ฝากคิด

วันศุกร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ทำกรรมเพื่อพ้นกรรม ในการปฏิบัติจริงไม่ใช่ “ละ” ตัวทุกข์ ทุกข์นั้น”แค่รู้” ตัวที่ควรละจริง ๆ คือ “สมุทัย” ที่เราจะเห็นได้คือ “ตัณหา” ที่เราปฏิบัติพลาดกันจริง ๆ ก็คือตัวนี้ เวลาทุกข์ เราอยาก “ละ” เป็นทุกข์อยู่แต่ไม่เห็นแล้วก็อยากจะ “ละ” มันไป ในทางปฏิบัติจริงคือผิด ปฏิบัติจริงคือ ให้ “รู้” ว่านี่คือทุกข์ ส่วนตัณหาความอยากไม่ให้ทุกข์นี้..ต้องรู้ด้วย และ “ละ” มันไป ต้องรู้ด้วยว่า..อยากที่ไม่มีมัน เป็นตัณหา คือ วิภวตัณหา ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็คือ “อยาก” ที่จะไม่มีไม่เป็น เรียกว่า “วิภวตัณหา” อยากเป็น เรียกว่า “ภวตัณหา” เวลาที่จะปฏิบัติธรรมก็ควรเลือกเอาช่วงเวลาของชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่เรามี ใช้เวลาที่ดีที่สุดถวายพระพุทธเจ้า ใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายหลักคือ พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปจนพ้นโลก พอได้พระโสดาบันพระพุทธเจ้าจะเรียกบุคคลพวกนี้ว่าเป็น “ทิฏฐิสัมปันโน” แปลว่าผู้พร้อมด้วยทิฏฐิ เห็นกายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา จุดมุ่งหมายที่ต้องการให้มีต้องตั้งเป้าหมายว่า จะพัฒนาจิตใจให้พ้นโลกให้ได้(โลกุตรภูมิ) ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของโลกที่อยู่ในใจเรานี่เอง ใจเราเป็นโลก ๆ หนึ่ง ซึ่งแสดงทุกข์อยู่ มีทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กาย ให้เห็นว่ามันเป็นเพียงวิบาก ส่วนที่เราจะไปแก้ไขไปละมันได้คือตัวกิเลส(เหตุแห่งทุกข์) ถ้ามีสติรู้ทันตัณหา..ตัณหาดับ ตอนรู้ทันเป็นการทำกรรมเรียกว่า “กรรมฐาน” เป็นการทำกรรมเพื่อพ้นกรรม ถ้ามีตัณหาแล้วทำกรรมตามตัณหา เป็นการทำกรรมเพื่อวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ มีความเผลอให้ดูเราได้ “สติ” ขึ้นมา มีความเคลื่อนของจิตให้ดูเราก็ได้ “จิตตั้งมั่น” ขึ้นมา หรือเผลอไป แล้วรู้ความเผลอด้วยใจเป็นกลางก็ได้ “จิตตั้งมั่น” เหมือนกัน ดูมันให้เห็นเป็นเพียงปรากฏการณ์เกิดขึ้น ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรมจากกิจนิมนต์ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๓

วันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ทำใจให้เบิกบาน จะมีกระบวนธรรมอยู่กระบวนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสบ่อย ๆ นั่นคือ ปราโมทย์, ปีติ, ปัสสัทธิ, สุข, สมาธิ คือเป็นกระบวนธรรม ที่ว่าโดยละเอียด จะมี ๕ อย่างไล่ลำดับกันมา ส่งผลต่อกันจนถึงสมาธิ ใจที่เป็น “ปราโมทย์” คือมีใจเบิกบาน “ปีติ” ก็คือมีความอิ่มใจ บางทีอาจจะเป็นซาบซ่าน ซาบซ่านไม่จำเป็นเท่าไหร่ จริง ๆ คืออิ่มใจ ปีติบางอย่างเป็นซาบซ่านเนี่ยนะ! ให้ซาบซ่านมันเหนื่อย ต้องมี “ปัสสัทธิ” คือเป็นความสงบ ระงับในความซาบซ่านของปีติ สงบระงับลงไป เขาเรียกว่าเป็นความผ่อนคลาย ปัสสัทธิ แปลง่าย ๆ ว่า ผ่อนคลาย แล้วจึงมี “สุข” พอมีสุขแล้วเนี่ย จิตมันจะอยู่กับอารมณ์นั้นได้นาน ๆ ก็เป็น “สมาธิ” ดังนั้น เวลาเรารับรู้อยู่กับโลกนี่นะ! หัดทำใจให้เบิกบาน อย่าไปเครียด ยุคนี้ เป็นยุคที่คนเครียดง่าย พอเครียดแล้วไม่รู้สึกตัวเนี่ยนะ ก็จะแสดงออกไปทางวาจา ออกไปทางวาจาแบบตรง ๆ บ้าง ออกไปแบบกด ๆ จิ้ม ๆ บ้าง (สื่อโซเซียล) ก็เป็นคำร้าย ๆ บางทีแสดงออกไป คนรับไม่ได้ ก็ทัวร์ลง! ทัวร์ลง! (ทัวร์ลง แปลว่า โดนรุมด่า โดนถล่มในโลกโซเซียล) นึกถึงทัวร์ลง!..ก็เตือนให้ระวัง ถ้าใช้สื่อ โดยเฉพาะสื่อที่เขารับรู้กันเยอะๆ เนี่ย ถ้าเป็นคำพูดดีๆ ก็ดีไป ถ้าเป็นคำพูดที่ไม่ดี เขาไม่ชอบใจ เขาก็จะมารุมประณามเรา ไอ้ตอนรุมประณามเนี่ย วิบากเกิดแล้ว เราก็รับผลที่เกิดจากวาจาที่ไม่ดี อย่างนี้ ต้องปรับทัศนคติของเราใหม่ เวลาจะอยู่กับโลกเนี่ย มองโลกด้วยใจเบิกบานบ้าง หรือถ้าเบิกบานไม่ได้ ก็ให้รู้ทันใจที่มันขัด..ขัดใจ มีความโกรธ มีความเกลียดอะไรขึ้นมา.. ให้รู้ทันตรงนี้ อย่าไปแสดงออก ทั้ง ๆ ที่ยังมีกิเลสตัวนี้อยู่ เพราะมันจะพลาด แสดงว่า..ขาดสติ! ขาดสติในการมีกายกรรม วจีกรรม เพราะว่ามีมโนกรรมที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นมาแล้วไม่ทันเห็นมัน ก็คือ ขาดสติ ไม่มีสติรู้จิต..นั่นเอง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ที่บ้านจิตสบาย มาทำสมาธิกัน (630830) ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ ลิงค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=30EzQ5-HRxo&t=4064s (ระหว่าง นาทีที่ 38:06-41:13)


วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #วนอยู่แค่นี้ ครูบาอาจารย์เตือนว่า “ถ้าจะปฏิบัติ ต้องให้มีใจมุ่งมั่น” ความมุ่งมั่นนั้นคล้าย ๆ กับต้องมีเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว..ถ้าเป้าหมายนั้นต้องชัดเจน วิธีการปฏิบัติมันก็จะตามมา ท่านบอกว่า “ให้มาดูเหตุแห่งทุกข์” เพราะว่าตัวที่เราจะละจริง ๆ ไม่ใช่ละทุกข์ แต่ให้ละเหตุแห่งทุกข์ ส่วนใหญ่พอเราเห็นทุกข์ เราจะละทุกข์ ..คนทั่วไปนะ แต่การปฏิบัติ จริง ๆ ไม่ใช่การละที่ตัวทุกข์ ทุกข์นั้น..เรามีหน้าที่แค่ “รู้” ถ้าเทียบในอริยสัจ ๔ นะ! “ทุกข์” ควรรู้ “สมุทัย” ควรละ ตัวที่จะ “ละ” จริง ๆ คือตัว “สมุทัย” สมุทัยที่เราจะเห็นได้คือ “ตัณหา” ฉะนั้น เวลาปฏิบัติเนี่ย ถ้าจะเรียนกันจริง ๆ ก็ต้องฟังกันหลายรอบ แล้วก็มาประมวลเป็นความเข้าใจ แล้วที่เราพลาด จริง ๆ ก็คือไอ้ตัวนี้แหละ คือ เวลาทุกข์..อยากละ อยากจะละมัน “ทำยังไงฉันจะพ้นจากสภาวะนี้ไป?” อันนี้เหมือนจะเห็นทุกข์นะ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เห็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ต่างหาก มันเป็นทุกข์อยู่..แต่ไม่เห็น แล้วก็อยากละมันไป.. กำลังเป็นทุกข์ อยากจะละมันไป ในทางปฏิบัติจริง ๆ คือ “ผิด” ที่ถูกคือให้รู้ ว่านี่คือ “ทุกข์” พอแล้ว! ส่วนความอยากจะไม่ให้ทุกข์เนี่ย! ก็ต้องรู้ด้วย..แล้วละมันไป ก่อนจะละได้ จะต้องรู้จักมันด้วยนะ! แล้วก็ไม่ใช่รู้ธรรมดา แล้วปล่อยให้มันเล่นอยู่ในจิตใจของเรา เมื่อ “รู้” แล้ว ก็ไม่เอากับมัน.. ให้ละไป ไม่ให้มันมาเพ่นพาน รู้มันแล้วก็ไม่ต่อเรื่องกับมัน ไม่ต่อเรื่องแม้กระทั่งว่า “จะไม่อยากมีมัน” เพราะจริง ๆ แล้ว ที่ว่า “อยากที่จะไม่มีมัน” มันก็คือ “ตัณหา” อยู่ดี จัดอยู่ใน “วิภวตัณหา” ตัณหาทั่วไป คือ อยากมี อยากได้ ก็ยังเป็นอยากแบบลักษณะของ “กามตัณหา” ส่วนอยากไม่มี อยากไม่เป็น อยากไม่ได้ คือไอ้สิ่งที่ได้มาเราไม่ชอบ สิ่งที่เป็นอยู่เราไม่ชอบ ก็เลยไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไอ้ตัวนี้เรียกว่า “วิภวตัณหา” ส่วนอยากเป็น ไอ้ตัวอยากตัวนี้มีชื่ออีกคำว่า “ภวตัณหา” อยากจะเป็น พอเป็นแล้ว..ไม่เห็นสุขเลย! อยากจะพ้น.. ก็ยังอยากอยู่ดี ไอ้ตอนที่มันมีความอยากนี่แหละ จะเป็นขณะที่เราจะมาปฏิบัติได้ คือเห็นว่ามันเป็นแค่การทำงานของจิตอย่างหนึ่ง เรียกว่า “ตัณหา” ถ้าไม่เห็นตัวนี้แล้วก็ไม่ได้ละมันไป มันก็จะสร้างทุกข์ให้ใจอยู่เสมอ แล้วพอทุกข์ขึ้นมา ก็พลอยไม่เห็นทุกข์ กลายเป็น “เป็นทุกข์” ไปอีก ..ก็เลยวนอยู่แค่นี้เอง ธรรมบรรยาย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากไฟล์เสียงธรรม “ใจโลเล” ๑๓ กันยายน ๒๕๖๓ ลิงค์คลิป https://bit.ly/34wko3f (ระหว่างนาทีที่ 0.09-3.53)

วันศุกร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ???? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เสร็จกิเลส ถ้าใครทำ “อารัมมณูปนิชฌาน” แบบเพ่งอารมณ์ บางคนอาจจะเพ่งที่ท้อง บางคนอาจะเพ่งคำบริกรรมคำเดียว..อย่างนี้นะ! ถ้าทำแบบอารมณ์เดียว แบบเพ่งเอาไว้ แล้วไม่ก้าวหน้า ลองใช้วิธีนี้ คือ “เห็นกายหายใจ ไม่เพ่งลม” โดยตั้งใจไว้ว่า “ไม่ใช่จะขังจิต ให้อยู่กับกาย” แต่จะอาศัยกายนี้ เรียนรู้การทำงานของจิต ดังนั้น จิตจะดี หรือไม่ดี ก็จะ “รู้” ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเลย ..นึกออกไหม? แต่ถ้าตั้งใจจะสงบ สงบจึงจะได้แต้ม ไม่สงบ จะผิดพลาด ไม่ได้แต้ม แต่ถ้าตั้งใจจะเรียนรู้.. สงบก็รู้..รู้อยู่ว่าจิตกำลังจะสงบ จิตไม่สงบ มันเผลอไป..ก็รู้ ก็เป็นสภาวะให้จิตรู้ จะดีหรือไม่ดี จะสงบหรือไม่สงบ จะนิ่งหรือไม่นิ่ง มันเป็นสภาวะให้เราได้รู้ทุก ๆ สภาวะ เพราะเราตั้งใจจะเรียนรู้การทำงานของจิต แต่ถ้าเราตั้งใจ (ทำกรรมฐาน) เพียงแค่สงบ..อันนี้นะ! อย่างนี้เสร็จ…เสร็จคือไม่เสร็จ !?!? งงไหม? ภาษาไทยมันแปลก ๆ นะ! “เสร็จ” นี่…คือเสร็จมัน เสร็จกิเลส “ไม่เสร็จ” ก็คือ งานของเราไม่เสร็จ งานที่ทำกรรมฐานเพื่อให้พ้นทุกข์เนี่ย.. ไม่เสร็จ แต่ไปเสร็จกิเลส เพราะทำตามอยาก คืออยากสงบ พอไม่สมอยาก..ก็เป็นทุกข์ แล้วก็ยิ่งเติมความอยากเข้าไป ก็ยิ่งไม่สมอยาก ภาวนา ก็เลย..เครียด, เพ่ง, เพลีย, หลับ เครียด, เพ่ง, เพลีย, หลับ ก่อนจะมาเข้าใจวิธีปฏิบัติ อาตมาก็วนอยู่อย่างนี้ เพ่ง, เครียด, หลับ เพ่ง, เครียด, หลับ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม “เรื่องธรรมดา” ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๓ ลิงค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=p5Wr7FE6T_o&t=3282s (ระหว่างนาทีที่ 39:10-41:43)


วันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ระวัง! #วงจรปิด นักปฏิบัติจะเห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจน คือตอนที่มันมีกิเลส จิตที่มีกิเลสเกิดขึ้นมา แล้วรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ความโกรธ เกิดขึ้นมา แล้วรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ความเผลอ เกิดขึ้นมา แล้วรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง แต่ส่วนใหญ่ยุคนี้นะ! จะเห็นจิตที่โกรธ เห็นจิตที่โกรธ แล้วก็ได้ของดี คือได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ นั้นอย่าไปหวังเพียงแค่กลางทาง ไม่งั้นเราจะถูกทิ้งไว้กลางทาง แล้วคนที่ทิ้ง ไม่ใช่ใคร! เราเอง เราทิ้งตัวเองไว้กลางทาง ไม่มีใครปล่อยเราไว้ตรงนั้นเลย เราหวังไว้กลางทางเอง พอถึงกลางทางก็ลง มันไม่นั่งต่อ เพราะเราคิดว่าถึงแล้ว เพราะเราตั้งเป้าหมายไว้เพีงแค่กลางทาง นั้นอย่าตั้งเป้าหมายทิ้งตัวเองไว้กลางทาง ดังนั้นในระหว่างที่ปฏิบัติก็อย่าเพียงแค่ภาวนากันอย่างเดียว เรายังอยู่ในสังคม ยังอยู่กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องมีความศิวิไลซ์อย่างที่นักมานุษยวิทยา (คนนั้น) ได้กล่าวไว้ ก็คือว่า..ต้องมีความเอื้อเฟื้อกัน มีน้ำใจซึ่งกันและกัน มีการให้ทาน มีการรักษาศีล ระวัง! ว่าจะไม่ไปแสดงออกทางกาย ไปเบียดเบียนกัน ไม่แสดงออกทางวาจา ไปเบียดเบียนกัน แล้วก็ให้ระวัง! ไว้อย่างหนึ่งว่า.. เดี๋ยวนี้มันมีกล้องวงจรปิด มันมีมือถือถ่ายคลิปกัน แต่ละคน ๆ จะมีมือถือถ่ายคลิป อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้! เราต้องมี “หิริ” มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป แม้ไม่มีกล้อง(วงจรปิด) ไม่มีอะไร เราก็ละอายใจ ละอายแก่ใจตัวเอง ไม่มีใครรู้..เราก็รู้ แล้วเราก็เป็นคน ๆ หนึ่งที่รู้ ดังนั้นที่บอกว่าไม่มีใครรู้..ไม่มี! อย่างน้อย ๆ ก็มีเรานี่แหละรู้ ให้ทำดี เอื้อเฟื้อกัน มีน้ำใจต่อกัน ถ้าพูดให้เป็นภาษาวิชาการหน่อยก็คือ.. “มีการให้ทาน มีการรักษาศีล ไม่ใช่เอาแต่การภาวนาอย่างเดียว” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “ภาวนาแบบศิวิไลซ์” ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/3marPnN (นาทีที่ 37.05-39.36)

วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #อย่าเห็นแก่สั้นอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น อย่าเห็นแก่ยาว เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร “อย่าเห็นแก่สั้น” คือ อย่าแตกจากมิตรเร็วนัก เราควรจะมีมิตรมาก ๆ “อย่าแตกจากมิตรเร็วนัก”..หมายความว่าอย่างไร? อย่าบันดาลโทสะ อย่าลุแก่อำนาจของกิเลส คือโทสะ แล้วทำให้แตกจากมิตร มิตรที่ว่าเนี่ย..ก็ไม่ใช่มิตรแค่คนสองคน เราควรจะมีเพื่อนเยอะ ๆ ไม่ควรจะสร้างศัตรูนั่นเอง ไม่ควรจะสร้างศัตรู ไม่ควรจะไปพูดร้าย ไม่ควรจะคิดร้าย ไม่ควรจะไปทำร้ายใคร เพราะทำสิ่งเหล่านี้แล้วจะไปสร้างศัตรู พอสร้างศัตรูแล้ว ไปคิดร้าย ไปพูดร้าย ไปทำร้ายเขาแล้วเนี่ย ไปไหนก็ต้องระแวง เพราะฉะนั้น อย่าเห็นแก่สั้น คือ อย่าให้ความเป็นมิตรของเรากับคนอื่นเนี่ยสั้นนัก ควรมีเมตตา (เมตตากับมิตรก็คือ มีรากศัพท์เดียวกัน) ควรจะมีเมตตาต่อกัน “คิด” ก็คิดด้วยเมตตา “พูด” ก็พูดด้วยเมตตา “ทำ” ก็ทำด้วยเมตตา “อย่าเห็นแก่ยาว” คือ อย่าจองเวร เพราะการจองเวรมันยาว มันข้ามภพข้ามชาติ นับชาติไม่ถ้วนเลย ดูอย่างเทวทัตจองเวรกับพระพุทธเจ้า จองเวรกันมายาวนาน นับชาติไม่ถ้วน ดูการจองเวรมันยาว และก็สร้างทุกข์ให้กับผู้จองเวรนั้นเอง เราเองเหมือนกันนะ เราต่างก็เป็นคนไทยด้วยกัน เราต่างก็เป็นผู้ร่วมโลกด้วยกัน ปรารถนาสุข รังเกียจทุกข์ ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองของสังคม เพราะฉะนั้น อะไรที่เราทำแล้ว มันเป็นศัตรูต่อหนทางที่เป็นความเจริญของสังคมนี้ อย่าทำ! อะไรที่ทำให้เกิดความแตกจากมิตร อย่าให้มันแตกเร็วนัก..อย่าเห็นแก่สั้น อะไรที่ทำให้มีการจองเวร อย่าไปทำอย่างนั้น..อย่าเห็นแก่ยาว แล้วเวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร อย่าอาฆาตพยาบาท อย่าจองเวรซึ่งกันและกัน ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย รายการธรรมะสว่างใจ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ลิงค์รายการ https://youtu.be/_zntTUkCBS0


วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #กรรมเพื่อปรับภพภูมิ กรรมที่ทำประจำสม่ำเสมอในทางดี เรียกว่า “เป็นอาจิณกรรม” ในทางดีทางเป็นกุศล เช่น การสวดมนต์ ให้ทำ “อาจิณกรรม” ที่เป็นกุศลเป็นประจำ จนให้ใจคลุกคลีอยู่กับบุญกุศล จนเทวดานั้นอยากให้ไปอยู่ด้วย ถ้าไม่มี “ครุกรรม” คือทำฌานไม่ได้ ให้ทำ “อาจิณกรรม” เช่นสวดมนต์เป็นประจำ นั่งกรรมฐานเป็นประจำ ที่ว่านี้ให้ทำทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน อย่าเลือกอย่างเดียว ให้ทำสองอย่างได้ ตอนเผลอไปใจไม่สงบ ไม่ได้สมถกรรมฐาน แต่เป็นโอกาสที่จะทำวิปัสสนากรรมฐาน ก็คือรู้ทันจิตที่มันไม่สงบนั้น ตอนรู้ทัน..ขณะนั้นไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน เป็นขณะที่รู้ แต่พอรู้ว่าหลง จาก “หลง” ก็กลายเป็น “รู้” ขึ้นมา ขณะที่รู้นั้น..เป็นขณะของกุศล ตอนหลงคิดเรื่องอื่น..เป็นขณะที่เป็นอกุศล ถ้ารู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่ารู้ จิตใจก็จะเรียนรู้ว่า..ความเผลอเมื่อกี้ที่เกิดขึ้นมา..ดับไปแล้ว และไอ้รู้เนี่ย..ก็จะดับตามไปด้วย ตอนที่ “รู้” ว่าเผลอคิด ขณะ “เผลอ” ก็ดับไปแล้ว การรู้อย่างนี้ประกอบไปด้วยสติและสมาธิ ถ้าทำฌานไม่ได้ ไม่มีครุกรรมด้านดี ก็ทำอาจิณกรรมให้จิตมีความคุ้นชิน การทำทาน เป็นการกำจัดความตระหนี่ เพื่อป้องกันการยึดติด เพื่อป้องกันความเสียดายทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ถ้าเราไม่หัดสละเสียบ้าง ตอนสุดท้ายที่เราจะตายจริง ๆ เราจะเสียดายอย่างมาก เพราะไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตัดความตระหนี่ แจกจ่ายเขาบ้าง ถ้าเราไม่หัดเสียสละด้วยการให้ทาน เราจะไม่มีความคุ้นชิน ในการที่จะต้องสูญเสีย ในวาระสุดท้าย คือตอนตาย จะลำบาก เพราะต้องสูญเสียทุกอย่างที่มี การให้ทาน เป็นสิ่งที่ดี สุขใจผู้ให้ ซึ้งใจผู้รับ ประทับใจผู้พบเห็น จำไว้ ถ้าไม่มี “ครุกรรม” ให้ทำ “อาจิณกรรม” ถ้าไม่มี “อาจิณกรรม” บางคนจะไปหวังเอาตอนใกล้ตาย จะมีกรรมอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “อาสัณกรรม” ซึ่งเสี่ยงมาก กรรมฐานอีกอย่างที่ควรฝึก คือ เจริญเมตตา “ศัตรูของเมตตา” คือความโกรธ ความแค้น ความพยาบาท ความจองเวร ความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นมาในใจ ให้รู้ทันด้วย เจริญเมตตาบ่อย ๆ และรู้ทันศัตรูของเมตตาที่เกิดขึ้นมา จะให้ช่วยตัวเองด้วยการทำความคุ้นชินของจิตในการคลุกคลีอยู่กับธรรมะ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงการบรรยายธรรมเรื่อง กรรมเพื่อปรับภพภูมื ณ วัดผาณิตาราม ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ https://bit.ly/2JEddit

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ตั้งใจเรียนรู้ความจริงของจิต เพื่อไม่ให้เป็นการผิดพลาด ก่อนจะทำกรรมฐาน ต้องตั้งใจไว้ว่า “ไม่ได้ทำความสงบ” แต่จะตั้งใจ “จะเรียนรู้ความจริงของจิต” ไม่ว่าจิตจะแสดงตัวอะไรมา?..ฉันจะรู้! เพราะถ้าตั้งใจทำความสงบนะ! พอมันไม่สงบ เราจะหงุดหงิดขึ้นมาเลย คล้าย ๆ ผิดหวัง เราหวังว่ามันจะสงบ แล้วมันไม่สงบ ก็จะผิดหวัง! เนี่ยมันผิดตั้งแต่ตั้งใจ ตั้งแต่ก่อนทำ พอเกิดสภาวะขึ้นมา ก็ไม่ดูสภาวะนั้นแบบด้วยใจเป็นกลาง ดูด้วยใจที่เป็นปฏิปักษ์กับสภาวะ คือไม่พอใจความไม่สงบ เมื่อไม่ชอบใจความไม่สงบ มีความไม่สงบปรากฏอยู่ตรงหน้าต่อ ก็รีบแก้ไขไอ้จิตที่ไม่สงบนั้นกลับมา ซึ่งทำไม่ได้! พอทำไม่ได้ มันก็ไปอีก พอดึงกลับมาก็กลับมาแบบเครียด ๆ วงจรมันเป็นวงจรอุบาทว์ เริ่มตั้งแต่ตั้งใจผิด คิดจะเอาแต่ความสงบ พอเผลอไปก็เห็นสภาวะแบบอย่างไม่เป็นกลาง มีการแก้ไขแทรกแซง รีบดึงกลับมา ตอนกลับมาก็กลับมาแบบเพ่ง ๆ เครียด ๆ เพราะพยายามบังคับ ยิ่งทำยิ่งเครียด พอออกแรงมาก ก็หมดแรง ตอนหมดแรง..ก็หลับ วงจรมันจึง เครียด-หลับ อยู่อย่างนี้เอง! ฉะนั้น อย่าอยากสงบ ! ถ้าจะอยากนะ ให้อยาก “แบบมีฉันทะ” อยากสงบ..เป็นตัณหา อยากแบบมีฉันทะ คือ อยากเรียนรู้ อยากเข้าใจ อันนี้เป็นฉันทะ มีความใฝ่รู้ ฉันทะ อีกแง่หนึ่งเป็นความใฝ่รู้ อยากเรียนรู้ความจริงของจิต เพราะฉะนั้น จิตมันดี..ก็จะรู้ จิตไม่ดี..ก็จะรู้ จะเรียนรู้มัน! การเรียนรู้เนี่ย ถ้าเป็น “การเรียนรู้แบบฉันทะ” มันจะไม่เข้าไปแทรกแซง จะเรียนรู้แบบนักวิจัย จิตดีก็รู้ จิตไม่ดีก็จะรู้ แล้วก็ไอ้จิตดี ก็ไม่ค่อยมีให้ดู มักจะมีจิตที่ไม่ดี..หลากหลายมาก! ธรรมบรรยาย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “จากกฐินสามัคคี สู่มรรคสามัคคี” บ้านจิตสบาย ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/FbPDhGcjlpE


วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #นับญาติกับกิเลส ครูบาอาจารย์ฝากมาว่า… “ที่เราจะพัฒนากันไปได้เนี่ย อย่าละเลยที่จะ..รู้สึกตัว” รู้สึกตัว คือ รู้ทันความจริงว่า.. มีสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง มี’ความโลภ’เกิดขึ้นจริง มี’ความโกรธ’เกิดขึ้นจริง มี’ความเผลอ’เกิดขึ้นจริง ถ้าดูโลภได้..ให้ดูโลภ ดูราคะได้..ให้ดูราคะ ดูโทสะได้..ให้ดูโทสะ แต่ถ้าดูเผลอ(โมหะ)ได้..จะดีมาก เพราะว่าไม่ว่าจะมีโลภ โกรธ มันจะต้องมีเผลอ(โมหะ)อยู่ด้วยเสมอ จะโลภก็ต้องมีเผลอ(โมหะ) จะโกรธก็ต้องมีเผลอ(โมหะ) เพราะฉะนั้นถ้าดูเผลอ(โมหะ)ได้ จะดูสภาวะได้บ่อยครั้ง แล้วบ่อยครั้งมันดีอย่างไร? “บ่อยครั้ง” มันดีตรงที่ว่า.. จิตมันจะจำสภาวะนั้นได้แม่นยำได้เร็ว จำอย่างแม่นยำได้เร็วเนี่ย ตอนที่มีขณะจำได้แม่นยำ..ภาษาบาลีเรียกว่า “ถิรสัญญา” ถ้าเราเห็นสภาวะเผลอ(โมหะ)ได้ มันจะมีความเผลอ(โมหะ)ให้ดูบ่อยครั้งมาก แต่ถ้าเราดูแต่ความโกรธนะ! ถ้าเราเป็นคนขี้โกรธ มันก็จะดูความโกรธได้บ่อยเหมือนกัน..ก็ใช้ได้ แต่ถ้านาน ๆ โกรธที กว่าจะมี’ถิรสัญญา’ก็นาน นึกออกไหม? จะดูราคะก็ได้ ถ้าเราเป็นคนราคะจัด เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นคนก็อยากได้คน เห็นของก็อยากได้ของ ก็ดูราคะก็ได้ แต่ถ้าเรามีราคะเหมือนกัน แต่ว่านาน ๆ จะเกิดขึ้นสักที โอกาสที่จะจำสภาวะราคะได้แม่นยำ ก็น้อยลง แต่ไม่ว่าจะมีราคะ หรือมีโทสะ จะต้องมีโมหะอยู่ด้วยเสมอ อันนี้โดยทฤษฎี และโดยสภาพความเป็นจริง เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เผลอ(โมหะ)จะไม่มีราคะ ถ้าไม่เผลอ(โมหะ)จะไม่มีโทสะ เผลอ(โมหะ)ไปชอบ เผลอ(โมหะ)ไปอยากได้ ก็กลายเป็นราคะ อยากได้แล้วไม่สมอยาก ก็กลายเป็นโทสะ เห็นเส้นทางของกิเลสไหม? “ราคะ” มันจึงมีแม่เป็น “โมหะ” .. นึกออกไหม? มันมีโมหะขึ้นมาก่อน หลงไปก่อน พอหลงไปแล้วอยากได้ จึงกลายเป็น “ราคะ” ถ้าอยากได้แล้วไม่สมหวัง กลายเป็น “โทสะ” เพราะฉะนั้นโทสะ เป็นลูกของราคะอีกที ..นับญาติได้หรือยัง? ถาม : เพราะฉะนั้น “โทสะ” กับ “โมหะ” เป็นอะไรกัน? ตอบ : โมหะเป็นยายของโทสะ (อันนี้เป็นการเปรียบเทียบพอขำ ๆ นะ) เพราะฉะนั้น เวลามีความรู้สึกตัวนะ! เห็นกิเลสเนี่ย.. ถ้าเราสามารถเห็นความเผลอได้จะดีมาก แต่ถ้าดูไม่ได้ ดูไม่ทัน ก็ดูราคะไป ดูโทสะไป ถ้าเราขี้โกรธ ดูโทสะไปบ่อย ๆ ก็จะมีถิรสัญญาในการจำความโกรธได้แม่นยำได้เหมือนกัน แล้วยุคนี้นะ คนที่จะดูความโกรธ แล้วจำความโกรธได้แม่นเนี่ย น่าจะมีเยอะอยู่… ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ลิงค์แสดงธรรม https://www.facebook.com/thanicha.kladham/videos/1321500408214415 (นาทีที่ 19.46-23.12)


วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ความตายสมบูรณ์แบบ จิตนี้เองที่มันเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ พระพุทธเจ้าเห็นจิตเกิด-ดับทุกขณะ ดับเป็นขณะ ๆ เรียกว่า “เห็นความตายอยู่ทุกขณะ” เห็นจิตที่เกิด-ดับ ทุกขณะนี่แหละ จึงจะนำไปสู่การตายที่สมบูรณ์แบบ เข้าใจว่า “จิตนี้ไม่ใช่เรา” มันเป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิด-ดับเปลี่ยนแปลง ก็เพราะเห็นจิตเกิด-ดับเป็นขณะ ๆ จะเห็นการตายของจิตทุก ๆ ขณะได้ ก็ต้องอาศัยมีสติ รู้จิต จะเห็นจิตตายเป็นขณะ ๆ ได้ ก็อาศัยทำสมถะอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเห็นจิตที่เผลอไป มันก็คือตายจากสมถะเมื่อกี้นี้ มาเกิดเป็นจิตที่เผลอ เห็นจิตที่เผลอ..ความเผลอดับ ความเผลอตายไปแล้ว กลายเป็นจิตที่รู้ จิตรู้เกิดขึ้นมา แล้วจิตรู้ก็เกิดเพียงขณะเดียว ก็ดับ แล้วก็เผลอต่อ ถ้าไม่เรียนรู้ต่อ ก็จะไม่เห็นจิตเกิด-ดับอีก ฉะนั้น ถ้าจะให้เรียนรู้ต่อเนื่องได้..ก็คือ กลับมาทำสมถะ ดูลมหายใจเข้า-หายใจออก หายใจเข้า ‘พุท’ หายใจออก ‘โธ’ จิตมาเกิดอยู่ที่องค์กรรมฐานตัวนี้ใหม่ แล้วเดี๋ยวก็เผลออีก ตายจากองค์กรรมฐานไป เกิดเป็นหลงที่ไหนก็แล้วแต่..เมื่อรู้ทันความหลง ความหลงดับ ความหลงตายให้ดู ฉะนั้น ที่เรียกว่า “เห็นความตายอยู่ทุกขณะ” นั้น เป็นไปได้ จากการเจริญสติ เห็นจิตเกิด-ดับ ไม่ว่าจะเกิดเป็นกุศล หรืออกุศล..ก็รู้ทัน เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่า.. จิต “มีราคะ” ก็รู้ จิต “ไม่มีราคะ” ก็รู้ จิต “มีโทสะ” ก็รู้ จิต “ไม่มีโทสะ” ก็รู้ จิต “มีโมหะ” ก็รู้ จิต “ไม่มีโมหะ” ก็รู้ จิต “ฟุ้งซ่าน” ก็รู้ จิต “หดหู่” ก็รู้ สังเกตดูว่า..ไม่ใช่จิตที่ดีเท่าไหร่เลย ใช่มั้ย! จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ไม่ใช่จิตที่ดีเลย แต่รู้แล้วได้ประโยชน์ทุกที คือเห็นว่ามันเกิด-ดับ เพราะทุกครั้งที่รู้ คือเป็นกุศล ‘กุศล’ กับ ‘อกุศล’ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ฉะนั้นเวลามีกุศลเห็นจิต มีสติเห็นจิตขึ้นมา จิตที่มีอกุศลเมื่อกี้นี้..ดับแน่นอน แล้วถ้ารู้ด้วยใจเป็นกลาง..รู้เฉย เหมือนอย่างที่หลวงปู่สังวาลย์สอน มันจะเป็นพยาน ไอ้ ‘อกุศล’ เมื่อกี้นี้..มันจะเป็นพยานว่าดับแล้ว ‘ความเผลอ’ เมื่อกี้นี้..ดับแล้ว เพราะตอนนี้ “รู้” ‘ราคะ’ เมื่อกี้..ดับแล้ว เพราะตอนนี้ “รู้” ‘โทสะ’ เมื่อกี้นี้..ดับแล้ว เพราะตอนนี้ ”รู้” ‘ฟุ้งซ่าน’ เมื่อกี้นี้..ดับแล้ว เพราะตอนนี้ “รู้” ‘หดหู่’เมื่อกี้..ดับแล้ว เพราะตอนนี้ “รู้” เพราะฉะนั้น เปลี่ยน’หลง’เป็น’รู้’ แล้วจะรู้ว่า..จิตเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ แล้วจะพัฒนาจิตใจตนเองฉลาดขึ้น พาให้เข้าใกล้ต่อความตายสมบูรณ์แบบ และไม่กลับมาเกิดเป็นทุกข์อีกต่อไป ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากไฟล์ 631111 ตายอย่างไรให้สมบูรณ์แบบ-งานศพ พอจ.กมล มุฑิโต ณ วัดสังฆทาน วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ลิงค์คลิปแสดงธรรม https://bit.ly/2UMcy0K (ระหว่างนาทีที่ ๒๙.๓๖-๓๒.๔๖)


วันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ☘️☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #อย่าประมาทในการปฏิบัติธรรม มีคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดงถึงบุรุษหลายประเภท เท่าที่นึกได้ก็เช่น ประเภทที่ ๑ : ในชาตินี้ปฏิบัติธรรมแล้ว เจริญสติปัฏฐาน แต่สติยังช้าอยู่ แต่พอตอนตายไม่บรรลุมรรคผล แต่ด้วยอานิสงส์ที่เจริญสติปัฏฐาน ไม่ได้ทำผิดศีลอะไร เพราะการเจริญสติปัฏฐาน เจริญแล้วจะเห็นโทษของกิเลส เห็นกิเลสอยู่เนือง ๆ ถึงแม้จะไม่บรรลุมรรคผล พอตายไปแล้วเป็นเทวดา ระลึกถึงจิตที่เคลื่อน เห็นจิตที่เคลื่อน เห็นกิเลสที่เกิด ก็สามารถบรรลุได้เอง จากอานิสงส์ที่ได้เจริญสติปัฏฐานมา ประเภทที่ ๒ : ฝึกสติปัฏฐานมาในชาติที่เป็นคน ไม่บรรลุมรรคผล ตายไปแล้วไม่สามารถระลึกได้เอง แต่มาได้ยินได้ฟังธรรมะของพระภิกษุ ผู้ทรงฌาน ทรงอภิญญาแสดงธรรมให้ฟัง เทวดานั้นก็มาระลึกได้ว่า “อ้าว! ธรรมนี้เคยศึกษา เคยฝึกมาก่อน เหมือนเคยได้ยินมา” ระลึกได้ว่าธรรมนี้คุ้นเคย ก็มาทบทวน แล้วบรรลุตอนเป็นเทวดาอย่างนี้ก็มี ประเภทที่ ๓ : ฝึกตอนเป็นคน แล้วไม่บรรลุ ตายไประลึกเองไม่ได้, แล้วก็ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังครูบาอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ ผู้ทรงอภิญญาแสดงธรรม, แต่ไปพบเทวดาบนสวรรค์ ที่ท่านเคยฝึกมาแล้วได้ผล หรือเป็นผู้ที่ชำนาญคำสอน เทวดานั้นแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ ก็มีความคุ้นเคยธรรมะที่ท่านแสดงธรรมอยู่ ระลึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนกับที่เคยฝึกมาเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ สติที่เคยช้าก็กลับว่องไวเมื่อตอนเป็นเทพ บรรลุธรรมบนสวรรค์นั่นเอง นี่คือโอกาสของคนที่เรียกว่า “ไม่ประมาทในคราวเป็นมนุษย์” ทำจนสุดฝีมือ แล้วยังไม่บรรลุมรรคผล ก็ยังสามารถที่จะไปบรรลุตอนเป็นเทวดา เวลาที่ไม่ต้องปฏิบัติมีสองเวลา คือ – เวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิด อันนั้นไม่ต้องมากังวลว่าต้องปฏิบัติ – อีกเวลาหนึ่งที่ไม่ต้องกังวลใจว่าต้องภาวนาคือ ตอนหลับสนิท ฝึกภาวนา ฝึกเจริญสติปัฏฐาน ฝึกจนให้เป็นทักษะประจำชีวิตเรา แม้ไม่บรรลุมรรคผล ก็สามารถที่จะเป็นบาทฐานให้เราไปบรรลุธรรม ในคราวที่เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ได้! ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “อย่าประมาทในการปฏิบัติธรรม” ณ บ้านคุณแม่ทวี สุทธิประภา ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/3quuI5U