All posts by admin

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๕ ?? #ถาม : นิยาม ของคำว่า”จิตถึงฐาน” คืออะไรคะ ? จิตถึงฐาน จิตไม่ถึงฐาน …

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๕
??
#ถาม : นิยาม ของคำว่า”จิตถึงฐาน” คืออะไรคะ ?
จิตถึงฐาน จิตไม่ถึงฐาน ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ รบกวนพระอาจารย์กฤชด้วยค่ะ​

#ตอบ​ : จิต​ถึง​ฐาน​ ก็​คือ​ จิต​ที่​มี​สัมมา​สมาธิ
หรือ​เรียก​อีก​อย่าง​หนึ่ง​ว่า​ จิตตั้งมั่น​

จะ​เข้าใจ​”จิต​ถึง​ฐาน”มาก​ขึ้น​ เมื่อ​เห็น​”จิต​ที่​ไม่​ถึง​ฐาน​”

จิต​ไม่​ถึง​ฐาน​ ก็​คือ​ จิต​ที่​ถลำไป​รู้​อารมณ์
มัน​พุ่ง​ไป​ที่​อารมณ์​ ความ​สนใจ​มัน​ไป​เน้น​ที่​อารมณ์

ถ้า​เห็น​จิต​ที่​มัน​ถลำ​ไป​ เคลื่อน​ไป​ พุ่ง​ไป​ จิตขณะ​ที่​เห็น​นั้น​ก็​ถึง​ฐาน​พอดี

ผล​จาก​การ​ที่​จิต​ถึง​ฐาน​ จิต​จะ​มี​กำลัง​ จะ​สังเกต​ได้​จาก​การ​ที่​จิต​ไม่​ไหล​รวม​ไป​อยู่​กับ​อารมณ์
ความ​รู้สึก​ใน​ขณะนั้น​จะ​เห็น​ว่า​ อารมณ์​ก็​อยู่​ต่างหาก​ จิต​ที่​เป็น​ผู้​รู้​ก็​อยู่​ต่างหาก
ตรง​นี้​บางที​ครูบาอาจารย์​จะบอก​ว่า​ มัน​แยก​ธาตุ​แยก​ขันธ์​ เริ่ม​เดิน​ปัญญา​แล้ว

๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

คอร์สจีน ๑๑

วันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ วันพระ​ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๘ #ห้าห้าม…

วันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑
วันพระ​ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๘
#ห้าห้าม

คนจีนจะมีคำสอน “คำพูด” ๕​ คำที่ไม่ควรพูด
ให้สอนลูกหลานเอาไว้ว่าอย่าไปพูดคำนี้
…..
๑.​ “ยาก”
เคยพูดมั้ย?
พอพูดมานี่นะ​ มันจะเป็นการปิดกั้นความสามารถของตัวเอง
พอคิดว่ายากนะ ไอ้งานนั้นมันยากไปเลยจริงๆ!
ถ้ามันยาก แต่เราไม่พูดนะ พยายามหาช่องทางที่จะทำ
มันยากยิ่งดี เพราะมันยิ่งฝึกตัวเอง
งานง่ายๆ ถ้าทำสำเร็จนะ มันไม่ภาคภูมิใจ

๒.​ “ท้อ”
คำนี้ก็ไม่พูด ท้อใจ..ก็ให้รู้ว่าท้อใจ
แต่ไม่พูดคำว่า”ท้อ”ขึ้นมา
เพราะถ้าพูดขึ้นมานะ! มันจะสั่งร่างกายเลย
จะ​ทำให้หมดพลังที่จะทำงานต่อ

๓.​ “ขี้เกียจ”
แม้แต่พูดเล่นก็ห้ามพูด!
พูดคำนี้ขึ้นมานะ​ “โอ้!วันนี้ขี้เกียจจังเลย”
ถ้า​พูด.. ใจมัน​จะโปรแกรม(ให้​ขี้เกียจ​จริง​ๆ)​
พอใจมันคิดคำว่าขี้เกียจขึ้นมา​ แล้วพูดขึ้นมาด้วยนะ! คราวนี้ร่างกายก็จะไปด้วย

๔.​ “เหนื่อย”
มีไหม?.. เหนื่อย!
พอพูดคำว่าเหนื่อยขึ้นมานะ!..จะอยากนอน
อยากหยุดงาน “จะหยุุดงานแล้ว ไม่ทำแล้ว..เหนื่อย!”

๕.​ “ทำไม่ได้หรอก”
ถ้า​พูด​ว่า​ “งานนี้ทำไม่ได้หรอก”
พอพูดคำนี้ขึ้นมานะ มันปิดกั้นการพัฒนาการของเรา
แทนที่เราจะคิดว่า​ “มันต้องทำได้”
แล้วก็หาทางพัฒนาปัญญาของเรานี้
พอบอก​ “ทำไม่ได้หรอก” ..เลยเลิกกัน!
งานนี้ไม่ทำแล้ว ทำไม่ได้หรอก
ปิดจ๊อบ! (ในที่นี้)แปลว่าไม่สำเร็จ

ยาก, ท้อ, ขี้เกียจ, เหนื่อย, ทำไม่ได้หรอก
คำพวกนี้..อย่าไปพูด!
แล้วถ้ามันเกิดขึ้นในใจ..ให้รู้ทันด้วย
เพราะสิ่งเหล่านี้​เป็น​”ตัวบั่นทอนพลังชีวิต”

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???

เรียบเรียงจากไฟล์เสียงธรรม
611115 ห้าห้าม สามควร
ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/2FE6C5g
(นาทีที่ 17.37-20.43)


อ่านบน Facebook

#เชิญฟังธรรม ทางเจ้าภาพฝากประชาสัมพันธ์ ขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจฟังธรรมบรรยาย เรื่อง..เสีียงธรรมนำใจ…

#เชิญฟังธรรม
ทางเจ้าภาพฝากประชาสัมพันธ์
ขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจฟังธรรมบรรยาย
เรื่อง..เสีียงธรรมนำใจ เพื่อการทำงาน
โดย… พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

ในวันพุธที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑
เวลา ๑๐.๓๐ – ๑๒.๐๐ น.

ณ ห้อง R114 ชั้น 1 อาคาร 1
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล นครปฐม

*เจ้าภาพเปิดให้บุคคลภายนอก
สามารถเข้าร่วมฟังได้*

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณพินิตยา โทร: 089-6833997
(เวลา 9:00-17:00 น.)

(แผนที่ คณะวิศวะฯ ม.มหิดลhttps://goo.gl/maps/wLhPuSsUYH72 )


อ่านบน Facebook

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย(๑) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๙ #รู้ไปตรงๆ…

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย(๑)
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๙

#รู้ไปตรงๆ

เราเองก็เหมือนกันนะ! เวลาอยู่ในสังคม
เราเหมือนจะปั้นท่าเพื่อจะสร้างตัวตนให้คนอื่นดู

แต่ความที่เวลาเข้าสังคม
ถ้าอยู่ในพิธีการก็ต้องรู้จักกาละและเทศะ

แต่ตอนที่จะมาเจริญสติจริงๆ ตอนนี้ไม่ต้องปั้นแต่ง
ไม่ต้องหลอกตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นรู้ไปตามตรงๆ
ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองเลว
ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง
มันไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว !
มันมีกิเลสเยอะ รู้ไปตามตรง
ถ้าเราไม่ยอมรับ เราก็จะไม่เห็นของจริง
และไม่พัฒนาตัวเองได้จริง

เราจะพัฒนาตัวเองได้..เมื่อรู้สิ่งผิด
กิเลสต่างๆเป็นสิ่งผิด ไม่ต้องกลัว!
ถ้าปฏิเสธสิ่งผิด..จะไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้นเลย

การพัฒนาจะเกิดขึ้นเมื่อรู้ว่ามีความผิด
พอรู้สิ่งผิด พอรู้ทันทีตอนนั้นนะ..
รู้ปุ๊บตอนนั้นถูกทันที !
พอถูกทันที..ก็เริ่มมีสิ่งดีแล้วใช่มั้ย?
เริ่มมีสิ่งถูกแล้ว.. เดี๋ยว.. อ๋อ.. ปั้นใหม่!!
มันจะมีผิดอยู่เรื่อยๆนะ
ให้ดูว่าตัวเองผิดอะไรบ้าง?

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???

เรียบเรียงจากไฟล์ 09.หมูกระดาษ_570308_1
แผ่นซีดีชมรมเรียนรู้กายใจนครสวรรค์ ๑
ลิงค์ไฟล์เสียง bit.ly/1TEXDPc
(นาทีที่ ๔๕.๓๓-๔๗.๒๕)
ลิงค์ซีดี http://wp.me/p5bBOI-rQ


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๔ ?? #ถาม : ตามพระพุทธพจน์ พ่อแม่ เป็นอรหันต์ของบุตร หรือ เป็นพรหมของบุตร ครับ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๔
??
#ถาม : ตามพระพุทธพจน์ พ่อแม่ เป็นอรหันต์ของบุตร หรือ เป็นพรหมของบุตร ครับ?

#ตอบ : เท่าที่ทราบ ไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า “พ่อแม่เป็นอรหันต์ของบุตร” นะ
มีแต่ที่ตรัสว่า “เป็นพรหมของบุตร”
พระพุทธพจน์นั้นมีปรากฏใน พรหมสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ดังนี้
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ

มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร
ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ และว่าอาหุไนยบุคคล
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการ และสักการะ มารดาบิดา
ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง
เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง
เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์”

คำว่า “พรหม” ในที่นี้ เป็นชื่อของท่านผู้ประเสริฐ
พ่อแม่ย่อมประเสริฐด้วยคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คือมีพรหมวิหาร ๔ นี้ กับบุตรของตนอยู่เสมอ
ในศาสนาพราหมณ์ เชื่อกันว่าทุกสิ่งในโลก รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากพระพรหม
แต่พระพุทธองค์แสดงให้เห็นความจริงว่า มนุษย์เกิดได้ก็เพราะมีพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง
นอกจากจะให้กำเนิดแล้ว ยังเลี้ยงดูด้วยความปรารถนาดี, เมื่อร้องไห้หรือไม่สบายก็มาบำบัดทุกข์ให้, บันเทิงเริงใจด้วยเมื่อเห็นลูกก้าวหน้าไปในทางที่ดี, เมื่อลูกมีครอบครัวแยกเรือนออกไปพ่อแม่ก็วางใจว่าลูกเราสามารถเป็นอยู่ได้ตามลำพัง

ที่ว่าเป็น “บุรพาจารย์” ก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้ลูกเรียนรู้การใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด สอนให้กิน สอนให้นอน สอนให้นั่ง สอนให้เดิน สอนให้พูด สอนว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ สอนสิ่งต่างๆ มากมาย ก่อนที่จะส่งไปให้อาจารย์เหล่าอื่นสอนศิลปวิทยาการต่างๆ
อาจารย์เหล่าอื่นทั้งหมดจึงชื่อว่า “ปัจฉาจารย์” คืออาจารย์ที่มาทีหลัง

ที่ว่าเป็น “อาหุไนยบุคคล” นั้น แปลว่า เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ คือมีคุณอันสมควรแก่ลูกที่จะนำของมาให้ด้วยความนอบน้อม เพื่อแสดงความนับถือเชิดชูบูชา จัดหาข้าวน้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม เตียงตั่ง เครื่องลูบไล้ผัดทาต่างๆ
บัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อเห็นลูกปรนนิบัติพ่อแม่แล้วก็ย่อมสรรเสริญ เพราะการทำอย่างนั้นเป็นบุญใหญ่ เป็นเหตุให้ไปสถิตอยู่ในสวรรค์ ร่าเริงบันเทิงใจด้วยทิพยสมบัติ

เข้าใจว่า ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าเปรียบมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตรว่าเป็น “อาหุไนยบุคคล” นี้ ก็ทำให้มีผู้ไปเทียบกับสังฆคุณ ที่มีคำว่า “อาหุเนยโย” ก็เลยโยงไปว่า พ่อแม่ก็น่าจะเป็นพระอรหันต์ของลูกด้วย
ตรงนี้ขออธิบายว่า
มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร เป็นอาหุไนยบุคคลเฉพาะกับบุตรของตนเท่านั้น
พระอริยบุคคล เป็นอาหุไนยบุคคลกับสัตว์ทั้งหลาย
จะเห็นได้ว่า ไม่เหมือนกัน
ถ้ามารดาบิดาฝึกภาวนาจนกระทั่งบรรลุผลเป็นพระโสดาบัน มารดาบิดานั้นก็เป็นอาหุไนยบุคคลสำหรับบุตรของตนด้วย และเป็นอาหุไนยบุคคลสำหรับสัตว์ทั้งหลายด้วย แต่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์อยู่ดี
เพราะคำว่า “อรหันต์” คือผู้พ้นจากกิเลส ทรงความบริสุทธิ์ ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด
สำหรับพระพุทธเจ้า จะใช้คำเต็มว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” (พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบเอง)
สำหรับพระสาวก จะใช้คำเต็มว่า “อรหันตขีณาสพ” (พระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะแล้ว)

มีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า
ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เอียฮู” ได้ข่าวว่าที่เมืองเสฉวนได้มีพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อ “บ่อจี่ไต้ซือ” เป็นพระอรหันต์ผู้สำเร็จฌานอภิญญา มีวิชาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน เอียฮูอยากได้วิชาวิเศษนั้นบ้าง อย่างน้อย หากได้พบพระอรหันต์แล้วก็จะเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต
เอียฮูออกตามหาพระอรหันต์ โดยทิ้งแม่ที่แก่ชราหูตาฝ้าฟางให้อยู่กับบ้านตามลำพัง แม้ว่าแม่จะห้ามจะอ้อนวอนเท่าไรเขาก็ไม่ฟัง ยังยืนยันว่าจะไปให้ได้ ปล่อยให้ผู้เฒ่าหงอยเหงา นั่งนอนเศร้าเฝ้าบ้านอยู่เดียวดาย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในระหว่างทาง เอียฮูพบพระเถระรูปหนึ่ง เห็นแล้วเลื่อมใส จึงเข้าไปกราบ แล้วถามว่า “ท่านมาจากไหน?”
พระเถระก็ตอบว่า “เรามาเมื่อน้ำจืด”
เอียฮูก็ถามต่อไปว่า “แล้วพระคุณเจ้าจะเดินทางต่อไปที่ไหนอีก?”
พระเถระตอบว่า “เราไปแล้วไม่มีใจ”
เอียฮูจึงถามต่อไปว่า “พระคุณเจ้าอายุพรรษาเท่าไรแล้ว?”
พระเถระตอบว่า “เราเรียนวิชาอายุวัฒนะได้สำเร็จแล้ว อายุของเราจึงประมาณไม่ได้ว่าเท่าไร”
เอียฮูดีใจว่าใช่พระอรหันต์ที่เราตามหาแน่ จึงถามหยั่งเชิงต่อไปว่า “พระคุณเจ้ามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยใครหรือ?”
พระเถระจึงตอบว่า “เรามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยคนที่ไม่มีความรู้สึกตัวว่าชั่ว”
เอียฮูรู้สึกว่านี่เป็นปริศนาธรรม จึงถามจี้เข้าเรื่องว่า “ท่านคือพระอรหันต์นามว่าบ่อจี่ไต้ซือ ใช่หรือไม่?”
พระเถระย้อนถามว่า “เธอถามถึงพระอรหันต์นามว่าบ่อจี่ไต้ซือไปทำไม?”
เมื่อเอียฮูบอกจุดประสงค์แล้ว พระเถระจึงบอกว่า “การที่จะพบพระอรหันต์นั่นไม่ยากหรอก เธอไม่ต้องเดินทางไปยังเสฉวนให้เหนื่อย เธอจงเดินกลับไปบ้านของเธอเถิด ถ้าพบผู้ใดที่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับ นั่นแหละคือพระอรหันต์ของเธอ เธอจง อย่าลืมคำที่เราบอกนะเอียฮู”
เอียฮูได้ยินพระเถระพูดเช่นนั้น ก็หันหน้ากลับเพื่อเก็บสัมภาระ รู้สึกอัศจรรย์ว่าในหมู่บ้านเราก็มีพระอรหันต์ด้วยหรือ จึงหันกลับไปเพื่อจะซักไซ้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ปรากฏว่าพระเถระหายตัวไปเสียแล้ว เอียฮูก็ยิ่งศรัทธาเชื่อมั่นในคำของพระเถระ รีบมุ่งหน้ากลับบ้าน
ระหว่างเดินทางก็ทบทวนคำของพระเถระอยู่เสมอ กลับถึงหมู่บ้านก็ดึกมากแล้ว ผู้คนหลับกันหมดแล้ว พอถึงหน้าบ้านก็เคาะประตูเรียกแม่ “แม่.. แม่จ๋า.. ลูกกลับมาแล้ว เปิดประตูที”
แม่ผู้เฝ้าคิดถึงแต่ลูก กินไม่ได้นอนไม่หลับมานาน ผ่ายผอมลงมาก เพิ่งจะเคลิ้มไป ได้ยินเสียงลูกมาเรียกที่หน้าบ้าน ทีแรกก็คิดว่าฝันไป ไม่เชื่อหูตัวเอง ฉุกคิดว่า “นี่เราไม่ได้หลับ นี่เสียงลูกมาเรียกจริงๆ”
แม่ที่รู้สึกสุดแสนดีใจ รีบกระวีกระวาดไปรับลูก ด้วยความที่รีบหยิบเสื้อมาสวม รีบหยิบรองเท้ามาใส่โดยไม่ทันดูให้ดี พอเปิดประตู เอียฮูเห็นแม่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับตรงตามที่พระเถระบอกไว้ว่า “ผู้ใดที่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับ นั่นแหละคือพระอรหันต์ของเธอ” เอียฮูเกิดความสำนึกผิด ก้มลงกราบที่เท้าผู้เป็นแม่ แล้วหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจในการกระทำของตน แล้วขอโทษที่ตนได้ทอดทิ้งไป ให้คำมั่นว่าต่อแต่นี้ไปตนจะประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของแม่ จะไม่ทอดทิ้งแม่อีก เพราะแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
เมื่อเอียฮูกตัญญูกับแม่ ปรนนิบัติแม่ดุจเป็นพระอรหันต์ ขยันขันแข็งทำงานเพื่อแม่ ข้าวในนาก็อุดมสมบูรณ์ ชีวิตเขาก็กลับเจริญรุ่งเรือง

นิทานเรื่องนี้ก็ทำให้เราคุ้นเคยกับคำว่า “พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” มากยิ่งขึ้น ถ้าเข้าใจและรู้ที่มาที่ไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ถ้าอยากจะเป็นพระอรหันต์ แล้วหาทางลัดด้วยการไปมีลูก อย่างนี้ก็น่าจะผิดทาง!

๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#คลิปแสดงธรรม #เหยื่อล่อจิต โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? ภาวนาเหมือนคนจะตกปลาจริงๆ ตกปลา คือหาเหยื่อสักอย่างหนึ่ง…

#คลิปแสดงธรรม #เหยื่อล่อจิต
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
ภาวนาเหมือนคนจะตกปลาจริงๆ
ตกปลา คือหาเหยื่อสักอย่างหนึ่ง
เหยื่อที่ว่านี้จะเป็นลมหายใจก็ได้
จะเป็นลมหายใจที่จมูกก็ได้
จะเป็นลมหายใจที่ท้องก็ได้ ท้องพองยุบ
หรือจะท่องพุทโธๆๆ ก็ได้
หรือเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
ร่างกายเคลื่อนไหว แบบไหนก็ได้
สิ่งนั้นเป็นเพียงเหยื่อ อย่าไปประคองให้จิตมันอยู่ตรงนั้น นิ่งๆ นานๆ
เพราะถ้าทำอย่างนั้น คือเราจะกินเหยื่อเสียเอง

ท่านเปรียบเปรยให้ฟังเช่นไรต่อไป
อะไรคือเหยื่อ? อะไรคือปลา?
จุดพลาดของนักตกปลา คืออะไร?

รับฟังต่อที่คลิปแสดงธรรม บ้านจิตสบาย
2/2 เรื่อง #เหยื่อล่อจิต
ที่ลิงค์ยูทูป http://yt3.piee.pw/CQHUC

เมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#คลิปแสดงธรรม #ศีลห้าละเมิดข้อใดบาปสุด โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ?❎? พระอาจารย์ได้เคยถาม อาจารย์วศิน…

#คลิปแสดงธรรม #ศีลห้าละเมิดข้อใดบาปสุด
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
?❎?

พระอาจารย์ได้เคยถาม อาจารย์วศิน
ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ที่แตกฉานในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ว่า “มีพุทธพจน์ไหมที่ยืนยันว่า..
ศีลห้าข้อ ข้อใดข้อหนึ่งผิดกว่ากัน”
แล้วก็ถามว่า “มีคนทั่วไปเข้าใจว่าข้อห้า ผิดที่สุด!
เพราะเมาแล้วก็ผิดข้ออื่นได้หมด”

จะเฉลยก็กระไรอยู่..ให้ฟังเองแล้วกันค่ะ
ที่คลิปแสดงธรรมบ้านจิตสบาย 1/2
เรื่อง “ศีลห้าละเมิดข้อใดบาปที่สุด”
ที่ลิงค์ยูทูป http://yt3.piee.pw/CJAB9

เมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๖ #รู้จำ…

วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๘๖

#รู้จำ #รู้จัก #รู้จริง #รู้แจ้ง

“รู้จำ” คือเรียนรู้ภาคทฤษฎี
“รู้จัก” ก็คือเอาภาคทฤษฎีที่เรียนมา เอามาปฏิบัติ

เห็นกายว่าเป็นกาย นี่คือรู้จัก
แต่ถ้าส่องหน้าที่กระจก แล้วคิดว่า
‘วันนี้ฉันสวยจัง’
อย่างนี้เรียกว่า..ยังไม่รู้จัก!

รู้จัก คือเห็นกายที่กายนี้
จะเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งก็เรียกว่ากาย
เห็นผมก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย
เห็นตา เห็นจมูก เห็นปาก.. เห็นกาย
ภาษาในพระสูตรจะใช้คำว่า “กายในกาย”

เห็น​”กายในกาย” คือเห็นตรงไหนก็เป็นกาย
เห็นกายส่วนย่อยๆ ในกายส่วนใหญ่ๆ
เห็นผมก็คือเป็นกาย ดูลมหายใจก็ยังเป็นกาย
เห็นกายในกายอย่างนี้​ เรียกว่า..รู้จักกายแล้ว
เริ่ม”รู้จัก”แล้ว

คนจะรู้จักกาย แล้วพัฒนาไปถึงขึ้นเจริญปัญญาจนรู้จริง รู้แจ้งได้
จะต้องเป็นคนที่สมาธิดีหน่อย
เคยได้ยินใช่ไหมว่า..
แบ่งคนเป็นสองประเภทที่จะมาเจริญ(วิปัสสนา)​กรรมฐาน
คนประเภทแรก ทำสมาธิง่าย ทำสมถะง่าย
เรียกว่า.. สมถยานิก

สมถยานิก​ คือ คนที่ทำสมาธิง่าย
เอาจิตไปอยู่อารมณ์​ใดอารมณ์หนึ่ง
แล้วก็ไม่ค่อยหนีไปไหน
จิตอยู่นิ่งๆ กับอารมณ์นั้น
คนอย่างนี้จะมาดูกายแล้วรู้จักกาย
แล้วก็รู้ความจริงของกายว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนััตตา

“รู้จริง” คือ​ เห็นไตรล้กษณ์สามอย่างนี้
(ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) อย่างใดอย่างหนึ่ง

ตอน​”รู้แจ้ง” คือรู้ว่าไม่ใช่เรา ทั้งกายและใจ
ต้องทั้งกายทั้งใจนะ!

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???

เรียบเรียงจากธรรมบรรยายจากคอร์ส กลต.
รู้จำ รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง – 611022
ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/2zm5v4q
(นาทีที่ 3.41-6.05)


อ่านบน Facebook