Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

กรณีอาหารที่นำไวน์ บรั่นดี มาทำเหล้า โดยการเคี่ยวให้เหลือเพียง ๑ ใน ๑๐

ถาม : กราบนมัสการครับ
กรณีอาหารที่นำไวน์ บรั่นดี มาทำเหล้า โดยการเคี่ยวให้เหลือเพียง ๑ ใน ๑๐
ถือว่าเป็นส่วนประกอบอาหาร หรือว่าเป็น สุราเมรัยครับ ?

คนทำก็พยายามบอกว่า มันไม่มีแอลกอฮอล์อยู่แล้ว มีเพียงกลิ่นเท่านั้น แต่เขาจะเอามาใช้เพื่อปรุงรส
และ ดับกลิ่นอาหารเท่านั้น
ก็เอาว่า..มีคนรักผม อยากให้ได้ชิมของดี แต่ผมก็มัวคิดว่า..อาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม
เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้..
ก็ไม่วายถูกมองว่าถือศีลพรตที่ไม่ถูกต้อง
พระอาจารย์ช่วยวิสัชนาทีครับ ว่าอาหารจานนี้ผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่ ?

ตอบ : องค์ของศีลข้อ ๕ คือ
๑. ของที่ทำให้เมา เช่น สุรา เมรัย เป็นต้น
๒. จิตใคร่จะดื่มหรือเสพ
๓. พยายามดื่มหรือเสพ
๔. ของเมานั้นล่วงลำคอเข้าไป ถ้าเป็นการเสพวิธีอื่น เช่น ดูด ดม ฉีด ฯลฯ ก็นับตั้งแต่เข้ามาในร่างกาย
– สุราหยดเดียวก็ผิด
– สุราติดอยู่ปลายหญ้าคา ถ้ารู้อยู่ แล้วตั้งใจลิ้มเลีย ก็ผิด
– จะเพียว ๆ หรือผสมน้ำแข็ง ผสมโซดา ก็ผิด
(ไม่ได้ผิดที่น้ำแข็ง หรือโซดา แต่ผิดที่เป็นสุรา)
– ดื่มน้อยมีโทษน้อย ดื่มมากมีโทษมาก

ถ้าดูในพระวินัยของพระภิกษุ จะเข้าใจมากขึ้น
ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ มีพระบัญญัติว่า
“ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย”
ในบทบัญญัตินี้ ยังได้แจกแจงให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า
– น้ำเมา ภิกษุสงสัยว่า จะเป็นน้ำเมาหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
– น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่น้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
(แสดงว่า ต้องพิจารณาให้ดีก่อนดื่ม
จะแกล้งมั่ว โมเม หรือตีมึน ก็ผิดทั้งนั้น)
– ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าน้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด แต่อาบัติเบากว่า เรียกชื่ออาบัติว่า อาบัติทุกกฎ
– ไม่ใช่น้ำเมา แต่สงสัยว่า จะเป็นสุราหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม อย่างนี้ก็ต้องอาบัติทุกกฎ
(แสดงว่า จะรักษาศีลข้อนี้ได้สมบูรณ์ ก็ต้องเจริญสติดูจิตด้วย ของดี ๆ แต่จิตเสีย คือเข้าใจว่าเป็นของต้องห้าม หรือสงสัย
แล้วขืนดื่ม, ขืนกินไป ก็ผิด
สองข้อหลังนี้ ไม่ได้ผิดที่น้ำ แต่ผิดที่จิต!)

ถึงตรงนี้ ก็ต้องขอชมผู้ถาม ตอนที่บอกว่า
“…ผมก็มัวคิดว่าอาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้ …”
คิดอย่างนี้ แล้วปฏิเสธอาหารนั้น ก็เป็นวิธีรักษาศีลที่ปลอดภัย อานิสงส์ที่ได้คือ
จะมีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง สติก็ไวขึ้นด้วย

คราวนี้ก็มาเข้าประเด็น
คือในกรณีที่เป็นอาหาร หากมีสุราเจือปนลงไป เรากินอาหารจานนี้..จะผิดศีลข้อ ๕ มั้ย?
ก็มีคำอธิบายประเด็นนี้ ในตอนท้ายของสิกขาบทเดียวกันนี้ ระบุว่า
ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติในกรณีต่อไปนี้ คือ :-
๑. ภิกษุดื่มน้ำที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ำเมา แต่ไม่ใช่น้ำเมา
๒. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในแกง
๓. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในเนื้อ
๔. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในน้ำมัน (เป็นยาระงับลม)
ฯลฯ
ในข้อ ๒-๔ หมายถึง ใส่เพียงเล็กน้อย ไม่มากเกินไปจนมีสี,กลิ่น
และรสของน้ำเมาปรากฏ ถ้าใส่มากเกินไป ก็ไม่ได้
ทีนี้ ถ้าสงสัยว่า แค่ไหนพอดี? แค่ไหนเกินไป? ก็เลี่ยง.. อย่างที่ผู้ถามได้คิดและทำ ก็นับว่าปลอดภัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth) หรือการโกหกสีขาว (White Lies)

ถาม : การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth)
หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะเพื่อประโยชน์ตัวเอง
หรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น นั้น เป็นการล่วงศีลข้อมุสาวาท หรือไม่ครับ?

ตัวอย่างเช่น .. พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน)
ตำรวจจะมาจับไปนะ!”
หรือเพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือน เกือบแสน น่ะ”
(นี่เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน 12)
หรือเพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอกกับที่ประชุม อาสากับประธานว่า
จะทำโครงการนั้น โครงการนี้ มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำ
จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ.ก็ดีใจประกาศความสำเร็จ
ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง

จึงไม่แน่ใจว่าในตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เป็นการล่วงศีลในข้อมุสาวาท หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอความเมตตาพระอาจารย์ชี้แนะครับ

ตอบ : องค์ของศีลข้อมุสาวาท มีดังนี้
๑. เรื่องไม่จริง
๒. จิตคิดจะกล่าวคำไม่จริงนั้น
๓. พยายามกล่าวคำไม่จริงนั้น
๔. ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้น
คือแค่เข้าใจ แม้ไม่เชื่อ ผู้พูดก็ศีลขาดแล้ว
การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth)
หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะผิดและมีโทษเพียงใด ก็อยู่ที่เจตนา และผลเสียที่เกิดขึ้นจากการพูดนั้น
ผลเสียมาก ก็มีโทษมาก
…..

กรณีที่ ๑
พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน) ตำรวจจะมาจับไปนะ!”
– ถ้าคนแปลกหน้าที่ถูกชี้นั้นไม่ใช่ตำรวจ ก็ผิดศีล
– ถ้าเป็นตำรวจจริง ๆ แต่การนั่งของลูก (ที่ว่าไม่เรียบร้อยน่ะ) เป็นเหตุให้ตำรวจจับจริงหรือไม่
ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ แล้วพูดไป ก็ผิดศีล
– แม้ว่าพ่อแม่จะมีเจตนาเพียงจะสั่งสอนลูก แต่ถ้านำคำไม่จริงมาสอน ก็มีผลเสีย เช่น ทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าคนนั้นเป็นตำรวจ,
เข้าใจว่าเพียงนั่งไม่เรียบร้อยก็เป็นให้ถูกจับ, สร้างภาพในใจว่าตำรวจดุร้ายน่ากลัว เป็นต้น

ซึ่งก็จะส่งผลถึงทัศนคติ บุคลิกภาพ และการใช้ชีวิตต่อไป
นี่ยังดีนะ .. อาตมาเคยเดินผ่านโยมแม่-ลูก ลูกทำอะไรไม่ทันสังเกต ได้ยินแต่เสียงแม่ดุลูกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพระตี!” โถ.. มาใส่ร้ายพระ!
คงจะคิดผลักภาระให้พ้นตัว แต่ก็กลายเป็นกล่าววจีทุจริต
เลยต้องเลี้ยวไปปรับทัศนคติสักหน่อย

ตัวอย่างคำที่ควรพูดในกรณีที่ ๑ :
“นั่งให้เรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวถ้าจำเป็นต้องเบรก ลูกจะได้ไม่ล้มคะมำ จะได้ไม่เจ็บตัว”
“นั่งให้เรียบร้อยหน่อยนะจ๊ะ พ่อจะได้มีสมาธิขับรถ ถ้าต้องมาดูลูกบ้าง ดูถนนบ้าง เดี๋ยวมันจะเกิดอุบัติเหตุนะ”
เป็นต้น
คือหันมาใช้คำพูดในเชิงแนะนำด้วยเมตตา ไม่ใช่พูดสั่งห้ามที่ระคนด้วยความโกรธ
หรือพูดเอาง่าย..ด้วยการโกหกหลอกเด็ก
…..

กรณีที่ ๒
เพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือนเกือบแสน น่ะ” (นี้เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน 12)
– ถ้าเพื่อนตั้งใจอวดรวย แล้วพูดเพื่อให้เราเข้าใจว่า เขามีรายได้มากกว่าที่เป็นจริง เพื่อนก็ผิดศีล ข้อมุสาวาท
– ถ้าเพื่อนพูดอำเราเล่นๆ ก็เป็นพูดหยอกล้อ โทษก็เบากว่า
คือต้องดูที่เจตนา
…..

กรณีที่ ๓
เพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอกกับที่ประชุม อาสากับประธานว่า จะทำโครงการนั้น
โครงการนี้ มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำ
จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ.ก็ดีใจประกาศความสำเร็จ
ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง
กรณีนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า นาย ฮ. กล่าวมุสาวาท

นาย ฮ. อาจจะได้รับคำชมจากประธาน แต่เพื่อนร่วมงานก็จะรังเกียจ
และคาดว่า อีกไม่นาน..ความจริงก็จะปรากฏ
เมื่อถึงเวลานั้น.. ก็จะตกต่ำแบบไม่มีใครเห็นใจ! …..
ขอยกหลักการตรัสของพระพุทธเจ้า มาแสดงประกอบ เพื่อความเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้นว่า
เวลาเราจะพูดอะไรกับใคร ควรพูดหรือไม่ จะพูดอย่างไร พูดเมื่อไร

หลักนั้นมีดังนี้ :-
๑. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส
๒. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส
๓. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส
๔. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส
๕. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส
๖. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส

ขอแถมอีกชุด คือ องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต ได้แก่
๑. กล่าวถูกต้องตามกาล
๒. กล่าวคำจริง
๓. กล่าวคำอ่อนหวาน
๔. กล่าวด้วยจิตเมตตา

สรุปคือ
– เว้นมุสาวาท
– กล่าววาจาสุภาษิต
– เลือกเวลาที่เหมาะสม แล้วจึงพูดเฉพาะคำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ส่วนผู้ฟังจะชอบใจหรือไม่..
เราบังคับเขาไม่ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

สอบถามเรื่องการสวดมนต์แปล

ถาม : ผมขออนุญาตเรียนถามพระอาจารย์ว่า
เวลาผมสวดมนต์แปล บท
อะนิจจา วะตะ สังขารา – สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ…
อุปปาทะวะยะธัมมิโน – มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา…
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ – บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป…
เตสัง วูปะสะโม สุโข – การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุขฯ

ผมสงสัยว่า สังขารในที่นี้
หมายถึงร่างกาย หรือการปรุงแต่ง
วรรคแรกน่าจะหมายถึงร่างกาย ว่ามันไม่เที่ยง
ส่วนวรรคสุดท้าย การเข้าไประงับสังขาร หมายถึง ระงับการปรุงแต่ง หรืออย่างไรครับ

ตอบ : พระคาถานี้ แปลความได้ว่า
“สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นสุข” ดังนี้.

ท่อนแรกที่ว่า
“สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ” หมายความว่า สังขารทั้งหลาย
ซึ่งจะจำแนกเป็นขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๖ เป็นต้นก็ได้ ซึ่งนับเป็นความปรุงแต่งทั้งฝ่ายรูปธรรม
และนามธรรมทั้งหมดนั้น ชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งสิ้น
เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้ ถ้าจำแนกเป็นขันธ์ ๕ ก็เป็น :
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
ถ้าจำแนกเป็นอายตนะ ๖ ก็เป็น :
จักขุ (ตา) ไม่เที่ยง โสตะ (หู) ไม่เที่ยง
ฆานะ (จมูก) ไม่เที่ยง ชิวหา (ลิ้น) ไม่เที่ยง
กายไม่เที่ยง มโน (ใจ) ไม่เที่ยง

เพราะเหตุใดจึงไม่เที่ยง?
เพราะสังขารเหล่านั้นทั้งหมด
เป็น “อุปปาทวยธรรม”
คือ เพราะสังขารเหล่านี้ทั้งหมด
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วย และมีความเสื่อมเป็นธรรมดาด้วย ล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับทั้งนั้น
แล้วก็เพราะไม่เที่ยง จึง “เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป”
คือแม้จะเกิดแล้ว ถึงความดำรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะ
ก็ต้องดับทั้งนั้น ถ้าดูให้ละเอียดขึ้น
ก็จะเป็น “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้แม้ทั้งหมด
จึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ
เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยั่งยืน
ตั้งอยู่ได้ไม่นาน เป็นของชั่วคราว
ไร้สาระ เป็นเหมือนกับของหลอกลวง

ท่อนที่ว่า “เตสัง วูปะสะโม สุโข” จึงหมายถึงสภาพที่ชื่อว่าระงับเสียซึ่งสังขารเหล่านั้น
สังขารในท่อนนี้จึงมีความหมายเดียวกัน
คือ จำแนกเป็นขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๖ เป็นต้นก็ได้
ซึ่งนับเป็นความปรุงแต่งทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรมทั้งหมด
เพราะระงับดับเสียได้ซึ่งสังขาร ก็ระงับวัฏฏะทั้งมวล ก็ได้แก่พระนิพพาน
และพระนิพพานนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว ไม่ปรากฏลักษณะทุกข์เลย
สภาวะที่ยังเป็นความปรุงแต่งใด ๆ
ที่จะชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียวอย่างนี้ ไม่มีเลย!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙

“เข้าใจ” กับ “รับได้” นี่มันไม่เหมือนกันใช่ไหม?

ถาม : “เข้าใจ” กับ “รับได้” นี่มันไม่เหมือนกันใช่ไหม?
เข้าใจ ไม่ได้แปลว่า รับได้ แต่ก็แอบงงว่าถ้าเข้าใจจริง ๆ
มันยังต้องมีรับได้ตามมาอีกเหรอ ก็เข้าใจไปแล้ว มันก็คือจบแล้วไม่ใช่เหรอ ?

ตอบ : 555 โดยภาษา สองคำนี้ก็ต่างกัน
เข้าใจ ก็คือ รู้เรื่อง รู้ความหมาย
อาจจะหมายความคลุมถึงรู้เหตุรู้ผล รู้ที่มาที่ไป
ส่วน รับได้ ก็คือ ยอมที่จะรับได้ หรือสามารถรับได้
อาจจะทุกข์ หรือผิดหวัง แต่รับได้ .. ฉะนั้น
– ทั้งเข้าใจและรับได้ ก็มี
– เข้าใจแต่รับไม่ได้ ก็มี
– ไม่เข้าใจแต่รับได้ ก็มี
– ทั้งไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ก็มี
– ตอนไม่เข้าใจ..รับได้ แต่พอเข้าใจแล้วรับไม่ได้ ก็มี
– ตอนไม่เข้าใจ..รับไม่ได้ แต่พอเข้าใจแล้วรับได้ ก็มี
รับได้ บางทีก็จัดอยู่ในสมถะได้
เข้าใจ บางทีก็จัดอยู่ในปัญญาได้
ขึ้นอยู่กับว่า ที่เข้าใจนั้น
เข้าใจอะไร เข้าใจใคร เข้าใจระดับไหน
ใจหนอใจ !?!?

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๙

การพัฒนาจิต กับ การพัฒนาใจ ต่างกันอย่างไร

คำถาม-การพัฒนาจิต กับ การพัฒนาใจ ต่างกันอย่างไร -ไฟล์ 3.3.วิหารธรรม-เคอร์ฟิว-(570525)-ถาม-ตอบ

โยม: ไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง การพัฒนาจิต กับการพัฒนาใจ ต่างกันตรงไหนคะ

พอจ. กฤช:
โอ มันแล้วแต่คนพูดล่ะสิคราวนี้ ถ้าโดยทั่วๆ ไปนะ จิตกับใจแทนกันได้ เขาเรียกว่าเป็นไวพจน์เป็น
รู้จักไวพจน์ใช่มั้ย? งานบวชนี่จะได้ยินบ่อยๆ เลยใช่มั้ย นั่นมัน (ไวพจน์) เพชรสุพรรณ แล้ว ไม่ใช่นะ
ไวพจน์ แปลว่าคำที่ใช้แทนกันได้
มีความหมายแบบเดียวกัน

เรื่อง จิตกับใจ ก็คือเรื่องของนามธรรม ถ้าแบ่งชีวิตเป็นสองส่วน รูปธรรมกับนามธรรม ส่วนนามธรรมจะเรียกว่า จิตก็ได้ จะเรียกว่า ใจ ก็ได้ แต่ถ้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็ต้องดูบริบทของคำแล้ว บริบทของคำคือ คำที่แวดล้อมในขณะนั้นน่ะ ท่านอธิบายเรื่องอะไรอยู่
ถ้าอธิบายในแง่ของ จิตคือสภาพรู้อารมณ์ เจตสิกคือคุณภาพของจิต อย่างนี้ก็ต้องแยกกัน งงมั้ย? คราวนี้เลยไปไกล กลายเป็นอีกเรื่องแล้ว ใช่มั้ย

จิตคือสภาพรู้อารมณ์ ก็คือจิตที่ไปรู้รูปทางตา รู้เสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น รู้ (เย็น,ร้อน,อ่อน,แข็ง,ตึง,ไหว) ทางกาย
รู้ความคิดนึกทางใจ จิตโดยละเอียดแล้วมีหน้าที่อย่างนี้ ส่วนที่คิดนึก เป็นบุญ,เป็นบาป,เป็นกุศล,อกุศล,จิตดี,จิตไม่ดี
คุณภาพของจิตเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า เจตสิก
ถ้าเป็นตรงนี้ท่านก็จะมาสอนก็ต้องเลือกคน เลือกคนที่ว่าคือ เริ่มมีความเข้าใจ เริ่มเรียนคำสอน หรือเริ่มศึกษาเรื่องจิตมากขึ้น ท่านก็แยกย่อยว่า

ในส่วนของนามธรรมหรือจิตมันแยกออกไปได้อีกนะ แยกออกไปได้อีก
ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ เรียกว่า เวทนา
ความจำได้หมายรู้เรียกว่า สัญญา
ความปรุงแต่งเป็นบุญ,เป็นบาป,เป็นกุศล,เป็นอกุศลเรียกว่า สังขาร อย่างนี้
สามตัวนี้เรียกว่า เจตสิก ส่วนจิตคือ ตัวรู้อารมณ์เฉยๆ

แต่จิตรู้อารมณ์แล้วจะมีคุณภาพดีหรือไม่ดี มันขึ้นอยู่กับเจตสิกเหล่านี้ จิตเป็นบุญ,จิตเป็นบาป,อยู่ที่เจตสิก,จิตดี,จิตไม่ดี,จิตสุข,จิตทุกข์ อยู่ที่เจตสิก อย่างนี้
ส่วนจิตคือสภาพรู้อารมณ์ อีกส่วนเรียกว่าเจตสิก ถ้าเรียกเป็นขันธ์ก็ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
ทั้งสี่อันนี้รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกัน เป็นชีวิตส่วนนามธรรม
รูปธรรมนี้ยกไว้ต่างหาก คือรูป คือกาย ส่วนนามธรรมเนี่ยแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ จิตกับเจตสิก เจตสิกก็แบ่งย่อยๆ ไปอีกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร
แต่ทั้งหมดนี้เป็นนามธรรม รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกันๆ ไม่เกี่ยวกับรูปนะรูปเนี่ย เกิด-ดับช้ากว่า แต่จิตในส่วนนามนี้ เกิด-ดับพร้อม

เรียบเรียงจาก
ตอบโจทย์จากการแสดงธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ไฟล์แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๕-3.3.วิหารธรรม-เคอร์ฟิว -(570525) -ถาม-ตอบ ระหว่างเวลา๐๗.๔๐-๑๑.๒๖
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1UbE4iN

ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร

คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร -๔.พระสารีบุตร(580726) –CD บ้านจิต๗

โยม:
ถ้าต้องมีภาระทำงานหนัก หาเงินเลี้ยงครอบครัว บางครั้งขนาดไม่มีเงินสดติดตัว ต้องรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อข้าว
ในสภาพที่จิตใจ มันไปวิตกอยู่กับเรื่องปากเรื่องท้อง… ถามว่า ในสภาพที่แบบ “แร้นแค้น” อย่างนี้ จะภาวนาอย่างไร ครับ?

พอจ. กฤช:
แร้นแค้นเลยนะ ตรงนี้ต้องแยกเป็นสองเรื่องนะ
เรื่องภายนอกคือ ฐานะทางการเงินของเราก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องการทำใจก็อีกเรื่องหนึ่งนะ
ไม่ใช่ว่า ‘ให้ทำใจ’ อย่าคาดว่า พระจะตอบว่าให้ทำใจ! แล้วก็ไม่ต้องไปหาตังค์นะ เงินก็ควรหา ใจก็ควรทำ มันไม่ใช่ว่านั่งทำใจสบายแล้วเงินจะมาเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ

เบื้องแรกเลยสำหรับคน นักปฏิบัติอย่างเรา หรือไม่ใช่นักปฏิบัติก็ตาม แต่ถ้าเห็นว่ามีสองเรื่องที่จะต้องทำเนี่ยนะ
เรื่องแรกที่จะทำได้ทันที คือเรื่องทางจิตใจ ถ้ารู้ว่าขณะนั้นจิตตก
จิตตกเนี่ยนะเป็นภาษาชาวบ้านทั่วๆ ไป คือ เกิดอกุศลเกิดขึ้น มีความเศร้าหมอง ให้รู้ทันความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับใจ ขณะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือ..
ความเศร้าหมอง ส่วน ‘กูซวยจริงๆ’ อันนี้เป็นสำนวน ไม่มี ‘กู’ ไม่มีนะ และ ‘ความซวย’ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแกล้ง ตรงนี้ไม่มีใครแกล้ง ทำให้ต้องไปแก้ไข
ตามต้นเหตุ ตรงต้นเหตุเนี่ยนะ
ตรง ‘ต้นเหตุ’ ที่ว่าเนี่ย ต้องไปดูเอาเองว่า ในกรณีนั้นๆ ‘ ต้นเหตุความแร้นแค้น’ ที่เกิดขึ้นเนี่ย มันเกิดขึ้นจากอะไร?.. ไปแก้เอา ส่วนที่จะแก้เนี่ย
ให้แก้ด้วย ‘จิตที่เป็นกุศล’ อย่าเอาความเศร้าหมองหรือเอาความคับแค้นใจไปแก้
เพราะว่าในขณะที่เศร้าหมองและคับแค้นใจนั้นน่ะ มันเป็น ’จิตที่เป็นอกุศล’ ไม่มีปัญญา.. จิตไม่ผ่องใส ไม่เกิดปัญญา
ฉะนั้น.. ให้จิตมันผ่องใสพ้นจากอกุศลอันนั้นก่อน

วิธีพ้นจากอกุศลนั้น ง่ายๆ ก็คือ รู้ว่ามี ‘ความเศร้าหมอง’ เกิดขึ้น รู้ว่ามี ‘ความไม่สบายใจ’เกิดขึ้น แค่ตอน ‘รู้’ พ้นจากความเศร้าหมองพอดี เพราะว่า
ขณะที่รู้นั้น..มีสติ ..แล้วค่อยหาว่า เราจะแก้ไขปัญหาจุดนั้นอย่างไร
การแก้ไขเนี่ย บอกตรงๆไม่ได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะว่า แล้วแต่กรณี… กรณีอย่างนั้นอาจจะต้องไปปรึกษาคนโน้น บางทีอาจจะต้อง
ไปแก้ไขกระบวนการใช้ชีวิตของตัวเอง บางทีเราอาจจะใช้ชีวิตไม่เหมาะสมก็ได้ บางทีเราอาจจะไปหมกมุ่นในอบายมุขมากเกินไปก็ได้ ..อะไรอย่างนี้นะ!
มันไม่แน่ว่า ‘เราใช้ชีวิตด้านไหนผิดไป!’

พูดถึงอบายมุขนะ นึกถึงเรื่องๆหนึ่ง สมัยรัชกาลที่ ๓ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจฝืด เงินฝืด ข้าวยากหมากแพง แร้นแค้น ใช้อย่างนี้เลย ใช้คำนี้เลย “แร้นแค้น” ทำไมต้องแค้นก็ไม่รู้เนาะ.. มันแห้งแล้ง ปีนั้นแห้งแล้งมากขนาดที่ว่า ทำนาไม่ได้ผล ต้องซื้อข้าว เมืองไทยอ่ะ เมืองไทยต้องซื้อข้าวต่างประเทศมากิน
สมัยรัชกาลที่ ๓ นะ แห้งแล้ง ปรากฏว่าชาวบ้านก็เตรียมพร้อมในการรับมือ สภาวะเศรษฐกิจฝืดๆอย่างนั้นน่ะนะ เอาเงินฝังดิน ใส่ตุ่มฝังดิน ไม่ค่อยเอาออกมาใช้
ผู้บริหารสมัยนั้นก็มี

พอดีว่าในยุครัชกาลที่ ๓ เนี่ย ท่านติดต่อกับจีน มีคนจีนมารับราชการ มาปรึกษางานเมืองกัน ก็ถามคนจีน คนจีนก็เสนอขึ้นมาว่า
ถ้าเป็นเมืองจีนนะ ถ้ามีสภาวะอย่างนี้ คนเก็บเงินเอาไว้ไม่เอามาใช้เนี่ยนะ เงินมันไม่หมุนในเศรษฐกิจ สมัยนั้นยังไม่มีเศรษฐศาสตร์อะไรนะ แต่เขารู้ว่า
ถ้าทุกคนเก็บเงินแต่ละคนก็มั่นใจในตัวเอง แต่ว่าเงินในตลาดมันไม่หมุน

เงินในตลาดมันไม่หมุนเนี่ย เศรษฐกิจดูเหมือนไม่เฟื่องฟูและไม่ดี คนจีนมีวิธีที่จะเอาเงิน ที่เขาฝังไว้ในตุ่มให้เข้ากลับมาสู่ตลาด
ถามว่าเขาทำอย่างไร คนจีนทำอย่างไร?

คนจีนเปิดบ่อน สมัยก่อนเมืองไทยไม่มีบ่อนแบบนี้ อาจจะมีชนไก่ กัดปลา อะไรอย่างนี้นะแบบธรรมดามาก แต่ไม่มีบ่อนลักษณะที่ว่าเป็นทางการ
เขาบอกทำยังใง? เคยได้ยินคำว่า ‘หวย กอ ขอ’ มั้ย? .. เคยได้ยินมั้ย?
(ขณะนั้นมีโยมตอบว่า ไม่ ) …ตกประวัติศาสตร์!
เคยได้ยินมั้ย? หวย กอ ขอ เลิกไปนานแล้วล่ะ แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัย ร.๓

จะให้คนมาซื้อ ซื้อว่าหวยงวดนี้ออกอะไร แต่ไม่เป็นเลข จะเป็น ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก แต่ว่าสมัยนั้นเนี่ย เนื่องจากว่าเริ่มมาจากคนจีน ก.ไก่ ก็จะใช้ชื่อตัวละครของคนจีน ก.ไก่อะไรก็ไม่รู้นะ แล้วแต่จำไม่ค่อยได้ ห๊า? (มีเสียงโยมตอบ) ..กงซุน.. ไม่รู้นะ อันนี้ไม่รับรองนะ! ประมาณเป็นชื่ออย่างเนี้ย
ชื่อคนจีนน่ะเป็นชื่อคนจีน แล้วก็มีตัวละคร ๔๔ ตัว ตามอักษรของไทย

แต่ว่า ไอ้ ก. ข. ค. ง. จนถึง ฮ.นกฮูกเนี่ยนะ มีตัวละครเป็นตัวแทนในตัวอักษรตัวนั้น แล้วออกหวยเนี่ยนะ โหดมากเลย
ออกทุกวันๆ แทงตัวนึง ถ้าออกเนี่ยนะก็จะได้เงิน สมมุติว่าแทงบาทนึง สมัยนั้นคงไม่ได้เรียกเป็นบาทหรอก แทงบาทนึง อาจจะได้ ๒๐ หรือ ๔๐
ก็ประมาณอย่างนี้

แล้วจริงๆแล้วเนี่ย ความน่าจะเป็นในการที่จะออก ซื้อได้ตรงกับที่ออกเนี่ยนะ มันเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เขาคำนวณแล้วล่ะว่า
คนซื้อที่ถูกเนี่ยจะมีน้อย ไอ้คนที่ไม่ถูกจะมีเยอะ เอาเงินจากคนที่ไม่ถูก(หวย)มาจ่าย แล้วจ่ายไปแล้วเนี่ย จะมีกำไรกลับมา แล้วใช้เป็นสัมปทาน คือ
เจ้าของโรงพนัน โรงหวยเนี่ย จ่ายให้กับรัฐ สมัยนั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๓ เนี่ยนะ จ่ายให้กับรัฐ แล้วตัวเองได้กำไรเท่าไหร่นอกจากกำไรจากที่ส่งให้รัฐแล้วเนี่ย
ก็เป็นของนายบ่อนเจ้าของโรงหวย

เขาเรียกว่า หวย กอ ขอ อันนั้นไม่เป็นตัวเลข
ปรากฏว่า คนไทยตื่นเต้นกันมาก กับโรงหวยใหม่ๆอันนี้ ก็เพราะว่ามันแทงนิดนึง แล้วได้เยอะ ถ้าได้ก็ได้เยอะ
แต่เสียก็เสียนิดนึง รู้สึกว่าเสียนิดเดียว แต่รวมแล้ว เจ้าของโรงหวยเนี่ย กำไรมากมายเลย เงินที่แบ่งให้กับรัฐก็จำนวนหนึ่ง
แต่เงินกำไรเนี่ยเยอะกว่า

คนไทยก็เห็นว่า เห้ย กำไรเยอะนี่หว่า เปิดบ้าง ก็เลย เปิดบ้าง จากออกทุกวันๆละครั้ง ก็เป็นออกทุกวันๆละ สองครั้ง
ตอนเช้าหวยคนจีนตอนกลางคืนหวยคนไทย แต่คนไทยไม่ชำนาญทำไปทำมา เจ๊ง คนจีนฮุบกิจการ ออกเองเป็นสองครั้งต่อวัน มีบรรดาศักดิ์ให้ด้วยนะ
เจ้าของโรงหวยเนี่ยนะ ขุน ..เป็นขุนนะ ขุนบานเบิกบุรีรัฐ น่าเป็นมั้ย ห๊า?
คนไทยเรียก ขุนบาน.. ขุนบานเบิกบุรีรัฐ
เศรษฐกิจเริ่มเคลื่อน แต่เคลื่อนแบบอบายมุข คนไทยจนลงคนจีนนายหวยรุ่งเรืองขึ้น เงินที่ได้เข้ารัฐก็มีเหมือนกัน ผ่านมาถึงรัชกาลที่ ๖

รัชกาลที่ ๖ เห็นว่า เอ วิธีนี้ไม่ดี วิธีนี้เนี่ยนะ มันทำให้คนงมงาย แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ดูนะในหลวงรัชกาลที่๖
พอเสวยราชย์ แรกๆเนี่ย อยากจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้นเนี่ยนะ รัฐบาลก็มีค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจยังไม่ดี พระองค์เองมีทรัพย์ส่วนพระองค์
แต่ยังมีงานที่ต้องทำในเรื่องของส่วนพระองค์เหมือนกัน ส่วนพระองค์เนี่ยไม่ใช่ว่าไปจ่ายสำราญอะไรนะ คือ มีสิ่งก่อสร้างตกค้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕
ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินส่วนพระองค์นะ ไม่ใช่เงินแผ่นดินนะ ก็คือ

สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมอะไรอย่างงี้ ยังไม่เสร็จยังมีภาระในการใช้จ่าย กิจการต่างๆ กองเสือป่าอะไรประเภทนี้ยังต้องมีการใช้จ่ายอยู่ เงินในคลังส่วนพระองค์
ยังไม่พอ ท่านก็เลยจำยอมต้องให้เปิดโรงบ่อนไปก่อน พอครองราชย์ครบ ประมาณ ๖ ปี พอถึง ๖ ปีท่านตรวจคลังดูแล้ว พร้อม ท่านจ่าย.. ไอ้ค่า..ค่า
ที่โรงบ่อนจ่ายให้กับรัฐบาลน่ะ จ่ายเอง เหมือนจ้างให้เลิกโรงบ่อน

เพื่อให้คนไทยปลอดจากอบายมุข โดยที่รัฐบาลไม่เสียรายได้ด้วย แล้วท่านก็เจียดเงินส่วนพระองค์จ่ายให้ทุกปี
ในส่วนที่โรงบ่อนเคยให้กับรัฐบาล ดูนะ! นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ ๖ ที่ทำสิ่งดีๆ ให้กับประเทศ

แต่ถ้าใครคิดจะทำอีกเนี่ยนะ..แย่มากนะ! มันควรจะทำยังใง ที่จะชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ดี อย่ามาอ้างว่า ก็เขาทำกันมานานแล้ว ทำจนเป็นปกติแล้ว ก็ควรจะเปิดๆไปซะอย่างนี้นะ มันทำให้สอนจริยธรรมยากขึ้นนะ มันแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ตอนเนี้ยชี้ชัดๆ ได้เลยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด
ก็ควรจะจับมาลงโทษ ควรจะทำให้กฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่ไปยอมรับว่าสิ่งนี้ควรทำ

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ กว่าจะเลิกได้มันไม่ใช่ง่ายนะ จะไปเปิดใหม่นี่ จะใช้คำภาษาอังกฤษหรูๆ ถึงจะห่อดีๆแต่ข้างในคือ ขี้ ก็ไม่ควรเอา หรือว่าใส่ขวดหรูๆ
แต่ข้างในเป็นยาพิษเนี่ยนะ มันก็เป็นยาพิษอยู่ดี จะตั้งชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ จะเป็นคอมเพล็กซ์ (Complex)หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็คือ เป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยกับสังคมทั้งนั้นเลย ก็แยกให้ออกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดีอะไรไม่ดี แยกให้ชัดชี้ให้ชัด ถ้าไปถลำอยากจะได้เงินอย่างเดียวเนี่ยนะ
มันไม่คุ้มกับความเสื่อมเสียของสังคมที่ตามมา

คือ หลังจากเปิดบ่อนไปแล้วเนี่ยนะ คนที่ไม่เคยขโมยก็เริ่มขโมย เพราะตัวเองติดการพนัน คนที่ไม่เคยกินเหล้าก็ไปกินเหล้าเพราะว่าในโรงบ่อนก็จะมีอะไรที่มัน
พร้อมมูลไปหมด ยิ่งถ้าที่เขาจะทำ เป็นคอมเพล็กซ์ กาสิโน (Casino) อะไรพวกนี้นะ มันจะพร้อมไปหมดเลย ได้ไม่คุ้มเสีย และที่ได้ไม่ใช่รัฐบาล รัฐบาลอาจได้เล็กๆ น้อยๆเนี่ยนะ แต่ไอ้ที่ได้จริงๆ คือเจ้าของโรงบ่อน

เรียกว่า เจ้าของโรงบ่อน นั่นแหละที่ได้มาก

ตอบคำถามแล้วยืดเยื้อเลื้อยมาถึงเรื่องนี้ จริงๆ คือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่แฉลบออกมานิดนึง อย่าคิดในเรื่องแค่เงินทองอย่างเดียว ให้ดูที่มาของเงินทองนั้นด้วย เงินทองที่ได้มาถ้าได้มามากแต่เป็นผลเสียกับส่วนรวม ได้น้อยดีกว่า ได้น้อยแต่มั่นคงและประเทศชาติสงบ ร่มเย็นดีกว่า
แล้วการสอนลูกหลานมันสอนได้เต็มปากเต็มคำนะ ถ้ามายอมกับรายได้เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ เสียในเรื่องของจริยธรรมนี่นะ
มันทำให้สังคมเราไปยากขึ้น สงบสุขยากขึ้น

ส่วนใครจะทำ ประเทศเพื่อนบ้านจะทำ ก็ทำของเขาไป แล้วส่วนใหญ่ที่เขาทำนะ ก็มุ่งมาให้เราเล่น สังเกตดูว่ามันเปิดแถวๆ ชายแดนเรานั่นแหละ
อาตมารู้จักโยมที่เมืองจันท์ ชอบเล่น ก็จะไปเล่นที่ไอ้บ่อนชายแดนนี่ ไป แล้วก็ไม่ได้ดีสักคน มีสวนผลไม้ ร่ำรวยควรจะเป็นเศรษฐีนะ แต่ไปเล่นแล้วก็เสีย.. เสีย

ทั้งเงิน เสียทั้งลูกหลาน ตัวเองก็เสียไปด้วย เศร้าหมอง ไม่ดี ใครไปคลุกคลีด้วยไม่ดีทั้งหมดเลย แค่เดินดูว่ามีอะไรบ้างแล้วก็รีบกลับพอได้
เจ้ามือจะไม่ยอมให้เราได้แล้วกลับเลย จะให้เราเอาเงินที่ได้ไป มาจ่ายให้หมด

มีเทคนิคของคน เปิดโรงหวย อันหนึ่งนะ ตอนที่เล่าถึงว่าโรงหวยคนจีนมาฮุบกิจการโรงหวยคนไทย คนจีนมีเทคนิค.. นี่ไม่ได้ว่าคนจีนนะ… แต่ว่านายบ่อนคนนี้ เขามีเทคนิคว่า มันมีแทงตอนเช้ากับแทงตอนเย็นใช่ไหม ใครได้เงินตอนเช้า ถ้าเอามาแทงต่อตอนเย็น ถ้าถูกจะได้รางวัลมากขึ้น แล้วส่วนใหญ่ไม่ถูก ใช่มั้ย?

มันได้ตอนเช้านี่นะ ไอ้คนได้แล้ว บอกว่ามี option ถ้าแทงต่อ เอาเงินที่ได้ไปแทงต่อตอนเย็น จะได้รางวัลมากขึ้นจากเดิม เรียกว่า มันมีแจ็คพอต (Jackpot) ในรอบเย็น เงินได้จากตอนเช้าถ้าถูกแล้วไม่เอากลับบ้านนี่นะ เอาเงินนั้นมาแทงทั้งหมดนะ ต้องทั้งหมดด้วยนะ เอาเงินที่ได้ไปทั้งหมดมาแทง จะได้แจ็คพอต สำหรับคนนั้นถ้าถูก แล้วไม่เคยถูกเพราะว่าตอนออกนี่นะ มันไม่ได้มีการเอาผู้หญิงสวยๆ มาหยิบลูกปิงปองมาชูให้ดูอย่างนี้ มันแล้วแต่นายบ่อนจะหยิบเอง คนก็คือ

เล่นเกมทายใจนายบ่อน ว่าจะหยิบ ก. ข. ค. ง. นายบ่อนก็นึกสนุก จ้างคนใบ้หวย มีการใบ้หวยนะ คนก็นึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่จะรู้กันกับนายบ่อน ไม่รู้กันหรอก ไอ้คนใบ้หวยเขียนอะไรก็เขียนไป แต่คนเล่นหวยนึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่รู้ว่านายบ่อนจะออกอะไร คนใบ้หวยก็ ต้นพฤกษานานาพันธุ์ มีมวลสกุณาบินไปบินมา เขียนเป็นคำกลอนนะ สมมติว่าเป็นคำกลอนประมาณอย่างนี้ว่า มวลพฤกษานานาพันธุ์ สกุณาร้องเริงร่าอยู่ในพฤกษานั้น ประมาณอย่างนี้ คนเล่นหวยก็จะ ต้นไม้เหรอ ต.เต่ามั้ง สกุณาเหรอ นกสิ น.หนูมั้ง อะไรอย่างนี้นะ ที่ไหนได้ มันออก ป.ปลา กับ ร.เรือ ไอ้คนเล่นหวยก็ โธ่ กูว่าแล้วเลย เสียดาย ตีหวยผิด จริงๆ มันไม่ใช่

ต้นไม้ มันป่า มันควรจะเป็น ป.ปลา โอ้โห ตีหวยผิด สกุณาเราตีว่าเป็นนก น.หนู โอ๊ย ทำไมกูโง่อย่างนี้วะ จริงๆ มันคือ แร้ง ร.เรือ นี่ ดูซิ จริงๆ ไอ้สองคนไม่รู้กันเลย ไอ้คนใบ้เองก็ ต่างหาก ไอ้คนออก ก.ไก่ ข.ไข่ อีกต่างหาก นายบ่อนจะมาดูว่า ใครแทงอะไรมาก รู้แล้ว รู้อยู่แล้วว่าใครแทงอะไรมาก ไอ้ตัวถูกแทงมาก ไม่ออก ตัวไหนคนแทงน้อยจะออกตัวนั้น หวยล็อค

ฉะนั้นไม่เล่น อย่าไปเล่นนะ อย่าไปหวังร่ำรวย แก้ความแร้นแค้นของตัวเองด้วยการเข้าเรื่องการพนัน ไม่เอานะ เพราะว่ามันจะยิ่งล่มจม
แล้วก็ ถ้าสังคม คือ คนในที่นั้น เห็นดี เห็นงามกับการเล่นการพนัน สังคมนั้นก็จะล่มจม ไม่รุ่งเรือง ไม่เจริญ

ประเทศที่เจริญควรจะเป็นประเทศที่คนขยันทำมาหากิน ไม่ใช่ได้เงินจากความฟลุคๆ ที่เล่นการพนันนะ สังคมที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจึงจะมั่นคง
คนที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจากหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเองจะรวยอย่างมั่นคง ไม่ใช่รวยแบบฟลุคๆ อย่างที่เราเรียกกันอยู่เสมอว่า พวกสามล้อถูกหวย
อันนี้ไม่ได้ตำหนิสามล้อ หรือตำหนิใครนะ แต่ว่ามันคือ รวยแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วก็ไม่รู้จักการใช้เงินเพราะว่าได้มาง่ายๆ เมื่อได้ง่ายก็ใช้ง่าย
แล้วไม่รู้ว่าจะใช้อะไรควรบ้าง และมักจะใช้ในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อได้ง่ายก็เลี้ยงเพื่อน เมากัน ไปแจกจ่ายพริตตี้ อย่างนี้นะ
มันอยู่ในวงจรที่ไม่ดีเลย

ฉะนั้นเมื่อเราหาเงินด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละครั้ง มีหยาดเหงื่อและแรงกายลงไปนี่นะ จะเห็นคุณค่าของเงินและใช้อย่างมีค่าสมกับความที่ตัวเองได้มาด้วยความลำบาก ให้ได้มาด้วยหยาดเหงื่อดีกว่า ให้ได้มาด้วยความลำบากดีกว่า กว่าจะได้มาก็ลองผิดลองถูก ค้าขายแต่ละที กว่าจะได้กำไร หรือว่าตั้งตัวได้
มันลองผิดลองถูก ขาดทุนมาก็มากอะไรอย่างนี้นะ เห็นความยากลำบากในการหาเงิน แล้วใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าของเงินที่ได้มา อย่างนั้นดีกว่า

ตอบยาวจัง

เรียบเรียงจาก
ตอบโจทย์จากการแสดงธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ไฟล์ แผ่นซีดีบ้านจิต ๗-๔.พระสารีบุตร(580726) คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1Wl4Rt2

ความเชื่อเรื่องทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรม

ถาม : ความเชื่อเรื่องทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรม
จากเหตุการณ์ที่โยมประสบมา
คนที่โยมรู้จัก..เป็นคนที่ทำไม่ดีมาเยอะในอดีต
แต่พอตอนตาย..มีคนเอาบทสวด”อิติปิโสฯ”ไปให้ฟัง
คนนั้นเขาก็บอกว่า “คนที่ตายก็จะไปขึ้นสวรรค์ทันที”
ถ้าอย่างนี้ก็เป็นทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรมเลยก็ได้
แล้วเขายังบอกอีกว่า “ถ้าลูกชายบวชให้เขาตลอดชีวิต
ตนที่ตายก็สามารถพ้นบาปทั้งหมดได้”
โยมเลยสงสัยว่า ถ้าอย่างนี้ เราจะทำดีไปเพื่ออะไร
เพราะว่าแค่ตอนตายเราสามารถฟังบทสวดฯ
หรือคิดถึงพระตอนตาย ก็ทำให้เราสามารถขึ้นสวรรค์ได้
และถ้ามีคนบวชให้ คนตายก็สามารถพ้นบาปได้ทั้งหมด
ซึ่งเป็นทางลัดที่ง่ายมาก

ตอบ : ประเด็นแรก
ความเชื่อที่ว่า “คนใกล้ตาย..ถ้ามีใครสวด’อิติปิโสฯ’ให้ฟัง
คนนั้นตายไปก็จะขึ้นสวรรค์ทันที”นั้น
ก็ยังไม่ถูกแท้ เพราะยังต้องดูเงื่อนไขอื่นอีก เช่น
– คนใกล้ตายคนนั้น ศรัทธาพระพุทธศาสนาอยู่หรือไม่
ถ้าไม่ การสวดครั้งนั้นก็คงไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
อาจจะก่อความรำคาญหรือทำให้เกิดโทสะด้วยซ้ำ
– คนใกล้ตายนั้น พอเห็นพระมาสวดมนต์
หากเข้าใจว่าตนกำลังจะตาย ก็กลับมีจิตใจลนลานกลัวตาย
หรือโกรธญาติที่นิมนต์พระมา คิดว่า ‘พวกนี้มาแช่งเราให้ตาย’
อย่างนี้พอตายไปก็ย่อมไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะจิตเป็นอกุศล
ฉะนั้น จึงยังต้องพิจารณาว่า คนใกล้ตายนั้นยินดีด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สอง
“ถ้าลูกชายบวชให้เขาตลอดชีวิต ตนที่ตายก็สามารถพ้นบาปทั้งหมดได้”นั้น
อันนี้ก็ต้องดูว่า
ลูกที่บวชนั้นประพฤติตนอย่างไร?
และผู้ตายทำบาปอะไรไว้?
เช่น
– ถ้าลูกบวชแล้วประพฤติดี ผู้ตายทราบแล้วอนุโมทนา
ก็เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับผลบุญจากการอนุโมทนานั้นก่อนได้
แต่บาปที่ทำก็ยังรอให้ผลอยู่ ไม่ได้พ้นบาปทั้งหมด
– ถ้าลูกบวชแล้วประพฤติทราม ซ้ำผู้ตายก็ทำบาปหนัก
แม้ลูกจะบวชจนตาย ก็ช่วยอะไรผู้ตายไม่ได้
ตัวอย่างเช่น เรื่องเจ้าสุปปพุทธะศากยะผูกอาฆาต
พระศาสดา ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ คิดว่า
๑. ‘พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวเรา (พระนางพิมพา) ออกบวช’
๒. ‘ให้ลูกชายเรา (พระเทวทัต) บวช
แล้วตั้งอยู่ในฐานะผู้มีเวรต่อลูกชายเรา’
จึงแกล้งนั่งปิดทางเสด็จพระศาสดา
กรรมหนักอันนั้นทำให้ต้องถูกธรณีสูบ
พระเทวทัตก็บวชตลอดชีวิตนะ
คือบวชจนถูกธรณีสูบตายเหมือนกัน
ก็ไม่สามารถช่วยบิดาของท่านพ้นบาปได้เลยสักนิด
สรุปว่า เหตุกับผล..ต้องสมกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๘

ผมอยากไปเที่ยวภพภูมิทั้ง ๓๑ ชั้น ควรจะทำอย่างไรครับ?

ถาม : ผมอยากไปเที่ยวภพภูมิทั้ง ๓๑ ชั้น ควรจะทำอย่างไรครับ?

ตอบ : จะไปทำไมให้ครบทั้ง ๓๑ ชั้น?
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. การจะไปดูให้ครบทุกชั้นนั้น จะต้องไปชั้นที่เป็น’อบาย’ด้วยนะ
อยากไปนรกหรือ?
อยากไปเป็นเปรตหรือ?
อยากไปเป็นอสุรกายหรือ?
อยากไปเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือ?
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. เราก็เคยไปมาเกือบครบแล้ว
จะไม่เคยไปก็เพียงสุทธาวาส ๕ ชั้น เท่านั้น เพราะที่นั่นเป็นที่เกิดของพระอนาคามี
เราไม่ได้เป็นพระอนาคามี..ยังไงๆก็ไปเกิดไปดูชั้น’สุทธาวาส’นี้ไม่ได้
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. บางทีเราก็คิด’อยากเที่ยว’อย่างนี้มาหลายชาติแล้ว แต่ไปเกิดใหม่ทีไร..ก็ลืมชาติก่อนทุกที
แล้วก็คิดว่า “ทำอย่างไรจึงจะได้เที่ยวดูให้ทั่ว?” ทุกที
กลายเป็นความอยากที่ค้างคาใจไปตลอดสังสารวัฏ
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. แท้จริงแล้ว คุณภาพของจิตนี้นี่แหละ..ที่เป็นเหตุพาให้ไปเกิดในภูมิทั้งหลาย
ถ้าขณะใดโกรธ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์นรก
ถ้าขณะใดโลภ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเปรต
ถ้าขณะใดหลง..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน
ถ้าขณะใดมีศีล..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของมนุษย์
ถ้าขณะใดมีหิริโอตตัปปะ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเทวดา
ถ้าขณะใดเข้ารูปฌาน..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของรูปพรหม
ถ้าขณะใดเข้าอรูปฌาน..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของอรูปพรหม
…ฯลฯ…
ถ้าเราเจริญสติดูจิต..เราก็จะได้เที่ยวไปในภูมิทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เลย
ไม่ต้องรอให้ตาย-เกิด..อีกนับชาติไม่ถ้วน และหาที่สิ้นสุดไม่ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มีอัตตาในตัวเองมาก?

ถาม : จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มีอัตตาในตัวเองมาก?

ตอบ : “อัตตา”จริงๆไม่มีนะ มีแต่”ความเข้าใจผิด”ว่ามีอัตตา
คำถามนี้ ถ้าจะใช้คำให้ถูก ควรเปลี่ยนเป็นว่า
“จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มี’มานะ’ในตัวเองมาก?”
เพราะมานะ แปลว่า ความถือตัว ซึ่งเป็นอุปกิเลสตัวหนึ่ง
ที่เมื่อเจริญสติมาเห็นกิเลสตัวนี้ของตนแล้ว จะรู้สึกว่า เป็นกิเลสที่น่าอาย
แต่ถ้าคนอื่นเห็น แล้วจะไปทัก ก็ต้องมั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะรับฟัง
และถ้าจะให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ผู้ทักนั้นก็ควรเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้ถูกทักด้วย
ไม่เช่นนั้น อาจจะเกิดความผิดใจกันได้
กรณีนี้ ถ้าไม่มั่นใจ เราก็ดูกิเลสของเราเองดีกว่า

การอยู่ร่วมกันกับคนแบบนี้ ก็ให้รู้และเข้าใจ พร้อมทั้งให้อภัย
ในฐานะที่เราต่างก็มีกิเลสมีมานะด้วยกัน เห็นแล้วก็เจริญกรุณาว่า
“ดูสิ เขาน่าสงสารนะ มีมานะแล้วไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าบอกเขาด้วย..เพราะกลัวผิดใจกัน
เขาจึงต้องถูกมานะสร้างโทษทุกข์ให้เขาอีกนาน..”
คิดแล้วก็สงสาร ให้อภัยเขาได้ แม้เขาจะทำอะไรขัดหูขัดตาไปบ้าง

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘

เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ถาม : เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป
สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ตอบ : ช้าหรือเร็วไม่สำคัญนะ เอาเท่าที่รู้ได้
ฝึกรู้ตัวเห็นสภาวะอย่างนี้ไปบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ ชำนาญขึ้น
– ที่จริง แม้เราไม่มีสติ..โทสะก็ต้องดับอยู่แล้ว แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย
เช่น โกรธไอ้คนนี้อยู่..แล้วท้องเสีย ต้องรีบไปเข้าส้วม ตอนนั้นลืมโกรธไอ้คนนั้นไปแล้ว
ที่ยังโกรธไม่เลิก..เพราะยังคิดถึงไอ้คนนั้นไม่เลิก
พอคิดถึงส้วม..โทสะที่มีกับไอ้คนนั้นก็ดับ
กรณีอย่างนี้ จะเห็นว่า แม้เราไม่เห็นสภาวะโทสะอันนี้ สภาวะนี้ก็ดับอยู่ดี แต่จิตเราไม่ได้พัฒนาสติเลย
– ถ้าเห็นว่า “กูโกรธไอ้นั่น” หรือ “ฉันโกรธไอ้นั่น” หรือ “เราโกรธไอ้นั่น”
อย่างนี้เป็นสติแบบโลกๆ ยังไม่ได้มีสติในแง่ของ”สติปัฏฐาน”เลย
เพราะยังเห็นเป็น”กู” เป็น”ฉัน” เป็น”เรา” เป็น”ไอ้นั่น” อยู่
สติในสติปัฏฐาน..จะเห็นแค่สภาวะในใจ เช่น เห็น”โกรธ” เห็น”ฟุ้งซ่าน” เป็นต้น
– ถ้ามีโทสะ..แล้วเห็นโทสะ แต่ไม่ทันเห็นโทสะดับ..ก็รีบทำอะไรสักอย่างเพื่อดับมัน
..ขณะนั้นกำลังทำสมถะ!
ก็เห็นสภาวะโทสะนะ..แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ของมัน เพราะไปแทรกแซงมันซะก่อน
แล้วก็ทำสำเร็จบ้าง..ไม่สำเร็จบ้าง
– ถ้ามีโทสะ แล้วรู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตก็จะเห็นไตรลักษณ์ของโทสะ
จะเห็นแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ แล้วแต่จิตจะเห็น
อย่างนี้เรียกว่า..กำลังเจริญวิปัสสนา
– เคยเจริญวิปัสสนาแล้ว เดี๋ยวก็เผลอไปมีกิเลสได้อีก
เดี๋ยวก็ไปทำสมถะอีก
นานๆ จะเจริญวิปัสสนาสักที..อันนี้ธรรมดามากเลย! ไม่ต้องวิตก
แต่ให้ตั้งเป้าหมายไว้เสมอ..ว่า เราจะเจริญวิปัสสนา
คือเราจะ..”มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

ฟังและศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที ส่วนจริตอื่น ๆ คุมได้ (ราคะ, โลภะ, โมหะ , ฟุ้งซ่าน, หดหู่)

ถาม: ฟังและศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที
ส่วนจริตอื่นๆคุมได้ (ราคะ, โลภะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่)
***ตามสติเวลาเกิดโทสะไม่เคยได้เลย T_T
มีซีดี และวิธีปฏิบัติแบบไหนที่แนะนำมั้ยคะ?

ตอบ : ที่ว่า “ฟัง+ศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที”
แสดงว่าขณะนั้นเรามุ่งทำสมถะ
เพราะสมถกรรมฐาน คืองานฝึกจิตให้สงบ
ถ้าจะทำสมถะ ก็จะมีการคุม การกด การแก้
เช่น มีโทสะ ก็เจริญพรหมวิหาร เป็นต้น
คือนำเอาพรหมวิหารมาคุม มากด มาแก้ ให้โทสะดับไป
ซึ่งบางทีก็ทำสำเร็จบ้าง..ไม่สำเร็จบ้าง
ที่ไม่สำเร็จ..ไม่ใช่เพราะพรหมวิหารไม่ดี แต่เป็นเพราะเราฝึกมาไม่ดี
พอทำไม่สำเร็จ ก็ดิ้นรนกระวนกระวาย เดือดร้อนใจ
พอทำสำเร็จ ก็สบายใจ ดีใจ ภูมิใจ
แต่พอหมดกำลังของสมถะ โทสะก็เกิดอีก
ปัญหาคือ..พอโทสะเกิดบ่อย เราก็พลอยโกรธไอ้โทสะนั้นด้วย
ก็เลยรู้สึกว่า โทสะไม่ดับสักที
ทำไมจึงโกรธ?
เพราะเรามุ่งจะสงบ แล้วไอ้โทสะมันมาขัดขวางความสงบนั้น เราจึงไม่ชอบมัน
กลายเป็นโกรธซ้อนโกรธ
ทีนี้เอาใหม่..เราจะไม่ทำแค่สมถะ แต่จะทำวิปัสสนาด้วย!
วิปัสสนากรรมฐาน คืองานเจริญปัญญา ให้เห็นตรงต่อความเป็นจริง หมายถึงเห็นไตรลักษณ์
คือปรับเป้าหมายใหม่..ไม่ได้มุ่งที่ความสงบ แต่มุ่งที่จะรู้ตามความเป็นจริง
พอมีโทสะ ก็รู้
รู้เฉยๆ..ไม่แก้ ไม่กด ไม่คุม
แค่รู้..ก็จะเห็นเลยว่า..โทสะดับได้เอง
รู้ปุ๊บ..ดับปั๊บเลย! สังเกตดีๆ
อย่างนี้จึงจะโดยไตรลักษณ์ได้
อย่างนี้จึงจะเข้าใจสภาวะทั้งหลายตามที่ทันเป็นได้
ต้องกล้าๆ หน่อยนะ
กล้าที่จะไม่แทรกแซง
กล้าที่จะไม่แก้ ไม่กด ไม่คุม
แต่ถ้าเผลอไปแก้ ไปกด ไปคุม ก็ตามรู้ไปตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ
…….
“ตามสติเวลาเกิดโทสะไม่เคยได้เลย T_T
มีซีดี และวิธีปฏิบัติแบบไหนที่แนะนำมั้ยคะ?”

โถ..! เห็นใจนะ
ซับน้ำตา.. แล้วฟังซีดี “รู้ธรรม ๑” track 4 ก็ได้
ที่จริงก็ฟังได้ทุกแผ่น แต่เท่าที่ระลึกได้..แผ่นนี้พูดถึงความโกรธเยอะหน่อย
แนบลิงค์ที่พระอาจารย์แนะนำให้ฟัง
Track 04-0-ให้กรรมฐาน-ทำไงได้…ก้อมันโกรธ.mp3
http://bit.ly/1HXpUbs

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

การที่เรามีใจจดจ่อ อยากฟัง (ซีดีธรรมะ) ทุกวัน เเละรู้สึกมีความสุขในการฟังธรรม ถือว่าเกิดราคะ คือความอยาก หรือไม่ค่ะ?

ถาม : การที่เรามีใจจดจ่อ อยากฟัง (ซีดีธรรมะ) ทุกวัน เเละรู้สึกมีความสุขในการฟังธรรม ถือว่าเกิดราคะ คือความอยาก หรือไม่ค่ะ?

ตอบ : เราก็มาดูว่า ที่ว่า”อยาก”นั้น.. ขณะนั้นสภาวะในใจเราเป็นอย่างไร
ถ้าเป็นราคะ :-
๑. ราคะ จะมีลักษณะ”ยึดอารมณ์”
๒. ราคะ ทำหน้าที่ให้จิตติดหนึบในอารมณ์
๓. เราจะสังเกตได้จากการที่เราไม่อยาก
“จาคะ” อารมณ์นั้น
(ไม่อยากสละอารมณ์นั้น จาคะ=สละ)
๔. ราคะ มีอารมณ์ที่น่าพอใจเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
สี่ข้อนี้ ราคะ กับ โลภะ จะเหมือนกัน ใช้แทนกันได้
และสี่ข้อเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ครบหมดทั้งสี่ข้อนะ
อันนี้ว่าไปตามตำรา
แต่คำว่า”อยาก” ในภาษาไทย มีความหมายกว้างมาก
อาจจะเป็น “ฉันทะ” ก็ได้
ถ้าเป็นฉันทะ :-
๑. มีความปรารถนาเพื่อจะทำ (เช่นในที่นี้ ปรารถนาจะฟัง)
๒. ทำหน้าที่แสวงหาอารมณ์ (เช่นในที่นี้ แสวงหาซีดี)
๓. ผลจากการมีฉันทะ ก็จะทำให้มีความปรารถนาอารมณ์ด้วย
(เช่นในที่นี้ ก็ปรารถนาซีดี ปรารถนาเสียงบรรยายธรรมะ)
๔. มีอารมณ์ที่สามารถสนองความปรารถนานั้น เป็นเหตุใกล้ให้เกิด”อยาก”ที่เป็นตัณหาก็มี
ตัณหาจะอยากได้ผล แต่ขี้เกียจทำเหตุ เป็นอกุศล
แต่ฉันทะจะพอใจที่จะทำเหตุ ส่วนผลจะได้หรือไม่ ก็เป็นไปตามเหตุที่ทำ
เราก็หัดสังเกตดูสภาวะในใจ ว่าเป็นแบบไหน
บางทีก็สลับกันไปมาระหว่างกุศลกับอกุศล
– อยากฟังแล้วบรรลุเลย ไม่ต้องปฏิบัติ.. ก็เป็นตัณหา
– ฟังแล้วหลงเสียง ฟังแล้วเคลิ้ม.. ก็เป็นราคะ
– ฟังเพื่อศึกษา ฟังเพื่อให้ได้วิธีปฏิบัติ.. ก็เป็นฉันทะ
– ฟังแล้วเข้าใจ.. ก็เป็นกุศล เป็นปัญญาไปตามลำดับ
– ฟังแล้วภูมิใจว่าเราก็เก่งนะเนี่ย .. ก็เป็นมานะ
– ฟังไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่คุย .. อันนี้ฟุ้งซ่าน!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘

ดูจิตไหลเพื่ออะไร?

ถาม : ดูจิตไหลเพื่ออะไร?
ขออนุญาตค่ะ มีคำถามนะคะ แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าบางคนอาจจะ..
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะว่า..การที่พระอาจารย์หรือพระหลายองค์นี่ ที่พยายามที่จะสอนให้
โยมทั้งหลายนี้ ดูการเคลื่อนไหวของจิต เหมือนจิตไหล แต่วัตถุประสงค์จริงๆแล้วเนี่ย…
การดูจิตไหล กับการที่ทำให้จิตสะอาดหมดจดนี่นะคะ
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะ ว่าดูไปว่าจิตไหลเพื่อให้มันได้อะไร?
จากการที่เห็นจิตไหลนี่อ่ะค่ะ

ตอบ : จิตสะอาดสดใสหมดจดนี่เป็นเป้าหมายสูงสุด
แต่จะสะอาดหมดจดได้นี่ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ
คุณภาพที่เราต้องการคือจิตที่ตั้งมั่น
จิตที่ตั้งมั่นนี่ คนที่ไม่เคยทำก็จะทำไม่เป็น

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเป็น กันอยู่นี่คือ..
มันเคลื่อนไป ไหลไปหาอารมณ์ต่างๆ
นี่ทำเป็น ทำง่าย แต่ทำแล้วนี่
เช่นสมมติว่าจะดูดอกไม้ ก็ไหลไปหาดอกไม้ได้ง่าย
จะดูพระพุทธรูป ก็ไหลไปหาพระพุทธรูปง่าย
แต่สิ่งนั้นไม่เอื้อต่อการให้เกิดปัญญา ไม่เอื้อต่อการให้จิตบริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา
เพราะว่า ..จิตจะบริสุทธิ์มีปัญญาอย่างนั้นได้อ่ะ
ต้องเป็นจิตที่มีคุณภาพประกอบด้วย
กุศลธรรม ๓ ประการสำคัญๆ คือ
สติ สมาธิ และปัญญา
สติ จะมีได้จากการที่เราเห็นสภาวะ เช่น กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจ เห็นราคะ
เห็นโทสะ เห็นโมหะ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เห็นคนโน้น คนนี้ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ
สมาธิ มี ๒ แบบ คือ..
สมาธิที่ไหลไปเพ่งอารมณ์
กับ…สมาธิที่จิตตั้งมั่น
จิตตั้งมั่น หมายความว่ามันไม่ไหลไปหาอารมณ์
ที่ทำเป็นกันส่วนใหญ่ก็คือ..
ทำจิตให้ไหลไปหาที่ๆหนึ่งที่เราชอบ
ถ้าทำได้! ได้สมถะเป็นเรื่องดี เป็นกุศล
แต่ไม่พอ! ยังไม่เป็นจิตที่มีคุณภาพพอ ที่จะให้เกิดปัญญา ระดับที่ทำให้เกิดความเข้าใจและจิตบริสุทธิ์ เพราะว่าจิตจะเข้าใจเกิดปัญญา และเกิดความบริสุทธิ์ได้
ต้องเป็นปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อจิตไหลไปอยู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มันจะเห็นว่าอารมณ์นั้นเที่ยง
แล้วถ้ามีกิเลสขึ้นมา แล้วไม่ยอมใช้สติปกติดู
แต่หาอะไรก็ตามไปกลบให้กิเลสตัวนั้นดับไป
เช่นมีความโกรธแล้วเจริญเมตตาให้โกรธดับ
หรือว่าเห็นคุณความดีคนนั้นให้โกรธดับ อย่างนี้เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้กิเลสนั้นดับไป มีการกระทำเกิดขึ้น การกระทำอย่างนั้นเป็นลักษณะของการทำ
สมถะกรรมฐาน คือ..เกิดกิเลสขึ้นมา
แล้วหาทางสงบกิเลสด้วยการกระทำของเรา อย่างนี้เราจะไม่เห็นความจริงของกิเลส
คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกิเลส
เราจะรู้สึกว่ากิเลสเกิดขึ้นมา
เราสามารถทำให้กิเลสนั้นดับไปได้ หมายความว่า มันดับเพราะเราทำ มัน ไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นดับเอง
ไม่สามารถที่จะเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของความปรุงแต่งที่ไม่ดีเมื่อกี้ที่เกิดขึ้นได้
กลับกลายเป็นว่ากูเก่งด้วยซ้ำไป
อนัตตาไม่เห็น เห็นแต่อัตตาที่ใหญ่ขึ้น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่เห็น
อัตตาที่ใหญ่ขึ้นตรงนี้นะที่ว่า..กูเก่ง กูเก่งนี่ก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจึงไม่สามารถเข้าใจได้
จากการทำสมถะลำพังเพียงอย่างเดียว จึงต้องมีการทำสมาธิอีกแบบนึง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน
จิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต แต่วิธีนี้บอกกันแล้วให้ทำนะ!
เราก็ทำกันไม่เป็นทำยาก เพราะไม่คุ้นเคย
และไม่รู้จัก เมื่อไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก บอกให้ทำก็ทำไม่เป็น
เพราะไม่เคยทำและไม่รู้จัก
เหมือนที่เคยให้นึกหน้าแม่ของประธานาธิบดี
ประเทศ .. ประเทศอะไรดี?
วานูอาตู หรือ ประเทศบูกินาฟาโซ ตอนนี้ต้องเอาบูกินาฟาโซเพราะมีรัฐประหาร
เพราะว่าไม่รู้จัก ให้นึก นึกตอนนี้ นึกไม่ได้เพราะว่า..จิตไม่คุ้นเคย
เพราะฉะนั้นเอาสิ่งที่จิตมันคุ้นเคยมาทำ
จิตมันเคยทำอะไร?
จิตมันเคยไหล พอรู้ว่า รู้ว่าจิตไหล
สมมติว่านิ้วเนี่ย เป็นจุดหมายที่จิตจะไหลไป
พอมันไหลไปหานิ้วแทนที่จะไปดูนิ้ว เห็นความไหลของจิต ตอนนี้เห็นจิตพอดีอยู่กับจิตพอดี
เพราะฉะนั้นการเห็นความไหลของจิต
มันจึงไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันอยู่กับจิตพอดี ตอนอยู่กับจิตพอดีเรียกว่า…’จิตตั้งมั่น’
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบหนึ่ง ซึ่งที่เราต้องการก็คือสมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน
มันไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันตั้งมั่นอยู่กับจิต แล้วมันจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตนี่
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งต่างๆที่ปรุงแต่งได้
ไม่ใช่ตอนที่จิตเพ่งอยู่กับอารมณ์
นิ่งๆ สงบๆ อย่างนั้นไม่ใช่
จิตที่นิ่งที่สงบเป็นจิตที่ดีก็จริง
แต่ว่า ดีแบบ..ดีแบบ.. ดีแบบอะไร?
ดีแบบโลกๆ ยังเป็นโลกียะ เป็นสมาธิที่อยู่ในโลก แต่จะให้พ้นโลกไป
ต้องใช้สมาธิที่เห็นความจริงของโลก
ไม่ใช่เห็นว่าโลกดี ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้สงบ
ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข สุข สงบ ดี
กลายเป็นตัวล่อให้เราอยากอยู่ในโลกนี้ต่อ
เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แม้แต่ตัวจิตเอง ตัวจิตเองก็เกิดดับ
เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป
เพราะฉะนั้นเห็นว่ามันตั้งมั่นแวบนึงนี่ดีมาก!!
สำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า..
จิตที่ตั้งมั่นเองก็เสื่อมได้
มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ!
จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา
เข้าใจที่ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาเนี่ย
เป็นการเข้าใจระดับปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้นจะไม่เกิดมรรคผล
เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึกอย่าพอใจเพียงแค่ สงบ
เพ่งอารมณ์อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
แล้วสงบพอใจแค่นั้น ได้…กุศลก็จริง แต่ไม่พอแล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนาแล้ว ทำได้แค่ที่ฤาษีเค้าทำกัน
อย่างที่พระสารีบุตรบอกว่า..
ท่านเคยเป็นฤาษีมา ๕๐๐ ชาติ ชำนาญวิธีนี้มามาก
แล้วไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผลถ้าเกิดมรรคผลได้ท่านสำเร็จตั้งแต่ชาติแรกที่ทำได้แล้ว
แต่ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า เพื่อมาเรียน ลักขณูปนิชฌาน..

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘

ไม่ยื้อชีวิต

ถาม : ศิษย์มีเรื่องข้องใจอยู่หนึ่งเรื่อง ใคร่อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ขอรับ
ศิษย์เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ เห็นคนเกิด-ตาย มาก็ไม่น้อย ตายคามือศิษย์บ้างก็มี (ในขณะช่วยฟื้นคืนชีวิต) ในห้องฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยคนไข้หลากหลายประเภท

กระผมใคร่จะเรียนถามพระอาจารย์อยู่หนึ่งเรื่องครับ เมื่อพ่อ-แม่ คนไข้ของศิษย์นอนป่วยอยู่ อาการไม่มาทางเราแล้ว ศิษย์และคณะจึงคุยกับญาติในแผนการรักษา คือการรักษาแบบประคับประคอง คนไข้ก็นอนใส่ท่อช่วยหายใจ ก็ต้องบอกตรงๆว่า “เขาใกล้ตายแล้ว” จึงถามญาติว่า “สู้ไหม? สู้แค่ไหน?” คือถ้าญาติสู้ หมอและทีม ก็จะสู้ (ไม่ใช่สู้เรื่องเงินนะครับ แต่สู้ที่จะยื้อชีวิต สู้ที่ต้องเห็นพ่อ แม่ ญาติ นอนทรมาน) ถ้าญาติไม่สู้แล้ว ก็จะเซ็น NR คนไข้ คือไม่ต้องให้ยากระตุ้น ไม่ต้องปั๊มหัวใจ ถ้าหลังจากนั้นคนไข้อาการไม่ดีแล้ว เราสามารถยื้อได้ อาจจะปั๊ม หรือให้ยาในส่วนของการกระตุ้นหัวใจ หรือการช่วยชีวิตต่างๆ ถ้าญาติให้ NR คนไข้แล้ว ไม่ใส่ท่อเอย ไม่ปั๊มเอย ไม่ให้ยาเอย

ศิษย์ใคร่ทราบว่า ลูกที่ตัดสินใจแบบนั้น ถือเป็นการกระทำอนันตริยกรรมไหมขอรับ

แล้วเราเป็นคนที่จะช่วยให้เขามีชีวิตต่อไปได้ แต่กลับต้องนิ่งเฉย แบบนี้ เราเหมือนเป็นการไม่ช่วยชีวิตเขาไหมครับ

ศิษย์โง่เขลาเบาปัญญา จึงขอเมตตาพระอาจารย์ตอบข้อข้องใจแก่ศิษย์ด้วยเถิดขอรับ
ในทางการแพทย์ ถ้าสมองตายแต่หัวใจยังเต้นอยู่ ก็ยังถือว่ายังไม่ตาย คนบางคน ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ NR พ่อแม่ของตัวเอง เพราะคิดมาก กลัวจะเป็นอนันตริยกรรม จะปิดกั้นทางบรรลุธรรมตามคำสอนของพระศาสดา

ตอบ : เรื่องนี้คงตอบสั้นๆ ไม่ได้ เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีข้อที่น่าสงสัยแตกย่อยไปอีกหลายแง่ ต้องค่อยๆ ตอบไปทีละประเด็น  ตามความสามารถ(อันจำกัด)ของผู้ตอบ

Continue reading