
วันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย(๑) ปีชวด พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เฝ้าดูเฉยๆ พอ “เห็นว่าเผลอ” มันจะ “หายเผลอ” พอดี จะเห็นอย่างนี้ได้ ต้องตั้งใจไว้ว่า.. ** “เราจะศึกษาเรื่องจิต” อันนี้สำคัญนะ!! ใส่เครื่องหมายคำพูด แล้วก็ขีดเส้นใต้ แล้วก็ทำตัวหนา ๆ ด้วย ** เราจะเห็นว่า..เมื่อกี้จิตเผลอแสดงไตรลักษณ์ได้ ต่อเมื่อเรา“ตั้งใจจะเรียนรู้ความจริงของจิต” ไม่ใช่ตั้งใจจะสงบ ไม่ใช่ตั้งใจจะบังคับจิตให้นิ่ง ..ให้ว่าง ..ให้ดี แต่ตั้งใจจะ “เรียนรู้” ความจริงของจิต จิตจะดีก็จะ “รู้” จิตจะไม่ดีก็จะ “รู้” โดยอาศัยสมถะ คือตัวตั้งต้นนี้ ตัวตั้นต้นนี้.. ลมหายใจเข้า “รู้” ลมหายใจออก “รู้” ถ้ามันเผลอไป คือ มันลืมลมหายใจ ลืมพุทโธ เราก็จะเห็นว่าเมื่อกี้มีความเผลอเกิดขึ้น ความเผลอ..ถ้าถามจริง ๆ ว่าดีหรือไม่ดี ? จริง ๆ ไม่ดี “ความเผลอ” ก็คือ “โมหะ” นั่นเอง แต่เราดูด้วยท่าทีที่อยากรู้ว่าจิตมันทำงานอย่างไร? เพราะฉะนั้น จิตมันทำงาน แม้จะไม่ดี แต่รู้แล้ว รู้แล้ว คือได้แต้มแล้ว สมอยากด้วย สมปรารถนาเราด้วย คือเราปรารถนาจะ “รู้ความจริงของจิต” จิตแสดงท่าทีออกมาว่า เมื่อกี้เผลอไป เราได้รู้..สมปรารถนา แล้วรู้สึกว่า “ภาวนาได้ผล” ไม่ท้อถอยต่อการภาวนาเลย เพราะว่ารู้สึกว่า “อ้าว! เราเห็นแล้ว” ตอนที่รู้สึกว่าภาวนาได้ผลนะ ครั้งแรกเลยนะ คือเห็นว่า..เมื่อกี้ฟุ้งซ่าน! ตอนฟุ้งซ่าน แล้วเห็นว่าฟุ้งซ่านนะ รู้สึกว่า.. “โอ้..สภาวะฟุ้งซ่านมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” เมื่อก่อนฟุ้งซ่านก็คือ..คิดอะไรไปเลยเถิดไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม ? กว่าจะฟุ้งซ่านได้ก็คือ เผลอนาน ๆ มาดีใจอีกครั้งหนึ่ง คือเห็นความเผลอ เห็นจิตที่มันเผลอ เห็นจิตที่มันเป็นลักษณะใจลอย พอใจลอยแล้ว เห็นว่าใจลอย “ฮ้า..เห็นใจลอยแล้ว” ใจลอยเนี่ย ดูยากกว่าฟุ้งซ่าน กว่าจะฟุ้งซ่านได้ คือมันใจลอยไปนาน ๆ แต่พอใจลอยเนี่ย คือใจลอยไปแป๊บเดียวก็รู้แล้ว! เพราะฉะนั้น..การเห็นว่า “ใจลอย” หรือเห็นว่า “เผลอ”เนี่ย..มันจึงสำคัญมาก! เพราะมันจะดูได้ถี่ขึ้น ดูได้บ่อยขึ้น แต่ถ้าใครเห็นฟุ้งซ่านได้ก็นับว่าดีมากแล้วนะ คือได้จุดตั้งต้นแล้ว คือเห็นสภาวะ สภาวะทางจิตเนี่ย..เวลาฟุ้งซ่านไปแล้วเห็นว่าฟุ้งซ่าน..ความฟุ้งซ่านจะดับ ความฟุ้งซ่านดับเนี่ยนะ บางทีเราอาจจะบรรยายไม่ออกเลยนะว่า.. มัน “เกิด-ดับ” แต่จิตเรียนรู้แล้ว ทันทีที่รู้ความฟุ้งซ่านโดยที่อยู่ในมุมมองที่ว่า “จะเรียนรู้” นะ มันจะเห็น “เฉย ๆ” มันไม่เข้าไปดัดแปลง ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปแก้ไข เพราะ “จะทำแค่รู้” นึกออกไหม? เราจะเรียนรู้ว่าจิตทำงานอย่างไร? เพราะฉะนั้น..เราจะไม่ไปแทรกแซง เหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากจะศึกษาวงจรชีวิตของผีเสื้ออย่างนี้นะ! ก็จะเฝ้าดูผีเสื้อ ออกไข่เป็นหนอน จากหนอนเป็นดักแด้ จากดักแด้ออกมาเป็นผีเสื้อ จะ “เฝ้าดูเฉย ๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ วัดสวนดอก เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓

อังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนยี่(๒) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #แมงมุมโง่ ๆ ยึดมั่นในความงาม ยึดมั่นในความสวย มันเป็นสิ่งที่เราผลิตขึ้นมาเอง แล้วก็ไปติดเอง..ติดในความยึดมั่น ติดในความปรุงแต่งของตัวเอง พระองค์เปรียบเหมือน.. “แมงมุมโง่ ๆ ตัวหนึ่งที่ชักใย แล้วตัวเองไปติดใยตัวเอง” ปรุงแต่งเอง แล้วก็ไปติดเอง แล้วก็ดิ้นรนออกจากใยของตัวเองไม่ออก! ถ้าเห็นความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งก็จะขาดลง แต่ไม่เห็น! มัวแต่ปรุงแต่ง แล้วไปเชื่อความปรุงแต่ง ยิ่งปรุง ยิ่งมัด ยิ่งพัน ยิ่งเหนียว ดิ้นไม่ออก แล้วพยายามดื้นอยู่ คนเรานั้นจะเหมือนแมงมุมโง่ ๆ ตัวนั้น ….. เรามาเรียนรู้หลักธรรมะแล้ว..ก็เอามาปฏิบัติ เพียงแต่ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรพันตัวเองเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปดิ้นรน ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น ยิ่งดิ้นยิ่งเหนียว และขณะที่ดิ้น ใยก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะมันมีเจตนาตัวหนึ่ง ไอ้เจตนาที่จะออกนั้น ยิ่งเจตนา..ใยก็ยิ่งพันยิ่งแน่น เราเป็นแค่แมงมุมโง่ ๆ ให้รู้ทันว่า “เมื่อกี้โง่อีกแล้ว เอาใยมาพันตัวเองอีกแล้ว” ผลก็คือ..ทุกข์อยู่! คนดูจิต..เค้าก็ดูจิตกันเฉย ๆ ไม่ใช่ไปแก้ไอ้จิตที่แย่ ๆ เมื่อกี้นี้ ไม่มีหน้าที่ไปแก้ เวลาเห็นจิตมีความโกรธ..ไม่ต้องไปแก้ความโกรธ เพราะจิตที่ไปเห็นความโกรธนั้น มันไม่โกรธแล้ว ถ้าแก้เมื่อไรนะ..ให้นึกถึง “แมงมุมโง่ ๆ” แล้วแมงมุมโง่ ๆ นั้น..ไม่ใช่ใคร.. “กูเอง” !!! ธรรมบรรยาย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “แมงมุมโง่ ๆ” กิจนิมนต์ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓

พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #กลับมาหาวิเวกให้กับตนเอง ถ้าปลีกตัวออกไปได้เรียกว่า “กายวิเวก” ถ้าปลีกตัวออกไปไม่ได้ อยู่ร่วมกลุ่มด้วยกันอย่างนี้ ก็สามารถหาโอกาสทำจิตวิเวกได้ จิตวิเวกก็ไม่มีอะไรมาก กลับมาอยู่กับตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เราส่งใจไปผูกพันกับคนอื่น ตอนนั้นเราไม่วิเวก แต่เมื่อกลับมารู้กายรู้ใจ ตอนนั้นเกิด “จิตวิเวก” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ที่มา:เหนือบุญ หน้า๑๒๘ (บรรทัดที่ ๗-๑๑)

อังคารที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ (๒) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #พุทธะ..รู้ตื่นเบิกบาน มองตัวเองให้ออกว่าเราเป็นพวกจริตแบบไหน เป็นสมถยานิก หรือเป็นวิปัสสนายานิก? ถ้าเป็น “วิปัสนายานิก” ทำสมถะแบบสบาย ๆ ไม่ต้องตั้งเป้าหมายว่าจะต้องได้ฌานขั้นนั้นขั้นนี้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ “ดูจิต” ไป ดูจิต เกิด-ดับ ดูจิตที่มันมีกิเลส เกิด-ดับ ดูจิตที่มันเผลอ เกิด-ดับ ..ได้วิปัสสนาก่อน ทันทีที่เห็นกิเลส เกิด-ดับ กำลังของกิเลส ก็ลดลงไป กำลังของความฟุ้งซ่าน ก็ลดลงไป กำลังของราคะ โทสะ โมหะทั้งหลาย ลดลงไป กำลังเหล่านี้เราเรียกอีกชุดหนึ่ง เรียกว่าเป็น “อนุสัย” อนุสัยเป็นความเคยชินของจิต ส่วนใหญ่ก็เป็นความเคยชินในแง่ไม่ค่อยดี ความเคยชินเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง มีความเคยชินอันใหม่เกิดขึ้น คือเคยชินที่จะ “รู้” รู้อย่างไม่เข้าไปแทรกแซง รู้อย่างไม่เข้าไปบังคับจิตใจตัวเอง มันจะกลายเป็น “รู้แบบเบิกบาน” มันจะตรงกับคำแปลของคำว่า “พุทธะ” พุทธะ เป็น “การรู้ ตื่น เบิกบาน” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/37XwvYQ

พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ติด Social Media อยากจะเลิก การที่จะตัดใจได้นี่นะ เราต้องมีเป้าหมายชัดเจน เป้าหมายอย่างเช่นว่า “เราจะต้องทำความเข้าใจธรรมะให้ได้ ในชาตินี้” ถ้ามีเป้าหมายอย่างนี้ จะรู้เลยว่า ไอ้นี้มันตัวขัดขวาง เราก็จะยอมสละมันได้ พระอาจารย์ กฤช นิมฺมโล ที่มา:อุปกิเลส ๖ หน้า ๑๐๘ (บรรทัดที่ ๑๒-๑๕)

วันพุธที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำเดือนยี่ (๒) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #สัมภเวสี จิตแสวงหาที่เกิด “สัมภเวสี” ในความหมายของเถรวาท คือ ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เรียกว่าสัมภเวสีทั้งหมด กำลังแสวงหาภพ แสวงหาที่เกิดของจิตอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้น เวลาที่เรากำลังคิด ‘เอาจิตไว้ไหนดี ?’ นั้นแหละ..คือ สัมภเวสี นึกออกไหม? ฉะนั้น พวกเราเนี่ยเป็นกันหมดเลย รวมทั้งอาตมาด้วย ! ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ เรียกว่า สัมภเวสี-แสวงหาที่เกิด พระอนาคามี ยังแสวงหาที่เกิดอยู่ ท่านยังพอใจในการเข้าฌาน ยังมีการเคลื่อนไปเข้าฌาน จิตยังเคลื่อนไปเข้าฌาน ท่านยังมีงานของท่านอยู่ว่า..ท่านต้องเห็นสังโยชน์ตัวที่เรียกว่า รูปราคะ อรูปราคะ รูปราคะ คือ ราคะในรูปฌาน อรูปราคะ คือ ราคะในอรูปฌาน คือเวลาท่านจะเข้าฌานเนี่ยยังต้องเคลื่อนอยู่ จิตต้องเคลื่อนไปเข้าฌาน อันนี้เป็นงานของท่าน เล่าให้ฟังเฉย ๆ ให้เห็นว่าแม้แต่พระอนาคามีก็ยังอยู่ในประเภทแสวงหาภพ แต่เราไม่ต้องไปห่วงท่านนะ ห่วงเราก่อน! เราเนี่ยก็แสวงหาภพ ยังตายแล้วต้องไปเกิด ในระหว่างที่ยังไม่ตายทางร่างกาย จิตก็ยังแสวงหาภพอยู่ ถ้าเรามองเห็นตัวนี้ได้..เราจะภาวนาได้ง่ายขึ้น เวลาคิดจะภาวนา แล้วกำลังตั้งท่าว่า ‘จะภาวนาอย่างไรดี ?’ อันนี้ชัดเจนเลย กำลังเป็นสัมภเวสี เพราะฉะนั้น แม้ว่าสภาวะอย่างนี้จะดูไม่ดี และชื่อเรียกก็น่ารังเกียจมากเลย.. “สัมภเวสี” แต่ถ้าเรารู้นะ เราได้ “ตัวรู้” ขึ้นมาเลย จิตรู้ขึ้นมาเลย ถ้ารู้ด้วยใจเป็นกลาง จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาเลย นี้ก็เป็นสภาวะหนึ่ง จะบอกว่าเป็นกิเลสตัวไหน ? ก็อาจจะยากสำหรับเรา ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อว่ากิเลสตัวนี้ชื่ออะไร แต่รู้อยู่ว่า จิตกำลังแสวงหาอยู่ ก็ใช้ได้ เช่น อยากจะทำดี อยากจะภาวนานะ แล้วคิดว่าจะทำยังไงดี นี่แสวงหาอยู่นะ ขณะนั้นเป็น “สัมภเวสี” อนุญาตให้อุทานในใจได้เลย.. ‘สัมภเวสีแล้วกู!’ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ คอร์ส ก.ล.ต. เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/3i0u8Jj (นาทีที่ 30.58-33.42)

วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น๘ ค่ำ เดือน ๓ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เราชนะ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า “ผู้ใดโกรธตอบต่อคนที่โกรธก่อน ผู้นั้นชื่อว่าเป็นคนเลวยิ่งกว่าคนที่โกรธก่อน เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น, ผู้ใดไม่โกรธตอบคนที่โกรธก่อน ผู้นั้นชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก, ผู้ใดรู้ว่าคนอื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติยั้งไว้เสียได้ คือไม่โกรธตอบ ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย” หมายความว่า ถ้ามีใครมาด่าเรา แล้วเราด่าตอบ เราผิดมากกว่าคนด่าคนแรก เพราะอะไร? เพราะเราถูกด่า เรารู้อยู่ว่า คำด่านั้นมันไม่ดี เราไม่ชอบใจคำด่านั้น แล้วทำไมเราจึงเอาสิ่งไม่ดีนั้น ไปให้เขาอีก ? ถ้าเราเห็นว่ามันไม่ดี อย่าเอาสิ่งไม่ดีนั้น ก็ไปให้คนอื่นเขา ถ้าเราด่าตอบ เท่ากับว่า เราเอาของที่เราคิดว่าไม่ดี ไปให้เขาอีกที ไอ้คนด่าคนแรก..ให้อภัยเขาก่อน คือเขาอาจจะไม่รู้ว่า ไอ้นี่ไม่ดี ไม่เห็นว่าไม่ดี.. เขาไม่ได้มาเจริญ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” เหมือนเรา เขาเกิดกิเลส เขาก็ตามใจกิเลสไปเลย แต่เราเนี่ยรู้อยู่แล้ว ว่าสิ่งนี้ไม่ดี ไม่ชอบใจ คือฟังแล้ว ไม่ชอบใจ เห็นว่ามันไม่ดี ฉะนั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่ดี.. อย่าเอาสิ่งที่มันไม่ดีนี้ ไปให้คนอื่นอีก คนที่รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี แล้วยังเอาให้คนอื่นอีก คือ คนเลวกว่า ถ้าทางโลกนะ.. เราจะรู้สึกว่า “ไอ้คนด่าก่อนเลวกว่า ไอ้คนถูกด่ามีเหตุผลสมควรที่จะด่าตอบ” ..อย่างนี้ไม่จบ เพราะฉะนั้น ถ้าถูกด่ามา อย่าด่าตอบ ! • ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้น รู้ทันความโกรธ เห็นความโกรธเกิด-ดับ • ถ้ายังโกรธอยู่ ไม่เห็นมันเกิด-ดับ หักห้ามใจ อันนี้ทำสมถกรรมฐาน • ถ้าไอ้คนนั้นยังด่าเราไม่จบ ประมาณเวลาคนด่าชำนาญ ๆ นะ ด่า ๓ วัน ๗ วัน ไม่จบไม่ซ้ำ อยู่ตรงนั้นเราทนไม่ไหวแล้ว จะด่ามันกลับ หรือจะทำร้ายมันแล้วเนี่ยนะ เดินหนีไปซะ !! เดินหนีเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราแพ้นะ .. ที่แท้คือ.. “เราชนะ”!!! ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ คอร์ส ก.ล.ต. เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/2XyDt1l Link (นาทีที่ 50.33-52.43)

วันนี้วันพระค่ะ พฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น๘ ค่ำ เดือน ๓ เมื่อวานแอดมินหลงโพสต์วันพระล่วงหน้าไป ถือว่าเป็นโพสต์แจ้งเตือนแล้วกันนะคะ งี้เรียกว่าหลงวัน หลงโพสต์..ขาดสติ! ?? ???? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เลือกได้-#เลือกไม่ได้ เวลาอยู่ในสถานการณ์ต่างๆนี่นะ ไม่มีใครเตือน…เราต้องเตือนตัวเอง! แล้วเราก็เลือกสถานการณ์ไม่ได้ แต่เลือกวิธีการตอบโต้ได้ เจอคนนั้นด่ามา..เราเลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้แม้กระทั่งคำด่า! “อย่าด่าอย่างนี้สิ!” ..ไม่ได้..เลือกไม่ได้ ใช่มั้ย? “ด่าเพราะๆหน่อยสิ!” บังคับเขาไม่ได้ใช่มั้ย? เลือกไม่ได้! แต่เราเลือกได้อยู่อย่างหนึ่ง คือ เลือกวิธีการตอบโต้ ตอบโต้อย่างไร..ที่จะไม่ให้ผิดศีล ตอบโต้อย่างไร..ที่จะไม่ซ้ำเติมสถานการณ์นั้นเข้าไปอีก ฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏ..ที่กระทบกับเรา..เป็นเครื่องฝึกทั้งนั้นเลย! พระอาจารย์ กฤช นิมฺมโล ที่มา: พระกฤช ฝากคิด ฝากคำ เล่ม ๔ หน้าที่: ๓๐-๓๑

วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ???? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เดินรู้สึกตัว เดินไป-กลับ ภาษาบาลีเรียกว่า “เดินจงกรม” ส่วนการเดิน”ธรรมยาตรา” ไม่ได้เดินจงกรมแบบไป-กลับ แต่เป็นการจงกรมแบบ “รู้สึกตัว” อยู่กับปัจจุบันในขณะที่เดินจากต้นทางไปถึงปลายทาง โดยหลักการก็คือ “รู้ลงปัจจุบัน” ใช้อาการเดินเป็นที่อยู่ของจิต การรู้ลงปัจจุบันเป็นการฝึกในส่วนของ “จิตตสิกขา” คือ ฝึกจิตให้พร้อมพอที่จะเดินปัญญา การที่ส่งจิตออกไปอดีต และอนาคต ไม่รู้ลงปัจจุบันเนี่ย มันทำให้ไม่เกิดสมาธิ การรู้ลงปัจจุบัน เป็นการทำให้เกิดจิตที่พร้อมพอที่จะไปเจริญปัญญา ส่วนมีปัญญาแล้ว จะรู้อดีตหรือรู้อนาคตได้ ตอนมีปัญญาจะใช้คำว่า “ญาณ” อตีตังสญาณ เป็นปัญญารู้อดีต อนาคตังสญาฯ เป็นปัญญารู้อนาคต รู้ได้! แต่ส่วนนี้เป็นเรื่องปัญญา ที่ได้มาจากการฝึกจิตตสิกขา ให้รู้ลงปัจจุบันก่อน ดังนั้น การรู้ลงปัจจุบัน คือ การเตรียมจิตให้พร้อมที่จะเดินปัญญา เช่น การเดิน.. การเดินของเรา ก็รู้ลงปัจจุบัน เดินอะไรเดิน? ก็คือกายนี้เดิน ก็รู้ที่กาย ตอนรู้กาย รู้ลงปัจจุบันขณะ..ขณะนั้นเลย คำว่า “ปัจจุบัน” นี้ มี ๒ แบบ ถ้ารู้กาย รู้ลงทันทีเดี๋ยวนี้เลย กายเป็นอย่างไร รู้ลงทันทีเดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าจะดูจิต ให้รู้ลงปัจจุบันแบบสันตติ คือต่อเนื่อง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย “ถวายธรรมะแด่พระธรรมยาตรา ณ วัดเขาฉลาก” ลิงค์ไฟส์เสียงธรรม https://bit.ly/3omPnXc

วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ??? #พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ทำเกินรู้ อย่าไปตำหนิตัวเอง ว่ามีกิเลสตัวนั้น, ตัวนี้บ่อยจังเลย! ภาวนาไปเนี่ยนะ ถ้าภาวนาถูกต้องตรง มันจะเริ่มเห็นว่าตัวเองเนี่ย..ร้ายมาก! ใครเห็นบ้างมีมั้ย? เห็นว่าตัวเองร้ายมาก ! นางมารในตำนาน คือฉันนี่เอง !! อย่าคิดว่า ‘เราภาวนาแย่’ ขอเพียงแต่ว่า เวลาเกิดกิเลสขึ้นมาอย่าทำผิดศีล เพราะฉะนั้นมาตรฐานก็คือ อย่าทำผิดศีล อย่าไปพูดร้ายกับใคร อย่าไปทำร้ายใคร แต่ตอนคิดร้าย ใช้เจริญสติ รู้ทันจิตที่มันคิดออกมา หรือจิตที่มันผลิตกิเลสขึ้นมา รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้น ตามที่มันเป็น ฉะนั้นไม่ต้องไป built (จงใจสร้างขึ้นมา) ให้มันเป็นไปตามที่มันเป็น อีกแง่หนึ่งก็คือว่า ไม่ต้องไปแก้มัน รู้ทันมันเฉย ๆ ให้จิตมันเรียนรู้สภาวะที่เกิดขึ้นตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปแทรกแซง ไม่ต้องไปแก้ไข ไม่ต้องไปดัดแปลง ไม่ต้องไปควบคุม แล้วสภาวะที่เกิดขึ้นแม้ไม่ดี มันจะสอนจิตว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว! เมื่อกี้เกิดขึ้นแล้ว! และตอนนี้ดับไปแล้ว! เมื่อกี้มีสิ่งนี้ และตอนนี้ดับไปแล้ว ตอนรู้..ไม่มีมันแล้ว เพราะเป็นจิตที่รู้แล้ว งง มั้ย? ไม่ งง นะ! – จิตขณะหนึ่ง ตอนมีกิเลสมีโทสะ มีคน ๆ หนึ่งเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป – จิตอีกขณะหนึ่ง เป็นจิตที่มีความรู้ คือมีสติ เห็นจิต มันก็ไม่เห็นไอ้คนนั้นแล้วใช่มั้ย? เพราะมาเห็นจิตเมื่อกี้นี้ จิตดวงที่รู้นี้ก็กลายเป็นกุศลด้วย กุศล กับ อกุศล ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว !! จิตที่มีสติรู้จิต มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับการดับไปของจิตเมื่อกี้นี้ ดังนั้นจิตที่รู้เกิดขึ้นมาเนี่ย มันจะเป็นตัวชี้ให้เห็นว่า จิตเมื่อกี้นี้ มีอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นกิเลสนะ มันดับไปแล้ว โดยธรรมชาติ โดยความจริงแท้ ๆ แล้วเนี่ย แค่รู้..กิเลสก็ดับ ไม่มีงานอะไรที่เราจะต้องไปทำอะไรกับกิเลสเลย งานวิปัสสนาภาวนา จึงไม่ใช่งานที่จะคอยไปดับกิเลส งานวิปัสสนาภาวนา จึงมีแค่ว่า คอยรู้กิเลส ทีนี้ถ้าเผลอไปทำเกิน.. ทำเกินสั่ง ทำเกินหน้าที่ ให้รู้ด้วยว่า ‘อ้าว! เมื่อกี้ทำเกินไป’ ‘เราเผลอทำเกินหน้าที่ของนักภาวนา’ “ทำเกินรู้” ทำเกินรู้ มันมาจากอะไร? มันมาจากว่า อยากสงบ อยากดี อยากสุข เมื่อกี้มันมีกิเลสขึ้นมา มันไม่สงบ ไม่ดี ไม่สุข ก็เลยเข้าไปแก้ไขมันหน่อย ประมาณว่า มีมาตรฐานของนักภาวนา หรือว่ามีความปรารถนาดีกับตัวเองเกินไป จริง ๆ ถ้าจะปรารถนาดีจริงๆ ก็ควรแค่รู้เฉยๆ แล้วจิตมันจะฉลาด ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย “๑วันภาวนา พาจิตตั้งมั่น”(ภาคเช้า)-ยุวพุทธฯ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ https://bit.ly/2LFq3xQ (นาทีที่ ๐๑.๑๒.๔๒-๐๑.๑๕.๔๓ )

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ กลับบ้าน เข้าห้องเรียน ถ้าเราไม่ตั้งใจที่จะกลับมาทำกรรมฐาน มันก็อาจจะไปฟุ้งซ่านอย่างอื่นต่อ ฉะนั้น จึงต้องมีอารมณ์สมถะตัวใดตัวหนึ่งไว้ให้จิต เพื่อที่จะเรียนรู้จิตที่มันเผลออีก แต่อารมณ์สมถะตรงนี้ไม่ใช่เป้าหมาย! เป้าหมายจริง ๆ คือ จะเรียนรู้จิตที่มันเผลอ แต่จะเรียนรู้จิตที่เผลอได้ดี ก็ต้องมีบ้านของจิตเป็นตัวเทียบ เช่น มี ‘พุทโธ’ เป็นตัวเทียบ ฉะนั้น การมาเริ่มที่อารมณ์สมถะ ก็คือ ‘กลับบ้าน’ หรือถ้าเทียบเป็นนักศึกษาก็คือ ‘เข้าห้องเรียน’ ! ประมาณนี้นะ กลับบ้าน หรือ เข้าห้องเรียน ดูซิ..เดี๋ยวมันจะมีวิชาอะไรให้เรียนอีก วิชาฟุ้งซ่าน วิชาโทสะ วิชาโมหะ วิชาราคะ ก็เรียนไป! และไม่ต้องตั้งใจ ไม่ต้องไปพยายามสร้างขึ้นมาด้วย ‘เอาล่ะ! วันนี้ฉันจะดูโทสะ’ แล้วก็แกล้งสร้างโทสะมาดู !! ไม่จำเป็นเลย ! คนขี้โกรธ..เดี๋ยวมันก็โกรธแล้ว โดยเฉพาะราคะ ไม่ต้องไปพยายามสร้างเลย มันมีอะไรก็ให้มันเกิดขึ้นมาเอง ให้มันเป็นธรรมชาตินะ คนที่มีธรรมชาติโกรธง่าย ขี้โกรธ ก็จะมีโทสะเกิดบ่อย ก็มีโทสะให้ดูบ่อยๆ เป็นธรรมดา แล้วเวลารู้ จะได้รู้แบบธรรมชาติ คนคิดมาก ก็จะมีความฟุ้งซ่านเกิดบ่อย ๆ ก็จะมีความฟุ้งซ่านให้ดูบ่อย ๆ เป็นธรรมดา เรียนรู้ในสิ่งที่มีอยู่จริง อย่างเป็นธรรมชาตินะ ! ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์ กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก ธรรมบรรยาย เรื่อง เป้าหมาย https://bit.ly/3a3IpBl

วันศุกร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #หนีไม่ใช่แพ้ ทำสมถกรรมฐาน เป็นการแก้ไขกิเลสให้มันหายไปดับไป เป็นขั้นที่สอง(ของการปฏิบัติต่อกิเลส) ให้ทำสมถกรรมฐานก็ต่อเมื่อทำขั้นแรก(วิปัสสนากรรมฐาน)ไม่ทัน แล้วมีโอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อกิเลส ก็ให้เจริญสมถกรรมฐานในกรณีนี้ ข้อสาม(ของการปฏิบัติต่อกิเลส) คือถ้าทำสมถกรรมฐานก็ไม่ไหวแล้ว ดูแล้วดูอีกไม่ทันแล้ว แล้วมันอยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้ อยู่ในสถานที่นั้น เหตุการณ์นั้น จะทนไม่ไหวแล้ว อยู่ต่อไปต้องทำผิดอะไรสักอย่าง ต้องผิดศีล หรือทำร้ายเขาแน่ๆ ให้หนี !! หนี คือ หนีออกจากที่นั่น หลบออกจากสถานการณ์นั้น เลี่ยงออกจากสถานการณ์นั้น ไม่ไปเผชิญหน้า แล้วเลี่ยงต่อการทำผิด “หนี” ในที่นี้ไม่ใช่แพ้ ถ้าทำร้ายกันคือ “แพ้” ถ้าด่ากันคือ “แพ้” หนี..ไม่ใช่แพ้ หนี..คือเราชนะกิเลสตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของมัน ไม่ทำตามกิเลส หนี!..ในทีนี้ไม่ใช่แพ้ ถ้าทำร้ายกันคือ..แพ้! เวลามีศัตรูขึ้นมา ที่ว่าแพ้ อาตมาไม่ได้ว่าเอง พระพุทธเจ้าตัดสินเอาไว้ แต่ถ้าเขาด่ามา แล้วเราด่าตอบ อย่างนี้คือ แพ้! เพราะตอนที่เราถูกด่า เรารู้ว่าคำด่านั้นมันไม่ดี เราไม่ชอบใจคำด่านั้น แล้วทำไม?..เราจึงเอาสิ่งไม่ดีนั้นไปให้เขาอีก ถ้าเราเห็นมันไม่ดี ก็อย่าเอาสิ่งไม่ดีไปให้คนอื่นเขาอีก ธรรมบรรยาย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “ก็แค่ปลาตด” ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์เสียงธรรม https://bit.ly/3i0u8Jj

พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #พฤติแห่งจิต การให้จิตมีที่อยู่ มีประโยชน์นะ.. ทำให้มีสติ ‘รู้สภาวะ’ ได้ง่ายขึ้น พอรู้ไปมากๆเข้า เราจะมีทักษะในการรู้ แยกได้ว่า บางทีรู้สภาวะหยาบๆ เรียกว่า รู้กิเลส เช่น ราคะ โทสะ โมหะ บางทีก็เป็นเพียงอาการทางใจ เช่น จิตไหล จิตเคลื่อน จิตรวบ จิตเพ่ง หลวงปู่ดูลย์เรียกอาการเหล่านี้ว่า “พฤติแห่งจิต” สภาวะที่ว่าทั้งหมดนี้ มันไม่ใช่เป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์ แต่เป็นอาการทางใจ ไม่ใช่เรา พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ที่มา:พระกฤช ฝากคิด ฝากคำ เล่ม ๕ หน้า:๒๙
