#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๒
??
ถาม : ในการกล่าวถวายสังฆทาน
ถ้าในพิธีมี ผ้าไตรจีวร ด้วย พร้อมบริวารอื่นๆ
ผมต้องใช้คำว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…” หรือว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต บังสุกุละจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…”
ครับ?
ตอบ : ถ้าจะถวายไตรจีวรแด่สงฆ์ ก็คือถวายเป็นสังฆทาน มีบริวารอื่นๆด้วย ก็ใช้คำถวายดังนี้
– คำถวายผ้าไตรจีวร
“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าไตรจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าไตรจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”
ไม่ใช้คำว่า “สังฆะทานานิ” นะ
คำว่า “ภิกขุสังฆัสสะ” ก็เป็นการระบุว่าถวายแด่สงฆ์ ซึ่งก็เป็นสังฆทานอยู่แล้ว
ถ้าจะถวายเป็น “ผ้าบังสุกุล” ที่คนไทยเรียกกันว่า “ผ้าป่า” ก็ใช้คำถวายดังนี้
– คำถวายผ้าบังสุกุล
“อิมานิ มะยัง ภันเต ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”
ข้อสังเกต คำว่า ผ้าบังสุกุล ในภาษาไทย มีศัพท์บาลีว่า ปํสุกูลจีวร อ่านว่า ปัง-สุ-กู-ละ-จี-วะ-ระ ศัพท์บาลีใช้ ป ปลา
ปํสุ แปลว่า ฝุ่น
ปํสุกูล แปลว่า กองฝุ่น, คลุกฝุ่น
ปํสุกูลจีวร แปลว่า ผ้าคลุกฝุ่น เก็บความหมายก็คือ ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ไม่มีเจ้าของ
ความแตกต่างระหว่าง การถวายไตรจีวร กับ ถวายบังสุกุลจีวร ก็คือ
การถวายไตรจีวร เรียกอีกอย่างว่าเป็นการถวาย “คหบดีจีวร” (อ่านว่า คะ-หะ-บอ-ดี-จี-วอน) แปลตามศัพท์ว่า ผ้าของผู้เป็นเจ้าบ้าน คือผ้าที่ได้จากผู้ครองเรือน
ซึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ขอพุทธานุญาตให้พระภิกษุสามารถรับจีวรที่มีผู้ศรัทธาถวายได้ และพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต ผู้ถวายเมื่อกล่าวคำถวายแล้วก็สามารถนำผ้าไปถวายพระภิกษุกับมือได้
แต่การถวายบังสุกุลจีวร ผู้ถวายเพียงแต่กล่าวคำถวาย แล้วพระภิกษุจะไปชักผ้าบังสุกุลเอง แบบที่เราเห็นเวลาไปถวายผ้าป่าทั่วไป
ครั้งหนึ่ง ตอนที่อาตมาบวชได้ประมาณ ๔-๕ พรรษา เคยมีโยมนำผ้าจีวรมาพาดไว้ที่ต้นทองหลางหน้ากุฏิที่อาตมาพัก แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ผ้าจีวรนี้ไม่มีผู้หวงแหน พระภิกษุรูปใดปรารถนาจะนำไปใช้ เพื่อประโยชน์สุขแก่โยม ก็กรุณาพิจารณานำไปใช้ได้ด้วยเทอญ”
แล้วไปแอบอยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบ แต่ก็ถือว่าเป็นการกล่าวคำถวายแล้ว
อาตมาได้ยินอย่างนั้น ก็ห่มจีวร แล้วเดินลงไปดู หาอยู่ว่าเขาพาดผ้าไว้ตรงไหน พอเห็นแล้วก็ชักบังสุกุล
อย่างนี้ก็เรียกว่า “ผ้าป่า” เหมือนกัน แต่เป็นแบบดั้งเดิม
ผ้าป่าแบบนี้ พระภิกษุมักจะชักผ้าด้วยคำว่า
“อิทัง ปังสุกุละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ”
แปลว่า
ผ้าบังสุกุลจีวรอันไม่มีเจ้าของหวงแหนนี้ ย่อมถึงแก่ข้าพเจ้า ในกาลบัดนี้เทอญ
ถ้าเป็นการทอดผ้าบังสุกุลในงานศพ ก็ไม่ต้องกล่าวคำถวาย เพียงแต่เจ้าภาพวางผ้าไว้ (คำว่า “ทอด” ในที่นี้ แปลว่า” วาง”) ทอดไว้หน้าศพบ้าง ทอดบนสายโยงหรือภูษาโยงที่ต่อจากศพบ้าง สำหรับให้ภิกษุมาปลงกรรมฐานและชักไป เมื่อนิมนต์พระภิกษุชักบังสุกุล พอท่านมาถึงที่ที่ผ้าวางอยู่ ท่านก็ชักผ้าได้เลย
คำที่พระภิกษุใช้ชักผ้าบังสุกุลในกรณีนี้ ก็มักจะใช้คำว่า
“อะนิจจา วะตะ สังขารา
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ
เตสัง วูปะสะโม สุโข”
แปลว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดขึ้นและดับไป
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นได้ เป็นสุข
ขณะที่ชักผ้า ก็เป็นการที่พระภิกษุอาศัยศพนั้นเจริญกรรมฐาน
๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒