#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๗๐ #พึ่งตนเองให้ได้ ?? #ถาม : ไม่มีหลาน คิดอยากจะไปขอเด็กตามโรงพยาบาล มันจะดีหรือไม่ดีคะ? #ตอบ : แล้วลูก ๆ ว่าอย่างไรละ? ลูก ๆ เห็นด้วยไหม? #ถาม : ลูกเห็นด้วยค่ะ แต่ลูกชายคนโตไม่เห็นด้วยนะคะ แต่คนเล็กเขาชอบ ก็อยากได้ค่ะ #ตอบ : แล้วเราอยู่กับใคร? เราอยู่คนเดียวหรือว่าอยู่กับลูกชายคนโตหรือคนเล็ก? #ถาม : เราก็อยู่กันสองตายายอยู่ที่บ้าน แต่ว่าลูกเขาทำงานอยู่ที่ศรีราชาค่ะ #ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเรา แล้วก็คนในครอบครัวเรา แต่ถ้าที่บ้านเราอยู่กันลำพังสองตายาย หากต้องการจะเลี้ยงเด็ก ก็สามารถทำได้ แต่ก็ต้องยอมรับภาระนะ มันมีภาระนะ ถ้าเรายอมรับภาระนั้นได้..ก็ไม่มีปัญหาอะไร #ถาม : แต่ลูกชายเขาพูดว่า “อยากได้เด็กสักคนมาเลี้ยง เพื่อว่าจะได้ดูแลตอนแก่เฒ่า ก็จะให้พ่อแม่เป็นคนดูแลให้ซักระยะหนึ่ง หมายถึงคือ สองปี พอเด็กจะเข้าโรงเรียน พวกผมก็จะเอาไปเลี้ยงเอง” #ตอบ : ก็ดีนะเป็นการสงเคราะห์เด็ก ใช้ได้อยู่นะ ที่นี้เราก็ ดูก็แล้วกัน เวลาไปรับสงเคราะห์ เราก็ต้องไปดูเด็กด้วยใช่ไหม? แล้วเด็กเนี่ย..ก็ต้องยอมรับเราด้วย ทั้งสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน ปัญหามันก็น่าจะน้อยลง #ถาม : แต่ว่าลูกเขาบอกว่าจะไปเอาแบบแดง ๆ มาเลยนะเจ้าคะ #ตอบ : แบบแดง ๆ ก็ได้ ยิ่งง่ายขึ้น..แต่เอ๊ะ! มันจะได้มายังไงละ? แบบแดง ๆ #ถาม : แบบแดง ๆ หมายถึงว่า จะเป็นเด็กน้อยมา ที่แบบว่าไม่โตมา มาเลี้ยงเหมือนลูกของเราเขาบอก #ตอบ : แล้วมันจะมีที่มาอย่างนี้ได้อย่างไร? อาตมาไม่เข้าใจเหมือนกัน #ถาม : ก็คงเลี้ยงประมาณสักห้าเดือน หรือสิบเดือนน่ะเจ้าค่ะ #ตอบ : ถ้ามี แล้วก็พ่อแม่เด็กนั้นเต็มใจด้วย ก็ไม่เป็นไรนะ น่าจะได้นะ คือที่มาเนี่ย ควรจะเป็นที่มาที่ถูกต้องด้วย เป็นการยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย #ถาม : ต้องไปเอาตามโรงพยาบาล ที่สถานสงเคราะห์อะไรพวกนี้นั้นเจ้าค่ะ #ตอบ : อย่างนั้นก็น่าจะได้อยู่ #ถาม : คงจะดีกว่า ที่เราไม่มีใครเลยนะเจ้าคะ? #ตอบ : อ๋อ..! อันนี้ เราถือว่าเราทำบุญก็แล้วกัน ถือว่าเราทำบุญสงเคราะห์คน ๆ หนึ่งขึ้นมา จากที่ว่าเขาอาจจะกำพร้าพ่อแม่อย่างนี้นะ..เราสงเคราะห์เขา ส่วนเขาจะดีแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่า (๑) เราอบรมสั่งสอนเขาด้วย แล้วก็มันก็ (๒) ขึ้นอยู่กับเขาด้วย ว่าเขาเนี่ยมีพื้นฐานมาแค่ไหน แต่จริง ๆ ไม่ว่าพื้นฐานเขามาอย่างไรก็แล้วแต่..ขอให้เรามีความจริงใจในการดูแลอบรมเขา เขาก็น่าจะเห็นความจริงใจในการดูแลอบรมของเรา เลี้ยงดูเขาอย่างนี้นะ! เขาน่าจะมีความกตัญญู ถ้าเขาเห็นเราเลี้ยงดูแบบไม่ใช่ว่าโหดร้ายอย่างนี้นะ..ก็น่าจะมีความกตัญญู แล้วก็ “ไอ้ตัวความคาดหวัง” เนี่ยนะ ..เราอาจจะคาดหวังได้ แต่ว่าส่วนเขาจะทำตามที่เราคาดหวังหรือเปล่าเนี่ย.. อย่าเพิ่งไปคาดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ลูกแท้ ๆ ก็ยังบางทีตอนเราแก่ก็อาจจะไม่เลี้ยงเราด้วยซ้ำ ใช่ไหม? หลานแท้ ๆ ก็อาจจะไม่มาเลี้ยงเรา คือในอนาคตเนี่ยนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าสังคมของเราเนี่ย มันจะเป็นสังคมที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องของสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ในอนาคต เด็ก ๆ ในยุคนี้ก็จะมีภาระอะไรของเขามากขึ้น ที่จะมารับเลี้ยงดูเราเนี่ยนะ..มันอาจจะหวังได้ แต่อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราก็ถือว่า เราทำบุญก็แล้วกัน จริง ๆ แล้ว เราควรจะฝึกตนเองให้อยู่ได้ แม้ไม่มีใคร จะปลอดภัยที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าจะสงเคราะห์เด็ก..ก็สงเคราะห์ได้ แต่ถ้าสงเคราะห์ด้วยความคาดหวังว่าจะให้เขามาเลี้ยงดูเราเนี่ยนะ บางทีอาจจะผิดหวัง เข้าใจไหม? ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ก็คือ ทำอย่างไรเราจะฝึกให้เราสามารถอยู่ได้คนเดียว แม้ไม่มีใคร สมมุติว่าเขาเป็นเด็กดี แต่เผอิญประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อน เราก็ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง นึกออกไหม? ไม่ใช่ว่าเราจะเลี้ยงเขาแล้ว แล้วเขาจะต้องอยู่กับเรา เลี้ยงดูเราตอนเราแก่ ตอนที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อะไรอย่างนี้นะ จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าที่เขาจะมีชีวิตมาเลี้ยงดูเรา นึกออกไหม? จริง ๆ แล้วเนี่ย ต้องพิจารณาความตายของตนเอง และพิจารณาความตายของคนอื่นเขาด้วย บางทีเราอาจจะตายก่อน บางทีเขาอาจจะตายก่อน ถ้าเราคาดหวังว่าต้องการคนมาเลี้ยงดูเราตอนแก่เนี่ยนะ บางทีเราคาดหวัง..แล้วเราจะผิดหวัง แต่ถ้าเราต้องการจะสงเคราะห์คน ๆ หนึ่ง เขาจะเลี้ยงดูเราก็ได้ ไม่เลี้ยงก็ได้ อย่างนี้นะ ความคาดหวังจะน้อย หรือไม่มี ส่วนพอเราสงเคราะห์ด้วยใจจริงไม่คาดหวัง บางทีเขากลับเห็นคุณความดีของเราชัดเจน แล้วเขาก็กตัญญูกตเวทีเอง นึกออกไหม? ฉะนั้นเวลาทำ..แม้ว่าอาจจะแอบคาดหวังอยู่บ้าง ว่าให้เขามาเลี้ยงดูนี่นะ แต่ความคาดหวังนั้น ถ้ามากเกินไป จะกลายเป็นตัณหา แล้วก็อยากให้เขามาตอบสนองความต้องการของเรา ไอ้ความต้องการแบบนี้..จะทำให้เราบางทีตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดไป เช่น ไปพูดกดดันเขา ถ้ารู้ไม่ทัน เราจะกลายเป็นผู้ทวงบุญคุณในอนาคต นึกออกไหม? ตอนที่เรา “สร้างบุญคุณ” กับใคร..ตอนนี้ดี แต่ตอนที่ “ทวงบุญคุณ” นะ..จะทำให้คุณความดีทั้งหมดเนี่ย หายหมดเลย ! คือถ้าเราตั้งความหวังไว้ อย่างที่โยมบอกเนี่ยนะ..มันจะทำให้มีโอกาสมากเลยที่เราจะผิดหวัง และบางทีอาจจะมีคำพูดที่ไปเชือดเฉือนน้ำใจ ประเภททวงบุญคุณ “ทำไมเนี่ย? ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมา เก็บแกมาจากกองขยะ แกไม่เลี้ยงดูฉันตอบเลย”..ประมาณนี้นะ! พูดคำพูดแบบแรง ๆ มันจะออกมา ตอนที่เราผิดหวังหนัก ๆ ฉะนั้น ความคาดหวังแบบนี้ มันก็จะทำด้วยตัณหาใช่ไหม? เราก็อยากให้เขามาสนองความต้องการของเรา ให้เขามาทำให้เรามีความสุข..นี่คือตัณหา แต่ถ้าทำด้วยฉันทะ หรือว่าด้วยกรุณา..การแสดงออกของเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เราทำกรุณา เจริญกรุณา คือได้เลี้ยงดูเขา ได้สงเคราะห์เขาแล้ว งานนี้หมดแล้ว เขาจะไปได้ดี..เราก็ดีใจด้วย เขาจะไม่กลับมาเลี้ยงดูเรา..เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็มีที่พึ่งของเรา คือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่างนี้นะ! ถ้าได้ที่พึ่งอย่างนี้ก็ปลอดภัย ต้องเตรียมตัว.. แม้จะต้องป่วยอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาดูแล.. เราก็อยู่ได้ ดูกายนี้มันตายไป เห็นกายเป็นก้อนทุกข์ ก้อนทุกข์มันจะตายไป เสียดายทำไม? ต้องทำให้ได้ขนาดนี้นะ ปัจจุบัน..ฝึกรู้ทันกิเลส รู้เท่าทันความจริงของสิ่งทั้งหลาย ว่ามันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา อนาคต..อย่าไปหวังว่าใครจะมาเลี้ยงดูเรา ถ้าเขามีคุณความดี มีความพร้อมพอ..เขาจะมาเลี้ยงดูเราเอง มาสงเคราะห์ หรือมาแสดงความกตัญญูกตเวทีเอง ก็ถือว่า กุศลส่งผล มีเหตุดี ผลก็จะดี ทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่า..เราสร้างเหตุแบบไหน? เราเลี้ยงดูเขาแบบไหน? เลี้ยงดูแบบมีกรุณา มีเมตตาโดยส่วนเดียว ไม่คิดจะทวงบุญคุณ อย่างนี้นะ!..เขาจะยิ่งเห็นบุญคุณของเรา แต่ถ้าเราทำเหมือนการลงทุน “เนี่ย! เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพื่อผลกำไรในภายหน้า พอเขาโตแล้ว เขาจะต้องเลี้ยงดูเรา” คิดเหมือนทำธุรกิจ ทำการลงทุนในชีวิตอีกแบบหนึ่งอย่างนี้ มีความคาดหวังขึ้นมา ความคาดหวังอย่างนี้..จะทำให้เราผิดหวัง หรืออาจจะทำให้เรามีการแสดงออกทางกายทางวาจาที่ไม่เหมาะไม่ควร.. นี่พูดเผื่อเอาไว้ ! ฉะนั้น อย่าไปวาดหวังอะไรมากมาย เกี่ยวกับว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือเราสามารถรับได้ไหม..แม้ในกรณีที่ว่าเขาไม่มาตอบแทนบุญคุณเรา รับได้ไหม? นึกออกไหม? ไม่งั้นเราจะวาดฝันสวยหรู ชีวิตต่อไปนี้จะมีเด็กคนนี้คอยดูแลเรารับใช้เรา บางทีวาดหวังมากเกินไป เข้าใจไหม? #ถาม : ทุกวันนี้ตายายก็อยู่กันสองคนอยู่แล้วนะเจ้าคะ #ตอบ : ให้ตายายเนี่ยนะ..ฝึกกรรมฐาน ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา พร้อมที่จะตายกันอยู่สองคนเนี่ย แม้ไม่มีใครมาดูแล..เราก็อยู่กันได้ ใครตายก่อน..ก็ไปก่อน รอก็แล้วกันนะ ฉันไปทีหลัง..ฉันก็มีโอกาสภาวนานานขึ้นหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง เห็นความจริงของร่างกาย เห็นความจริงของจิตใจของเราไปดีกว่า แต่ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้สงเคราะห์เด็กนะ! โยมจะเอาเด็กมาสงเคราะห์ก็ได้นะ นี่พูดที่ว่านี้ คือไม่ได้ห้ามสงเคราะห์ แต่ให้เตรียมใจในแง่นี้ไว้บ้าง พอเข้าใจนะ #ถาม : ลูกชายเขาหวังแค่ว่า อยากให้มีใครสักคน มาอยู่ในตระกูลของเรา ก็แค่นั้นเจ้าค่ะ #ตอบ : มันก็เป็นความหวังแล้วใช่ไหมล่ะ? อาจจะผิดหวังก็ได้ใช่ไหม? ลูกชายเขากะว่าจะหาผู้ช่วยมาดูแลแม่ใช่ไหมละ? เราบอกลูกไปเลยว่า “ไม่จำเป็น ไม่มีก็ไม่เป็นไร” เราฝึกตนเอง ให้เป็นที่พึ่งของตนให้ได้ดีกว่า มั่นใจกว่า ฝึกตนเอง เราจะป่วยจะเจ็บยังไง? ถ้าจิตใจไม่ป่วยไม่เจ็บ..ก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม? มันอยู่ที่จิตใจต่างหาก ขากระเผก ก็กระเผกไป.. ดูไป กายเป็นทุกข์อย่างนี้ กายมันก้อนทุกข์อย่างนี้..ดูไป แต่ถ้ารักษาได้ก็ต้องรักษามันไว้นะ รักษามันไว้ รักษาเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าที่สุดแล้วเนี่ย..มันรักษาไม่ได้แล้ว มันก็แสดงความจริงของร่างกายนี้ ในที่สุดแล้วกายมันก็ถูกบีบคั้น กายเป็นก้อนทุกข์ มันถูกบีบคั้นอยู่เสมอ..เห็นความจริงของกายไป แต่ไม่ใช่หดหู่ท้อถอย เห็นความจริงด้วยใจเบิกบาน นึกออกไหม? ถ้าเบิกบานไม่ได้..ก็ใจอุเบกขา มีสองอย่าง อนุญาตให้ใจสองแบบ แบบเบิกบาน กับอุเบกขาวางเฉย ไม่ทุกข์กับมัน ไม่หดหู่กับมัน ใจเป็นกลาง เห็นความจริง เห็นทุกข์..แต่ใจไม่ทุกข์ เห็นกายเป็นทุกข์..แต่ใจไม่ทุกข์ ฝึกให้ได้ ทำที่บ้านของเรา ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเราไป แล้วก็ทำกิจวัตรที่บ้านให้เป็นวัดไปเลยก็ได้ ให้มีการสวดมนต์ทำวัตรพร้อม ๆ กัน สองคนตายาย มาสวดมนต์พร้อมกันก็ได้ ชวนกันทำ เป็นกำลังใจให้กัน นี้ในกรณีที่ว่าเสียงสวดมนต์สองคนเข้ากันนะ ถ้าสวดแล้ว เสียงไม่เข้ากัน..ก็แยกกันสวด ถ้าสวดมนต์เสียงเข้ากัน..ก็สวดพร้อมกัน สวดไม่เก่ง ถ้าสวดกันได้..เราก็เป็นเสียงนำ ให้ตาก็คลอไป เป็นเพื่อนกันก็ดี เป็นเพื่อนคู่ชีวิตในการที่จะพัฒนาจิตใจไปด้วยกัน โดยหลักการที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็คือว่า ..ฝึกตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนให้ได้ แล้วก็ถ้าลูกกังวลเรื่องไม่มีคนดูแล ก็บอก..”ไม่ต้องกังวล” ลูกไม่มีเวลา..ก็ไม่เป็นไร คือเราก็เข้าใจลูก ลูกมีภาระ ไม่มีเวลามาดูแลเรา..ก็ไม่เป็นไร ไม่ต่อว่าลูก ไม่ต้องไปรอคอยด้วยนะ ไม่ใช่มานั่งชะเง้อ “เมื่อไหร่จะมา?“ ก็หาวิธีดำรงชีพของเราต่อไป ดำรงชีพเท่าที่จะเป็นไป ชีวิตอยู่ขณะนี้จนถึงวันตาย ก็ให้เป็นเวลาของการพัฒนาจิตใจของเราให้มากที่สุด เด็กอาจจะดีก็ได้นะ อาตมาไม่ได้ว่า ไม่ใช่ว่าเด็กจะไม่ดีนะ เด็กอาจจะดีก็ได้ ก็คือมันอาจจะดีก็ได้ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ใช่ไหม? แม้แต่ครอบครัวเดียวกันนะ พี่น้องบางทีบางคนก็อาจจะแหวกเหล่าแหวกกอออกมา เลี้ยงดูก็เลี้ยงดูด้วยพ่อแม่คู่เดียวกัน บรรยากาศก็แบบพอ ๆ กัน ใช่ไหม? แต่บางทีจะมีแหวกออกมา นับประสาอะไรกับคนข้างนอก ถ้าเราทำด้วยความกรุณา เห็นเด็กเดือดร้อน ก็อยากจะช่วยเหลือสงเคราะห์คน ๆ หนึ่งขึ้นมา อย่างนี้นะ ทำด้วยไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะมาเลี้ยงดูเรา.. อย่างนี้น่าจะได้กุศลกว่า ถ้าทำด้วยความคาดหวัง บางทีอาจจะผิดหวังนะ ก็ต้องเตรียมใจตรงนี้ด้วย ถ้าคิดจะรับมาเลี้ยงดูด้วยใจที่คาดหวัง..มันออกแนวที่เรียกว่ามีตัณหา มีความคาดหวังว่าเด็กคนนี้จะมาสนองความต้องการเรา ทำให้เรามีความสุข อย่างนี้หวังพึ่งเด็ก มันไม่ได้หวังพึ่งตนเอง ถ้าหวังพึ่งตนเอง มันจะฝึกตนเอง ฝึกตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนเองให้ได้ รู้ว่าต่อไปเราต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ทำอย่างไรที่จะให้อยู่กับสภาพแก่เจ็บตายโดยที่จิตใจไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ คิดพัฒนาตนเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ว่าทำยังไงจะพัฒนาเด็ก ให้เด็กเป็นที่พึ่งของเรา ซึ่งความคิดแบบนี้มันไม่เป็นอิสระ ไม่มีอิสระในการที่จะมีความสุข เพราะว่าเด็กมันจะดีหรือไม่ดี? ก็ยังไม่แน่ใช่ไหม? ก็เรียกว่าหวังพึ่งผู้อื่นเนี่ย..มันไม่แน่นอน ต้องเอาตนเองให้เป็นที่พึ่งให้ได้ อย่างนี้แน่นอนกว่า พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ Shortlink: July 9, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine