#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๘ #วิปัสสนู ต่างกับ #วิปัสสนา อย่างไร ?? #ถาม : “วิปัสสนู” เทียบเคียงกับ “วิปัสสนา” มันต่างกันยังไง? แค่ไหนครับ? #ตอบ : “วิปัสสนู” เป็นการเรียกสั้นๆ ที่จริงมีคำเต็มคือ “วิปัสสนูปกิเลส” แปลว่า อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา ทำให้วิปัสสนามัวหมองข้องขัด เป็นอุปกิเลสที่เกิดกับผู้เจริญวิปัสสนาในขั้นที่เป็นวิปัสสนาอย่างอ่อน เรียกว่า ตรุณวิปัสสนา คือ บางทีเจริญวิปัสสนาไปแล้ว..เกิดแสงสว่าง เช่น ดูจิตไปนี่..เห็นกิเลส กิเลสเกิดขึ้นแล้ว..เห็นกิเลส ตอนเห็นกิเลส..กิเลสดับ ตอนเห็นกิเลสแล้ว..กิเลสดับเนี่ย ขณะนั้นเรียกว่า “มีสติเห็นจิต” ตอนมีสติเห็นจิต..ก็เกิดกุศล ‘สติ’ เป็นตัวกุศลนะ พอกิเลสดับไปแล้ว..ใจก็สว่าง ที่ใจสว่างขณะนั้นนะ! ถ้าไปเข้าใจว่าแสงสว่างที่เกิดขึ้นเป็นการบรรลุมรรคผล แสงสว่างนั้นก็กลายเป็นโทษ เป็นเครื่องเศร้าหมองของวิปัสสนา คนที่เจริญวิปัสสนามาถึงระดับนี้ เห็นกิเลสดับ แล้วจิตมันสว่างขึ้นมาเนี่ยนะ แล้วไปเข้าใจว่าความสว่างนี้เป็นมรรคผล ไอ้ความเข้าใจผิดอย่างนี้ เรียกว่า “อุปกิเลส” เป็นอุปกิเลสของวิปัสสนา จึงเรียกว่า “วิปัสสนูปกิเลส” คนไทยก็มาเรียกสั้นๆ ว่า “วิปัสสนู” พอไปเทียบกับคำว่า “วิปัสสนา” มันก็เลยอาจจะงงว่าลงท้ายสระ “อู” กับลงท้ายสระ “อา” เนี่ย มันต่างกันอย่างไร? จริงๆ คำมันยาว “วิปัสสนูปกิเลส” มันมาจากคำ ๒ คำ คือ “วิปัสสนา” บวกกับคำว่า “อุปกิเลส” “อุปกิเลส” ก็คือ เครื่องเศร้าหมอง “กิเลส” ก็แปลว่า ความเศร้าหมอง ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ อย่างนี้นะ ฉะนั้น ความเศร้าหมองที่เกิดจากวิปัสสนา ก็คือว่า เจริญวิปัสสนามาแล้ว..แล้วเกิดปรากฏการณ์บางอย่าง แล้วเข้าใจว่าปรากฏการณ์นั้น มันพิเศษเหลือเกิน น่าจะเป็นเครื่องหมายของการบรรลุธรรม ประมาณนี้นะ! ก็เลยไม่ก้าวหน้าต่อไป เกิดเป็นความเศร้าหมองจากการเจริญวิปัสสนา.. มีอยู่สิบอย่าง ได้แก่ โอภาส คือ แสงสว่าง ปีติ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้ม ญาณ ความรู้ที่คมชัด ปัสสัทธิ ความสงบเย็นกายใจ สุข เป็นสุขที่ฉ่ำชื่นไปทั้งตัว อธิโมกข์ มีศรัทธาแรงกล้า ปัคคาหะ มีความเพียร อุปัฏฐาน มีสติชัดมาก อุเบกขา วางจิตเป็นกลาง นิกันติ ความติดใจพอใจ ดูดีทั้งนั้นเลยนะ! ครูบาอาจารย์บางทีท่านเคยบอกเล่าประสบการณ์ว่า.. ตอนมีสติชัดมากๆ เนี่ย เห็นแม้กระทั่งเม็ดในอากาศ เรียกว่า ความรับรู้มันชัดเจนมาก อย่างนี้นะ มีความเพียร.. ถ้าเพียรมาก ก็เข้าใจว่าความเพียรแบบนี้ น่าจะเป็นเครื่องหมายของการบรรลุอะไรอย่างนี้แหละ คือมันเป็นความเข้าใจผิด มีของดีต่าง ๆ เกิดขึ้น มีสภาวะดี ๆ เกิดขึ้นในใจหลังจากเจริญวิปัสสนาแล้ว แล้วเข้าใจว่า..มันเป็นเครื่องหมายของการบรรลุธรรม อย่างนี้นะ คือเรียกว่าเป็น “วิปัสสนูปกิเลส” ที่เข้าใจอย่างนี้ แล้วมันเป็นเครื่องเศร้าหมอง เพราะว่ามันจะไม่เจริญต่อแล้ว เหมือนบอกว่า “สมบูรณ์แล้ว!” “สมบูรณ์แล้ว!..ก็ไม่เจริญกว่านี้อีกแล้ว” มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์มากกว่าสมบูรณ์แล้วใช่ไหม? พอคิดว่าบรรลุธรรมแล้ว ก็เลยไม่ภาวนา ไม่ทำอะไรต่อที่จะให้เจริญมากกว่านี้ ฉะนั้น การที่เห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ จากการภาวนา แล้วคิดว่า ไอ้ปรากฏการณ์ดีๆ แปลกๆ เหล่านั้น เป็นเครื่องหมายของการบรรลุธรรมเนี่ย เป็นการคิดแบบผู้ที่ตกอยู่ในวิปัสสนูปกิเลสนะ บางที..คนที่ประสบกับวิปัสสนูปกิเลสเนี่ย เพียงแค่เขารู้สึกตัวขึ้นมาว่า “ไอ้เนี่ย!..มันไม่ใช่” วิธีแก้ไข ก็คือว่า.. รู้ก่อนว่า “ไอ้เนี่ย!..มันไม่ใช่” เป็นเพียงปรากฏการณ์อันหนึ่ง วิธีจะพ้นจากสภาวะวิปัสสนูปกิเลส ก็ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไอ้ที่หลงวิปัสสนูฯไปเนี่ย เป็นเพราะจิตมันไม่ตั้งมั่น จิตไหลไปหาปรากฏการณ์นั้น เช่น มีแสงสว่างปรากฏขึ้นเนี่ย.. มีสติ..แล้วจิตมันสว่างขึ้นมา จิต..มันไหลไปหาแสงสว่างนั้น มันจมอยู่ในแสงสว่างนั้น ก็ให้รู้ทันว่า..จิตเมื่อกี้ มันเคลื่อนไป หรือไม่ต้องไปสนใจแสงสว่างนั้นแล้ว..มารู้สึกตัว ตอนมารู้สึกตัวเนี่ย ด้วยใจแบบนักปฏิบัติที่เคยทำมาจนถึงได้วิปัสสนา จนเกิดวิปัสสนูฯ เนี่ยนะ เพียงแค่เขาทำสมถะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ต้องเป็นสมถะเพื่อสมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน.. จิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็จะรู้เลยว่า “ไอ้สภาวะแสงสว่างนั้น..ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกเห็น จิต..ก็รู้อยู่ต่างหาก” คราวนี้ ไอ้สภาวะแสงสว่าง ก็หลอกไม่ได้แล้ว ไอ้ตอนแรกที่เห็นความแสงสว่างนี่ มันตื่นเต้นดีใจ ก็ไหลไปหาแสงสว่างนั้น ก็คิดว่า “แสงสว่างนี้ ดีจัง!” แล้วก็เป็นสภาวะที่น่าจะเป็นเครื่องหมายว่า “ฉันบรรลุอะไรสักอย่างแล้ว!” อะไรอย่างนี้นะ ที่แท้ มันก็เป็นเพียง.. สิ่งๆ หนึ่งที่ถูกรู้ มันเป็นสภาวะ หรือเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติเท่านั้นเอง แล้วยังมีสภาวะอื่นอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิด-ดับเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง, เป็นทุกข์, เป็นอนัตตาทั้งหมดเลย..แม้แต่ ตัวรู้! เหมือน “ฉันรู้” อะไรนี่นะ จริง ๆ แล้ว “ก็ไม่ใช่ฉัน” ด้วย.. เป็นเพียง ตัวรู้ ซึ่งเดี๋ยวก็รู้..เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้..เดี๋ยวก็คิด อย่างนี้ ทั้งหมดเนี่ย..ต้องเข้าใจว่า มันไม่เที่ยง, เป็นทุกข์, เป็นอนัตตา ก็กลับมาเจริญวิปัสสนาใหม่ ทุกครั้งที่เห็นรูปธรรม นามธรรม แสดงไตรลักษณ์แง่ใดหนึ่ง คือไม่เที่ยง, เป็นทุกข์ หรือเป็นอนัตตาเนี่ยนะ ก็เข้ามาสู่วงจรในระดับของวิปัสสนาอีกครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากการถูกอุปกิเลสของวิปัสสนาครอบงำ คำว่า “อุปกิเลสของวิปัสสนา” ก็เมื่อควบรวมคำแล้ว ก็กลายเป็นว่า “วิปัสสนูปกิเลส” นะ และจะเกิดกับผู้ที่เจริญวิปัสสนาเท่านั้นด้วย ฉะนั้นผู้ที่เกิดวิปัสสนูปกิเลสเนี่ย ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องเสียใจ และไม่ต้องกังวลใจ ก็เพียงแค่..ทำให้เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พอจิตตั้งมั่น มันก็มองออกแล้ว บางทีเนี่ย จะมีคำสรุปอาการของวิปัสสนูปกิเลส ด้วยคำสั้น ๆ ว่า “เป็นความฟุ้งซ่านในธรรม” มันเป็นฟุ้งซ่านนะ! แต่ไม่ใช่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ แบบคนทั่ว ๆ ไป แต่มันฟุ้งในธรรม ติดในธรรมสิบอย่าง ตามที่ว่ามานั่นแหละ ภาษาบาลีใช้คำว่า “ธัมมุทธัจจะ” สองคำรวมกัน “ธัมมะ” กับ “อุทธัจจะ” ..กลายเป็นคำใหม่ขึ้นมา เป็น “ธัมมุทธัจจะ” “อุทธัจจะ” แปลว่า ฟุ้งซ่าน แต่ฟุ้งซ่านเนี่ย..ฟุ้งซ่านในธรรม ฟุ้งซ่าน..ไปในเรื่องของ เห็นแสงสว่าง แล้วฟุ้งไปว่า.. “เราบรรลุแล้ว!” อะไรอย่างนี้นะ คิดไปเอง คิดเข้าข้างตัวเอง คือทุกคนเนี่ย เวลาจะมาภาวนาเนี่ย มันก็ต้องอยากบรรลุธรรมแหละ.. พอเจอสภาวะดีๆ ดูเหมือนว่ามันเที่ยง เราบังคับได้ ก็ชวนให้เข้าใจผิด ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “อนิจจัง” และเป็น “อนัตตา” “ทำไมมันเที่ยง? ทำไมเราบังคับได้?” ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่า เราเองน่าจะผิด พอรู้สึกว่าเราเองน่าจะผิดเนี่ยนะ..ลองกลับมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มจากทำกรรมฐานใหม่ ทำสมถกรรมฐานขึ้นมาก่อน แล้วก็ทำสมถะ..เพื่อรู้ทันจิต พอทำสมถะ เพื่อรู้ทันจิตเนี่ย..จิตเผลอไป..ก็รู้ จิตไหลจมไปในปรากฏการณ์ที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย..ก็รู้ อย่างนี้ พูดง่าย ๆ ว่า จิตเผลอ..ก็รู้ จิตเพ่ง..ก็รู้ ไม่ว่าจะเผลอ หรือจะเพ่งเนี่ย.. แค่รู้เฉยๆ มันเผลอไป..ก็อันนี้เห็นง่าย แต่ไอ้เพ่งเนี่ย..อาจจะเห็นยากหน่อย บางทีเพ่งเบาๆ คือไปทำการประคับประคองให้มันอยู่นิ่งๆ กับอารมณ์นั้น ประคองปรากฏการณ์ที่ดีนั้น..ให้อยู่นานๆ ประมาณนี้นะ อย่างนี้ให้รู้เลยว่า.. “เนี่ย! ทำไปเพราะความอยากแล้วนี่” พออยากไปรู้ชัดๆ..จิตมันก็ไปสนใจสิ่งนั้น พอสนใจสิ่งนั้น พูดภาษาปัจจุบัน ก็เรียกว่า “มันมีการโฟกัส ณ จุดๆ หนึ่ง” ถ้ามีจุด, มีขอบ, มีเขต อะไรอย่างนี้นะ แสดงว่า เราเพ่งแล้ว ถ้าเพ่งอย่างนี้..ก็ให้รู้ทัน รู้ทันจิตที่มันไหลไปหาอารมณ์ อย่างนี้ก็เรียกว่า เห็นจิตที่มันเคลื่อนไป เห็นจิตที่เคลื่อนไปเนี่ย.. ความเคลื่อนอันนั้นนะ!..ถูกเห็นนะ ขณะที่เห็น..จะกลายเป็น “จิตที่ไม่เคลื่อน” จิตไม่เคลื่อนเนี่ย..พูดอีกแง่หนึ่งก็เรียกว่า “จิตตั้งมั่น” ฉะนั้น เห็นจิตเคลื่อน.. ก็ได้ “จิตตั้งมั่น” พอจิตตั้งมั่น..ก็จะเห็นความจริงเลย ภาษาพระ ก็เรียกว่าเกิด “ยถาภูตญาณทัสสนะ” ศัพท์ยากหน่อย แปลว่า “ความรู้ความเห็นตามที่มันเป็น” เห็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ที่เคยถูกหลอก..ก็เห็นว่า มันเป็นเพียงการปรากฏการณ์อันหนึ่ง แล้วจิต..ก็เป็น ผู้รู้ อยู่ต่างหาก ความจริงอันนี้..พอเห็นไปแล้วนะ แทนที่จะไปติดไอ้อาการที่ดีๆ เหล่านั้น..ก็กลายเป็นว่า คลายวาง เห็นความจริง..แล้วก็หน่าย พอหน่าย..แล้วก็คลายวาง พอคลายวาง..ก็ หลุดพ้น อย่างนี้นะ ถ้าหลุดพ้นเพียงชั่วคราว..ก็ให้รู้อีก ถ้าหลุดพ้นเพราะมรรคผล..ก็จะมีอาการอีกแบบหนึ่ง คือมันจะย้อนมา ไม่ว่าจะย้อนมาดูตอนไหน ก็จะเห็นเลยว่า สังโยชน์ถูกละไป ถ้าเป็นพระโสดาบัน ก็ละสังโยชน์ ๓ ตัว คือ.. ละสักกายทิฏฐิ มองมาในกายนี้ ในใจนี้..ก็จะไม่เห็นเรา ไม่เห็นความเป็นเรา ละวิจิกิจฉา ไม่ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย มีความศรัทธาตั้งมั่น, เชื่อไม่คลอนแคลนในพระพุทธเจ้า, พระธรรม และพระสงฆ์ ละสีลัพพตปรามาส ไม่ถือการปฏิบัติในศีลและพรตที่ผิดๆ ตัวสำคัญที่ชัดหน่อยคือ ข้อแรกนั่นเอง คือ รู้ว่า, มีความเห็นว่า กายนี้..ไม่ใช่เรา และใจนี้..ก็ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องดูนาน ๆ หน่อยนะ บางทีคนที่ทำถึงขั้นที่ว่า วิปัสสนูปกิเลสเนี่ย ก็น่าจะทำสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานมามากพอสมควร บางทีในขณะที่ทรงฌาน..มันจะไม่เห็นว่ามีเรา แต่พอออกจากฌานแล้ว..อาจจะมี ฉะนั้น อย่าไปดูตอนทรงฌาน อย่าไปดูตอนเข้าสมาธิ ให้ดู..ตอนชีวิตปกติ เวลาถูกคนด่า..เราโกรธ แล้วมันโกรธ ก็โกรธได้นะ!..แต่มันมีเราไหม? หรือว่า อยากจะกินอะไร..มันเหมือนเราอยากจะกินจริงๆ นะ.. มีเราจริงๆ นะ อย่างนี้ ก็ให้ดูตอนที่เผลอ ตอนเผลอ..มันจะแสดงตัวตนออกมา ถ้ายังไม่ใช่เป็นพระอริยะนะ ยังเป็นปุถุชนอยู่นี่..ความรู้สึกว่ามีตัวตน จะมี จะผุดขึ้นมา ดังนั้น ไม่ว่าจะมีปรากฏการณ์อะไร จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัย คืออย่าเพิ่งเชื่อ ดูไป ดูไปนานๆ แล้วความจริงก็จะปรากฏเอง แล้วก็ไม่ต้องคิดจะไปต่อยอด เอาแค่ว่า..เริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อยๆ ครูบาอาจารย์จะใช้คำว่า “นับหนึ่ง! นับหนึ่งใหม่!” ทุกๆ ขั้นตอนของการภาวนา ให้นับหนึ่งใหม่ คือ เริ่มต้นรู้สึกตัว บางคนเนี่ยนะ ก็ใช้ว่า “เห็นกายหายใจ” เห็นกายหายใจ แล้วดูจิต..เผลอไป การนับหนึ่ง ก็คือ การกลับมาเห็นกายหายใจ แล้วจิตเผลอ..รู้ทัน แล้วนับหนึ่ง ไม่ต้องไปนับ สอง, สาม, สี่.. เห็นจิตเผลอ..แล้วรู้ทันเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าเห็นเผลอ..แล้วคือ สอง แล้วก็ เห็นเผลออีกครั้ง..คือ สาม ไม่ใช่อย่างนั้น นับหนึ่ง คือเริ่มต้น.. รู้สึกว่ากายกำลังหายใจ แล้วพอเผลอไป..รู้ทัน ไม่ต้องนับอะไรนะ! แล้วกลับมานับหนึ่งใหม่ ตอนที่ไม่รู้ตัวเลยเนี่ย..ศูนย์! ไม่มีอะไรเพิ่มเลย กลับมานับหนึ่ง.. คือรู้ว่ากายกำลังหายใจ โดยมีเป้าหมายว่า การเห็นกายหายใจครั้งนี้ เป็นเพียงแค่เครื่องเทียบ เพื่อดูว่าจิตจะเผลอไปเมื่อไหร่? ไม่ใช่มาเห็นกายหายใจเพื่อรักษาให้จิตอยู่กับกาย ไม่ใช่ว่าจะบังคับจิตให้อยู่กับกาย เพียงแค่เป็นจุดเริ่มต้น แล้วถ้าจิตจะทำงาน..ก็ให้มันทำงานไป เรียกว่ามีความปล่อยอิสระ ให้จิตมันมีความคล่องตัวในการทำงาน ไม่ใช่ไปกดจิตให้อยู่นิ่งๆ บังคับจิตให้อยู่นิ่งๆ ถ้าบังคับ ความรู้สึกก็จะเหมือนกับว่า มันรู้สึกหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ ซึมๆ ทื่อๆ อย่างนี้นะ อย่างนี้ไม่พร้อมที่จะเดินปัญญา สรุปว่า วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นได้เพราะจิตไม่ตั้งมั่นนะ วิธีแก้ ก็ทำจิตให้ตั้งมั่น เท่านั้นเอง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ Shortlink: January 14, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine