “พุทโธใจรู้ พุทโธรู้ใจ” ใช้พุทโธเป็นอุบายคอยรู้ทันใจ
คือในขณะที่บริกรรม”พุทโธ” ก็ให้บริกรรมบ่อยๆ จนใจมันว่า”พุทโธ”ของมันเอง และในขณะที่ใจว่า”พุทโธ” ก็รู้สึกอยู่ด้วยว่าใจเป็นผู้รู้ “พุทโธ”ถูกรู้
“พุทโธ”ไป ใจหนีไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้ใจว่าเผลอไป
สรุปแล้วคือ “พุทโธ”เพื่อรู้ใจตนเอง
ส่วนการเดินจงกรม ถ้าไม่ถนัดบริกรรมก็ไม่ต้องบริกรรม เพราะเราเดินเอาความรู้สึกตัว กายเคลื่อนไหว มีใจรู้ เห็นกายถูกรู้
ไม่ต้องกังวลกับลมหายใจ เพราะตอนนี้เราใช้กายที่เคลื่อนไหวในท่าเดินเป็นเครื่องอยู่
เดินสบายๆ เพราะไม่ได้เดินเอาระยะทาง ไม่ได้เดินจับเวลา แต่เดินเจริญสติ เห็นกายเคลื่อนไหวไป พอใจลอยก็รู้ทัน
เดินไปสุดทางก็อย่าเพิ่งกันกลับทันที หยุดยืนรู้สึกตัวเสียก่อน แล้วค่อยๆหันกลับมาด้วยความรู้สึกตัว แล้วยืนรู้สึกตัวอีกสักหน่อย แล้วค่อยเดิน
ถ้าสุดทางแล้วหันกลับมาเดินทันที จิตมันจะไปก่อนขา!
เดินไป ใจลอยแล้วรู้ ใจลอยแล้วรู้ ความรู้สึกตัวจะชัดขึ้น จะเห็นว่า ร่างกายที่กำลังเดินอยู่นี้มันเหมือนก้อนอะไรสักอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่ใช่เราเดิน ถ้าว่าตามตำราก็ว่ารูปนี้เดิน ใจเป็นคนดู ก็เฝ้ารู้เฝ้าดูไป
ตรงนี้ระวังนิดหนึ่ง บางทีมันจะถลำไปเพ่งกาย มันจะรู้สึกแช่ๆอยู่ที่กาย ถ้าเห็นจิตมันถลำไปเพ่ง
ก็เริ่มใหม่ รู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ แล้วค่อยเดินไป
เดินอยู่ กุศลเกิดก็รู้ อกุศลเกิดก็รู้ ใช้กายที่กำลังเดินเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตัว รู้กายบ้าง รู้ใจบ้าง อย่างนี้นะ ไม่ต้องบริกรรมก็ได้
๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒