#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๖ #การเจริญสติปัฏฐาน ?? #ถาม : อยากทราบวิธีดู กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมครับ? #ตอบ : อันนี้เป็นเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน จะมีคำเป็นชุดอยู่ว่า “ตามดูกายในกาย… ตามดูเวทนาในเวทนา… ตามดูจิตในจิต… ตามดูธรรมในธรรม…” ที่ว่า “กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม” เนี่ย ก็มีอธิบายได้ ๒ แง่ใหญ่ ๆ ยกตัวอย่าง อย่างดู “กายในกาย” ก่อน “กายในกาย” ในแง่ที่หนึ่ง ก็คือ กายมันมีหลายส่วน ก็ดูเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เป็นตัวแทนของกาย เรียกกายในกาย เช่น ดูลมหายใจ ลมหายใจนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงกาย ในกายทั้งหมดนี้ หรือว่าจะดู ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง ก็คือแต่ละส่วน ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของกาย ในกายทั้งหมดนี้ เวลาดูกายก็คือ ยกเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมาพิจารณา และเห็นว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด จึงใช้คำว่า “กายในกาย” ดู “เวทนาในเวทนา” ก็เช่นเดียวกัน เวทนาก็มีสุข, ทุกข์ หรือเฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ภาษาบาลีเรียกว่า “อทุกขมสุข” เห็นสุข ก็คือ เห็นเป็นแค่เวทนาในบรรดาเวทนาทั้งหลาย เห็นทุกข์ ก็เห็นเป็นแค่เวทนาในบรรดาเวทนาทั้งหลาย นี่คือ เห็น “เวทนาในเวทนา“ เห็น “จิตในจิต” ก็คือ เห็นจิตมันแสดงการปรุงแต่งต่าง ๆ นานา พระพุทธเจ้าเวลาให้ดูจิตในจิตเนี่ย พระองค์ให้ดูว่า.. จิตมีราคะ ก็ให้รู้ว่า..มีราคะ จิตไม่มีราคะ ก็ให้รู้ว่า..ไม่มีราคะ เป็นต้น ราคะ ก็เป็นหนึ่งในความปรุงแต่งในจิตนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่า เห็น “จิตในจิต“ เห็น “ธรรมในธรรม” ก็เช่น เห็นความลังเลสงสัย ก็รู้ว่า นี่เป็นเพียงสภาวะหนึ่งในนิวรณ์ เป็นต้น แง่นี้คือ เห็นส่วนย่อยในส่วนองค์รวม อีกแง่หนึ่ง “กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม” ก็คือว่า เห็น “กายในกาย” ก็คือมันเป็นแค่ “กาย“ คนเวลาเห็น “กายที่ไม่ใช่กาย“ มันจะเห็นเป็นยังไง? ก็เห็นเป็น “กู“ เห็นเป็น “ฉัน” อย่างนี้นะ อย่างนี้ไม่ใช่.. ความจริงมันก็คือ “กาย” นั่นแหละ! ลม ก็คือ “กาย“ ผม, ขน, เล็บ ก็คือ “กาย“ ‘ไม่ใช่ผมฉัน ไม่ใช่เล็บฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่ฉัน’ ถ้ากำลังนั่ง ก็เป็น “กาย” อยู่ในอิริยาบถนั่ง ถ้าเดินจงกรมอยู่ ก็เห็น “กาย” กำลังอยู่ในอิริยาบถเดิน ไม่ใช่ “กู” เดิน ไม่ใช่ “ฉัน” เดิน นี่ก็คือ เห็น “กายในกาย“ เวลาเห็นเวทนา ก็เวทนานั่นแหละ เห็นสุข ก็คือ สุขเวทนา เห็นทุกข์ ก็คือ ทุกขเวทนา ‘ไม่ใช่ฉันทุกข์ ไม่ใช่ฉันสุข ไม่ใช่ฉันเฉย ๆ ด้วย’ มันเป็นแค่ “เวทนา” เห็น “เวทนาในเวทนา” ก็คือ.. เห็นเป็นเวทนา ไม่ใช่เห็นเป็น “ฉัน” ไม่ใช่เห็นเป็น “เรา“ ไม่ใช่เห็นเป็น “กู“ เวทนา ก็เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เวลาดูจิต เห็นราคะ.. ก็แค่ราคะ ไม่ใช่เป็น ”เรา” มีราคะ ไม่ใช่ “ฉัน” มีราคะ ‘ไม่ใช่ฉันโกรธ ไม่ใช่ฉันโลภ ไม่ใช่ฉันหลง’ มันเป็นแค่ เป็นความปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจ เรียกว่า เห็น “จิตในจิต” เห็นโทสะในจิต, เห็นโมหะในจิต, เห็นฟุ้งซ่านในจิต, เห็นหดหู่ในจิต อย่างนี้ก็เรียกว่า เห็น “จิตในจิต“ แล้วคือ มันเป็นเพียงแค่สภาวธรรม เป็นรูปธรรมบ้าง เป็นนามธรรมบ้าง ถ้าเห็นรูป..ก็เป็นรูปธรรม ถ้าเห็นเวทนา หรือเห็นจิตแสดงเป็นกิเลสต่าง ๆ ..ก็เป็นนามธรรม ก็สักแต่ว่า รูปธรรมบ้าง-นามธรรมบ้าง ที่เกิดขึ้นมา ให้สติไปรู้เข้าเท่านั้นเอง ไม่มีเราในบรรดาสิ่งเหล่านี้เลย รูป..ก็ไม่ใช่เรา เวทนา..ก็ไม่ใช่เรา จิตทั้งหลาย..ก็ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นต้น ..ก็ไม่ใช่เรา ขันธ์ ๕ มี รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ..ไม่ใช่เรา อายตนะทั้ง ๖ นี้ ก็มีอะไรบ้าง? ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ คู่กับ รูป, รส, กลิ่นเสียง, สัมผัส, ธรรมารมณ์ เหล่านี้..ไม่ใช่เราทั้งหมดเลย เห็นเป็นเพียงสภาพธรรม อันนี้เห็น “ธรรมในธรรม” นะ! เห็นเป็นสภาพธรรมของมันไปตามอย่างนี้..ไม่มีเรา เรียกว่าเห็น “กายในกาย”.. ‘ไม่ใช่เห็นกูในกาย เห็น “เวทนาในเวทนา” ‘ไม่ใช่เห็นว่ากูเจ็บ กูปวด’ เห็นเพียงแค่เวทนา เห็น “จิตในจิต“ ก็คือ เห็นมันแสดงความปรุงแต่ง เป็นราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ เป็นต้น เห็น “ธรรมในธรรม” ก็เห็นสภาวะธรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง มี นิวรณ์, ขันธ์, อายตนะ เป็นต้น ก็เป็นเพียงสภาวะธรรม เห็นทีไรก็เข้าใจมากขึ้น ว่าชีวิตนี้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบของรูปธรรมนามธรรมมาประกอบกัน พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/xGwa3WUjc4Y (นาทีที่ 12:30 -17:43) Shortlink: January 3, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine