#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๒ #ทำไมฌานเสื่อมง่ายจัง! ?? #ถาม : โยมทำอานาปานสติได้ฌาน แต่คราวนี้พอไม่ได้ทำฌาน ๓ วัน ฌานเสื่อม ทำไมฌานมันเสื่อมง่ายจังเลยคะ? #ตอบ : ฌาน ก็เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่งซึ่งเกิด-ดับ ฉะนั้น จะทำให้มันไม่เกิด-ไม่ดับเนี่ย ทำไม่ได้! ทำได้อย่างเดียว คือ ทำให้ชำนาญ ทำให้ชำนาญ คือ ทำบ่อย ๆ ทำครั้งเดียวแล้วจะให้มันมีอายุยืนยาวนานเนี่ย..ไม่พอ ต้องหมั่นทำ ทีนี้เวลาจะหมั่นทำเนี่ยนะ! เคยได้แล้ว อย่าอยากได้อีก เพราะความอยากจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ไม่ได้ ตอนที่ทำได้ครั้งแรกเนี่ยไม่มีความอยาก แค่จิตไปแตะรู้อารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ อารมณ์ที่เคยทำนั่นแหละ ทำแบบเดิม ส่วนไอ้ตัวเพิ่มเติม คือ ความอยากเนี่ย..ไม่ต้อง ไม่ต้องไปเติม ทำบ่อย ๆ ทำให้ชำนาญ แล้วก็ให้เห็นว่า มันเป็นธรรมดาของความปรุงแต่งทั้งหลายที่มันเกิดแล้วดับ ฉะนั้น เวลาฌานเสื่อมไป ก็ธรรมดา “ฌาน” ก็เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่งซึ่งเกิด-ดับ เราบังคับไม่ได้ เราทำได้เพียงทำเหตุ คือ ฝึกบ่อย ๆ ถ้าอยากให้มีฌานอีก ก็ฝึก เอาจิตไปรู้อารมณ์ที่จิตชอบแบบสบาย ๆ รู้อารมณ์ที่สบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ นึกออกไหม? อย่างที่เคยทำนั่นแหละ ในเมื่อฌาน มันแสดงความจริงแล้วว่ามันไม่เที่ยง ก็ให้รู้มันตรง ๆ ไปเลย ถ้ารู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์..ความเสียดายเนี่ย อยู่ที่จิต ก็รู้ทันไปเลยว่า..เมื่อกี้มีความเสียดายอาลัยอาวรณ์กับสภาวะ คือฌานที่เกิดขึ้นดับไปเมื่อกี้นี้ อยากได้ฌานอีก..ให้รู้ทันความอยาก อย่าทำฌานตามความอยาก เพราะจะไม่ได้ เพราะความอยากที่ว่าอยากได้ฌานเนี่ย เรียกว่าเป็น “ตัณหา” ตัณหาไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดฌาน แต่ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ให้รู้ทันตัวตัณหาคืออยากได้ฌานนั้นด้วย รู้ทันแล้ว..ทำยังไงต่อ? ก็เคยทำยังไง ก็ทำอย่างนั้นแหละ! เคยรู้อะไร ก็รู้สิ่งนั้นด้วยใจสบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ เคยรู้ลมหายใจ..ก็รู้ลมหายใจแบบสบาย ๆ เคยบริกรรม “พุท-โธ” ..ก็บริกรรม “พุท-โธ” แบบสบาย ๆ เคยหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” ..ก็หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อย่างสบาย ๆ ตอนรู้อารมณ์แบบสบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ นี่นะ! จิตจะมีความสุขเอง พอมีความสุขอยู่กับอารมณ์นั้น..จิตก็อยู่กับอารมณ์นั้นได้นานเอง ถ้ามันไม่อยู่ มันดิ้นไป มันไม่ยอม..เรียกว่า จิตอยู่ไม่สุข จิตดิ้นไปหาอารมณ์นู้นอารมณ์นี้..ให้รู้ทันไปเลยว่า จิตมันฟุ้งซ่าน เห็นความฟุ้งซ่านให้เป็นประโยชน์ อย่าให้เห็นความฟุ้งซ่านว่าเป็นศัตรู เห็นความฟุ้งซ่านเป็นประโยชน์ ก็คือว่า เห็นความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาจริงๆ รู้ทัน ความฟุ้งซ่าน..ความฟุ้งซ่านดับ นึกออกไหม? บางทีอาจจะเกิดแบบนี้นะ เนื่องจากคนเคยได้แล้วเนี่ย มักจะอยากได้อีก พออยากได้อีก ก็ทำด้วยตัณหา พอไม่รู้ตัณหานี่นะ มันก็จะไม่ได้นะ ถ้ารู้ทันตัณหาได้ ก็จะง่ายขึ้น ที่นี้ถ้าทำตามตัณหาไป มันก็จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จิตก็จะฟุ้งซ่าน เพราะว่าตัณหาเป็นตัวแปรที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งทำให้ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เหมือนทำเคมี สูตรผสมเคมีมันเปลี่ยนไป มีตัณหาปนเข้ามาเนี่ย ก็ผิดสูตร จะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ฉะนั้นตอนไม่ได้ผล เกิดหงุดหงิด..ให้รู้ทัน ความหงุดหงิด มันฟุ้งซ่าน..ให้รู้ทัน ความฟุ้งซ่าน นึกออกไหม? ไอ้ความหงุดหงิด ความฟุ้งซ่าน..ก็เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น ให้รู้ทันไป แต่ตัวเบื้องหลังจริง ๆ ที่ทำให้ไม่ได้ผล ก็คือ ตัวตัณหาอยากได้เหมือนเดิม ให้รู้ทันกิเลสที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ ตอนต้นนี้ก่อน ไม่งั้นแล้วมันจะทำตามตัณหาอยู่เรื่อย ๆ รู้ทันกิเลสเบื้องต้น ที่เป็นแรงผลักดันให้ทำตัวนี้ขึ้นมาแล้วนี่นะ คราวต่อไป มันก็จะทำอย่างที่ไม่ต้องมีตัณหาตัวนี้ พอทำอย่างไม่มีตัณหาตัวนี้เนี่ย บางทีก็จะเกิดจิตที่ฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก ให้รู้ทัน ฟุ้งซ่าน..ฟุ้งซ่านจะดับไป ความฟุ้งซ่านก็แสดงความจริงด้วย ไม่ใช่รอให้มีความสงบ แล้วจึงดู ความฟุ้งซ่าน ก็แสดงความจริงด้วย แสดงไตรลักษณ์ให้ดูได้ แสดงความไม่เที่ยงให้ดูได้ แสดงความเป็นอนัตตาให้ดูได้ จิตที่รู้..ก็เกิด-ดับด้วย ไม่ต้องไปประคอง ไม่ต้องไปรักษา จิตรู้เอง..ก็เกิด-ดับ ทั้งจิตดีและจิตไม่ดี..ก็เกิด-ดับให้ดู ปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะไม่ได้เห็นของจริงของสิ่งนั้น! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/edpg2OijZDM (นาทีที่ 1:38:58 - 1:44:25) Shortlink: December 17, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine