#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๗
??
#ถาม : คนที่มีสติ ทำบาปได้ไหม?
#ตอบ : ก็แล้วแต่ว่า ที่ว่า “มีสติ” นั้น จะกินความครอบคลุมแค่ไหนนะ
ถ้าเป็น “สติแบบทั่ว ๆ ไป”
คนมีสติแบบนี้่มาตบเราได้ไหม?
ตบได้นะ! ต้องมีสติจึงตบถูก..ใช่ไหม?
คนมีสติแบบทั่วไป ก็เช่น คนไม่หลับ ไม่สลบ… คนมีสติแบบนั้ฆ่าคนได้
ถ้าคนบ้า..ไม่มีสติ ก็สามารถทำให้คนตายได้ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าบ้าจริง กฎหมายยกเว้นโทษให้ด้วย รู้สึกไหม?
คนไม่มีสติ กลับไม่ผิด! คนมีสติ กลับผิด
นี่คือสติแบบทั่ว ๆ ไป
เรื่องการเว้นโทษให้คนบ้าเนี่ย ไม่ใช่เฉพาะในกฎหมายนะ
ในพระวินัยของพระภิกษุ ก็ยังมีระบุว่า พระภิกษุที่่ไม่ต้องอาบัติในทุกกรณี คือ ภิกษุวิกลจริต
แปลอีกทีก็คือ พระบ้า!
พระบ้าได้ไหม?
ต้องได้แน่ ๆ เลยเพราะมีปรากฏคำนี้ในพระวินัย
ถ้ามีพระบ้า แล้วพระรูปนั้นไปทำอาบัติอะไรสักอย่างหนึ่งนะ หากมีคนมาโจทก์ แล้วปรากฏว่า ดูไปดูมา.. ท่านบ้า!
บ้าชั่วขณะ ก่อนบวชไม่ได้บ้านะ แต่มาบวชแล้วบ้า เป็นไปได้นะ เช่น ทำกรรมฐานผิด เป็นต้น
พระบ้านี่คือไม่มีสติแบบทั่วๆ ไป พระพุทธองค์ทรงยกเว้นให้ ไม่ต้องอาบัติ
พระกระสับกระส่ายด้วยทุกขเวทนาก็ไม่มีสตินะ เช่นมีทุกขเวทนามาก
เวลาที่ท่านกระสับกระส่าย อาจจะดิ้น.. ดิ้นแรงพลาดไปชกพระที่ดูแล อย่างงี้นะ ไม่ถือว่าทำร้ายพระที่ดูแลนั้น
ตอนนั้นทำด้วยขาดสติ ไม่มีเจตนาเจือปน
คนทั่วไปก็เหมือนกันนะ
ในกฎหมายบ้านเมืองเนี่ย ถ้าคนนั้นเขาพิสูจน์แล้วว่าบ้า หรือขาดสติ เขาก็เว้นโทษให้นะ
ที่ว่า ขาดสติ ก็ในบางแง่นะ
ถ้าขาดสติเพราะเมา อย่างนี้ต้องรับโทษนะ
เพราะก่อนเมามีสติ แล้วไปทำตัวเองให้เมา
อย่างนี้..ไม่ได้! ไม่พ้น!
เช่น เมาแล้วขับรถ นี่โดนหนัก
จะบอกว่า “ตอนนั้นผมเมา ไม่ได้มีสติ
เลยขับไปชน” อย่างนี้ไม่ได้! อ้างไม่ได้ ..
ฉะนั้น ถ้าสติทั่วไป มีสติทำผิด ทำบาปได้
ไม่มีสติ กลับไม่เป็นความผิด
แต่ถ้ามีสติปัฏฐาน…
สติปัฏฐานเนี่ย ขอบเขตของสติมันอยู่แค่รู้กาย เวทนา จิต ธรรม
ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มีการทำผิด ไม่มีการทำบาป
คนมีสติทั่วๆ ไป มันแค่ตื่นขึ้นมาเอากายตื่น จิตยังไม่ตื่น ยังไม่มีสติปัฏฐาน ก็ยังทำบาปได้ ทำผิดได้ ..
ฉะนั้น สติทั่วๆ ไปยังไม่พอ
ขอบเขตของสติที่จะทำให้ป้องกันตนเองได้จริงน่ะ ก็คือ สติปัฏฐาน
เพราะแค่คิดที่จะทำบาป มันมีความปรุงแต่งทางจิต ก็รู้ว่ามีจิตคิดไม่ดี คิดเป็นบาป คิดที่จะทำบาป
พอรู้ทัน มันก็ดับ
ไม่ว่าจิตขณะนั้นมีโลภ มีโกรธ มีหลง กิเลสอะไรเกิดขึ้นมา เมื่อรู้ทันจิตแล้ว อย่างนี้ก็ไม่เป็นไปในทางที่จะไปทำบาป
แล้วในการเจริญสติปัฏฐานนี้ มันไม่ได้มีแค่สตินะ
ในสติปัฏฐานเนี่ย มีข้อความระบุถึงคุณธรรมหลายข้อ
เช่นในข้อความบาลีว่า “อาตาปี สัมปชาโน สติมา”
อาตาปี ก็คือ มีความเพียร ได้แก่มี สัมมาวายามะ
สัมปชาโน คือ มีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะนี้เป็นปัญญา เป็นความรู้เข้าใจ ว่าทำอะไร เพื่ออะไร ควรปฏิบัติต่อมันอย่างไร ก็เป็นปัญญา เทียบได้กับ สัมมาทิฏฐิ
สติมา แปลว่า มีสติ ซึ่งก็เป็น สัมมาสติ
มีข้อความต่อท้ายในทุกข้ออีกว่า
“ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก”
คือ มีจิตที่เป็นกลาง
“มองเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไป” (ในกาย, เวทนา, จิต, ธรรม)
คือ มีปัญญาเข้าใจตามหลักไตรลักษณ์
ดังนั้น ในสติปัฏฐานเนี่ย ไม่ได้มีแค่สติอย่างเดียว
ยังมีความเพียร มีปัญญา แล้วก็มีสติ
และยังมีสมาธิแฝงอยู่ด้วย
สมาธิเนี่ย ไม่ได้บอกชื่อตรงๆ เหมือนอาตาปี สัมปชาโน สติมา
แต่แฝงอยู่ใน..ในข้อความที่บอกว่า
“เห็นกายในกาย, เห็นเวทนาในเวทนา, เห็นจิตในจิต, เห็นธรรมในธรรม”
เพราะจะเห็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องมีสมาธิที่ถูกด้วย
เช่น เห็นกายตรงตามสภาวะ คือเป็นที่ประชุมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ไม่ใช่เห็น “กู”
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒