Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

แสง หรือคำบริกรรม

ถาม : การทำในรูปแบบ จะใช้เวลาช่วงเช้าเป็นการสวดมนต์ และจะบริกรรม.. ไม่ได้ให้สงบนะคะ ปล่อยไปตามปกติ.. ฟุ้งไปก็กลับมาที่คำบริกรรม ไม่บังคับ ฟุ้งแล้วรู้ ฟุ้งแล้วรู้… สิ่งที่ตามมาคือ มันมีแสงและจิตมันก็ไหลไปจับและคลุกอยู่กับแสง ..รู้ว่ามันชอบและเพลิน.. แล้วมันก็สงสัยว่าจะให้มันไปอยู่กับแสง หรือให้มาอยู่ที่ความรู้สึกตัว ? เพราะอยู่กับแสงก็เพลินดี มันแบบอยู่แบบนี้พอเกิดแสงความสงสัยมันก็เกิด แบบนี้คือรู้ถูกไหม ? แล้วจะให้ความสำคัญกับตัวไหน ระหว่างไปอยู่กับแสง หรือให้กลับมารู้ที่คำบริกรรม ?

ตอบ : ถ้ามีแสงปรากฏ ก็ไม่ต้องกลับมาที่คำบริกรรมแล้วนะ ก็เห็นแสงไปด้วยใจสบาย ๆ ดูเล่น ๆ ไป มันสว่าง มันผ่องใส มันชอบและเพลิน เห็นแล้วมีความสุข ตอนนี้จิตมีนิมิตคือแสงเป็นอารมณ์ ไม่ได้ใช้คำบริกรรมเป็นอารมณ์แล้ว มันเปลี่ยนไปจับแสงเองโดยที่ไม่ได้เจตนา

รู้ต่อไป แสงนี้ย่อได้ ขยายได้ เห็นแล้วมีสุข มีปีติ

ภาวนาต่อไป จะเห็นได้ว่า นิมิตแสงนี้ก็เป็นของถูกรู้ถูกดู ขณะที่ดู ..จิตมันถลำออกไปเกาะอยู่กับแสง ถ้าสังเกตอาการอย่างนี้ได้ มันก็ถอนออกจากนิมิต กลายเป็นจิตผู้รู้ขึ้นมา

ก็ฝึกต่อไปนะ ฝึกให้ชำนาญ จะเจริญปัญญาก็มาดูกายมันทำงาน จะเห็นได้ง่าย ๆ เลยว่า กายไม่ใช่เรา

บางทีมันเสื่อมไป ก็ไม่ต้องไปอยากให้ดีเหมือนเดิมนะ ไม่ต้องไปประคองตัวรู้นี้ด้วย มันเสื่อมก็ทำเอาใหม่ แต่อย่าไปอยาก เพราะความอยากไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดผู้รู้

๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

สติกับจิต ต่างกันยังไง ?

ถาม : เคยได้ยินบางท่าน สอนว่า “ให้สติกับจิตอยู่ด้วยกัน อย่าให้แยกจากกัน” สติกับจิต มันต่างกันยังไงครับ ?

ตอบ : ถ้าเทียบในขันธ์ ๕ สติอยู่ในสังขารขันธ์ ส่วนจิตคือวิญญาณขันธ์

จิตเป็นนามธรรม ที่มีลักษณะ คือ รู้อารมณ์ เกิดดับสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย

สติ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก คือเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศล ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเลย

สติ แปลว่า ระลึกได้, ไม่เผลอ, ไม่หลงลืม

สติโดยทั่วไป จะหมายในแง่ว่า รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช้รถใช้ถนนอย่าขาดสติ เป็นต้น

แต่สติที่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานสอน จะเน้นไปที่สติปัฏฐาน คือ การที่มีสติอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยมีฐานที่จะใช้สติไปคอยระลึกรู้อยู่ ๔ แห่ง (คือกาย, เวทนา, จิต, ธรรม) โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย

ถ้าเทียบในไตรสิกขา สติที่ครูบาอาจารย์สอนก็จัดเข้าในอธิจิตตสิกขา ถ้าเทียบในมรรคมีองค์ ๘ ก็จะจัดเข้ามาที่สัมมาสติ

ในมหาสติปัฏฐานสูตร มีพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเป็นไฉน ? นี้เรียกว่าสัมมาสติ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

๑. ตามเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก
๒. ตามเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก

๓. ตามเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก
๔. ตามเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก”

ในคัมภีร์อภิธรรม มีอธิบายอีกว่า
“สัมมาสติ เป็นไฉน ?

สติ คือ การคอยระลึกถึงอยู่เนือง ๆ การหวนระลึก (ก็ดี) สติ คือ ภาวะที่ระลึกได้ ภาวะที่ทรงจำไว้ ภาวะที่ไม่เลือนหาย ภาวะที่ไม่ลืม (ก็ดี) สติ คือ สติที่เป็นอินทรีย์ สติที่เป็นพละ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ ที่เป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสติ”

จิตที่ขาดสติ มีได้ (และมีมากด้วย) แต่สติต้องเกิดดับพร้อมกับจิตเท่านั้น มีสติโดยไม่มีจิตไม่ได้

เพราะสติเป็นเจตสิก คือเป็นธรรมที่ประกอบกับจิต เป็นคุณสมบัติของจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม

ที่ว่า “จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์” นั้น อารมณ์ ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้โดยจิต มีทั้งที่เป็นบัญญัติ และที่เป็นปรมัตถ์ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า รูป – นาม

จิตที่ขาดสติ ก็คือจิตรับรู้อารมณ์บัญญัติ คือที่เป็นเรื่องราว เช่น “ไอ้ปื้ด.. แกมันเลวมาก”

จิตที่มีสติ จะมารู้อารมณ์ที่เป็นรูป – นาม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า กาย – ใจ เช่น โกรธไอ้ปื้ด แล้วเห็นความโกรธในจิต

คือมีโกรธเกิดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยตามรู้ความโกรธ จิตขณะที่โกรธ ไม่มีสติ จิตขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นมีสติ

ที่อธิบายมา ไม่ทราบว่าจะทำให้ยิ่งงงหรือเปล่า ?

ถ้างง ก็เอาแค่สั้น ๆ คือ

สติ เป็นเจตสิก สติ อยู่ในสังขารขันธ์ จิต คือวิญญาณขันธ์

๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐

เลี้ยงไก่ ส่งขาย ให้โรงฆ่า

ถาม : กระผม มีความคิดที่จะเลี้ยงไก่ เพื่อส่งขาย เป็นการเลี้ยงแบบปล่อย ให้เขาอยู่แบบธรรมชาติ ไม่ทารุณ แต่เมื่อน้ำหนักไก่ ได้ตามเป้าหมายแล้ว ก็จะส่งขายให้โรงฆ่า แบบนี้ กระผมจะบาปมากไหมครับ ?

ตอบ : ดูเหมือนผู้ถามก็ทราบอยู่ว่า การเลี้ยงสัตว์ไปขายเพื่อฆ่าเป็นอาหารอย่างนี้บาปแน่ เพียงแค่สงสัยว่าบาปมากไหม

เพราะรู้สึกว่า ระหว่างที่สัตว์ถูกเลี้ยง ถ้าสัตว์นั้นไม่ต้องอยู่อย่างลำบาก เช่นถูกขังอยู่ในที่คับแคบ หรือเบียดเสียดยัดเยียด ก็น่าจะบาปน้อยลง

หรือถ้าไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ หรือสารเคมีที่ตกค้างเป็นอันตรายกับผู้บริโภค ก็น่าจะบาปน้อยลง

แต่อย่างไรก็ตาม อาชีพนี้ก็จัดอยู่ใน “มิจฉาวณิชชา” คือเป็นการค้าขายที่อุบาสก – อุบาสิกาไม่ควรทำอยู่ดี

ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพราะมีโอกาสก่อเวรและเกิดอกุศลได้ง่าย เจอไข้หวัดนกระบาดมาทีนึง ก็ต้องฆ่าทิ้งทั้งหมด ใจคงจะเศร้าหมองอย่างมากเลย

เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถิด..

๘ สิงหาคม ๒๕๖๐

วิปัสสนา กับ สมาธิ เป็นอย่างเดียวกันไหมคะ ?

ถาม : วิปัสสนา กับ สมาธิ เป็นอย่างเดียวกันไหมคะ ?

ตอบ : ไม่ใช่อย่างเดียวกันนะ !

#วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง คือเห็นความเป็นจริงของสภาวธรรม นั้นคือมีปัญญาเป็นไตรลักษณ์ เห็นแล้วก็สามารถถอนความหลงผิดต่าง ๆ ได้เป็นลำดับ

#สมาธิ แปลว่า ความมีใจตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน

ถ้าจัดเทียบลงในไตรสิกขา ก็จะเห็นความแตกต่างได้ง่ายขึ้น

(ไตรสิกขา คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา ฝึกหัด อบรม ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุมรรคผลนิพพาน ได้แก่

๑. อธิสีลสิกขา ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมความประพฤติ
๒. อธิจิตตสิกขา ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิต
๓. อธิปัญญาสิกขา ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา)

สมาธิ อยู่ใน อธิจิตตสิกขา วิปัสสนา อยู่ใน อธิปัญญาสิกขา

แต่คำสองคำนี้ไม่ได้นำมาใช้คู่กันโดยตรง สมาธิ จะใช้คู่กับ ปัญญา ส่วนคำที่ใช้คู่กับวิปัสสนา คือ สมถะ

๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐

ขอให้พระอาจารย์อธิบาย “วิญญาณ”

ถาม : ขอให้พระอาจารย์อธิบายคำว่า “วิญญาณ” ครับ

ตอบ : พูดถึงวิญญาณ คนไทยทั่วไปมักนึกถึงผี ประมาณว่าตอนมีชีวิตก็อยู่ในกาย พอตายก็ล่องลอยออกไปหาที่เกิดใหม่

แต่ในทางพุทธศาสนา วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกรู้ หรือถูกรับรู้

คำว่า วิญญาณ กับ จิต ใช้แทนกันได้ จิต ก็หมายถึง ธรรมชาติที่รู้อารมณ์

แต่จะใช้คำว่า วิญญาณ เมื่อจะอธิบายว่า เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายใน (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) กับอายตนะภายนอก (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์) กระทบกัน ได้แก่

๑. รู้รูปด้วยตา = จักขุวิญญาณ
๒. รู้เสียงด้วยหู = โสตวิญญาณ
๓. รู้กลิ่นด้วยจมูก = ฆานวิญญาณ

๔. รู้รสด้วยลิ้น = ชิวหาวิญญาณ
๕. รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย = กายวิญญาณ
๖. รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ = มโนวิญญาณ

วิญญาณ ๖ อย่างนี้ จึงแบ่งเรียกไปตามทางที่เกิด

ถ้าแยกแยะชีวิตออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท (ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕) วิญญาณขันธ์ก็เป็นขันธ์หนึ่ง ในส่วนของนามขันธ์ ซึ่งทำงานไปด้วยกัน

เช่น

– เห็นมะม่วงที่ปอกเปลือกแล้ว หั่นเป็นชิ้น ๆ วางบนจาน มีสีเหลืองสวย น่ากิน กินแล้วผิดหวัง เพราะเปรี้ยวมาก

ตอนที่เห็นแสงสีต่าง ๆ ในที่นี้คือสีเหลืองเนื้อมะม่วง ตอนนี้วิญญาณขันธ์ในส่วนจักขุวิญญาณทำงาน แต่ยังไม่หมายรู้ว่าเป็นมะม่วง

การหมายรู้ว่าเป็นเนื้อมะม่วงเป็นส่วนของสัญญาขันธ์ ที่หมายรู้ได้อย่างนี้ก็เพราะเคยเห็นมาก่อน ว่ามะม่วงที่ปอกเปลือกแล้วเป็นอย่างนี้ แถมยังเคยกินแล้วด้วย ก็หมายรู้ซ้ำลงไปอีกว่า สีเหลืองอย่างนี้ต้องหวานแน่ ๆ

ความอยากกินเป็นตัณหา ถ้าจัดลงในกองกิเลส ก็เป็นโลภะ หรือราคะ ก็ได้ ส่วนนี้เป็นสังขารขันธ์

ตอนที่กินมะม่วง วิญญาณขันธ์ในส่วนชิวหาวิญญาณทำงาน รับรู้รสเปรี้ยว พร้อมกันนี้สัญญาก็จำไว้เป็นข้อมูลอีกว่า มะม่วงสีเหลืองก็เปรี้ยวได้

ความรู้สึกทุกข์ใจ เป็นเวทนาขันธ์ ความผิดหวัง, ไม่ชอบ, หงุดหงิด เหล่านี้เป็นส่วนของสังขารขันธ์

การรับรู้ของวิญญาณ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือ คุณภาพของอายตนะ กับ สังขารคือความปรุงแต่งของจิต

คุณภาพของอายตนะที่มีผลต่อวิญญาณ ก็เช่น ตาไม่ดี สายตาสั้น, สายตายาว ฯลฯ การรับรู้รูป การเห็นก็ไม่ชัดเจน หรือหูตึง การได้ยินก็ไม่ชัดเจน เป็นต้น

สังขารที่มีผลต่อวิญญาณ ก็เช่น สมมุติว่ามีต้นมะม่วงใหญ่ร่มครึ้มอยู่กลางทุ่งโล่ง มีคน ๓ คน ผ่านมาเห็น

คนที่ ๑ หิวโซมา หวังว่าจะได้มะม่วงแก่หิวสักลูก มาถึงก็มองหาลูกมะม่วง ปรากฏว่าเห็นแต่ใบ (พันธุ์ดูใบ ! ? !) ไม่มีลูก ก็ผิดหวังกลับไป

คนที่ ๒ ตากแดดร้อนมาทั้งวัน เจอมะม่วงต้นนี้มีใบดกหนา ก็สมใจ นั่งเล่นเพลินไปเลย

คนที่ ๓ เป็นเถ้าแก่โรงเลื่อย ไม่สนใจใบไม่สนใจลูก มองแต่ลำต้น เห็นว่ามีขนาดใหญ่และตรงดี ก็พอใจ วางแผนเจรจาซื้อต้นไม้ไปแปรรูป

จะเห็นได้ว่า ต้นไม้ต้นเดียวกัน แต่เพราะสังขารปรุงแต่งไปต่างกัน วิญญาณคือการรับรู้ก็ต่างกันไปตามเจตจำนง พูดอีกอย่างหนึ่งว่า สุดแต่สังขารที่เป็นปัจจัยให้วิญญาณนั้นเกิดขึ้น

ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่ว่า วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ นั้น หมายถึง ความรู้ประเภทรับรู้ยืนพื้น หรือความรับรู้ในขั้นแรก ไม่ใช่ปัญญา

ปัญญา คือ ความรอบรู้, เข้าใจ, รู้เท่าทัน ปัญญาตรงข้ามกับโมหะ แต่วิญญาณไม่ได้ตรงข้ามกับโมหะ

ปัญญา เป็นภาเวตัพพธรรม คือ ควรอบรมให้เจริญขึ้น วิญญาณ เป็นปริญไญยธรรม คือ ควรรู้

ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป วิญญาณทำงานอยู่ทุกขณะ

อธิบายมามาก ก็เป็นเพียงข้อมูลวิชาการเท่านั้น

พอถึงขั้นฝึกเจริญสติดูจิต เรากลับไม่ต้องไปดูวิญญาณโดยตรงแบบนี้ จะกลายเป็นการแสวงหาจิต เพราะวิญญาณ (ในขันธ์ ๕) ก็เท่ากับ จิต (ในปรมัตถธรรม ๔)

ส่วนการฝึกเจริญสติดูจิต (ในสติปัฏฐาน ๔) ขั้นต้น เราฝึกดูในส่วนที่เป็นสังขารขันธ์

(จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ มีสติตามรู้จิตที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ฯลฯ ตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้น)

เพราะราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ หรือแม้แต่สมาธิ ก็จัดอยู่ในสังขารขันธ์

เมื่อฝึกจนชำนาญ มีอินทรีย์แก่กล้าขึ้น จนถึงขั้นอรหัตตมรรค จึงจะมารู้และเข้าใจเรื่องวิญญาณหรือเรื่องจิตนี้อย่างแจ่มแจ้งได้

๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐

ทำไมความคิดที่ไม่ดีมันมักเกิดขึ้น ?

ถาม : กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ ทำไมความคิดที่ไม่ดีมันมักเกิดขึ้น เช่น มีความไม่เคารพต่อพระสงฆ์ ต่อแม่ ต่อพระพุทธเจ้า เหมือนมันนอนเนื่องอยู่ในใจ
ทั้ง ๆ ที่ใจเราก็ไม่อยากจะคิด แต่มันก็เกิดขึ้นมาเองอยู่ตลอด เห็นอยู่ว่ามันเป็นบาปใหญ่ ผมจะทำอย่างไรครับ ? บางครั้งก็บอกใจตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่ได้ดีไม่ควรคิด มันก็ไม่จบเสียที ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ แล้วที่เป็นแบบนี้มาในสมัยเด็กผมก็บอกกับตัวเองเสมอว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควรคิด คิดแบบนี้มาจะ ๒๐ ปีแล้วก็ไม่หายครับ ?

ตอบ : พิจารณาไปเลยว่า เป็นอนัตตา !
ไม่ได้อยากคิด.. มันคิดเอง มันปรุงเอง

มันจะคิดก็คิดไป เพราะจิตมันทำงานเอง มันไม่ใช่เรา
แต่ก็อาศัยการทำงานของจิตนี่แหละมาฝึกเจริญสติได้

อยากให้ไม่คิด.. ก็คิดแล้วน่ะ !
ที่เราจะทำได้คือ รู้ทันว่า มี “ตัณหา” คือ “อยาก” ไม่คิด

คิดแล้วกังวล ก็รู้ว่ากังวล คิดแล้วหงุดหงิด ก็รู้ว่าหงุดหงิด

คิดแล้วบอกตัวเองว่า ‘ไม่ควรคิดอย่างนี้’ เพื่อให้หยุดคิด ก็ให้รู้ว่ากำลังแทรกแซง กำลังทำสมถะ

อย่าไปหลงปรุงแต่งความคิดเพื่อจะดับความคิด แต่ให้รู้

ตอนคิดไม่ดี ก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ขณะที่รู้ กลับเป็นดีพอดี

แต่ก็ไม่ได้ห้ามคิด เพียงคิดแล้วรู้

ดูเหมือนดูคนอื่น เห็นความคิดเป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่ถูกดู จิตผู้รู้ก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ลองฝึกดูนะ !

25 กรกฎาคม 2560

ตั้งสัจจะเข้าพรรษา

ถาม​ : ขอกราบเรียนถามว่าพุทธศาสนิกชนควรจะตั้งสัจจะเข้าพรรษาหรือไม่คะ ? แล้วถ้าจะตั้ง เราควรจะตั้งอย่างไรถึงจะเป็นไปเพื่อความก้าวหน้าและพัฒนาทางธรรมค่ะ ?

ตอบ​ : เรื่อง​เข้า​พรรษา​ จริง ​ๆ ​แล้ว​เป็น​เรื่อง​ของ​พระ​ภิกษุ​ คือ​มีพระ​วินัย​ที่​ให้​พระ​ภิกษุ​อยู่​จำ​พรรษา​ใน​ที่​ที่​เหมาะสม​
ตลอด​สาม​เดือน​ใน​ฤดูฝน​ คือ​ตั้งแต่​ แรม​ ๑​ ค่ำ​ เดือน​ ๘​ ถึง​ ขึ้น​ ๑๕​ ค่ำ​ เดือน​ ๑๑

เมื่อ​ท่าน​อยู่​ประจำ​ใน​อาวาส​นาน​เช่น​นี้​ ท่าน​ก็​ใช้​เป็น​โอกาส​ใน​การ​ศึกษา​และ​ปฏิบัติ​ธรรม​ เพื่อ​ความ​เจริญ​ใน​ไตร​สิกขา​ยิ่ง​ ๆ ​ขึ้นไป​

ฆราวาส​ญาติ​โยม​ผู้​เป็น​พุทธ​ศาสนิกชน​ทั้งหลาย​ เมื่อ​เห็น​ว่า​พระ​ภิกษุ​ท่าน​ใช้​เวลา​สาม​เดือน​นี้​ไป​เพื่อ​ความ​เจริญ​ทั้ง​ด้าน​ปริยัติ​และ​ปฏิบัติ​เช่นนี้​ ถ้า​คิดว่า​ เรา​ควร​จะ​ใช้​เวลา​สาม​เดือน​นี้​เพื่อ​ความ​เจริญ​ใน​กุศล​ธรรม​ของ​เรา​บ้าง​ ก็​น่า​อนุโมทนา

อย่าง​เช่น​ที่​มี​การ​รณรงค์​ให้ ​”งด​เหล้า​เข้าพรรษา” ก็​เห็น​ว่า​เป็น​เรื่อง​ที่​ดี​ ทราบ​มา​ว่า​หลาย​ท่าน​ก็​ทำ​ได้​จริง​
และ​ยัง​งดอยู่​อย่าง​ต่อเนื่อง

แต่​ชาว​พุทธ​หลาย​ท่าน​ก็​ไม่ได้​ดื่ม​เหล้า​อยู่​แล้ว​ ก็​ต้อง​หา​เรื่อง​ดี ​ๆ ​อย่างอื่น​มา​ทำ

หลัก​ก็​มี​อยู่​ว่า​ ใน​สาม​เดือน​นี้
– กุศล​อะไร​ที่​ไม่​เคย​ทำ​ ก็​ลอง​ตั้งใจ​ทำ​ดู​ ทำให้​กุศล​นั้น​เจริญ​ขึ้นมา
– กุศล​อะไร​ที่​เคย​ทำ​แล้ว​ แต่​ไม่​มั่นคง​ ก็​ทำ​ให้​จริงจัง​มั่นคง​ รักษา​กุศล​นั้นไม่ให้​เสื่อม

– อกุศล​อะไร​ที่​อยู่​ เลิก​ไม่ได้​สักที​ ก็​ลอง​ตั้งใจ​ละ​เลิก​อกุศล​นั้น​เสีย
– อกุศล​อะไร​ที่​เคย​เลิก​ได้​ แต่​ไม่​เด็ดขาด​ เผลอ​ ๆ ​ก็​หวน​กลับ​ไป​ทำ​อีก​ ก็​ลอง​ตั้งใจ​พากเพียร​ระวัง​ไม่​ให้​พลาด​อีก

เช่น​
– ไม่เคย​ไหว้พระ​สวดมนต์​ ไม่เคย​ทำ​กรรมฐาน​ใน​รูปแบบ​ที่​บ้าน​เลย​ ก็​ตั้งใจ​ทำ​ใน​ ๓​ เดือน​นี้​ให้ได้
– เคย​ไหว้พระ​สวดมนต์​ และ​ทำ​กรรมฐาน​ใน​รูป​แบบ​ที่​บ้าน​อยู่​เหมือนกัน​ แต่​ไม่​ประจำ​ ก็​ตั้งใจ​ทำ​ให้​เป็น​ประจำ​ทุกวัน​
ตลอด​ ๓​ เดือน​นี้​

– เคย​ใช้​โทรศัพท์มือถือ​ไป​ใน​เรื่อง​ไร้สาระ​วันละ​หลาย​ชั่วโมง​ ก็​ตั้งใจ​ ๓​ เดือน​นี้​ จะละ​พฤติกรรม​นั้น​
จะ​ใช้​เฉพาะ​ใน​เรื่อง​ธุระ​การงาน​จริง ๆ​

– เคย​ขึ้นเสียง​ เถียง​พ่อ​เถียง​แม่​ หรือ​ใช้​คำพูด​ที่​ทำให้​กระทบกระเทือน​จิตใจ​พ่อแม่​ ก็​ตั้งใจ​ ๓​ ​เดือน​นี้​ แม้​จะ​ไม่ชอบ ไม่พอใจ​ หงุดหงิด​มาก​แค่ไหน ก็​จะ​ไม่​หลุด​คำพูด​เหล่านั้น​ออกมา​ จะ​เจริญ​สติ​ดู​ความ​ร้ายกาจ​ของ​ใจ​เรา​เอง

– ไม่​เคย​ออกกำลังกาย​ตอนเช้า​ ก็​ตั้งใจ​ ๓​ เดือน​นี้​จะ​ตื่น​เช้า​ขึ้น​เพื่อ​มา​ออกกำลังกาย​ เจริญ​สติ​ไป​ด้วย​ กาย​เคลื่อนไหว​
มี​ใจ​รู้​ อย่างนี้เป็นต้น

การ​ทำ​อย่างนี้​ บางคน​ใช้​คำ​ว่า​ “ตั้ง​สัจจะ” แต่​อาตมา​ชอบ​ใช้​คำว่า ​”อธิษฐาน” มากกว่า

อธิษฐาน​ ไม่ได้​หมายถึง​ขอ​ให้​สำเร็จ​ผล​อย่างใดอย่างหนึ่ง​ หรือ​ขอ​เพื่อ​จะ​ได้​จะ​เอา แบบ​ที่​คน​ไทย​ทั่วไป​ใช้​กัน

แต่​อธิษฐาน​ ใน​ทาง​พุทธศาสนา​ หมายถึง​ ความ​ตั้งใจ​มั่น​ แน่วแน่​ที่จะ​ทำการ​ให้​สำเร็จ​ตาม​จุด​มุ่งหมาย​ ซึ่ง​เป็น​บารมี​อย่าง​หนึ่ง
​ใน​บารมี​ ๑๐​ เรียกว่า​ อธิษฐาน​บารมี

ใน​กรณี​นี้​ก็​จะ​ใช้​คำ​ว่า​ “สาม​เดือน​นี้​ ขอ​อธิษฐาน​ (คือ​ตั้งใจ​ที่​จะ)…” จะ​ทำ​ จะ​เจริญ​ หรือ​จะ​ละ​เลิก​อะไร​ ก็​เติม​ลง​ไป

ปี​นี้​ผ่าน​วัน​เข้า​พรรษา​มา​แล้ว​ จะ​ทัน​ไหม ?

ถ้า​ถือ​ตาม​พระ​วินัย​ ถ้า​มี​เหตุ​จำเป็น​ อธิษฐาน​พรรษา​ใน​วัน​แรม​ ๑​ ค่ำ​ เดือน​ ๘​ ไม่ทัน​ ก็​ให้​เวลา​อีก​ ๑​ เดือน​ มา​อธิษฐาน
“พรรษา​หลัง​” ใน​วัน​แรม​ ๑​ ค่ำ​ เดือน​ ๙​ ก็​ได้​ แล้ว​อยู่​จำ​พรรษา​ไป​จน​ถึง​ ขึ้น​ ๑๕​ ค่ำ​ เดือน​ ๑๒

โยม​ไม่ทัน​ได้อธิษฐาน​เจริญ​กุศล​ใน​คราว​ “พรรษา​ต้น” จะ​มา​อธิษฐาน​ใน​คราว​ “พรรษา​หลัง” ก็​ยัง​ได้ ระหว่าง​นี้​ก็​ซ้อม ​ๆ​ ไป​ก่อน

สำหรับ​คน​เริ่ม​ใหม่​ ไม่​เคย​ทำ​ และ​ไม่แน่ใจ​ว่า​จะ​ทำ​ได้​ไหม​ รู้สึก​ว่า​สาม​เดือน​นี่​นาน​จัง​ ก็​ขอ​แนะนำ​ว่า​ ให้​อธิษฐาน​เป็น​ชุด​
ชุดละ​ ๓​ วัน ครบ​ ๓​ วัน​ ก็​อธิษฐาน​ใหม่

ทำ​อย่างนี้​ง่าย​ดี​ ทำให้​มี​กำลังใจ​ อธิษฐาน​ ๒​ ชุด​ ก็​จะ​ครบ​สัปดาห์​แล้ว ไม่กี่​สัปดาห์​ก็​จะ​ครบ​เดือน​แล้ว แปบเดียว​ก็​ทำ​สำเร็จ
​ครบ​ ๓​ เดือน

ทำ​อย่างนี้​ ถ้า​พลาด​ ก็​พลาด​แค่​วัน​เดียว​ รุ่งขึ้น​ก็​อธิษฐาน​ใหม่ สมมุติ​ว่า​ ทำ​ได้​ ๓​ วัน​แรก​ พอ​วันที่​ ๔​ พลาด​ วันที่​ ๕​ ก็​เริ่ม​ใหม่​ อย่างไร​ ๆ​ ๓​ วัน​แรก​ก็​สำเร็จ​ไป​แล้ว​ ได้​กุศล​ตุน​ไว้​แล้ว​ ๓​ วัน​ และ​เดี๋ยว​จะ​มี​ความ​สำเร็จ​เพิ่ม​ขึ้น​มา​อีก​ที​ละ​ชุด

ถ้า​อธิษฐาน​ที​เดียว​ ๓​ เดือน​ ถ้า​ทำ​ได้​เป็น​เดือน​แล้วพลาด​วันเดียว​ ก็​อาจ​จะ​ใจ​ฝ่อ​ห่อเหี่ยว​ไป​เลย​
และ​อาจจะรู้สึก​ว่า​สาม​เดือน​นี้​สูญ​เปล่า

หมายเหตุ​ : วัน​แรม​ ๑​ ค่ำ​ เดือน​ ๙​ ปี​นี้ ตรงกับ​วัน​อังคาร​ที่​ ๘​ สิงหาคม​ พุทธ​ศักราช​ ๒๕๖๐​

๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐

ปลิโพธ สำหรับฆราวาส

ถาม : อยากได้ข้อแนะนำเรื่อง ปลิโพธ สำหรับฆราวาส ควรทำอย่างไรครับ ?

ตอบ : ปลิโพธ แปลว่า เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ใจติดข้อง เป็นห่วง กังวล

ปลิโพธ มี ๑๐ อย่าง คือ

๑. อาวาสปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับที่อยู่ ว่าจะต้องซ่อมต้องสร้าง แต่ถ้าอยู่แบบใจไม่ผูกพันก็ไม่เป็นไร

๒. กุลปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับตระกูล ถ้าเป็นพระก็หมายถึงตระกูลอุปัฏฐาก ถ้าเป็นฆราวาสก็หมายถึงคนในครอบครัว ก็ควรวางใจให้ได้

๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับลาภ มีคนเลื่อมใสมาก ก็มีคนเอาของมาให้มาก มัววุ่นจัดของ หรือกังวลว่าจะรักษาของเหล่านั้น จนไม่มีเวลาเจริญกรรมฐาน ก็ควรหาโอกาสปลีกวิเวกบ้าง

๔. คณปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับหมู่คณะ มีบริวารมาก ต้องกังวลในความประพฤติ หรือยุ่งกับงานสอน ต้องคอยตอบคำถาม ก็ควรมีผู้แบ่งเบาภาระบ้าง ให้มีหน้าที่กันเป็นลำดับชั้น ฝึกรุ่นพี่ให้มีความสามารถในการดูแลรุ่นน้อง อย่างนี้เป็นต้น

๕. กรรมปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการงาน เช่นงานก่อสร้าง ก็ควรทำให้เสร็จ หรือมอบหมายให้ผู้ที่มีความสามารถช่วยรับงานไป หรือวางใจได้ว่า “เสร็จเท่าที่ทำได้”

๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางไกล เพราะมีธุระต้องไปทำ ก็ทำให้เสร็จ ให้หมดกังวล

๗. ญาติปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติ ข้อนี้เน้นในแง่เจ็บป่วย ก็ควรไปช่วยขวนขวายรักษา จนกว่าจะหมดห่วง

๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บไข้ของตนเอง ก็ควรรักษาไปตามโอกาส ถ้าไม่หาย ก็ควรระลึกไว้ว่า กายป่วยได้แต่ใจจะไม่ป่วยด้วย

๙. คันถปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน วุ่นวายอยู่กับการท่องจำหรือค้นคว้าตำรา แต่ถ้าเรียนแบบไม่วุ่นก็ไม่เป็นไร เพราะปริยัติที่จำเป็นเพื่อความพ้นทุกข์สำหรับแต่ละคนนั้นมีไม่มาก

๑๐. อิทธิปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับฤทธิ์ ข้อนี้สำหรับผู้ที่มีฤทธิ์ ฤทธิ์ของปุถุชนเป็นของเสื่อมได้ ถ้ามัวแต่กังวลหรือยุ่งอยู่กับการรักษาฤทธิ์ ก็กลายเป็นปลิโพธ เจริญวิปัสสนาต่อไปไม่ได้

๙ ข้อแรก เป็นเครื่องกั้นต่อการเจริญสมถะเท่านั้น ไม่เป็นเครื่องกั้นต่อวิปัสสนา เพราะการทำสมถะ ต้องอาศัยสัปปายะต่าง ๆ หลายข้อ รวมทั้งต้องปลอดจากปลิโพธเหล่านี้ด้วย จิตจึงสงบ

ส่วนข้อสุดท้าย เป็นเครื่องกั้นต่อการเจริญวิปัสสนา ไม่เป็นเครื่องกั้นต่อสมถะ เพราะก่อนจะได้ฤทธิ์ ก็ต้องเจริญสมถะจนได้ฌานมาอย่างชำนาญแล้ว

สำหรับผู้ที่ยังไม่มีฤทธิ์ ดูเหมือนว่าไม่มีฤทธิ์ให้ห่วง แต่ก็อาจจะห่วงในแง่ที่ว่า อยากจะมีฤทธิ์ก่อน ก็เลยไม่ได้เจริญวิปัสสนาเสียที

ปลิโพธเหล่านี้ มีได้ทั้งพระและฆราวาส ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีโลภะ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีความติดข้องในสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง มีแล้วใจไม่ปลอดโปร่ง ทำให้ปฏิบัติก้าวหน้าต่อไปได้ยาก ก็เพียงทำความรู้จักมัน แล้วละไปเสีย และไม่ต้องกังวลว่า “เรามีปลิโพธ ทำอย่างไรดี ? ” กลายเป็น “กังวลเรื่องความกังวล” ! แค่รู้ว่าจิตเมื่อกี้กังวล ก็ใช้ได้

๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐

บอกทางคนหลงทาง

ถาม : การบอกทางแก่คนหลงทางถือเป็นธรรมทานรึไม่ครับ ?

การบอกความจริงแก่คนอื่น ๆ ในทุกเรื่องราว แม้แต่เรื่องโลกียวิสัยที่เป็นสิ่งถูกต้องเพื่อการดำรงชีพที่ถูกต้อง ..ถือเป็นการให้ธรรมเป็นทานด้วยหรือไม่ ?

ธรรม แปลว่า อะไรแน่ ? ธรรม แปลว่า ความจริงครับ จริงแบบสมมติ กับ จริงแบบปรมัตถ์ ธรรมมีสองอย่าง

สัจจะ แปลว่า ถูกต้องดีงาม…

#ตอบ: เนื่องจากเป็นคำถามที่เนื่องมาจากตอบโจทย์ #๘๑ ซึ่งมีโจทย์มาว่า “ระหว่างให้ธรรมะเป็นทาน กับอภัยทาน สิ่งไหนที่สูงสุด ? ”

ประเด็นอยู่ที่ “สิ่งไหนสูงสุด ? ” ระหว่างธรรมทานกับอภัยทาน

เข้าใจว่า ผู้ที่ตั้้งโจทย์ก็ทราบอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งคู่ แต่รู้สึกว่าก้ำกึ่งกัน คำอธิบายจึงมุ่งไปที่ความหมายสูงสุด ซึ่งเป็นจุดชี้ชัด เพื่อตัดสินว่า คำตอบควรจะเป็นสิ่งไหน

ทาน มี ๒ อย่าง คือ ๑. อามิสทาน การให้สิ่งของ ๒. ธรรมทาน การให้ธรรม, การให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน

อามิสทานช่วยค้ำจุนชีวิตผู้รับ ทำให้เขามีที่พึ่งที่อาศัย แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไป ธรรมที่จะให้เป็นทานก็มีทั้งระดับ “โลกียธรรม” และ “โลกุตรธรรม”

อภัยทานจัดอยู่ในธรรมทาน แต่ไม่เหนือกว่าธรรมทาน

จุดตัดสินเด็ดขาดก็อยู่ที่ธรรมทานมีการนำโลกุตรธรรมมาบอกมาสอน และผู้สอนพระองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้า คำอธิบายจึงรวบรัดมาที่โลกุตรธรรมทีเดียว

คำว่า “ธรรม” มีความหมายกว้างขวางมาก จะแปลว่าสภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์, สิ่งทั้งหลายประดามี, ความดี, ความถูกต้อง, ความจริง, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฯลฯ

และมีหลายหมวด เช่น รูปธรรม – อรูปธรรม, สังขตธรรม – อสังขตธรรม, โลกียธรรม -โลกุตรธรรม เป็นต้น

ธรรม ๓ ก็มี (กุศลธรรม, อกุศลธรรม, อัพยากตธรรม) ธรรม ๔ ก็มี (ปริญไญยธรรม, ปหาตัพพธรรม, สัจฉิกาตัพพธรรม, ภาเวตัพพธรรม)

เบญจธรรม (เมตตากรุณา, สัมมาอาชีวะ, กามสังวร, สัจจะ, สติสัมปชัญญะ) ก็เรียกว่า ธรรม ๕

ความหมายเต็มที่ของศัพท์ว่า “ธรรม” คือ สิ่งทั้งหลายประดามี สภาวะที่เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจก็เป็นธรรม เรียกว่า กุศลธรรม สภาวะที่ตรงข้ามกับกุศลก็เป็นธรรม เรียกว่า อกุศลธรรม

ทั้งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ก็รวมลงในธรรมที่เรียกว่า สังขตธรรม เป็นธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง ธรรมที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งก็มี เรียกว่า อสังขตธรรม คือนิพพาน

แต่ศัพท์ “ธรรม” ในคำว่า “ธรรมทาน” ไม่กว้างเต็มที่อย่างนั้น

ในที่นี้เลือกอธิบายศัพท์ “ธรรม” ในคำว่า “ธรรมทาน” ในแง่ที่เป็นคำสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และจับที่ธรรมหมวด ๒ คือ โลกียธรรม – โลกุตตรธรรม

– โลกียธรรม หมายถึง ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก สภาวะเนื่องในโลก ได้แก่ ขันธ์ ๕ ที่ยังมีอาสวะทั้งหมด

– โลกุตรธรรม หมายถึง ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก สภาวะพ้นโลก ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

ส่วนที่แยกเป็น “สมมติ” กับ “ปรมัตถ์” อยู่ในหัวข้อ “สัจจะ” มีคำเต็มว่า สมมติสัจจะ – ปรมัตถสัจจะ

อนึ่ง คำว่า “ปรมัตถธรรม” เป็นศัพท์เฉพาะ ที่นิยมพูดกันมาเป็นหลักทางพระอภิธรรม แปลว่า สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุด มี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐

ให้ธรรมะกับอภัย

ถาม : ระหว่างให้ธรรมะเป็นทาน กับอภัยทาน สิ่งไหนที่สูงสุดคะ ?

ตอบ : เท่าที่ทราบ มีแต่ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง” โดยมีหลักฐานเป็นพุทธพจน์ในธรรมบทว่า

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ.

ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง

ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง.

แต่สำหรับ “อภัยทาน” อาตมายังไม่พบว่ามีพุทธพจน์ตรัสยกย่องว่าเป็นทานสูงสุดเลย จะมีก็เพียงคำของพระอรรถกถาจารย์ ที่อธิบาย “ทานสูตร” ในคัมภีร์อิติวุตตกะ

ซึ่งในพระสูตร ตรัสแสดงทาน ๒ อย่าง คือ อามิสทาน และธรรมทาน แล้วทรงชี้ว่า ในบรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ

แล้วพระอรรถกถาจารย์ก็อธิบายว่า “ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง”

ตามหลักฐานเท่าที่มี อภัยทานจึงยังไม่ใช่ว่าจะชนะหรือเหนือกว่าธรรมทาน เป็นแต่เพียงอยู่กลุ่มเดียวกัน คือเป็นทานที่ไม่มีอามิสด้วยกัน

ทีนี้ก็มาวิเคราะห์กันต่อ

ทาน แปลว่า การให้ ก็มีทั้งให้สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

อามิสทาน แปลว่า การให้สิ่งของ อามิส ในที่นี้หมายถึงสิ่งของ

ธรรมทานและอภัยทานจัดอยู่ในส่วนที่ให้นามธรรม ธรรมทาน แปลว่า การให้ธรรม, การให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน อภัยทาน แปลว่า ให้ความไม่มีภัย

ในแง่คุณสมบัติของผู้ให้

ผู้ที่จะทำอามิสทาน ก็ต้องมีอามิส เช่น เงินทองทรัพย์สมบัติเป็นของตนเองเสียก่อน จึงจะทำอามิสทานได้

ผู้ที่จะทำอภัยทาน ก็ต้องมีความไม่มีภัย คือผู้ให้อภัยทานจะไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้รับ ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา หรือใจ อภัยทานในอีกนัยหนึ่งจึงหมายถึงความไม่โกรธ

ผู้ที่จะทำธรรมทาน ก็ต้องมีธรรมเสียก่อนจึงจะทำธรรมทานได้ คือต้องเข้าใจหายสงสัยในธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญาตนเองเสียก่อน จึงจะไปบอกสอนผู้อื่นได้

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พ้นทุกข์แล้ว จึงตรัสสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ตามได้ อย่างนี้เรียกว่า ธรรมทาน

พระสาวกทั้งหลายศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จนมีปัญญารู้ธรรม แล้วก็บอกต่อ ไม่ว่าจะในรูปแบบแสดงธรรม สนทนาธรรม หรือเขียนหนังสือ อย่างนี้ก็เรียกว่า ธรรมทาน

เหล่าเดียรถีย์ที่มีมิจฉาทิฐิ สอนสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ การสอนนั้นไม่ชื่อว่าธรรมทาน เพราะยังไม่มีธรรม ยังไม่รู้ธรรม ทำได้เพียงเผยแพร่ความเห็น (ที่เป็นมิจฉาทิฐิ)
สิ่งที่ให้ก็เป็น “อธรรม”

สำหรับอภัยทาน
สิ่งที่ “ผู้รับ” ได้รับ คือ ความไม่มีภัย

อานิสงส์ที่ “ผู้ให้” ได้ คือ มีศีล ได้ฝึกจิตให้ไม่โกรธ ซึ่งอาจจะต่อเนื่องมาเจริญเมตตา และทำฌานได้

สำหรับธรรมทาน
สิ่งที่ “ผู้รับ” ได้รับ คือ ปัญญา ถ้าในขั้นสูงสุดก็ได้ถึงขั้นอรหัตตผล

อานิสงส์ที่ “ผู้ให้” ได้ คือ ได้รักษาพระศาสนา แม้ผู้แสดงธรรมนั้นยังไม่บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด ก็มีปรากฏอยู่ว่าบรรลุอรหัตตผลได้ในระหว่างแสดงธรรมนั้น

ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว การให้อภัยทานย่อมเป็นไปเอง เพราะจิตปราศจากกิเลสอันเป็นเหตุที่จะสร้างภัยใกล้กับผู้ใด

แต่ถ้าพระพุทธองค์ไม่ให้ธรรมทาน ให้แต่อภัยทานประการเดียว พระพุทธศาสนาก็ไม่เกิดมีขึ้น ผู้ที่จะบรรลุมรรคผลก็มีไม่ได้

แม้ผู้ที่ยังไม่บรรลุมรรคผล เพราะอาศัยการฟังธรรม จึงรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ กุศลต่าง ๆ ทั้งอามิสทานและอภัยทาน ย่อมเจริญขึ้นตามลำดับ

ถึงตรงนี้จึงชัดเจนว่า ธรรมทานเป็นเลิศกว่าทานทั้งหลาย สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง”

๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๐

จิตตั้งมั่น กับ จิตถึงฐาน

ถาม : ช่วงนี้มีน้อง ๆ ที่ฝึกด้วยกัน (ฝึกกันเอง) สงสัยเรื่องสภาวะที่
1. จิตตั้งมั่น 2. จิตถึงฐาน
ผมก็ตอบน้องได้ไม่ชัดเจน เลยขอโอกาสกราบเรียนพระอาจารย์ อยากขอคำแนะนำเรื่องนี้ด้วยครับ (ชมรมพวกขี้สงสัย สงสัยพอรู้ว่าสงสัย แต่ก็ยังสงสัยกันครับ ^_^ )

ตอบ : จิตตั้งมั่น กับ จิตถึงฐาน สองคำนี้ใช้แทนกันได้

ที่ว่า “จิตถึงฐาน” คือถึงที่ “จิต”

เวลาเราเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติรู้กาย จิตไม่ไหลไปที่กาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้ดู อย่างนี้ก็เรียกว่า “จิตถึงฐาน”

เวลาเราเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติรู้เวทนา จิตไม่ไหลไปที่เวทนา มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้ดู สุขทุกข์ทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู อย่างนี้ก็เรียกว่า “จิตถึงฐาน”

เวลาเราเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติรู้จิต จิตไม่ไหลไปที่อารมณ์ มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้ดู กิเลสทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู อย่างนี้ก็เรียกว่า “จิตถึงฐาน”

“จิตตั้งมั่น” คือจิตที่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่เผลอไม่เพ่ง นุ่มนวล ว่องไว ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ

เวลาที่จิตตั้งมั่น จิตจะเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ต่างหาก ไม่ถลำไปที่อารมณ์ ก็จะเกิดปัญญาแยกรูปแยกนาม เช่น เห็นกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู

ผลจากการที่จิตตั้งมั่น มันจะเห็นสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง คือเห็นว่าเป็นเพียงสภาวะ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา คือเห็นอนัตตลักษณะ

บางทีก็จะเห็นว่า กิเลสที่เห็น มันไม่เที่ยง เมื่อกี้มี ขณะนี้ไม่มี เห็นบ่อย ๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาว่า ทุกอย่างล้วนชั่วคราวทั้งหมด คือเห็นอนิจจลักษณะ

รวมแล้วคือ เมื่อมีจิตตั้งมั่น ก็จะเห็นไตรลักษณ์แง่ใดแง่หนึ่งได้ และเป็นการเห็นเองจริง ๆ ไม่ใช่คิดเอา

จิตตั้งมั่น กับ จิตถึงฐาน จะเรียกอีกอย่างว่า “สัมมาสมาธิ” ก็ได้

๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐

ทำไมจิตนั้นชอบร่อนเร่ ?

ถาม : มีข้อสงสัยเรียนถามพระอาจารย์ค่ะ ทำไมจิตนั้นชอบร่อนเร่ ไม่อยู่กับวิหารธรรม ครูบาอาจารย์สอนให้หาวิหารธรรมให้จิต ถ้าวิหารธรรมอยู่แล้วมีความสุขจริง แต่ทำไมจิตยังชอบร่อนเร่ หรือเครื่องอยู่นั้นมันสุขไม่เพียงพอจะให้จิตอยู่ จิตเลยชอบที่จะออกร่อนเร่ ?

ตอบ : ธรรมดานะ จิตเรายังอยู่ใน “กามาวจรภูมิ” มันยังพอใจที่จะท่องเที่ยวไปในกาม มันยังติดข้องอยู่กับกาม จะให้มันอยู่นิ่ง ๆ จึงยาก เพราะจิตยังไม่มีความสุขที่จะอยู่กับอารมณ์ที่
เรากำหนด

จิตเรายังไม่ถึงขั้น “รูปาวจรภูมิ” หรือ “อรูปาวจรภูมิ” ซึ่งเป็นภูมิของจิตที่ท่องเที่ยว เชี่ยวชาญในการทำรูปฌานและอรูปฌานตามลำดับ

แต่การที่จิตออกร่อนเร่ ก็เป็น “ความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน” ถ้าเรายอมรับว่ามีสิ่งนี้อยู่ ด้วยใจที่เป็นกลาง ก็จะเกิดสติปัญญาจากสภาวะนี้ได้

สิ่งที่ควรทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง คือคำว่า “วิหารธรรม” วิหารธรรมในสติปัฏฐานมีอยู่ ๔ อย่าง คือ กาย, เวทนา, จิต และธรรม วิหารธรรมสำหรับผู้ที่จิตชอบร่อนเร่ คือ จิต

ฉะนั้น เราอาจจะมีคำบริกรรมหรือลมหายใจเป็นเพียงจุดที่อยู่ชั่วคราว ที่เราจะดูจริง ๆ คือ “จิต” ที่มันร่อนเร่ไป

เห็นจิตที่เผลอจากที่อยู่ชั่วคราว ได้สติ เห็นสภาวะเผลอ เห็นจิตที่เคลื่อนออกจากที่อยู่ชั่วคราว ได้สมาธิ มีจิตตั้งมั่น เห็นจิตเผลอไปเอง บังคับไม่ได้ ได้ปัญญา เห็นอนัตตา

ฉะนั้น เราก็มีอารมณ์เป็นที่อยู่ชั่วคราวต่อไป แล้วคอยสังเกตเห็น “จิต” แสดงอาการต่าง ๆ ตามที่มันเป็น

๔ มิถุนายน ๒๕๖๐

สัมมาทิฐิ

ถาม : การย่นย่อมรรคมีองค์ ๘ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่น่าจะตรงนัก ที่ว่า สัมมาทิฐิ เท่ากับปัญญา นั้น เท่ากันได้เฉพาะพระอริยะเท่านั้น
คือพระอริยะมีสัมมาทิฐิในการเห็นอริยสัจ ๔ เปรียบเหมือนท่านเดินทางถึงกรุงราชคฤห์ซึ่งมองเห็นแล้ว แต่ผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างทาง สัมมาทิฐิคือ เชื่อว่าการกระทำมีผล, พ่อแม่มีบุญคุณ,
เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น นี่คือศรัทธา ยังไม่เป็นปัญญา

ตอบ : คำจำกัดความของ สัมมาทิฐิ มีหลายแบบ

แบบแรก พบบ่อย คือ ความรู้ในอริยสัจ ๔ เช่นในมหาสติปัฏฐานสูตร มีพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ คืออะไร ? ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่าสัมมาทิฐิ”

นอกจากนี้ ยังมีคำจำกัดความแบบอื่นอีก เช่น

– เห็นไตรลักษณ์
ดังมีพุทธพจน์ ว่า “ภิกษุเห็นรูป.. เวทนา.. สัญญา.. สังขาร.. วิญญาณ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อเห็นชอบ ก็ย่อมหน่าย เพราะสิ้นเพลิน
ก็สิ้นการย้อมติด เพราะสิ้นการย้อมติด ก็สิ้นเพลิน เพราะสิ้นเพลินและย้อมติด จิตจึงหลุดพ้น เรียกว่า พ้นเด็ดขาดแล้ว”

– รู้อกุศลและอกุศลมูล กับ กุศลและกุศลมูล
ดังมีพุทธพจน์ ว่า “เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัด ซึ่งอกุศล.. อกุศลมูล.. กุศล.. และกุศลมูล ด้วยเหตุเพียงนี้ เธอชื่อว่ามีสัมมาทิฐิ มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสแน่วแน่ในธรรม
เข้าถึงสัทธรรมนี้แล้ว”

– เห็นปฏิจจสมุปบาท

บางแห่ง พระองค์ก็อยากความหมายของสัมมาทิฐิเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. ระดับที่ยังมีอาสวะ คือ เห็นว่าให้ทานมีผล, การบูชามีผล, ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว, พ่อกับแม่มี, ผู้ปฏิบัติชอบมี, โลกนี้มี โลกหน้ามี, โอปปาติกะมี, พระพุทธเจ้ามี
๒. ระดับไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ คือองค์มรรคของสัมมาทิฐิ..

ฉะนั้น ที่ผู้ถามกล่าวว่า “สัมมาทิฐิคือ เชื่อว่าการกระทำมีผล, พ่อแม่มีบุญคุณ, เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น นี่คือศรัทธา ยังไม่เป็นปัญญา” นั้น
ที่จริงก็คือ เป็นปัญญาในระดับที่ยังมีอาสวะ นั่นเอง

๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐

ขันธ์ ๕ กับ เรา

ถาม : เมื่อไม่มีเรา มันเป็นการรวมกันของขันธ์ทั้ง ๕ แล้วบทสวดที่ว่า เราเป็นทายาทแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น อยากทราบว่า เมื่อเรามองว่าไม่มีเราแล้ว มันเป็นแค่ธาตุขันธ์มารวมกัน แล้วในแง่กฎแห่งกรรม ทำไมยังมีเราครับ ต้องมองในแง่ไหนครับ

ตอบ : คำถามลักษณะนี้ แม้ในครั้งพุทธกาลก็เคยมีมาแล้ว ครั้งหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่ง ได้ฟังธรรมเกี่ยวกับขันธ์ ๕ แล้วก็สงสัยว่า “เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนัตตา, แล้วอย่างนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จะถูกต้องตนได้อย่างไร ? ”

พระพุทธเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้น จึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เป็นไปได้ที่คนเขลาบางคนในธรรมวินัยนี้ มีใจตกอยู่ในอวิชชา ถูกตัณหาครอบงำ อาจสำคัญว่า คำสอนของพระศาสดาเป็นสิ่งที่พึงคิดไกล ล้ำเลยไปได้ว่า

‘เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนัตตา, แล้วอย่างนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จะถูกต้องตนได้อย่างไร ? ‘

“เธอทั้งหลาย อันเราแนะนำอย่างถี่ถ้วนด้วยการทวนถาม ในข้อธรรมทั้งหลาย ในเรื่องราวทั้งหลายแล้ว จะสำคัญเห็นเป็นไฉน : รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”

“เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”

“สิ่งใดไม่เที่ยง, สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข ? ”
“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”

“สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือจะมองสิ่งนั้นว่า ‘นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นตัวตนของเรา ? ”
“ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

“เพราะเหตุนั้นแล รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ฯลฯ ก็เป็นแค่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงมองเห็นตามที่มันเป็น ด้วยสัมมาปัญญาอย่างนี้, อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้มองเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ ย่อมหลุดพ้น ฯลฯ
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ ย่อมไม่มี”

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ พระภิกษุนั้น พร้อมทั้งภิกษุอีกประมาณ ๖๐ รูป ที่ฟังอยู่ด้วยกัน ก็บรรลุพระอรหัตตผลในที่นั้น

(มหาปุณณมสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)

จากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อเห็นแจ้งอยู่ว่าขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนัตตา ความสงสัยเรื่องตัวตนที่จะมารับผลกรรมก็หมดไป

ที่เรียกกันว่า เรา เขา ชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นเพียงถ้อยคำสมมติ เรียกกันว่า สมมติบัญญัติ สมมติบัญญัติมีอยู่จริง แต่เป็นความจริงที่ถือตามความกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลก
ความจริงอย่างนี้เรียกว่า สมมติสัจจะ

ส่วนขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไม่ใช่เรา นี้เป็นความจริงโดยปรมัตถ์ เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

สภาวะปรมัตถ์เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามกฎไตรลักษณ์ การเกิดขึ้นและดับไปของสภาวะเหล่านั้น ก็เป็นไปตามปัจจัยต่าง ๆ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักธรรมใหญ่ที่แสดงความเป็นไปของชีวิตทั้งหมด ซึ่งลึกซึ้ง เข้าใจยาก และอธิบายยาก เมื่อจะอธิบายให้คนทั่วไปได้เข้าถึงง่ายขึ้น ก็นำเอาหลักธรรมส่วนย่อย
ของปฏิจจสมุปบาทมากล่าว นั่นคือหลักกรรม ที่นิยมเรียกกันว่า กฎแห่งกรรม ซึ่งเข้าใจง่าย อธิบายง่าย แยกกระบวนการออกเป็น ๓ วัฏฏะ คือ กิเลส กรรม และวิบาก

ที่ว่าอธิบายง่าย เพราะสามารถยกเอาเหตุการณ์หรือบทบาทของบุคคลมาเป็นตัวอย่างได้

เช่น เด็กหญิงหวึ่ง ติดเกมด้วยความมัวเมา แม่ห้ามก็โกรธ เถียงแม่ด้วยเสียงดัง เล่นที่บ้านแล้วถูกดุ ก็ขโมยเงินแม่จะไปเล่นที่ร้าน ป้าเห็นพิรุธ นำตัวมาสอบสวน ในที่สุด เด็กหญิงหวึ่ง
ก็ถูกตี…

เรื่องที่เล่ามา จะบอกว่า “เด็กหญิงหวึ่งทำกรรมชั่ว และได้รับวิบากที่ชั่ว” ก็ได้
ถ้าจะไปสอนเด็กหญิงหวึ่ง ก็อาจจะบอกว่า “เราเป็นทายาทแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” ก็ได้

แต่ถ้าพูดโดยปรมัตถ์ ก็เป็นเรื่องของกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ชุดหนึ่ง จิตที่ไม่มีปัญญา ประกอบด้วยโมหะ มีเสียงกระทบหู หมายรู้ว่าถูกตำหนิ ก็โกรธ จิตเริ่มแปรคุณภาพปรุงอุปกิเลสอื่นมาอีก เป็นหัวดื้อ กระด้าง แสดงออกมาเป็นวาจาก้าวร้าว ฯลฯ

คำสมมติต่าง ๆ จะมีจะใช้หรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อสภาวะปรมัตถ์

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐