All posts by gade

ขันธ์ ๕ กับ เรา

ถาม : เมื่อไม่มีเรา มันเป็นการรวมกันของขันธ์ทั้ง ๕ แล้วบทสวดที่ว่า เราเป็นทายาทแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น อยากทราบว่า เมื่อเรามองว่าไม่มีเราแล้ว มันเป็นแค่ธาตุขันธ์มารวมกัน แล้วในแง่กฎแห่งกรรม ทำไมยังมีเราครับ ต้องมองในแง่ไหนครับ

ตอบ : คำถามลักษณะนี้ แม้ในครั้งพุทธกาลก็เคยมีมาแล้ว ครั้งหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่ง ได้ฟังธรรมเกี่ยวกับขันธ์ ๕ แล้วก็สงสัยว่า “เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนัตตา, แล้วอย่างนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จะถูกต้องตนได้อย่างไร ? ”

พระพุทธเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้น จึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เป็นไปได้ที่คนเขลาบางคนในธรรมวินัยนี้ มีใจตกอยู่ในอวิชชา ถูกตัณหาครอบงำ อาจสำคัญว่า คำสอนของพระศาสดาเป็นสิ่งที่พึงคิดไกล ล้ำเลยไปได้ว่า

‘เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนัตตา, แล้วอย่างนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จะถูกต้องตนได้อย่างไร ? ‘

“เธอทั้งหลาย อันเราแนะนำอย่างถี่ถ้วนด้วยการทวนถาม ในข้อธรรมทั้งหลาย ในเรื่องราวทั้งหลายแล้ว จะสำคัญเห็นเป็นไฉน : รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”

“เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”

“สิ่งใดไม่เที่ยง, สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข ? ”
“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”

“สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือจะมองสิ่งนั้นว่า ‘นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นตัวตนของเรา ? ”
“ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแล รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ฯลฯ ก็เป็นแค่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงมองเห็นตามที่มันเป็น ด้วยสัมมาปัญญาอย่างนี้, อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้มองเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ ย่อมหลุดพ้น ฯลฯ
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ ย่อมไม่มี”

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ พระภิกษุนั้น พร้อมทั้งภิกษุอีกประมาณ ๖๐ รูป ที่ฟังอยู่ด้วยกัน ก็บรรลุพระอรหัตตผลในที่นั้น

(มหาปุณณมสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)

จากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อเห็นแจ้งอยู่ว่าขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนัตตา ความสงสัยเรื่องตัวตนที่จะมารับผลกรรมก็หมดไป

ที่เรียกกันว่า เรา เขา ชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นเพียงถ้อยคำสมมติ เรียกกันว่า สมมติบัญญัติ สมมติบัญญัติมีอยู่จริง แต่เป็นความจริงที่ถือตามความกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลก
ความจริงอย่างนี้เรียกว่า สมมติสัจจะ

ส่วนขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไม่ใช่เรา นี้เป็นความจริงโดยปรมัตถ์ เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

สภาวะปรมัตถ์เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามกฎไตรลักษณ์ การเกิดขึ้นและดับไปของสภาวะเหล่านั้น ก็เป็นไปตามปัจจัยต่าง ๆ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักธรรมใหญ่ที่แสดงความเป็นไปของชีวิตทั้งหมด ซึ่งลึกซึ้ง เข้าใจยาก และอธิบายยาก เมื่อจะอธิบายให้คนทั่วไปได้เข้าถึงง่ายขึ้น ก็นำเอาหลักธรรมส่วนย่อย
ของปฏิจจสมุปบาทมากล่าว นั่นคือหลักกรรม ที่นิยมเรียกกันว่า กฎแห่งกรรม ซึ่งเข้าใจง่าย อธิบายง่าย แยกกระบวนการออกเป็น ๓ วัฏฏะ คือ กิเลส กรรม และวิบาก

ที่ว่าอธิบายง่าย เพราะสามารถยกเอาเหตุการณ์หรือบทบาทของบุคคลมาเป็นตัวอย่างได้

เช่น เด็กหญิงหวึ่ง ติดเกมด้วยความมัวเมา แม่ห้ามก็โกรธ เถียงแม่ด้วยเสียงดัง เล่นที่บ้านแล้วถูกดุ ก็ขโมยเงินแม่จะไปเล่นที่ร้าน ป้าเห็นพิรุธ นำตัวมาสอบสวน ในที่สุด เด็กหญิงหวึ่ง
ก็ถูกตี…

เรื่องที่เล่ามา จะบอกว่า “เด็กหญิงหวึ่งทำกรรมชั่ว และได้รับวิบากที่ชั่ว” ก็ได้
ถ้าจะไปสอนเด็กหญิงหวึ่ง ก็อาจจะบอกว่า “เราเป็นทายาทแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” ก็ได้

แต่ถ้าพูดโดยปรมัตถ์ ก็เป็นเรื่องของกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ชุดหนึ่ง จิตที่ไม่มีปัญญา ประกอบด้วยโมหะ มีเสียงกระทบหู หมายรู้ว่าถูกตำหนิ ก็โกรธ จิตเริ่มแปรคุณภาพปรุงอุปกิเลสอื่นมาอีก เป็นหัวดื้อ กระด้าง แสดงออกมาเป็นวาจาก้าวร้าว ฯลฯ

คำสมมติต่าง ๆ จะมีจะใช้หรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อสภาวะปรมัตถ์

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐

รูป – นาม สอนใจแง่ใด – แง่หนึ่ง

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๖

รูป – นาม สอนใจแง่ใด – แง่หนึ่ง

เราต้องเรียนแบบมีความรู้สึกตัว – ตื่นตัวขึ้นมา
เอาความจริงให้จิตดู

แล้วต่อไป “สิ่งที่เห็น” มันจะสอนจิตเอง
“รูปธรรม” ที่เราเห็น ..มันจะสอนตัวเอง

“นามธรรม” ที่เราเห็น ..มันจะสอนตัวเอง
ตัวเองที่ว่านี่นะ คือ ..จิตนั่นเอง !

มันจะสอนว่า..

รูปธรรมก็ไม่เที่ยง นามธรรมก็ไม่เที่ยง
รูปธรรมก็เป็นทุกข์ นามธรรมก็เป็นทุกข์

รูปธรรมก็เป็นอนัตตา นามธรรมก็เป็นอนัตตา
แง่ใด ! .. แง่หนึ่ง !

บางคนก็จะถนัดดูจิต ก็จะเห็นจิตมันไม่เที่ยงได้ง่าย
บางคนถนัดดูกาย ก็จะเห็นกายมันเป็นทุกข์ได้ง่าย

ดูไป ๆ จะมีความเข้าใจสรุปรวบยอดว่า..
ทั้งกายและจิต เป็นอนัตตา

ถ้าเป็นความเข้าใจขนาดที่เรียกว่า
ทั้งกายและจิตเป็นอนัตตา

อย่างน้อย ๆ ก็ได้เป็น “โสดาบัน”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๙

ไฟล์ 590424_ พระอริยเจ้า มีใจดั่งมฤค Track 08.ความปรุงของใจ ระหว่างเวลา ๐.๐๑-๐.๕๕
ดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ http://bit.ly/2izoON0

จับผิดนักเล่นกล

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๕

จับผิดนักเล่นกล

จิตเนี่ยถูกหลอกให้สนใจข้างนอก
เหมือนโลกนี้เล่นกลกับเรา

แล้วเราก็ถูกโลกนี้หลอกไปเรื่อย ๆ

จับมันไม่ได้สักที.. จับกลนี้ไม่ได้สักที
(แม้ว่า) พอมีพระพุทธเจ้าเฉลยกลแล้วเนี่ยนะ

เราก็ยังมองไม่ออก.. เพราะถูกหลอกอยู่

พระพุทธเจ้าบอกว่า
‘มองเข้ามาข้างใน ดูที่ใจนี้’

ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วนะ ! โลกนี้เล่นกลหลอกเราไม่ได้
พอเล่นกลหลอกเราไม่ได้แล้วเนี่ยนะ.. จะเกิดน้อยลง !

ที่ยังเกิดอยู่เนี่ย (แสดงว่า) ยังถูกมันหลอกอยู่นะ !
ยังรู้ทันมันไม่หมด

(ถ้าฝึก) รู้ทันได้บางตอนบางช่วง
(แม้จะยังถูกหลอกอยู่) แต่ว่าอีกไม่นาน…

ไอ้นักเล่นกลนี้ก็จะหลอกเราไม่ได้แล้ว !
ตอนนี้เราพยายามจับผิดนักเล่นกล..

แล้วไอ้นักเล่นกลนั้น … ไม่ใช่ใครหรอก !
“ใจเราเนี่ยแหละ” !

มันหลอกเรา.. หลอกให้เราไปสนใจข้างนอก
จึงมองไม่ออกว่า มันกำลังเล่นกลอยู่

อย่าให้มันหลอกนานนะ !
หันมาดูที่มัน

จริง ๆ แล้วเนี่ย มันกำลังแสดงอะไรอยู่ตรงนี้

“ไม่ใช่ข้างนอก มันแสดงอยู่ข้างใน”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗

แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๕ Track 2.2
ไม่แทรกแซง – (570427) – เหมือนถูกหลอก ระหว่างเวลา ๑๔.๕๙-๑๖.๑๓

สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://bit.ly/1ZG9YUv

ยิ้มหวาน ๆ ^____________^

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๔

ยิ้มหวาน ๆ ^___^

ก่อนจะทำกรรมฐานนะ !
ให้ยิ้มหวาน ๆ ก่อน

ยิ้มหวาน ๆ คือ… ใจเบิกบาน
ทำให้ใจเบิกบานขึ้นมาก่อน

สมาธิที่ดี หรือ กรรมฐานที่ดี

ไม่ใช่ซึม ไม่ใช่แน่น
ไม่ใช่หนัก ๆ ไม่ใช่เพ่ง

เพราะฉะนั้น ต้องทำใจเบิกบาน

วิธีทำใจเบิกบาน คือ ยิ้ม
ยิ้มหวาน ๆ ^_________^

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ มูลนิธิมายาโคตมี
วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงก์ วิดีโอ 591030_พักใจ..ไว้กับธรรม
แทรก 03.ปล่อยมือจากราวสะพาน ระหว่างเวลา ๐๑:๒๘:๑๐-๐๑:๒๘:๕๙

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/2eo8CM9

“อลัชชี” คือบุคคลประเภทใดบ้างเจ้าคะ ?

ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์.. ขอเรียนถามว่า “อลัชชี” คือบุคคลประเภทใดบ้างเจ้าคะ ?

ตอบ : อลัชชี แปลว่า ผู้ไม่มีความละอาย ผู้หน้าด้าน

โดยมากจะใช้คำนี้กับพระภิกษุที่มักจะประพฤติผิดศีลผิดพระวินัย ละเมิดพุทธบัญญัติ โดยจงใจละเมิด หรือทำผิดแล้วไม่แก้ไข

ในพระวินัยอธิบายว่า
การต้องอาบัติของพระภิกษุ มีได้ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
๑. ด้วยความไม่ละอาย
๒. ด้วยความไม่รู้
๓. ด้วยความสงสัยแล้วขืนทำ

๔. ด้วยความสำคัญผิดในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร
๕. ด้วยความสำคัญผิดในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร
๖. ด้วยความหลงลืมสติ

ในข้อ ๑ ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายนี้ นับว่าเลวที่สุด ซึ่งก็คือ “พระอลัชชี” หรือ “อลัชชีภิกษุ” นี่เอง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“ภิกษุแกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ, ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า อลัชชีบุคคล”

อลัชชีภิกษุ แม้จะเป็นผู้รอบรู้เล่าเรียนมาก อาจจะดูเรียบร้อย แต่เห็นแก่ลาภยศ ก็แกล้งกล่าวให้ผิดแบบแผน แสดงวาทะนอกธรรมนอกวินัย ย่อมทำอันตรายอย่างมากมายทั้งแก่ตน

และแก่พระศาสนา อาจทำให้สงฆ์ร้าวฉาน หรืออาจถึงขั้นทำให้สงฆ์แตกแยกได้

ลัชชีภิกษุ คือภิกษุผู้มีความละอาย มีหิริและโอตตัปปะ ยอมเป็นผู้ใฝ่ศึกษา แม้ตายก็ไม่มีความจงใจกล่าวให้ผิดแบบแผน ด้วยความเคารพในพระธรรมวินัย

ลัชชีภิกษุ แม้จะไม่มีความสามารถในการแสดงธรรม แต่มีปฏิปทาตรงตามพระธรรมวินัย ก็นับได้ว่าเป็นผู้รักษาสืบทอดพระศาสนา ควรแก่การสักการะบูชา เป็นเนื้อนาบุญ

๓๐ เมษายน ๒๕๖๐

เห็นสภาวะธรรมตามไตรลักษณ์ พิจารณาอย่างไรต่อไป ?

ถาม : จากการปฏิบัติของผมเอง: ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา เมื่อปฏิบัติภาวนาระดับหนึ่งแล้ว จะปรากฏให้เห็นถึง ทุกข์ ตัณหา ในขันธ์ รูป นาม ได้ชัดเจนขึ้น เห็นสภาวะธรรม
ตามไตรลักษณ์แล้ว… หลังจากนี้ ผมขอกราบเรียนถามคำชี้แนะ จากท่านพระอาจารย์ว่า ผมจะต้องพิจารณาอย่างไรต่อไป ?

ตอบ : ถ้าเห็นไตรลักษณ์แล้ว ก็ปฏิบัติต่อไปนะ ทำเหมือนเดิม เพราะเห็นไตรลักษณ์ก็แสดงว่ามาถูกทาง

ที่ว่าเห็นทุกข์ เห็นอย่างไร ?

ถ้าเห็นว่า มันทนยาก รู้สึกไม่สบาย รู้สึกลำบาก อย่างนี้เท่ากับเห็นทุกขเวทนา

ถ้าเห็นว่า สภาวะรูปนามที่เกิดขึ้นเป็นสภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ มันถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้นให้เกิดดับไป ก็เท่ากับเห็นทุกข์ในไตรลักษณ์ ให้เห็นทุกข์ในไตรลักษณ์นี้บ่อย ๆ
เห็นแล้วเห็นอีก จนกว่าจิตจะยอมรับความจริง

แรก ๆ อาจจะมีเจตนาคิดนำ แต่ขณะที่จะได้ผล จิตจะเข้าใจของเขาเอง

๒๘ เมษายน ๒๕๖๐

อัตตา กับ มานะ

ถาม : อัตตาคือความมีตัวตน แต่มานะคือความถือตัวว่าเป็นคนเก่งและอวดดี ใช่มั้ยคะ ?

ตอบ : อัตตา กับ มานะ สองคำนี้มักจะมีความเข้าใจและใช้สับสนกันอยู่บ้าง

อัตตา แปลว่า ตน, ตัวตน

มานะ แปลว่า ความถือตัว, ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่

“อัตตา” ไม่มีอยู่จริง ที่กล่าวว่า “ตน” ก็เป็นเพียงคำที่สมมติกันขึ้น เพื่อให้สะดวกในการสื่อสารกันในหมู่มนุษย์ ปัญหามันเกิดขึ้นก็ตรงที่ พอสมมติกันแล้วก็หลงยึดถือว่ามีตัวตนจริง ๆ
เรียกว่า “หลงสมมติ”

อัตตาไม่ใช่กิเลส ไม่ต้องละอัตตา เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง สิ่งที่จะต้องทำก็คือ รู้เท่าทันตามความเป็นจริงว่าไม่มีอัตตา นั่นคือมีปัญญารู้ความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งปวง
เมื่อรู้อย่างนี้ก็เรียกว่า มีสัมมาทิฐิ สิ่งที่ละจริง ๆ คือละมิจฉาทิฐิ

ส่วน “มานะ” เป็นการถือเทียบเคียง ถือแบบเเข่งกัน ถือตัวทะนงตน สำคัญตนว่าเด่นว่าด้อยกว่าเขา มานะเป็นกิเลส ซึ่งเป็นตัวการทำให้ไม่ยอมกัน กดข่มกัน มานะจึงเป็นสิ่งที่ควรละไปเสีย

มานะเป็นปัญหาของจิตใจ เกิดขึ้นเมื่อใดก็มักจะรู้สึกเบ่งป่องพองตัว แต่แท้ที่จริงจิตกำลังมัวหมอง ไม่ผ่องใส มีสติรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งใด จะรู้สึกว่าน่าละอายใจ

ส่วนอัตตาเป็นปัญหาของปัญญา ถ้ารู้ความจริงว่า สิ่งที่เรียกกันเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นตัวตน เป็นต้นนั้น เมื่อแยกแยะออกมาก็เป็นเพียงขันธ์ ๕ ตัวตนแท้ ๆ นั้นไม่มี ปัญหาเรื่องอัตตาก็หมดไป

เพราะเข้าใจแล้วว่า สิ่งทั้งหลายเป็นเพียงสภาวธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมา อย่างนี้ จะเรียกว่า “เห็นอนัตตา” ก็ได้

เมื่อเข้าใจแล้วว่าอัตตาไม่มี แต่ก็พูดเรื่อง “ตน” ในระดับสมมติได้ เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็เป็นการหยิบเอาสมมติบัญญัติ
มาใช้สอนจริยธรรมเท่านั้น

หรือที่สอนกันว่า “อย่าไปถือตัวถือตน” ก็เป็นคำสอนด้านจริยธรรม เพื่อไม่ให้มานะครอบงำจิตใจมากเกินไป แต่ถ้าว่าโดยสัจธรรมแล้วก็คือ “ไม่มีตัวตนที่จะถือ”

๑๔ เมษายน ๒๕๖๐

นักปฏิบัติธรรม (ไม่) ประหลาด !

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๓

นักปฏิบัติธรรม (ไม่) ประหลาด !

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นของสำคัญ
วิธีเจริญสติ ไม่ใช่ว่าไปทำตัวแปลกแยกจากสังคม

ไม่ใช่ทำตัวแปลกแยกจากเพื่อน ๆ
(แต่ให้) ทำตัวเนียน ๆ ไปกับสังคม

ให้เขามองไม่ออกเลยว่า.. เรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่
เจริญสติไม่ขวางโลก แล้วก็ไม่แปลกแยกจากโลก

อยู่กับโลกได้โดยไม่มีใครรู้ (ว่าเรากำลังปฏิบัติธรรม) เลย !
นักปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นตัวประหลาด

แต่เป็นตัวที่ไปสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่มากขึ้น
สังคมที่เขาโดนอะไรหน่อย กระทบหน่อย ก็โทสะเกิด

โดนอะไรหน่อย กระทบหน่อย ก็โลภะเกิด.. ราคะเกิด
เราไม่ไปสร้างความร้อนให้กับสังคมตรงนั้น

เราเห็นมันเกิด – ดับอยู่ในใจ
ไม่ยาก ! .. ไม่ยากนะ !

เพียงแค่เตือนตัวเองบ่อย ๆ รู้ตัวบ่อย ๆ
เตือนสติตนเอง ! !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๒
ไฟล์ 550610 เกร็ดธรรมวันวิสาขบูชา เวลา ๐๑.๐๓.๓๐-๐๑.๐๔.๕๒
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ bit.ly/25qAyFw

ของจริงคือปัจจุบัน

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๒

ของจริงคือปัจจุบัน

จะรู้โทษของกิเลสได้
ต้องเห็นกิเลส นึกเอาไม่ได้ !
ตอนนี้โกรธ จับมาดูให้จิตรู้

เมื่อกี้มีราคะ.. มีสติรู้ราคะเป็นอย่างนี้
เมื่อกี้นี้หลงไป.. มีสติจับมาให้จิตเห็น

แล้วมันก็ไม่เที่ยง แล้วมันก็ดับไป
แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ

ไม่ใช่ไปดับตัณหามั่ว ๆ !

วิธีเห็นกิเลสคือ
มีสติ จับเอาของจริงมาให้จิตดู

.. ‘ของจริงคือ ปัจจุบัน’..

ไม่ยากนะ.. ไม่ยาก
ถ้ารู้สึกว่ายาก แล้วกลัว ! ให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง !

เข้าใจมั้ย ?

รู้ให้ทันสภาวะปัจจุบัน.. ดูปัจจุบันไปเรื่อย ๆ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ไฟล์VDOงานศพ ลพ.ยุทธ – อ.มนัส ตอนที่8 540518 (ระหว่างเวลา ๐.๓๒-๒.๐๑)
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1sfQuey

ศัตรูของความสงบคือ.. ความคิด

วรรคทอง วรรคธรรม#๙๑

ศัตรูของความสงบคือ.. ความคิด
ศัตรูของความจริงคือ.. (อยากได้) ความสงบ
หวังจะสงบ.. จึงเป็นศัตรูกับความจริง

ทุกครั้งที่จิตหนีไป ..
เราไม่ยอมดูว่ามันมี ‘ความฟุ้งซ่าน’ เกิดขึ้น

เรารู้เพียงแต่ว่า.. มันคือศัตรูของความสงบ
เพราะ.. ตั้งใจจะเอาความสงบ

ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำจิตตั้งมั่น
เพราะเราแปลคำว่า “สมาธิ” ว่า “สงบ”
เราจึงอยากจะทำความสงบ

พอมันไม่สงบก็.. อะไรมันคือศัตรูของความสงบล่ะ ?
..ก็คือความคิดของเราเอง !

(เพราะอยากสงบ) พอรู้ว่า ‘คิด’ ก็รีบดึงกลับมา !

ทำอย่างนี้นะ..
ถ้าทำได้.. อยู่ได้แค่สมถะ

แล้วมันจึงไปไม่ถึงปัญญา
มันแสดงความจริงอยู่แล้วว่า..

มันสงบแปบหนึ่ง.. แล้วก็ฟุ้งซ่าน
สงบแปบหนึ่ง.. แล้วก็ฟุ้งซ่าน

มันแสดงความจริงว่า.. มันเกิด – ดับ
มันแสดงความจริงว่า.. อยู่นิ่งไม่ได้

มันแสดงความจริงว่า..ไอ้ที่ฟุ้งซ่านเนี่ย.. ฟุ้งไปเองนะ ไม่ได้อยากฟุ้งซ่านเลย
แต่เราไม่ยอมรับเลย !

ความจริงแสดงอยู่ว่า..
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไม่ยอมรับเลย

เพราะอะไร ?
เพราะหวังจะสงบ หวังเพียงแค่สงบ
พอมันไม่สงบจึงเห็นว่า.. เป็นศัตรู

เป็นศัตรูกับความจริง..
มันแย่แค่ไหนดูสิ !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ มูลนิธิมายาโคตมี
วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงก์ วิดีโอ ไฟล์ 591030_พักใจไว้กับธรรม
แทรก 01.ตามประสบการณ์ของอาตมา ระหว่างเวลา ๒๑.๒๕-๒๒.๓๕

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/2eo8CM9

โสตวิญญาณผัสสะกับเสียง ลักษณะสันตติ ทำให้เกิดบัญญัติ ?

ถาม: โสตวิญญาณไปผัสสะกับเสียง ในลักษณะสันตติ ทำให้เกิดบัญญัติ ใช่ไหมครับ ?

ตอบ : ผัสสะ แปลว่า การกระทบ หมายถึงความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน + อายตนะภายนอก + วิญญาณ เรียกอีกอย่างว่า สัมผัส

โสตสัมผัส แปลว่า ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ

โสตวิญญาณ แปลว่า ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู พูดง่าย ๆ ว่า ได้ยิน

สันตติ แปลว่า การสืบต่อ หมายถึงการเกิดกับต่อเนื่องกันไป โดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ทั้งในทางรูปธรรม และนามธรรม

จิตก็มีสันตติ คือเกิดดับเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่ขาดสาย ทำให้ไม่เห็นความไม่เที่ยงของสภาวธรรมได้ ต้องอาศัยการเจริญสติ เห็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
จนเห็นความเกิดดับ บางทีครูบาอาจารย์ก็เรียกการเห็นความเกิดดับตรงนี้ว่า สันตติขาด

บัญญัติ แปลว่า การตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ

สมมติบัญญัติ หมายถึงสิ่งที่ไม่มีลักษณะของสภาวธรรม แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดจากการคิดและตกลงเรียกกันขึ้นมา

สมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมุติ ที่ขึ้นต่อการยอมรับกัน หรือตามที่กำหนดหมายตกลงกันไว้ เช่น นายดำ นางแดง ม้า แมว เป็นต้น (ตรงข้ามกันกับ ปรมัตถสัจจะ คือความจริง

โดยปรมัตถ์ ไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน เป็นความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ เป็นความจริงโดยความหมายสูงสุดที่ตรงตามสภาวะ เช่น รูป เวทนา สัญญา เป็นต้น)

อธิบายคำศัพท์มามากมาย เพราะอ่านคำถามแล้ว.. งงงวย ไปไม่ถูกเลย !

คำถามนี้ ถ้าแปลให้ง่ายว่า “การได้ยินเสียงต่อเนื่องนาน ๆ จะทำให้เกิดสมมติบัญญัติ ใช่หรือไม่ ?” ก็ตอบได้ว่า ไม่ใช่ เพราะสมมติบัญญัติเกิดจากการคิด

เช่น ถ้านั่งหน้าพัดลม เปิดพัดลมเบอร์สาม ฟังเสียงพัดลมไป ๒ นาที ถ้าไม่คิดอะไร

ก็ได้ยินเสียงอยู่ ๒ นาที ก็ไม่ปรากฏสมมติบัญญัติอะไร แต่ถ้าคิดว่า ‘เปิดแอร์ดีกว่า’ ที่ว่า ‘เปิดแอร์ดีกว่า’ นั้นเป็นสมมติบัญญัติ หรือแม้แต่คิดว่า ‘เสียงดังจัง’

ที่ว่า ‘เสียงดังจัง’ นั้นก็เป็นสมมติบัญญัติ

๘ เมษายน ๒๕๖๐

บุญที่ยินดีทำกับฝืนใจทำ ต่างกันอย่างไร ?

ถาม : บุญที่ยินดีทำเองกับฝืนใจทำ ต่างกันอย่างไร ?

ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่า บุญที่ทำนั้นทำอะไร ? ตรงทางแค่ไหน ?

บุญ คือ ความดี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ มีวิธีทำได้หลายทาง

แบ่งแบบง่าย ๆ เป็น ๓ ทาง คือ
๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา

คนไทยได้ยินคำว่าบุญ ก็มักจะนึกถึงเพียงเรื่องทาน – การให้ และที่ถามมา ก็คงเป็นเรื่องนี้

หากบุญที่ทำนั้นตรงทาง.. ก็เป็นเรื่องดี และถ้าเต็มใจทําเอง ก็ยิ่งดี

หากเป็นบุญตรงทาง.. แต่ยังไม่อยากทำ ต้องมีคนอื่นมาชวนให้ทำ แม้จะฝืนใจทำ.. มันก็ยังดี แต่อานิสงส์ของความดีมันก็ไม่มากเท่ากับความดีที่ยินดีทำเอง

แต่ไม่ได้หมายความว่า.. ฝืนใจทำดีแล้วไม่ดีนะ คือความดีที่ได้ แม้จะไม่มากเท่าความดีที่ยินดีทำเอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ

แต่ถ้าคิดว่าเป็นบุญ แต่ความจริงมันไม่ใช่บุญ (อาจจะเป็นเพราะเข้าใจผิด หรือมีมิจฉาทิฐิ) แม้จะเต็มใจทำ ก็ไม่ค่อยดี อย่างเช่น ทำทานกับอลัชชี กรณีอย่างนี้ การทำแบบฝืน ๆ ทำ
เพื่อนชวนมาทำก็ไป ก็ดีกว่าเต็มใจทำ

ก็ต้องแยกให้ออกว่าทำบุญอะไร ? แบบไหน ?

อย่าลืมว่า บุญ.. ทำได้ ๓ แบบ

ถ้าจะทำทาน ก็ควรระลึกในแง่ที่ว่า ทำเพื่อขัดเกลากิเลส ทำเพื่อลดความตระหนี่ สละความเห็นแก่ตัว แม้จะฝืนใจ แต่ถ้าระลึกได้อย่างนี้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว

ถ้าจะรักษาศีล หากระลึกได้ถึงกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ แล้วรักษาความประพฤติทางกายวาจาไว้ได้ ก็ได้บุญมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ได้ทั้งเจริญสติและรักษาศีล แม้กิเลสจะยังไม่ดับ
แต่ก็ฝืนใจเพื่อไม่ให้ผิดศีล ก็ยังนับว่าดี

ถ้าจะเจริญภาวนา ก็ควรทำให้ครบทั้งสมถะและวิปัสสนา ทำสมถะได้ก็ทำไปก่อน ถ้าทำสมถะยังไม่ได้ก็ทำวิปัสสนาไปก่อน ไม่ต้องรอ ดูกิเลสไปเลย มีที่อยู่ของใจไว้สักที่หนึ่ง

พอเผลอไป ก็รู้ทันความเผลอ พอไม่อยากเผลอ.. ไปเพ่งเอาไว้ ก็รู้ทันความเพ่ง รู้ทันสภาวะ

ทั้งที่ดีและไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ดี รู้ไป จนสภาวะทั้งหลายสอนใจว่า ที่ปรากฏทั้งหมดนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ภาวนามาตั้งนาน ไม่เห็นความก้าวหน้า แต่ก็ฝืนทำอยู่ ก็ยังดีกว่าท้อถอย จนเลิกภาวนา

แรก ๆ อาจจะผืนทำ ทำบ่อย ๆ ก็ติดเป็นนิสัย กลายเป็นทำไปอย่างอัตโนมัติ ทำจนจิตยินดีทำเองนั่นแหละ

๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐

การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญา ไม่น่าจะถูก

ถาม : การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญานั้น.. ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะข้อนี้คือกุศลกรรมบถส่วนของใจ (สัมมาวาจา เป็นส่วนของวาจา, สัมมากัมมันตะ เป็นส่วนของกาย) เมื่อประกอบกันเป็นกุศลกรรมบถ จะต้องมีวิริยะในการเจริญกุศล ตามสัมมาวายามะ

ตอบ : กุศลกรรมบถ ก็เป็นธรรมที่พึงปฏิบัติ คือเป็นภาเวตัพพธรรม เช่นเดียวกับ มรรคมีองค์ ๘ และไตรสิกขา ธรรมทั้งสามหมวดนี้จึงสงเคราะห์เข้ากันได้

กุศลกรรมบถ ๓ ข้อท้าย (ที่เป็นส่วนของมโนกรรม คือ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น, ไม่มีจิตคิดร้าย และมีความเห็นชอบ) นั้น สงเคราะห์เข้าในอธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา
การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญา จึงถูกต้องแล้ว

สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ดำริชอบ

คำจำกัดความของสัมมาสังกัปปะ คือ เนกขัมสังกัปปะ, อพยาบาทสังกัปปะ และ อวิหิงสาสังกัปปะ

และสัมมาสังกัปปะยังแบ่งเป็น ๒ ระดับ เช่นเดียวกับสัมมาทิฏฐิ คือ
๑. สัมมาสังกัปปะที่ยังมีอาสวะ
๒. สัมมาสังกัปปะที่ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ

๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐

อธิบายเรื่องขันธ์ ๕ และ ไตรลักษณ์

ถาม : ขอให้อธิบายความหมายของคำว่าขันธ์ ๕ และ ไตรลักษณ์ ครับ .. ขอแบบง่าย ๆ นะครับ

ตอบ : ของ่าย ๆ นี่แหละ.. ยาก !!!

ขันธ์ ๕ คือคำตอบของคำถามที่ว่า “ชีวิต คืออะไร ?”

ส่วน ไตรลักษณ์ คือคำตอบของคำถามที่ว่า “ชีวิต เป็นไปอย่างไร ?”

ชีวิต ประกอบด้วย กาย กับ ใจ
พูดให้ตรงหน่อยก็คือ รูป กับ นาม

เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญ

ท่านจึงแยกแยะรายละเอียดในส่วนของนามอีก
เป็น เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (จำ, หมายรู้), สังขาร (ความปรุงแต่ง) และวิญญาณ (รู้อารมณ์)

ซึ่งเมื่อแยกออกมาแล้ว ก็เป็นเพียงสภาวะที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมด
ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรา เขา หรือตัวตนอะไรเลย

และสภาวะทั้งหลายที่เห็น
แม้จะมีลักษณะเฉพาะต่าง ๆ นานา

แต่ก็มีลักษณะโดยรวมที่เป็นธรรมดาสามัญเหมือน ๆ กัน ก็คือ
ทุก ๆ สภาวะ ล้วนเกิดดับ (ไม่เที่ยง) ถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนไป (เป็นทุกข์) และไม่ใช่ตน (อนัตตา)

มีความจริงของสภาวะอยู่ ๓ อย่างนี้ จึงเรียกรวมว่า ไตรลักษณ์

และเพราะลักษณะทั้ง ๓ นี้ มีแก่สิ่งทั้งหลายเป็นสามัญเสมอเหมือนกัน จึงอีกชื่อหนึ่งว่า สามัญลักษณะ

จะรู้สึกว่าคำตอบนี้ง่ายขึ้น ต่อเมื่อได้มีสติรู้สภาวะบ้าง

จะรู้กาย (รูป) ก็ได้
จะรู้ใจ (นาม) ก็ได้

แต่ต้องเป็นสภาวะที่เป็นปัจจุบัน
ไม่ใช่คิดนึกเอา

เช่น โกรธ แล้วรู้ทันโกรธ (ที่เกิดเมื่อกี้ทันที โดยไม่มีอะไรมาแทรก)
ความโกรธที่มีสติรู้ทันนั้น ก็จะแสดงความจริงแง่ใดแง่หนึ่งให้เห็นแล้ว

อาจจะเห็นในแง่ไม่เที่ยง คือเห็นโกรธเกิดดับ
หรืออาจจะเห็นในแง่เป็นอนัตตาก็ได้ คือเห็นว่า โกรธเกิดเอง และดับไปเอง เป็นต้น

คำตอบจะง่าย ถ้าได้เห็นสภาวะรูปนาม (ขันธ์ ๕)
แล้ว สภาวะรูปนาม (ขันธ์ ๕) ก็จะสอนให้เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ได้เอง

ถ้าเอาแต่คิด.. ยาก !

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

หัวข้อบรรยายเรื่อง ขันธ์ ๕ ที่น่าจะง่าย
กลุ่มบ้านอริยะ ๘ มกราคม ๒๕๖๐

เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๐