#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๔ #ปฏิจจสมุปบาท #ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ?? #ถาม : ปฏิจจสมุปบาท คืออะไรครับ? #ตอบ : ปฏิจจสมุปบาทนี่นะ เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ แล้วพระองค์เสวยวิมุตติสุขนี่นะ มีอยู่สัปดาห์หนึ่งพระองค์มาพิจารณาว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร? ก็เห็นว่าพระองค์ตรัสรู้ความจริงของโลก คือ ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ เป็นความจริงที่ว่า “สิ่งนี้มี..ทำให้อีกสิ่งหนึ่งมี” เรียกว่า รู้ความเป็นเหตุปัจจัยของทุกข์ และรู้ความเป็นเหตุปัจจัยของความดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทมี ๒ สาย สายหนึ่งคือสายที่ทำให้เกิดทุกข์ อีกสายหนึ่ง คือสายที่ทำให้ดับทุกข์ สายที่ทำให้เกิดทุกข์ พระองค์ก็เริ่มตั้งแต่มีอวิชชา อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ สฬายตนะ หมายถึง อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อายตนะภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ คือ ความคิดนึกปรุงแต่ง สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ เพราะว่า อายตนะภายนอก กับอายตนะภายในก็มาเจอกัน ผัสสะนี่ ก็คือ ต้องมีตัวรับรู้ด้วยนะ ตา กระทบ แสง แล้วต้องมีตัวรับรู้ คือ ตัววิญญาณ วิญญาณ ก็คือ ทำให้ผัสสะนั้นสมบูรณ์ ถ้ามี ตา กับ แสง กระทบกัน ไม่มีวิญญาณ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า ผัสสะ เป็นเพียงแค่ ตา กระทบ รูป แต่ไม่มีความรับรู้เกิดขึ้น เช่น ตาของศพ ตายใหม่ ๆ ยังมีตาอยู่แสงก็มี แหกตาศพมา แสงก็เข้าตา แต่ไม่มีตัวรับรู้ คือ ไม่มีวิญญาณ สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เวลาลมพัดมาก็มีผัสสะ เกิดขึ้นทางกาย ลมเย็น..ก็รู้ว่าเย็น เย็นแล้วก็เกิดสุข ก็รู้ว่า ไอ้เวทนาที่เป็นสุขนี่ เป็นผลมาจาก มีการสัมผัสหรือผัสสะกันระหว่าง ลม กาย และก็มีวิญญาณการรับรู้ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา เวลามีเวทนาเป็นสุข ก็ปรารถนาให้มีอีก มีเวทนาที่เป็นทุกข์ ก็ปรารถนาที่จะไม่ให้มี ตัณหานี่ มีได้ถึง ๓ แง่ คือ กามตัณหา อยากได้ อยากมี ภวตัณหา คือ อยากเป็น วิภวตัณหา คือ อยากพ้นไปจากสิ่งนั้น เรียกว่า อยากได้ อยากที่จะไม่ได้ อยากมี อยากที่จะไม่มี อยากเป็น อยากที่จะไม่เป็น รวมเป็น ตัณหา ทั้งหมดนะ! อยากได้ คือมีตัณหา ขึ้นมาแล้วน่ะ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด อุปทาน อุปทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น เพราะอยากได้ แล้วก็อยากจะให้มันอยู่อย่างนี้ และเป็นของเราด้วย ก็ยิ่งยึดเอาไว้ แต่ความจริงของสิ่งทั้งหลาย คือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือความจริงมันฟ้องอยู่ว่า มันรักษาไว้ไม่ได้ เหมือนกับของมันจะต้องหลุดมือไป ต้องรีบยึดสิ่งนั้นเอาไว้ เพราะกลัวมันจะหลุดมือ กลัวมันจะไม่ได้เป็นของเรา แต่ความจริง คือ มันไม่ใช่ของเรา และมันไม่เป็นเราด้วย ก็เลยรีบยึดเอาไว้ ตัวอุปทาน คือ มันต่อต้านกับความจริง ต่อต้านความเป็นจริงของโลกนี้ ของชีวิตนี้ ของธรรมชาตินี้ พอมีอุปทาน อุปทานอีกอย่างนึง คือ มีการแทรกแซง อุปทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ภพ ก็คือ การแทรกแซง การทำกรรมต่างๆ การทำกรรมต่าง ๆ เนี่ย ภพ มันมี ๒ แง่น่ะ ภพ ก็คือ เป็นแดนเกิด เช่น รูปภพ อรูปภพ อะไรอย่างนี้นะ ก็เป็นเรื่องของแดนเกิด แต่ภพอีกอย่างหนึ่ง คือเป็น กรรมภพ คือ การแทรกแซงการกระทำต่าง ๆ ด้วยเจตนา เช่น จิตเผลอไป..รีบดึงกลับมา นี่ก็คือ การแทรกแซง.. เกิดภพแล้ว ภพของนักปฏิบัติอย่างเนี้ย มีภพ ก็เกิด ชาติ ..คือการเกิด ชาตินี่ ก็มีชาติ มีการเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมา เกิดทีไรก็แก่ เจ็บ ตาย มีชาติ จึงมีชรา มีมรณะ พอมีชาติ ชรา มรณะ ก็ขัดแย้งกับความรู้สึกของบุคคลทั้งหลาย ของสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย ก็เกิด โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส สรุปแล้วคือเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นปัจจัยของสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อเนื่องกันมาจนกลายเป็นมีทุกข์ ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายที่ทำให้ทุกข์ดับ ก็คือ เพราะอวิชชาดับ ทำให้สังขารดับ และก็ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึง เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ชาติดับ ก็เป็นอันว่าทุกข์ดับ ความรู้อันนี้เป็นความรู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่า..พระองค์ตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้า ในคราวที่พระองค์เคยเสวยวิมุตติสุข ก็คือพระองค์ปรารภ พิจารณาธรรมะโดยพระองค์เอง อยู่พระองค์เดียวตามลำพัง ปฏิจจสมุปบาทเนี่ย พอพระองค์พิจารณาถึงธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาท พระองค์ก็ปรารภที่จะไม่สอน เพราะรู้สึกว่ายาก มันยากเกินไปที่สัตว์โลกจะมาทำความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ ก็ปรารภที่จะไม่สอน แต่ต่อมาพระองค์ก็พิจารณาเห็นว่าสัตว์โลกทั้งหลายเนี่ย ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ๆ ก็มี หมายความว่า มีกิเลสน้อย ๆ มีปัญญามากพอที่จะฟังคำสอนของพระองค์แล้วก็เข้าใจได้..มีอยู่! พระองค์พิจารณาอย่างนี้ โดยเปรียบกับบัวสามเหล่า เหล่าแรกก็คือ บัวที่พ้นน้ำแล้ว เพียงกระทบแดด ก็จะบาน บัวเหล่าที่สองก็คือ บัวอยู่ปริ่ม ๆ น้ำ รออีกไม่นาน ก็จะพ้นน้ำขึ้นมา แล้วก็กระทบแสงแดด ก็จะบาน บัวอีกเหล่านึงก็คือ อยู่ในน้ำ รออีกวันสองวัน ก็จะค่อย ๆ ชูดอกขึ้นมา แล้วก็พ้นน้ำ แล้วก็กระทบแดด แล้วก็บาน มีบุคคลสามประเภทนี้ ทำให้พระองค์ตัดสินใจที่จะออกมาแสดงธรรม บุคคลสามประเภทนี้ก็คือ เทียบกันกับบุคคลที่รู้ได้เร็ว ก็คือที่เป็นบัวพ้นน้ำแล้ว รู้ได้เร็วรองลงมา ก็เป็นประเภทที่อยู่ปริ่ม ๆ น้ำ คนที่ได้ยินได้ฟังธรรมะ แล้วก็ต้องฝึกฝนฝึกปรืออีกนานเลยนะ แต่ก็สามารถบรรลุธรรมได้ คนสามประเภทนี้ทำให้พระองค์ตัดสินใจที่จะแสดงธรรม ก็มองหาว่าควรจะแสดงให้ใครฟัง? เริ่มต้นก็ดูที่อาฬารดาบส อุทกดาบส ปรากฏว่าสองท่านนั้นสิ้นชีวิตแล้วไปเป็น “อรูปพรหม” ก็หมดโอกาสที่จะฟังธรรม เพราะไม่มีรูปแล้ว ก็หมายถึงว่า ไม่มีตา ไม่มีหู ไป..ก็ไม่เห็น พูด..ก็ไม่ได้ยิน เค้าเรียกว่าพูดง่าย ๆ ตามประสาปัจจุบัน เรียกว่า “ฟาว” หมดโอกาสที่จะมาฟังธรรม แล้วนึกถึงว่า “ใครล่ะ? ลำดับต่อไป” ก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ พอไปแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ “นี่เล่าแบบรัด ๆ นะ!” พอไปแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ แทนที่พระองค์จะแสดงธรรมปฏิจจสมุปบาท พระองค์ปรับคำสอนของพระองค์ให้เหมาะกับผู้ฟัง เพราะพระองค์ปรารภตั้งแต่คราวแรกแล้วว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องยาก ที่สัตว์โลกทั้งหลายจะมาฟังแล้วบรรลุธรรมได้ เวลาพระองค์แสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ พระองค์ไม่ได้แสดงปฏิจจสมุปบาทแบบที่พระองค์ปรารภตอนที่เสวยวิมุตติสุข ปรับหัวข้อในการแสดงธรรมเสียใหม่ เรียกว่า “อริยสัจ ๔ ” ที่ปรับเนี่ยไม่ได้ค้านกันกับปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่ทำให้มันง่ายขึ้น โดยเอาจุดที่น่าสนใจมาเป็นการนำเสนอ เช่น ปฏิจจสมุปบาทสายให้เกิดทุกข์นี่ จะไล่มาตั้งแต่อวิชชาจนถึงทุกข์นี่นะ น่าจะทำให้ยากเกินไปสำหรับผู้ฟัง พระองค์ก็หยิบเอาตัวปัญหา คือ “ทุกข์” มาเป็นประเด็นขึ้นมา เอาปัญหาขึ้นมาว่า “เรามีปัญหาอย่างนี้นะ!” คนฟังก็จะรู้สึกว่า “เออ! เรามีปัญหาอย่างนี้” “แล้วปัญหานี้ มันมีเหตุนะ!” “เหตุ” มันก็คือ มันตั้งแต่ต้นสายเลย ตั้งแต่ “อวิชชา” มาจนถึงก่อนจะเกิดทุกข์เนี่ยก็เป็นสาเหตุ จะว่าให้ยาว ๆ อย่างนี้มันก็ดูยากไป พระองค์ก็จับเอาตัวเด่น ๆ หลัก ๆ ที่เข้าใจง่าย คือหยิบเอาตัว “ตัณหา” ขึ้นมา เป็นตัวบอกว่า นี่คือ “สมุทัย” เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ แต่มันแยกให้เป็นสองข้อ เป็นข้อทุกข์ และก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และก็ไม่ได้เอามาตลอดทั้งสาย เอาแต่ตัวเด่น ๆ มา เอาตัว “ตัณหา” ซึ่งทำความเข้าใจได้ง่ายหน่อย ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายให้ดับทุกข์ พระองค์ก็ไม่ได้ว่าทั้งสาย หยิบเอาภาวะที่พ้นทุกข์คือปลายทาง มาเป็นตัวตั้งว่า..นี่เป็นเป้าหมาย ที่เราจะต้องไปให้ถึง ไปแสดงให้กับปัญจวัคคีย์ ให้เห็นว่า “มีทุกข์นะ!” นี่อริยสัจข้อที่หนึ่ง “มีเหตุแห่งทุกข์นะ!” นี่อริยสัจข้อที่สอง คือ สมุทัย และข้อที่สามคือ ชี้ให้เห็นเป้าหมายว่า “ต้องให้ถึงทางดับทุกข์นะ!” ส่วนข้อที่สี่ อันนี้แหละเป็นพระปัญญาของพระองค์ ในปฏิจจสมุปบาทเนี่ย ยังไม่ได้บอกวิธีการปฏิบัตินะ แต่เวลาพระองค์จะแสดงธรรม เพื่อให้คนไปให้ถึงปลายทาง คือความพ้นทุกข์ให้ได้เนี่ย พระองค์ก็หยิบเอาความรู้ที่พระองค์รู้แล้วเนี่ยมาปรับ แล้วก็บอกสอนว่าควรทำอย่างไร? ก็กลายเป็นว่ามีแนวสำหรับให้คนได้ฝึก เพื่อให้ถึงปลายทางก็คือ มรรคมีองค์แปด มรรคมีองค์แปดเนี่ย สอนกับพระปัญจวัคคีย์ แต่เวลาสอนกับคนอื่นหรือบุคคลอื่นนี่นะ อาจจะสอนเป็นไตรสิกขาก็ได้ “ไตรสิกขา คงเคยได้ยินนะ!” ก็คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา จริง ๆ ก็คือ มรรคมีองค์แปดที่ย่อเหลือสาม เวลาสอนกับพระภิกษุนักบวชก็สอนไตรสิกขา สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เวลาสอนกับชาวบ้านก็ปรับใหม่ให้เหมาะกับผู้ฟัง ก็กลายเป็น ทาน ศีล ภาวนา ก็คือ เป็นการปรับมรรคมีองค์แปดเนี่ยมาเป็นสามข้อ ให้เหมาะกับชาวบ้าน สรุปแล้วคือ ปฏิจจสมุปบาท ถ้ารู้สึกว่ายาก “ไม่เป็นไร! ธรรมดามากนะ” ให้มาเรียนอริยสัจ ๔ ก็ได้ เรียนอริยสัจ ๔ ก็มาทำความเข้าใจว่า..กิจในอริยสัจ ๔ นี่ ควรทำอะไรบ้าง? ทุกข์..ควรรู้ สมุทัย..ควรละ นิโรธ..ควรทำให้แจ้ง มรรค..ควรเจริญ ถ้าเรียนอริยสัจ แล้วไม่มาถึงกิจในอริยสัจนี่นะ เรียกว่ายังไม่จบ มันไม่ได้ทางปฏิบัติ กิจในอริยสัจ คือ ทุกข์..ควรรู้ เวลาเกิดอะไรเกิดขึ้นในชีวิตนี้ กายนี้ ใจนี้..แค่ รู้ แต่ถ้ามันเริ่มเป็นตัณหา คือ มีแรงขับดันผลักดันให้เราต้องทำอะไร ด้วยเจตนาดีบ้างไม่ดีบ้างนี่นะ ส่วนใหญ่ตัวปัญหา คือ เจตนาไม่ดี เป็นตัวตัณหาขึ้นมาเนี่ย.. ให้รู้ ..ไม่ใช่ รู้ อย่างเดียว รู้แล้ว..ต้องละมันด้วย ไม่เอามัน ไม่ตาม ส่วนนิโรธ คือนิพพานเนี่ยไม่ใช่ไปปรุง(แต่ง) แต่ทำมรรคให้เจริญ แล้วก็ไปรู้ตัวนิโรธขึ้นมาเอง นี่ว่าคร่าว ๆ เทียบเคียงให้เห็นกันระหว่าง ปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ ๔ เพื่อให้เห็นแนวทางการปฏิบัติ ให้เข้าถึง ให้เป็นประโยชน์ต่อพุทธบริษัทด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/J_UdRcRcHj0 (นาทีที่ 50:52 – 1:05:50 ) Shortlink: November 27, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine