วันพุธที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ(๑๐) ปีฉลู พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เห็นความจริงของจิต ไอ้ความจริงปรากฏขึ้นมาจากการเห็น ไม่ใช่ความคิด ตรงนี้เรียกว่า “เกิดญาณทัศนะ” เห็น.. ญาณทัศนะ ก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆนะ เห็นความเกิด-ดับ พอเห็นความเกิด-ดับ เห็นความไม่เที่ยง (ความเกิด-ดับ คือ ความไม่เที่ยง) เห็นความไม่เที่ยงแล้ว จะเห็นว่า.. สิ่งเหล่านี้ คล้ายๆ กับว่า.. ไปฝากความหวังอะไรกับมันไม่ได้เลย! มันรู้สึกเห็นโทษ เห็นทุกข์ของสิ่งที่ปรากฏอยู่ เมื่อก่อนคิดว่า.. ทุกอย่างมันมั่นคง พอเห็นความไม่เที่ยง.. อ้าว! ไม่มั่นคงนี่นา เริ่ม ‘เห็นโทษเห็นทุกข์’ ของสิ่งต่างๆ ที่เคยยึดเอาไว้ แต่ใจก็ยังยึดอยู่นะ!! คล้ายๆ ยังไม่มีอะไรที่จะไปยึดต่อ ไม่รู้จะไปยึดอะไร ไอ้นี่..ยึดไม่ได้! เห็นโทษเห็นทุกข์ ก็จะเกิด”นิพพิทาญาณ” ก็จะไล่ไปเรื่อยๆ (จิต)ก็จะพยายามขวนขวาย หาทางที่จะไป พ้นไปจากสภาวะ ตรงนี้ยังอยู่ในเรื่อง “ญาณทัศนะ” ทั้งหมด เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ” จนกระทั่งดิ้นรนแล้ว-ดิ้นรนเล่า พยายามรักษาสุข..ให้สุขนานๆ พยายามหนีทุกข์..ให้หายไปเร็วๆ มันทำไม่ได้เลย.. ยิ่งดิ้นรน.. ยิ่งรู้สึกทำไม่ได้!! ทุกอย่างอยู่นอกเหนือการบังคับของตัวตนของเรา แล้วก็เห็นว่า..มันเป็นไปตามเหตุ-ตามปัจจัย ก็เริ่มเข้าใจ มีปัญญามากขึ้น เห็นสภาวะมากขึ้น ก็จะเกิดญาณทัศนะตัวสำคัญ เรียกว่า.. “สังขารุเปกขาญาณ” คือ.. ความวางใจเป็นกลางกับการเห็น เห็นแล้ว.. ไม่เข้าไปยุ่ง เห็นแล้ว.. ไม่เข้าไปแทรกแซง เกิดใจเป็นกลางขึ้นมา พอใจเป็นกลางขึ้นมา มันก็พร้อมจะเห็นสภาวะนั้น ลงในเรื่องของ “อริยสัจ” เห็นสิ่งที่เห็นนั้นเป็นทุกข์.. ..เป็นทุกข์ในอริยสัจ! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก คลิกใจให้ธรรม ตอน “เข้าใจเรื่องจิตแล้ว.. เรื่องอื่นเข้าใจหมด” https://www.youtube.com/watch?v=mu1kRLw37qg&t=11s (นาทีที่ 22.24-24.51)

อ่านต่อ