ฝากคิด

วันเสาร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๔๓ #กุศลมาตักเตือน ถ้าเราทำผิดอะไรกับใคร เราก็อยากให้เขาให้อภัยกับเรา เช่นเดียวกัน ถ้าใครทำผิดกับเรา เราควรจะให้อภัยเขา ถ้าไม่ให้อภัยมันจะเป็นการผูกโกรธ ผูกโกรธเนี่ยยังเบา ถ้าถัดจากผูกโกรธไปก็เป็นอาฆาต, พยาบาท แล้วก็ จองเวร ถ้าจองเวรไม่เลิกเนี่ย ภาษาไทยเรียกว่า “เจ้ากรรมนายเวร” เราคงไม่อยากเป็นเจ้ากรรมนายเวรใครนะ ดูน่าอนาถใจ ถ้าเราต้องไปเป็นเจ้ากรรมนายเวร….. ถ้านึกถึงตรงนี้ได้ เราต้องมีคำว่า ขอบคุณ, ขอโทษ และ ให้อภัย ด้วย แล้วทุกครั้งที่ทำบุญ ทำกุศลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ขอให้บุญกุศลเหล่านั้น ได้มาตักเตือน ในคราวที่หัวเลี้ยวหัวต่อ บางคนมีเหตุการณ์พลิกผัน ที่จะตัดสินใจว่าจะไปซ้าย หรือไปขวา.. ถ้าไม่มีบุญกุศลมาตักเตือน มันจะไปตามยถากรรม ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย “630115 ดูให้เห็นไม่ใช่ดูให้หาย” ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/38MJU51 (นาทีที่ 1.18.04-1.2039) เรียบเรียงโดย อารยา สุวะมาตย์

วันอาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ยิ้มแบบพระพุทธรูป กระบวนธรรมที่จะให้เกิดสมาธิที่ถูกต้อง เริ่มต้นด้วยปราโมทย์ มี ปราโมทย์ มี ปีติ มี ปัสสัทธิ มี สุข แล้วก็เกิด สมาธิ อันนี้คือ กระบวนธรรมที่จะได้สมาธิที่ถูกต้อง ดังนั้น .. ถ้าเราทำกรรมฐาน..ทำสมาธิแล้วเครียด..ผิด! ทำ ๆ แล้วเกร็งไปหมดเลย..ผิด! ทำ ๆ แล้วคิ้วย่นเลยนะ..ผิด! นึกออกไหม? ทำ ๆ แล้วก็หงุดหงิด..ผิด! ทำ ๆ แล้วเคลิ้ม..ผิด! เพราะต้องมีสติด้วย สมาธิที่ดีต้องมีสติด้วย เคลิ้ม..ไม่ใช่ เครียด..ไม่ใช่ ค.ควาย 2 ตัวเนี่ย ไม่ใช่! ซึม..ไม่ใช่ ฟุ้งซ่าน..ก็ไม่ใช่ ซ.โซ่ 2 ตัวนี้ ก็ไม่ใช่! ที่ไม่ใช่.. มี ซ. กับ ค. นะ ซึม กับ (ฟุ้ง)ซ่าน เนี่ย ไม่ใช่ เคลิ้ม กับ เครียด เนี่ย ไม่ใช่ …ต้องมีสติ กระบวนธรรมของการที่จะได้สมาธิที่ถูกต้อง ต้องมีสติ และเป็นสติแบบมีปราโมทย์ ปราโมทย์ คือ ความชื่นบานเบิกบานใจ แต่ไม่ถึงกับกระดี๊กระด๊า ต้องให้พอดีๆนะ ไอ้กระดี๊กระด๊าน่ะ..เกินไป หัวเราะเฮฮาแบบวงเม้าท์ ไม่ใช่นะ อันนี้เกินปราโมทย์นะ ปราโมทย์ คือ มีความร่าเริง แจ่มใส เบิกบาน ตัวอย่างที่ดีคือ “พระพุทธรูป” พระพุทธรูปจะยิ้มแบบมีปราโมทย์ มีปีติ มีความอิ่มใจ บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ลิงค์คลิปวีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=jkv78SVYofw (นาทีที่ 55.53–57.50)


วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๔๑ #สวดมนต์ดูจิต เวลาสวดมนต์..ถ้าออกเสียงก็ควรจะออกเสียงเพราะ ๆ ด้วย (ให้ออกเสียง)เพราะเท่าที่เรา(จะสวด)เพราะได้ แต่อย่าให้ถึงกับขั้นดัดจริต เอาเท่าที่เราสวดด้วยเสียงปกติ มันจะเพราะเอง! บทสวดมนต์เนี่ย..มีความอัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ ออกเสียงให้ตรงเท่านั้นเอง..(เสียง)เพราะเลย การสวดมนต์เนี่ย ได้ทั้งสมถะ-วิปัสสนา..ทำได้นะ! ถ้าใจอยู่กับบทสวด ก็คือการทำสมถะ ถ้าใจเผลอไป ตอนนั้นไม่ได้ทำสมถะ แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้ทำวิปัสสนา แต่เป็นโอกาสที่จะทำวิปัสสนาตรงที่ว่า… เผลอ! เห็นเผลอ.. เผลอ! เห็นเผลอ..เผลอดับ! เผลอดับ..เผลอก็แสดงไตรลักษณ์ให้ดู ก็ขึ้นวิปัสสนา พอเผลอดับไปแล้ว..งานอื่นไม่มี ก็ต้องมาสวดมนต์ มันมีงานคือการสวดมนต์ที่ต้องทำอยู่ จริง ๆ การสวดมนต์ เป็นตัวอธิบายได้ง่าย ๆ เลยว่า..เราจะภาวนายังไง? ก็คือ..มีหลักอะไรสักอย่างหนึ่ง(ให้จิตอยู่) แล้วก็พอจิตเผลอไป ให้รู้ทัน แล้วก็เริ่ม(ไปสวดต่อ) ก็คือไม่ต้องดึงจิตกลับมา สวดมนต์ถึงตรงไหน..ก็มาสวดตรงนั้นต่อ พร้อมนะ! สวดไปแล้วก็ดูจิตไปนะ! (ฝึกซ้อมสวดอิติโสฯ ๙ จบ ตามพระอาจารย์ ในนาที ๑.๔๒.๒๐-๑.๔๘.๕๔) ใครไม่เผลอเลย..มีมั้ย? มันมีเผลออยู่ ๒ แบบนะ คือ เผลอเพลิน กับเผลอเพ่ง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย เรื่อง “ภาวนาโดยการสวดมนต์” คอรส์กองบุญสร้างอาริยะ ๙ มกราคม ๒๕๖๓ พระอาจารย์สอนเทคนิคสวดอิติปิโสฯ ดูจิต ที่ลิงค์ https://youtu.be/zzOFJi7rjPE (นาทีที่ 1.29.10-1.49.05)

วันจันทร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๔๖ #อายุเป็นของน้อย ชีวิตเรามีสองแบบนะ ทั้งรูปธรรม นามธรรม รูปธรรม..รู้สึกอายุยืน แต่อายุยืนจริง ๆ เนี่ย ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า.. เซลล์แต่ละอย่างก็เกิด-ดับ ตายไปนะ! ไม่ใช่ว่าตอนเล็ก ตอนเด็ก ๆ เกิดมาแล้วจะมีเซลล์เดิมยั่งยืนจนถึงบัดนี้..ไม่มีเลย! เซลล์นั้นก็ผลันเปลี่ยนไป ตายไป เซลล์ที่อายุยืนสุด คือกระดูก กระดูกอายุอย่างมากสุดก็คือ ๙ ปี รูปธรรมของเราตั้งแต่เกิดมา.. จนถึงบัดนี้ เปลี่ยนไปแล้วไม่รู้กี่รอบ รูปปัจจุบันไม่ใช่รูปเดิมแล้ว รูปอดีตมันตายหายไป แต่ด้วยความต่อเนื่อง มันเลยรู้สึกว่า..เหมือนร่างกายนี้ ไม่ตาย จนกว่าธาตุทั้งสี่มันคุมกันไม่อยู่ คราวนี้มันจะตายจริง ๆ ให้เห็น แต่จริง ๆ แล้ว คนมีปัญญาจะเห็นว่า มันตายอยู่ทุก ๆ ขณะจิตอยู่แล้ว จิตเองก็เกิด-ดับ จิตอดีต คือจิตที่ตายแล้ว จิตอนาคต คือจิตที่ยังไม่เกิด จิตที่เป็นอยู่จริง ๆ คือจิตปัจจุบัน แล้วมันก็สั้นนิดเดียว สั้นอยู่หนึ่งขณะจิตเท่านั้นเอง ชีวิตในนามธรรมจึงสั้น..สั้นมาก! ในสายตาของพระอริยะ หรือพระพุทธเจ้านั้น ชีวิตสั้นเท่ากับหนึ่งขณะจิต พระพุทธเจ้าตรัสจึงว่า.. พระองค์เห็นความตายอยู่ทุกขณะจิต นี่คือตรงนี้ คือเห็นจิตมันดับ ๆ ๆ อยู่ทุกขณะ ทำไมพระองค์ถึงบอกทุกขณะ เพราะจิตแต่ละขณะคือจิตหนึ่งดวง ไม่ได้จิตมีดวงเดียวเที่ยวไปเที่ยวมา ไม่เกิด-ไม่ดับ ไม่ใช่ว่าจิตมีดวงเดียว เที่ยวไปมีสุข มีทุกข์ มีบุญ มีบาป มีดีใจ เสียใจ ..ไม่ใช่อย่างงั้น! จิตดีใจ ก็ขณะหนึ่ง จิตเสียใจ ก็ขณะหนึ่ง จิตรู้ตัว ก็ขณะหนึ่ง คนละขณะกัน ธรรมบรรยาย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง ตัวโง่ที่โผล่ขึ้นมา ณ ฐณิชาฌ์รีสอร์ท ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (นาทีที่ 5.21-8.01)


จันทร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๕๘ #กิเลสก็เหมือนไวรัส เหตุการณ์นี้เอาไว้เตือนตัวเองให้มันมีภูมิคุ้มกันขึ้นมานะ สร้างภูมิคุ้มกันให้รู้จักมัน แล้วย้อนมาเตือนตัวเองในแง่ที่ว่า.. มันก็เหมือนกับเราเวลาภาวนา ถ้าเราไม่รู้จักกิเลส กิเลสจะครอบงำเรา เหมือนเราไม่มีภูมิคุ้มกัน กิเลสก็เหมือนไวรัส ตอนเรามีกิเลสไม่รู้จักกิเลสคืออะไร? ก็คือ ตอนมีกิเลสเรารู้จักแต่คนนั้นเลว คนนั้นชั่ว ก็มีความโกรธอยู่นะ แต่ไม่เห็นความโกรธ เห็นแต่คนอื่นเลว คนอื่นชั่ว เวลามีราคะเกิดขึ้นก็ไม่รู้จักราคะ รู้แต่คนนั้นสวย คนนี้สวยจัง คนนี้หล่อจัง นึกออกมั้ย? ฉะนั้น ตอนมีกิเลส ถ้าจิตใจไม่รู้จักกิเลส ก็เหมือนเราโดนไวรัสที่เป็นสายพันธุ์ใหม่ ร่างกายไม่รู้จักก็ไม่มีภูมิคุ้มกัน หน้าที่ของเราคือทำความรู้จักกิเลสให้ได้ คือ รู้สึกตัว เมื่อกี้มีราคะขึ้นมา ก็รู้สึกตัวว่ามีราคะ เมื่อกี้มีโทสะขึ้นมา ก็รู้สึกตัวว่ามีโทสะ การรู้สึกตัวนี้แหละ ทำให้ค่อย ๆ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาในใจ คือจิตรู้จักมันได้บ่อยเท่าไหร่ เราจะมีสติอัตโนมัติรวดเร็วขึ้นเท่านั้น ฉะนั้น ต้องรีบรู้จักมัน แล้วมันเกิดบ่อยยิ่งดี ต้องรีบรู้จักบ่อย ๆ ไม่ใช่ให้มันเกิดนานนะ มันเกิดบ่อย แสดงว่ารู้จักมันบ่อย เรารู้จักมัน รู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่มาคร่ำครวญว่า “ไม่น่ามีมันเลย ไม่น่ามีสิ่งนี้เลย” “ไวรัสไม่น่ามาเลย” “ไม่น่ามีมือปืนนี้เลย” “ไม่น่ามีกิเลสเลย ไม่น่ามีโลภโกรธหลงเลย” มันมีแล้ว! นึกออกมั้ย? มันมีแล้ว! ทำความรู้จักมันให้ได้! กิเลสมันมีอยู่แล้ว ! เราเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส กิเลสมันมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่า ขออธิษฐานจงอย่ามีกิเลส แล้วมันจะไม่มีไปตามที่เราอธิษฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น มันมีอยู่.. ขณะนี้อาจจะยังไม่ปรากฏ แต่อีกประเดี๋ยวอาจจะมีก็ได้ กิเลสมันเกิดเมื่อไหร่ก็รู้ตอนนั้น รู้ลงปัจจุบัน ทำความรู้จักมันบ่อย ๆ นะ แล้วภูมิคุ้มกันก็จะเกิดขึ้นในใจของเราเอง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากไฟล์เสียง 630216 พุทธศาสนาสำหรับคนรุ่นใหม่-มทร.บพิตรพิมุข ณ มทร.บพิตรพิมุข วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ https://bit.ly/2wqgPOT (นาทีที่ ๐๑.๕๔.๑๘- ๐๑.๕๖.๓๔)



อังคารที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๐ #สร้างภูมิต้านทาน รู้จักกิเลสแล้ว..ยังต้องรู้จัก “พฤติกรรมภายใจจิต” อีก เช่น จิตไม่อยากเผลอ มันเพ่งเอาไว้ ก็ให้รู้จักด้วย! คำสำคัญที่เราจะทำให้ภาวนาต่อได้ก็คือ “รู้จัก” เริ่มจาก.. “รู้จักกิเลสไหม?” “รู้จักพฤติกรรมของจิตไหม?” ถ้าไม่รู้จัก(กิเลส) มันก็เหมือนไวรัส ที่มันยังคงกระจายไปเรื่อย ๆ แล้วก็รักษาไม่หายสักที ต้องทำความรู้จักกับมัน ส่วนไวรัสก็ให้มันเป็นไป เราก็อยู่กับมัน มันเกิดมาแล้ว..เราก็ต้องอยู่กับมัน เหมือนไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งไข้หวัดธรรมดาเนี่ยแหละ..มันก็มีมาก่อนแล้ว! ที่เราไม่กลัว ก็เพราะมีวัคซีน มียารักษาแล้ว ส่วนอันนี้(โควิด-19) มันเพิ่งมา มันเลยน่ากลัว! ต่อไปมันก็กลายเป็นเชื้อตัวหนึ่ง ในบรรดาเชื้อทั้งหลาย ตอนนี้ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ระหว่างที่มันยังเป็นปัญหากับโลก ก็อยู่กับมันด้วยความมีวินัย อันนี้เป็นเรื่องของศีลสิกขา มีความรับผิดชอบต่อสังคม พฤติกรรมอะไรจะสร้างปัญหาให้กับสังคมส่วนรวม ก็ลดพฤติกรรมอันนั้น หรืองดกิจกรรมอันนั้น ถ้าไปประเทศที่เสี่ยง หรือพื้นที่เสี่ยง หรืออยู่ใกล้อยู่ร่วมกับคนที่เสี่ยง ก็ต้องรู้จักกักกันตนเอง ไม่ไปสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ประเทศที่เขามีปัญหาก็เนื่องจากมีคนไม่กักกันตนเอง แล้วแถมยังชอบทำกิจกรรมด้วยนะ ยิ่งลำบากเลยเป็นตัวแพร่เชื้อชั้นพิเศษ ถ้าได้รับคำเตือนแล้ว ยังทำด้วยความดื้อรั้น ก็เท่ากับสร้างอกุศลกรรม ยิ่งถ้ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก วิบากก็มากเป็นลำดับไป กิเลสก็เช่นกัน ถ้าคนที่ตั้งใจแพร่กิเลสนี่..บาปมาก! คนที่มีเจตนาแพร่..จึงบาปมาก! (แต่สำหรับผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ตั้งใจแพร่เชื้อ อันนี้น่าเห็นใจ อย่ารังเกียจกัน ควรให้กำลังใจกัน) พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากไฟล์เสียงเรื่อง “ภูมิต้านทาน” ณ วัดถ้ำหมีนอน จ.ระยอง ๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ลิงค์เสียงไฟล์ https://bit.ly/2WTvL2O (นาทีที่ 29.43-32.10)

วันอังคารที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๑ #จิตดีเป็นยังไง? โดยมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเนี่ย จิตมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จิตดี จะเป็นจิตที่มีคุณภาพ แต่คุณภาพที่เราต้องการจริง ๆ คือ ให้กลายเป็นจิตที่ดี ที่พร้อมจะเจริญปัญญา จิตที่พร้อมจะเจริญปัญญา ก็คือ จิตที่มีคุณสมบัติสำคัญ ๆ สองตัว คือ มีสติ และ มีสมาธิ สติที่ต้องการ คือ สติปัฏฐาน สติทั่ว ๆ ไป ก็ดีเหมือนกัน แต่ก็ต้องการพัฒนาไปถึงสติปัฎฐานด้วย สติปัฎฐาน มีฐานอยู่ ๔ อย่าง คือ กาย, เวทนา, จิต, ธรรม สติทั่ว ๆ ไป ตัวอย่างเช่น ขับรถมีสติ ไม่ตกถนน ไม่แหกโค้ง หรือมีสติก่อนสตาร์ท อันนี้คือสติทั่ว ๆ ไป ส่วนสติที่เรียกว่าเป็น สติปัฏฐาน ก็คือ รู้กาย, รู้เวทนา, รู้จิต หรือรู้ธรรม สี่อย่างนี้เท่านั้น ถ้าเห็นดวงไฟ รู้ว่าดวงไฟ อย่างนี้ยังไม่ใช่สติปัฏฐาน เห็นพัดลม รู้ว่าพัดลม ยังไม่ใช่สติปัฏฐาน นึกออกไหม? เห็นกาแฟ รู้ว่ากาแฟ อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่สติปัฏฐาน เห็นกาแฟ แล้วอยากกิน รู้ว่าอยาก อันนี้คือสติปัฏฐาน คือรู้จิต เห็นมือเคลื่อนมาจะถึงหน้าแล้ว..อ่ะ! อื่ม! เห็นมือเคลื่อนมา เรียกว่ามีสติปัฏฐาน คือเห็นกาย พอมือจะถึงหน้า ตกใจ! เห็นความตกใจ นี่มีสติดูจิต คือมันต้องอยู่ในขอบเขตนี้ กาย, เวทนา, จิต, ธรรม พูดสั้น ๆ ก็คือ รู้กาย รู้ใจ นี่คือ “สติ” ที่ต้องการ ส่วนสมาธิก็คือ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นก็คือ จิตไม่ไหลไป ไม่เคลื่อนไป วิธีทำจิตตั้งมั่นง่าย ๆ สำหรับคนสมาธิยังไม่ดี ก็คือ รู้ทันว่า..จิตเคลื่อนไป รู้ทันว่า..จิตไหลไป รู้ทันว่า..จิตมันอินอยู่กับอารมณ์นี้ อย่างโกรธเนี่ย จิตก็เข้าไปอินได้นะ! อินอยู่ในความโกรธ มีราคะ ก็อินอยู่ในราคะ ใจลอย ก็อินอยู่กับเรื่องราว ในความคิด ขณะที่จิตอินนั้นน่ะ คือจิตไม่ตั้งมั่น วิธีฝึกจิตตั้งมั่น ก็คือ หากรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วพอจิตมันเผลอให้รู้ทัน ตอนเผลอเนี่ย มันจะมีอาการเคลื่อนของจิต ถ้าเห็นจิตเคลื่อนได้ ก็จะได้จิตที่ไม่เคลื่อน ถ้าไม่เห็นจิตเคลื่อน มันเผลอไปแล้ว รู้ทันว่าเผลอ และรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง จิตก็จะตั้งมั่นได้ทันที รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ก็คือ รู้แล้วไม่แทรกแซง รู้เฉยๆ รู้เฉย ๆ จะเห็นว่าไอ้ตัวเผลอเนี่ย ถูกรู้ แล้วมีจิตผู้รู้อยู่ต่างหาก เห็นตัวเผลอเป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง มีผู้รู้อยู่ต่างหาก ไอ้เนี่ยคือ อาการของจิตตั่งมั่น จิตตั้งมั่น คือไม่อินไปกับอารมณ์ เห็นอารมณ์นั้น แล้วจิตไม่เข้าไปยุ่งกับอารมณ์ รู้อยู่ว่ามีมัน แต่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เรียกว่า “จิตตั้งมั่น” ทำ ๒ ตัวนี้ คือ ๑. มีสติ รู้ทันกาย รู้ทันใจ ๒. รู้ทันอารมณ์ว่าสิ่ง ๆ หนึ่ง ถูกรู้ แล้วมีจิตผู้รู้อยู่ต่างหาก ทำจิตตั้งมั่นขึ้นมา ให้จิตมีคุณสมบัติ ๒ อย่างนี้มาได้ ก็เรียกว่า “จิตดี” พร้อมจะเจริญปัญญา แล้วก็จะบรรลุมรรคผลพ้นทุกข์ไปได้ ด้วยจิตที่ดีนี่แหละ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “จิตดี” ลิงค์ไฟล์เสียงธรรม https://bit.ly/2RgFufZ (นาทีที่ 40.29-44.18)


พุธที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๑ # ตัวห่างไกล ใจใกล้พระ เห็นธรรม ได้ลึกซึ้งมากแค่ไหน เห็นความจริง ได้มากแค่ไหน ยิ่งใกล้พระพุทธเจ้ามากเท่านั้น ยิ่งใกล้ครูบาอาจารบ์มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้เว้นระยะทางสังคมก็จริง (Social Distancing ) แต่ไม่ได้เว้นระยะระหว่างธรรมะเลย เพราะธรรมะอยู่ที่กาย ที่ใจของเรานี่เอง เราแยกออกมาจากสังคม ตัวห่างกันนะ แต่เราก็อยู่กับเราเนี่ยแหละ ร่างกายก็อยู่เนี่ยแหละ จิตใจก็อยู่ตรงนี้แหละ จิตเผลอไป แต่ไอ้กายก็เป็นถ้ำของจิตใช่ไหมล่ะ? ออกไป..ก็รู้ทัน ออกไป..ก็รู้ทัน ฉะนั้นถ้าใช้เวลานี้ ทำงานที่บ้าน ก็ทำงานไป เว้นระยะห่าง ก็เว้นระยะไป ดำรงชีพในเหตุการณ์ที่มีโรคระบาด ก็ดำรงชีพให้เหมาะกับกาละเทศะนี้ไป แต่ก็ไม่ละเลยกับการเรียนรู้ ความจริงของกายและใจ ถ้าเราเรียนรู้อย่างนี้ไป ก็ชื่อว่า ไม่ห่างไกลพระพุทธองค์ ไม่ห่างไกลจากพระธรรม และไม่ห่างไกลจากพระสงฆ์ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ขอให้เวลาที่อยู่กับบ้าน ที่เว้นระยะทางสังคมนี้ เว้นเพียงระยะทางร่างกาย แต่จิตใจยังคลุกคลีอยู่กับธรรมะอยู่เรื่อย ๆ ก็ขอให้พวกเราคลุกคลีอยู่กับธรรมะในลักษณะอย่างนี้ แล้วสักวันนึงไม่นานเลย เราจะเข้าใจธรรมะ เพราะจิตใจเราคลุกคลีอยู่กับสิ่งนี้แล้ว จิตใจเราคลุกคลีอยู่กับสิ่งนี้แล้ว มันย่อมเข้าใจได้ ใช้เวลาไม่นานเลย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากคัมภีร์ธรรมะในสวนธรรม ตอน “ตัวห่างไกลใจใกล้พระ” ณ สวนธรรมประสานสุข ศรีราชา ๘ เมษายน ๒๕๖๓ ลิงค์คลิป https://youtu.be/NHHFHLj5Wno”>https://youtu.be/NHHFHLj5Wno (ช่วงเวลา 13.30-15.02) อ้างอิง : สังฆาฏิสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ลิงค์พระสูตร http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=6335&Z=6360″>http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=6335&Z=6360

วันอังคารที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ วันพระ​ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๒ #เผชิญปัญหาด้วยปัญญา ปัญหาไม่ได้หมดไปด้วยการหนี ต้องเผชิญ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Face to Face) คือเผชิญ ไม่ใช่หนี เผชิญกับปัญหา ก็คือยอมรับก่อน..ว่ามันมีปัญหาจริง! พอมีปัญหาจริงแล้วเนี่ย เราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร? อย่างแรกคือ ต้องรักษาใจให้เป็นกลาง ไม่ไปต่อต้าน แล้วก็ไม่จมไปกับมัน เรียกว่ารับรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ถ้าใจไม่เป็นกลางแล้วเนี่ย จะไม่พร้อมพอที่จะแก้ปัญหา ต้องแก้ด้วยนะ! ปัญหามีต้องแก้ แต่ต้องแก้ด้วยใจที่เป็นกลาง พอใจเป็นกลางแล้วเนี่ย มันจะมีปัญญาขึ้นมา มันไม่ได้ไปเอนเอียงว่า จะเข้าข้างฝ่ายไหน พอมีใจเป็นกลางขึ้นมาเนี่ย มันพร้อมที่จะแก้ปัญหาด้วยใจที่เป็นกลาง แล้วมีปัญญาที่จะแก้ โดยที่ไม่เอนเอียงด้วย ๔ อย่าง ๑. เอนเอียง..ด้วยความพอใจ ๒. เอนเอียง..ด้วยความไม่พอใจ ๓. เอนเอียง..ด้วยความโง่ ๔. เอนเอียง..ด้วยความกลัว ถ้าใจยังถูก​ความ​เอนเอียง ๔ อย่างนี้​ คือ ความพอใจ ความไม่พอใจ ความไม่รู้(ความโง่) แล้วก็ความกลัว ถ้าถูก ๔ อย่างนี้ครอบงำอยู่เนี่ย เราจะแก้ปัญหาอย่างผิด ๆ ชอบคนนี้..เราก็ตัดสินเข้าข้างคนนี้ ก็แก้ปัญหาผิดแล้ว ไปเสริมปัญหาด้วยซ้ำไป ไม่ชอบคนนี้..ก็โยนความผิดให้ไปเลย เป็นแพะรับบาปไป แทนที่จะแก้ปัญหา ก็เสริมปัญหาเข้าไปอีก ไม่รู้ข้อมูล..แก้ปัญหา​มั่ว​ ๆ ไป ก็ยิ่งเสริมปัญหาไปอีก ใช่มั้ย? กลัว​ รนราน วิตกกังวล เกินไป ไม่ทันได้​ทำใจให้ปกติก่อน แก้ปัญหาด้วยความรนราน ความกลัว ก็ไปเสริมปัญหาใหม่ ฉะนั้นต้องให้รู้ทัน! รู้ทันสิ่งที่ปรากฏในใจเรานี้ก่อน ทำใจให้เป็นกลางก่อน เวลาเรามาเรียน แล้วนิมนต์พระมาพูดนะ! ก็ต้องเป็นการแก้ปัญหาแนวพุทธ ก็คงมิใช่แก้ปัญหาแนวอื่น พุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้หนีปัญหา พุทธศาสนา สอนให้เผชิญปัญหา แล้วอยู่กับปัญหาได้ โดยใจไม่ทุกข์ นี่คือ ประเด็นหลักของพระพุทธศาสนา ยอมรับว่ามีปัญหา แต่ไม่เอาปัญหามาทับถมจนใจเป็นทุกข์ ยอมรับความเป็นธรรมดาของโลกนี้ย่อมมีปัญหา ประเดี๋ยวก็มีปัญหานี้ ประ​เดี๋ยวก็มีปัญหานั้น บางทีปัญหาก็ต่อเนื่องกัน แต่ใจไม่ไปจมในปัญหานั้น เห็นปัญหาเป็นปัญหาไป แล้ว​แก้​ปัญหา​ด้วย​ปัญญา มี​ปัญหา​ ก็​ไม่​จำเป็นต้อง​เป็น​ทุกข์​นะ ปัญหาไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ ในอริยสัจสี่นะ! “ปัญหา” ไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ แต่อะไร เป็นเหตุแห่งทุกข์? “ตัณหา” ต่างหาก! มันลงท้ายด้วย “หา” เหมือนกันนะ! ตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “เผชิญปัญหาชีวิตด้วยปัญญา” ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลิงค์วีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=PKhWREvxT0Y&t=4230s (ระหว่างนาทีที่ 3.46-7:32)


วันพุธที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ☘️☘️ #พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๓ #ธนู ๒ ดอก ถ้าเราป่วยขึ้นมาจริงๆ นี่นะ ก็ต้องให้ความเจ็บป่วยมันสอนเราด้วย อย่าให้มาเจ็บป่วยกายแล้วใจก็ป่วย อย่างนี้เรียกว่าโดน ๒ ดอก ถูกทิ่มแทงด้วยลูกธนู ๒ ดอก กายป่วย แต่ใจก็ต้องไม่ป่วย นี่คือเรียกว่า “บุรุษอาชาไนย” ถึงความเจ็บป่วยแล้ว ก็สลดสังเวชขึ้นมา เห็นความจริง “สลดสังเวช” ไม่ได้หมายความว่า เศร้าเสียใจ คำว่า “สังเวช” นั้นในภาษาบาลี หมายความว่า เห็นความจริงแล้วคึกคัก ได้ปลุกสำนึก มีใจคึกคัก มีความไม่ประมาทเกิดขึ้น …. แม้เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพาน เราเห็นคนอื่นตาย ได้ยินข่าวคนอื่นตาย เห็นคนอื่นตายเป็นญาติเราด้วย แม้กระทั่งเป็นตัวเอง เราก็เกิดความสังเวช ไม่ประมาท ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ จากจุดนี้จนถึงเวลาที่เราตายเนี่ย ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจ ถ้าเราถึงความเจ็บป่วยจริง ๆ ก็เห็นกายนี้มันป่วยไป ใจไม่ป่วยด้วย ถ้ากายนี้จะตายก็ไม่เสียดาย เพราะกายนี้เป็นแค่ก้อน ๆ หนึ่ง ที่มันเป็นก้อนทุกข์ “ก้อนทุกข์มันจะตายไป จะเสียดายอะไร” อย่างนี้นะ! จริงๆ ไม่ต้องรอให้เราป่วย ถ้าเป็นบุรุษอาชาไนยที่พัฒนาขึ้นมา ก็ไม่ต้องถึงให้เราป่วย.. ญาติเราป่วย เราก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาได้แล้ว! ไม่ต้องให้ญาติเราป่วย แค่เห็นคนอื่นป่วย เราก็ต้องรู้สึกตัวให้ได้แล้ว! ไม่ต้องเห็นเขาป่วย แค่ได้ยินข่าว ได้ฟังข่าวว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีคนป่วย จังหวัดนั้น จังหวัดนี้มีคนป่วย คนอื่นที่เราไม่เคยรู้จักเขาเลย เขาป่วย เราก็ต้องเกิดความสลดสังเวช แล้วเตรียมพัฒนาตัวเองให้พร้อมรับมือกับความเจ็บความป่วยที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ เมื่อคราวที่ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นมาจริงๆ เราจะได้ไม่ตีอกชกตัว ไม่ไปโทษคนนั้น ไม่ไปไหนโทษคนนี้ เห็นความจริงของมัน เห็นกายซึ่งเป็นก้อนทุกข์นี้แสดงความจริง ใจไม่ทุกข์ เห็นกายเป็นก้อนทุกข์อยู่ต่างหาก ใจเป็นผู้รู้อยู่ต่างหาก กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย ถ้าหมอจะรักษาอย่างไร ก็ให้เขารักษาไป หายได้ก็ดี ไม่หายก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจความจริงว่ากายนี้เป็นก้อนทุกข์ นี่เรียกว่า เข้าใจความจริงของโลก ดังนั้นให้เรามาสำรวจตัวเองว่า… เราเป็นหนึ่งในบุรุษอาชาไนย ๔ ประเภทนี้ ประเภทไหนบ้าง ได้ยินได้ฟังแล้วก็สลดสังเวช ก็เป็นอาชาไนยประเภทที่ ๑ ถ้าต้องเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วสลดสังเวช ก็เป็นประเภทที่ ๒ ถ้าต้องถึงขั้นเป็นญาติของเรา แล้วจึงสลดสังเวช ก็เป็นประเภทที่ ๓ ถ้าต้องให้ถึงกับเราเป็นผู้ป่วยเอง แล้วจึงสลดสังเวช ก็เป็นประเภทที่ ๔ แม้กระนั้นขอให้สลดสังเวช ขอให้รู้สึกตัวขึ้นมา ขอให้มีความไม่ประมาทเกิดขึ้น ก็ยังนับว่าเป็นบุรุษอาชาไนย แต่ถ้าถึงขนาดว่าตัวเองป่วยแล้ว เจ็บแล้ว ใกล้จะตายแล้ว ยังไม่สลดสังเวช มัวแต่นึกถึงว่า..ทำไมต้องเป็นตัวเรา มัวแต่นึกถึงว่า..ฉันจะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว จากครอบครัวไป ตีโพยตีพาย ไม่สลดสังเวช ไม่มาเห็นความจริงของกายและใจ ไม่พัฒนาจิตใจให้เห็นความจริงของโลกนี้ คือกายและใจนี้ ตามความเป็นจริง อย่างนี้เราก็ไม่จัดว่า เป็นประเภทของอาชาไนย ประเภทใดประเภทหนึ่งเลย! เพราะฉะนั้นให้เหตุการณ์(โรคระบาดโควิด-19)ครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกับจิตใจของเรามาก ให้มันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจิตใจ ในแง่ของความสลดสังเวช และมาพัฒนาจิตใจให้เห็นความจริง รู้ทันความเป็นจริง แล้วจะไม่เป็นทุกข์กับความจริงที่ปรากฏขึ้นมา ให้เป็นบุรุษอาชาไนย ประเภทใดประเภทหนึ่งให้ได้ ขอเจริญพร พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากคลิปแสดงธรรม “ปโตทสูตร-ปฏักอยู่ที่ไหน” ณ สวนธรรมประสานสุข ศรีราชา ๑๖ เมษายน ๒๕๖๓ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/7DffDOcBBp8 (นาทีที่ 17:42-22:48)

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๗๑ #พยานในการพ้นทุกข์ ให้รู้ตามที่มันเป็น แม้ยังติดอยู่เป็นอัสสาทะ(ส่วนที่น่าชื่นชมยินดี) ก็รู้ว่าติด ตอนรู้ก็หลุดออกมา หลุดออกมาก็รู้ด้วย แล้วความติดเนี่ยมันเป็นโทษ เป็นทุกข์ ก็รู้ทันโทษทุกข์ของมันด้วย ถ้าไม่เห็นโทษ ไม่เห็นทุกข์ มันก็จะไม่เบื่อหน่าย ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า..ให้รู้ทันความติด รู้ทันแล้ว ก็รู้ทันโทษของมันด้วย รู้ทันโทษ มันก็จะเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายแล้วก็จะมีการแสวงหาทางออก การแสวงหาทางออกเนี่ย ครั้งแรกๆ ก็จะออกเป็นชั่วคราว ออกเป็นขณะๆ ก็รู้ทันว่ามีการออกชั่วคราว ถึงคราวบารมีเต็มขึ้นมา ก็จะมีการหลุดพ้น ถึงมรรคถึงผลขึ้นมา การปฏิบัติธรรมก็จะประสบความสำเร็จ คือเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากโลกไป หลุดพ้นจากโลก ก็คือหลุดพ้นจากทุกข์นั่นเอง ก็ขอเป็นกำลังใจให้นักปฏิบัติทั้งหลายนะ! ให้ “รู้ตามที่มันเป็น” ให้รู้ตามที่มันเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นพยานให้ตนเองในการหลุดพ้นด้วย ขอเจริญพร พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก ชุดคัมภีร์ธรรมะในสวนธรรม เรื่อง “อัสสาทสูตร” ลิงค์คลิป https://youtu.be/CSG7ShwkHAU บันทึกคลิปวีดีโอเมื่อ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ณ สวนธรรมประสานสุข ศรีราชา (นาทีที่ 5.55-6.55)