ถาม : มีเพื่อนที่เรียนปริญญาโทเกี่ยวกับพุทธศาสตร์ท่านหนึ่ง กล่าวว่า “ตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ ศาสนาพุทธจะมีผู้ฉลาดพอจะเรียนรู้ได้ไปอีกเพียง ๕,๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล หลังจากนั้นจะไม่มีผู้รู้อีกเลยจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีก
สองพันปีแรกยังมีผู้รู้ขั้นพระอรหันต์ พันปีที่สาม หมดพระอรหันต์ ผู้รู้อย่างเก่งก็เพียงพระอนาคามี ….ปีนี้ ๒๕๖๐ เป็นช่วงพันปีที่สามหลังพุทธกาล ไม่มีพระอรหันต์แล้ว พันปีที่สอง มีแค่พระสกทาคามี พันปีที่ห้า เหลือเพียงพระโสดาบัน …”
โยมจึงอยากขอคำอธิบายในเรื่องดังกล่าวจากพระอาจารย์ …จริงหรือที่เราควรไม่เชื่อในศักยภาพของปัจเจกบุคคล… ถ้าจริง.. นั่นแปลว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๐๑ เป็นต้นมา ไม่เคยมีพระอรหันต์อุบัติเลยอย่างนั้นหรือ ?
ตอบ : เรื่องความเชื่อที่ว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี เท่าที่สำรวจดูในพระไตรปิฎก ไม่พบพุทธพจน์ที่ตรัสอย่างนั้นเลย !
แต่มีปรากฏในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ดังที่เพื่อนโยมนำมาอ้าง ก็มาจากคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายความในพระวินัยปิฎก ผู้เขียนคัมภีร์นี้คือท่านพระพุทธโฆสะ เขียนเมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๒๗ – ๙๗๓ ซึ่งเรื่องนี้ ในทางวิชาการพุทธศาสนาถือว่าโต้แย้งได้ เพราะถ้าคำอธิบายในคัมภีร์อรรถกถาขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ ให้ถือตามพระพุทธพจน์เป็นที่สุด
และตามหลักฐานในพระไตรปิฎก คำที่เพื่อนโยมอ้างว่า “พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้” นั้น ไม่มีอยู่จริง เป็นแต่เพียงคำของพระอรรถกถาจารย์
พระพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อยู่ใน “มหาปรินิพพานสูตร” ทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนที่สุภัททปริพาชก เข้าไปทูลถามว่า เจ้าลัทธิอื่น ๆ (หมายถึงครูทั้ง ๖ มี ปูรณกัสสปะ เป็นต้น) เขาเหล่านั้นทั้งหมดตรัสรู้แล้วตามอ้างหรือไม่
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“อย่าเลย สุภัททะ ข้อนั้นหยุดไว้ก่อน …
ธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้นไม่มีสมณะที่ ๑ (คือพระโสดาบัน) สมณะที่ ๒ (คือพระสกทาคามี) สมณะที่ ๓ (คือพระอนาคามี) หรือแม้สมณะที่ ๔ (คือพระอรหันต์), ธรรมวินัยใดมีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔,
ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้นที่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔, ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้.
ดูก่อนสุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”
ถ้าถือตามพุทธพจน์นี้ ก็หมายความว่า ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลายยังเป็นอยู่โดยชอบ โลกนี้ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่เสมอ ไม่เพียงแต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน ก็ย่อมต้องมีด้วยแน่นอน
เมื่อ ภิกษุทั้งหลายยังเป็นอยู่โดยชอบ และโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว ก็หมายความว่าพระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้เรื่อยไป ไม่จำกัดเวลาว่าจะต้อง
เป็น ๕,๐๐๐ ปี อาจจะเป็น ๕๐,๐๐๐ ปี หรือกว่านั้นก็ได้ เพราะเงื่อนไขอยู่ที่ “การเป็นอยู่โดยชอบของภิกษุทั้งหลาย” หรือถ้ามองในมุมกว้าง ก็คือ การเป็นอยู่โดยชอบของพุทธบริษัททั้งหลายนั่นเอง
ในทางตรงข้าม ถ้าพุทธบริษัททั้งหลายเป็นอยู่ไม่ชอบ พุทธศาสนาก็อาจจะดำรงอยู่ไมถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็ได้ เพราะพุทธบริษัททั้งหลายไม่รักษาไว้เอง
ในหนังสือเรื่อง “สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง” อาจารย์วศิน อินทสระ ได้เล่าว่า
“เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการจัดพิธีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษขึ้นในประเทศไทย เป็นงานใหญ่ ทำพิธีที่สนามหลวงหลายวัน
ในครั้งนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ประชุมพระเถระผู้ใหญ่รวมทั้งนักปราชญ์ได้ประชุมกันว่าจะใช้คำอย่างไร จะใช้คำว่า “ฉลองกึ่งพุทธกาล” หรือ “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” ถ้าใช้คำว่าฉลองกึ่งพุทธกาล ก็เป็นการยอมรับความคิดเรื่องพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี ว่าเป็นจริง
พระเถระในเมืองไทยตกลงใจว่าจะให้ใช้ “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความคิดที่ว่าพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ ปี ยอมรับแต่เพียง
ว่า บัดนี้พุทธศาสนามาถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ คือ ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ตอนนี้ก็เป็นพุทธศตวรรษที่ ๒๖ ต้น ๆ จะมีต่อไปเท่าไรก็ไม่ทราบ แล้วแต่ความเป็นอยู่โดยชอบของพุทธบริษัทมีได้แค่ไหน”
สรุปว่า นักปราชญ์ท่านถกกันแล้ว ท่านไม่ยอมรับเรื่องพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ ปี แต่ถือตามพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตรว่า “ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”
ผู้ที่เชื่อเรื่องพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี อาจกลายเป็นผู้ที่ถือในสิ่งที่แย้งกับพุทธพจน์ และอาจจะพลาดไปล่วงเกินพระอรหันต์ได้
คำสอนในพุทธศาสนา พระองค์ทรงมุ่งหมายสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จะนำมาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง แก้ไขปัญหาชีวิต และดับทุกข์ได้จริง เห็นผลได้ในชาตินี้
พุทธบริษัททุกท่านจึงควรหันมาฝึกให้เป็นผู้อยู่โดยชอบ ด้วยการฝึกอบรมตนในอริยมรรคมีองค์ ๘ ฝึกหัดปฏิบัติจนกระทั่งเป็นพยานในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยใจตนเอง
พระพุทธศาสนาจะอยู่ไปอีกกี่พันปี เราคงไม่มีชีวิตยืนยาวไปเพื่อพิสูจน์ และถึงแม้จะดำรงอยู่นานเท่าไร แต่ใจเรายังไม่ได้น้อมนำมาปฏิบัติให้เห็นจริง เราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรกับการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาเลย
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐