#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ธรรมะสว่างใจ #เอาความตายเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ประมาท #ชีวิตสมสีสี ?? #ถาม : ตายแบบไหนจึงจะไปเกิดในที่ดี ๆ ดูรูปพระพุทธรูปที่บ้านได้ไหม แล้วตายแบบไหนที่จะไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแก ? #ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่าเวลาเรานึกถึงพระแล้วนึกด้วยใจแบบไหน ? เวลานึกถึงพระพุทธรูป นึกแบบไหน ? ถ้าเห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกเลยไปหาพระพุทธเจ้า.. “พระพุทธเจ้ามีพระคุณอย่างนี้ อย่างนี้.. อิติปิโส ภะคะวาติ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.” เห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกให้ถึงพระพุทธเจ้า.. อย่างนี้ได้ เห็นพระพุทธรูปแล้วศรัทธา มีความเลื่อมใส นึกไม่ต้องมากก็ได้ แค่ว่า ‘พุทโธ.. พุทโธ.. พุทโธ..’ ก็ยังได้ แต่ถ้านึกเห็นภาพพระพุทธรูปที่บ้านเรา.. ‘องค์นี้แพงมาก เช่ามาตั้ง ๓ ล้าน’ คิดอย่างนี้ แล้วตายไป..ไม่ไปเป็นเทวดา ‘เสียดาย ! เสียดายพระพุทธรูปองค์นี้’ ! เคยมีเรื่องหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯ เคยทรงเล่าเอาไว้.. คน ๆ หนึ่งตายไป เพื่อนก็รู้ว่า เพื่อนคนนี้ที่ตายไปสะสมพระพุทธรูปไว้เยอะ ก็อยากจะดู ห้องพระของเขาใหญ่มาก ห้องพระใหญ่ สะสมพระไว้เยอะ พระรุ่นนั้น รุ่นนี้ สมัยนั้น สมัยนี้ .. ปรากฏว่าระหว่างที่ชมพระพุทธรูปอยู่นั้น มีงูเห่า ไม่รู้มาอย่างไร อยู่ในห้องพระนั้น ! ชูหัวขึ้นมา แผ่แม่เบี้ยด้วย !! พระราคาแพง ๆ ทั้งนั้นเลย เพื่อนก็ไหวตัวทัน รู้เลยว่า ..’เพื่อนเราน่ะ.. คงจะหวง’ ก็เลยพูดกับงูว่า “เพื่อน.. เรามาขอชมบารมีเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะเอาพระพุทธรูปองค์ไหนเลย มาขอชมบารมี.. ขอดูสิว่าเพื่อนสะสมอะไรไว้บ้าง โอ้โห ! พระดี ๆ ทั้งนั้นเลย พระมีคุณค่าทางศิลปะ มีคุณค่า มีความงาม มีคุณค่าในแง่ของความเก่าแก่ โอ้! ดี ๆ ทั้งนั้นเลย.. มาขอชมบารมีเท่านั้น ! ไม่ต้องห่วง เราจะไม่แตะไม่ขยับพระองค์ไหนเลยสักองค์หนึ่ง” พอพูดกับเพื่อนไปอย่างนั้นนะ งูตัวนั้นจากแผ่แม่เบี้ย ก็หด มุดหายไปตรงไหนก็ไม่รู้ ตัวอย่างอันนี้ก็เรียกว่า แม้นึกถึงพระ..แล้วก็ยังไม่แน่ ! นึกถึงพระแล้ว อาจจะไม่ใช่จิ้งจกก็ได้ อาจจะเป็น “งูเห่าหวงทรัพย์” อยู่ในนั้นก็ได้ แต่ถ้านึกเพียงแค่ว่า ‘บ้านเราเป็นอย่างไรหนอ ?’ “ห่วงบ้าน” ‘บ้านเราจะมีใครเฝ้าไหมหนอ ?’ คิดอย่างนี้นะ ก็อาจจะไปเป็นจิ้งจกเกาะตามฝาผนังบ้าน ก็แล้วแต่.. เลือกได้นะ เราจะเลือกไปเป็นอะไร ? จะไปเป็นงูเห่า? จะไปเป็นจิ้งจก? หรือจะไปเป็นเทวดา? หรือจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอริยะ? แค่นึกถึงพระพุทธรูป แต่นึกถึงด้วยลักษณะต่างกัน ผลก็ไม่เหมือนกันนะ นึกถึงพระพุทธรูปแบบระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ก็แบบหนึ่ง นึกถึงพระพุทธรูปด้วยความหวงแหน ก็จะไปเป็นอีกแบบหนึ่ง นึกแล้วจิตเป็นอย่างไร ? จิตมีความหวงแหน ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วระลึกถึงคำสอนของพระองค์ว่า “พระองค์สอนอะไร ?” แล้วตอนนี้สิ่งที่กำลังปรากฏกับชีวิตนี้ กำลังเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ! ร่างกายเป็นทุกข์บีบคั้นขนาดนี้ มันบีบคั้นจริง !! ใกล้ตายแล้ว..มันก็มีความบีบคั้นจริง เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าแสดง จิตเกิด-ดับ รวดเร็วจริง เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนั้น เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนี้ เดี๋ยวจิตก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง เห็นจริง !! นึกถึงพระพุทธเจ้า และนึกถึงคำสั่งสอนด้วย ก็เอาน้อมมาเห็นจริงในสิ่งที่มันปรากฏจริง ๆ ในจิตขณะนี้ด้วย อย่างนี้มีประโยชน์มาก แล้วบางทีก็จะสามารถบรรลุมรรผลก่อนตาย การบรรลุมรรคผลก่อนที่จะมีจิตสุดท้ายเกิดขึ้น เขาเรียกว่า “ชีวิตสมสีสี” เป็นผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วก็ดับจิตพอดี อันนี้ก็เป็นไปได้ บางท่านอาจจะไม่ถึงกับเป็นพระอรหันต์ บางทีก็จะบรรลุมรรคผลในตอนที่ใกล้ตายนั่นเอง *** มีโยมคนหนึ่งไปดูแลพระอาพาธ พระอาพาธนี้ก็อาพาธหนัก แรก ๆ ก็ดูว่าเป็นพระที่ภาวนาไม่ได้เข้าตากรรมการ ประมาณว่าดูไม่โดดเด่นอะไร แต่พอมีอาพาธใกล้ตายขึ้นมา แล้วพอวันท้าย ๆ ครูบาอาจารย์ก็ไปเตือนว่า “ตายแน่ ๆ” ครูบาอาจารย์ไปเตือน… ท่านไม่ได้ไปปลอบโยนว่า “เดี๋ยวก็หาย” เพราะเป็นหลอกลวงกัน และทำให้พระรูปนั้นประมาท ถ้าปลอบว่า “เดี๋ยวก็หาย” ก็อาจจะประมาทต่อ ทีนี้ที่ครูบาอาจารย์ไปเนี่ย ท่านไปชี้ว่า.. “คราวนี้ตายแน่นะ อย่าคิดว่ามันจะหายนะ ! ตายแน่ ! ให้ทำใจไว้เลยว่าตายแน่ ทำอย่างไร..จะตายแล้วให้ดี ? ทำอย่างไร..จะเตรียมพร้อมก่อนจะตาย ? นับจากนี้ ไปถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทำอย่างไรที่เราจะเห็นความจริงของชีวิตนี้ให้ได้ ?” ท่านก็เอาจริงเลยคราวนี้.. เปลี่ยนเลย ! จากพระที่ภาวนาที่แบบว่าไม่เข้าตากรรมการ กลายเป็นว่าเริ่มจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา สู้ขึ้นมาเลย เวทนาอะไรเกิดขึ้นมาก็รู้ทัน บางทีก็เผลอโอดโอยบ้าง เดี๋ยวบางทีก็ฮึดขึ้นมาสู้ ดูใหม่ ดูเวทนาไป ด้วยความที่โรคนั้นก็ร้ายแรงพอที่จะตัดชีวิตท่านได้นะ แต่ใจท่านก็มีเรี่ยวแรง มีวิริยบารมีเกิดขึ้นมาด้วย ปรากฏว่าความที่ท่านตั้งใจที่จะพัฒนาจิตใจของท่านให้ได้ ตั้งใจที่จะรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์สั่งสอนให้ได้ พยายามจะทำธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้ปรากฏกับจิตท่านให้ได้ พระพุทธองค์สอนว่า“รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูรูปกายของท่านเนี่ย มันกำลังแสดงความจริงอันนี้อยู่ สอนว่า “นามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูความจริงของนามอันนี้อยู่ ดูจิตที่มันเปลี่ยนแปลง ดูกายที่กำลังบีบคั้น ปรากฏว่าตอนใกล้ตาย บอกกับโยมที่มาช่วยดูแลว่า “ช่วยประคองหน่อย ขอประคองตัวให้นั่งหน่อย” โยมคนนั้นก็ไปประคองตัวให้นั่ง พอนั้งปุ๊บเนี่ยนะ ด้วยโรคมันบีบคั้น ร่างกายท่านก็กระตุก ๆ ๆ ๆ แล้วก็มรณภาพ แต่คนที่ประคองสัมผัสได้ทางใจเลยว่า รู้สึกเย็นวาบ ความเย็นวาบนั้นไม่ใช่เย็นแบบน่ากลัว ไม่ใช่เย็นเหมือนคนเข้าป่าช้านะ ไม่ใช่เย็นอย่างนั้น มันเย็นแบบฉ่ำใจ !! เขาก็เอาเรื่องนี้ไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกว่า “อ้อ.. อันนี้โยมสัมผัสได้ถึงจิตของท่าน จิตของท่านตอนตาย น่าจะอยู่ชั้นดุสิต” ท่านเทียบเคียงเอาตามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ว่า เทวดาชั้นดุสิตสภาพจะเย็นฉ่ำ เวลาโยมคนนี้ไปบรรยายให้ครูบาอาจารย์ฟัง ครูบาอาจารย์ก็บอกว่า อย่างนี้ก็น่าจะตายไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต แล้วก็น่าจะได้ดี เห็นความจริง ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เห็นความจริงว่ากายนี้มันควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่เรา จิตนี้ก็ควบคุมไม่ได้ไม่ใช่เรา น่าจะได้ดีระดับนี้ด้วย *** เอาเวลาที่เหลืออยู่ เอาให้มันเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้มาก เอาความตายมาเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาเป็น” นึกถึง ความตายแล้วภาวนา ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายแล้วห่อเหี่ยว ‘กูจะตายเสียแล้ว.. กลัว !’ อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาไม่เป็น” ต้องปรับทัศนคติใหม่ ระลึกถึงความตายแล้ว ให้ความตายนั้นมาเตือนใจให้ไม่ประมาท *** พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/859025491513513 (นาทีที่ 1.39.40-1049.17 )

อ่านต่อ