#นิมฺมโลตอบโจทย์ #นอนทับที่คนตาย #แผ่เมตตา ?? #ถาม : หนูเคยนอนทับที่คนฆ่าตัวตาย แล้วมีคนบอกว่า “คนที่ตายไปอยากอยู่กับหนู” หนูควรจะทำอย่างไร? #ตอบ : โอ้โห! มีที่ไหนที่คนไม่ตายบ้าง? มีอยู่คนหนึ่งนะ ในสมัยพุทธกาล พยายามหาที่ตายที่ไม่ทับที่คนอื่นเลย คือไม่อยากตายทับที่ใคร ..มีใครคิดอย่างนี้บ้าง? อย่าว่าแต่ ‘นอนทับที่ตายใคร’นะ ..นี่ไม่อยาก ‘ตายทับที่ใคร’ อุตส่าห์พาลูกไปเลือกหาที่เผาศพตัวเอง สั่งลูกไว้นะ “ถ้าพ่อตายแล้ว ใหเผาศพพ่อที่นี่นะ อย่าไปเผาในป่าช้านะ ไม่อยากปะปนกับชาวบ้าน” ไปเลือกทีที่ดูแบบ.. ไม่มีใครตายตรงนี้แน่ ๆ เลย ประมาณอย่างนี้นะ ไปได้ที่บนภูเขาแห่งหนึ่ง.. พระพุทธเจ้ามาดักโปรดที่เชิงเขา ถามได้ความแล้ว ตรัสกับลูกว่า “พ่อเจ้าถือความบริสุทธิ์ในที่ตายไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้ ชาติก่อนนี้ก็คิดอย่างนี้ แล้วก็มาเลือกที่เดียวกันนี้ซ้ำอีก” ลูกก็อยากรู้เรื่องชาติก่อน พระองค์ก็ตรัสเล่า ชาติก่อนทั้งสองก็เป็นพ่อลูกกันแบบนี้ พ่อก็สั่งลูกแบบนี้ มาเลือกที่เผาศพตรงนี้ ที่คิดว่าไม่ซ้ำที่ใคร ชาตินั้นพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ก็มาบอกกับพ่อว่า “คุณมาเลือกที่นี่เป็นที่เผาศพตนเองมา ๑๔,๐๐๐ ชาติแล้ว” พ่อลูกก็พิสูจน์ด้วยการขุดไปดู ก็พบกองกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่ทับที่คนอื่นเลยนะ.. นี่ทับที่ตายตัวเอง!! พระองค์จึงตรัสสอนว่า “สถานที่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นป่าช้าก็ตาม ไม่ใช่ป่าช้าก็ตาม จะหาสถานที่ที่ว่างจากกะโหลกศีรษะสัตว์ที่ตายในแผ่นดินนี้ ไม่มีเลย” “ที่ที่ไม่มีใครเคยตาย ไม่มีในโลก” (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อุปสาฬหกชาดก) เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีใครติดตาม ไม่ว่าจะนอนตรงไหนนะ มันทับที่คนตาย สัตว์ตาย อะไรตาย เยอะแยะไปหมดแล้ว ไม่รู้กี่คืนมาแล้ว ตั้งแต่เกิดมา ฉะนั้น ไม่ต้องกลัว! ก่อนนอน ไหว้พระ-สวดมนต์-แผ่เมตตา ไม่ใช่ว่า ไปกลัวว่าใครติดตาม แล้วไล่เขานะ ไม่ใช่อย่างนี้นะ คนที่อยู่ตรงนั้นนะ เขาอยู่ก่อนเรา เราไปนอนนะ เราไปนอนที่หลังเขา นึกออกไหม? เพราะฉะนั้น ให้แผ่เมตตา.. “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกัน อย่าได้พยาบาทซึ่งกันและกัน อย่าได้มีทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ละคน ๆ แต่ละสัตว์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลาย” หมายถึงว่า เขาก็รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยของเขา และเราเองเป็นหนึ่งในสรรพสัตว์ด้วย ก็จงรักษาเราเนี่ยให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วย ต่างฝ่ายอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน คล้าย ๆ แผ่เมตตาให้กับเราและทุก ๆ คนเสมอภาคทั้งหมดเลย อันนี้เป็นวิธีแผ่เมตตาแบบง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่ว่าเราจะไปขับไล่ไม่ให้ใครติดตามเรา เขาจะอยู่ก็ได้ แต่ให้อยู่เป็นมิตรกัน นึกออกไหม? “อยู่เป็นมิตรกัน” เหมือนอย่างที่พระ ที่ท่านไปอยู่ป่าแล้วก็ถูกผีหลอก ความรู้สึกพระ คือถูกผีหลอก !! แต่ความเด็ดเดี่ยวของท่าน คือ อธิษฐานพรรษาไปแล้ว ท่านก็อยู่ให้ครบพรรษาไป ..ออกพรรษาปุ๊บ รีบกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างพรรษานี้?” ..“โอ้โห! ลำบากเหลือเกินพระองค์ ผีหลอกทั้ง ๓ เดือน มาสารพัดรูปแบบ ห้อยหัวมา แหวะอก ทำคอขาด แลบลิ้นปลิ้นตา โผล่หน้าต่าง โผล่ใต้ถุน” อะไรอย่างนี้ .. ผีก็มีความเพียรพยายามที่จะหลอกเหลือเกินตลอดทั้ง ๓ เดือน แต่ท่านอธิฐานแล้ว นี้ความเด็ดเดี่ยวของท่านนะ เป็นเรื่องที่น่านับถือท่านมากเลย เด็ดเดี่ยวมาก! แต่สุดท้ายก็มาปรึกษากันว่า “เสนาสนะนี้ไม่สัปปายะ คือไม่เหมาะกับพวกเรา เรากลับไปกราบขอให้พระองค์แนะนำสถานที่อื่นดีกว่า” พอไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามถึง พระพุทธเจ้าก็เลย ตรัสบอกว่า.. “เสนาสนะอื่นไม่เหมาะกับพวกท่านหรอก คุณไปอยู่ที่นั่นแหละนะ เอาอาวุธเครื่องป้องกันไป” ..“อ้าว! พระจะเอาอาวุธเครื่องป้องกันจากไหน?” บอกว่า..อาวุธนี้ คืออาตมาเปรียบเทียบเอาเองนะ เทียบเป็น “ธรรมาวุธ” พระองค์ก็สอนให้พระภิกษุเหล่านั้นเจริญเมตตา เมตตานี้เป็นอาวุธเครื่องป้องกันตัวของพระภิกษุและพุทธศานิกชนทั่วไป เจริญเมตตา คือ.. พระพุทธเจ้าสอนนะ ให้กลับไปที่เดิมนั่นใหม่ เป็นเรา ๆ ไปไหม? ถูกผีหลอกมา ๓ เดือนที่นั่น แล้วพระพุทธเจ้าบอก “ให้กลับไปอยู่ที่นั่น” เป็นเรา ๆ ไปไหม? แต่พระพุทธเจ้าให้อาวุธเครื่องป้องกันแล้ว คือ “ให้เจริญเมตตา” ให้เจริญเมตตากับสรรพสัตว์ ในพระสูตร แสดงถึงสัตว์ประเภทนั้นประเภทนี้ ทั้งยาว ทั้งใหญ่ ทั้งปานกลาง ทั้งสั้น ทั้งเล็ก ทั้งอ้วน ทั้งที่เห็นแล้วและที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ไกลที่ใกล้ ทั้งที่..“ภูตา วา สัมภเวสี วา” รู้จักไหม? ‘ภูตา’ คือ เป็นพระอรหันต์แล้ว ‘ภูตะ’ คล้ายๆ verb to be.. แปลว่า “เป็นแล้ว” เป็นแล้ว คือเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะไม่เป็นอะไรในภพไหนอีก “สัมภเวสี” คือ กำลังแสวงหาภพอยู่ ได้แก่ พระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ก็คือ สัตว์ทั้งหลายตั้งแต่อนาคามีลงมาจนถึงสัตว์นรกอเวจีเลย คือ พวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นล่ะ เป็นพวกที่แสวงหาภพอยู่ แสวงหาที่เกิดอยู่ ..สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดเลย รวมแล้วคือ “สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ให้ความปรารถนาดีเหมือนกับแม่ที่มีลูกคนเดียวแล้วรักลูกนั้น เอาชีวิตตัวเองแทนได้ถ้าเกิดมีใครมาทำร้ายลูก ถ้ามีใครมาทำร้ายลูกนะเอาชีวิตแม่นี้เสียสละแทนลูกคนนี้ได้ “มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข” “มารดาถนอมลูกคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยการยอมสละชีวิตของตนแทนได้ ฉันใด” แผ่เมตตาด้วยความรู้สึกแบบนี้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลองนึกดูนะว่า เราถูกทักเพียงแค่ไปนอนทับที่คนตาย แล้วยังไม่ถูกหลอกเลย ของท่านเนี่ยนะ ถูกหลอกมา ๓ เดือน “ผีมีจริงไหม?” ถ้ามีใครไปถามท่าน ท่านบอกบอก “มีแน่ ๆ เลย” สรุปแล้วคือ พอไปถึง ..ได้รับธรรมาวุธแล้วจากพระพุทธเจ้า ไปถึงชายป่านั้นที่เคยถูกผีหลอกเนี่ย แผ่เมตตาเลย ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย แผ่เมตตาไป “สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ทำใจเหมือนเป็นแม่หรือเป็นพ่อ มีความรักกับลูก แต่ในพระสูตร พระองค์ให้ใช้ความรู้สึกของแม่นะ เพราะแม่เนี่ยจะมีความรักลูกอย่างซาบซึ้งมากกว่า ก็แผ่เมตตาประมาณว่า.. “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ปรากฏว่า! ในที่นั้นนะที่ว่ามีผีหลอกเนี่ย ไม่ใช่ผีเปรต ไม่ใช่ผีอสุรกายที่ไหน แต่เป็นเทวดา! เป็นเทวดาที่อึดอัดใจว่า พระมาพักอยู่ที่เนี่ยนะ ท่านเป็นเทพารักษ์ ..รู้จักเทพารักษ์ไหม? ไม่ได้อยู่สำโรงนะ! “เทพารักษ์” คือ เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้ เวลาพระท่านมาอยู่โคนต้นไม้ เทพารักษ์ท่านทนเดชแห่งศีลของพระไม่ได้ ต้องลงมาจากวิมาน ประมาณว่าอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ ทีนี้พอพระท่านมาอยู่นาน ๆ ต้องลงจากวิมานทุกวันเนี่ยนะ เทพารักษ์ก็รู้สึกว่าลำบาก ก็อยากให้พระเนี่ยออกไป เวลาจะให้พระออกไปก็ไม่แสดงตนเป็นเทวดามา ก็แสดงตนเป็นผีแบบที่เราเข้าใจ ผีที่น่ากลัว ทีนี้คราวนี้ พอพระแผ่เมตตาไป เทวดาทั้งหลายก็คิด.. ‘อ้าว! พระเหล่านี้จริง ๆ แล้วเนี่ย ไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับใครเลย ปรารถนาดีกับทุกคน รวมทั้งเทวดา.. เราเป็นหนึ่งในผู้ที่เขาปรารถนาดีด้วย’ เมื่อก่อนนี้พระท่านคงไม่ได้คิดอย่างนี้ ไม่ได้มีความคิดในแง่ของปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข ไม่ได้คิดอย่างนี้ มุ่งจะฝึกทำจิตให้มีอารมณ์เดียว พอถูกผีหลิกมัวแต่รักตัว แล้วก็อาจจะพยายามจะขับไล่ ประมาณนี้นะ ‘เมื่อไหร่ มันจะไปสักที จะพ้น ๆ ไปสักที!’ ถ้าเป็นได้ก็ภาษาไทยประมาณ “ชิ่ว ชิ่ว” อะไรอย่างนี้นะ มันไม่มีความเมตตาเกิดขึ้น แต่ตอนไปครั้งหลัง ๆ จากไปกราบพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าให้ธรรมาวุธคือ “ให้แผ่เมตตา” ปรากฏพอหลังจากแผ่เมตตาไปแล้วเนี่ย เทวดาทั้งหลาย ยินดีต้อนรับ อยากให้พระที่มีเมตตาเนี่ย อยู่ตรงนั้นนาน ๆ อ้าว! กลายกลับเป็นอย่างนี้อีก ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ไล่นะ ยินดีต้อนรับให้อยู่ที่นั่นนาน ๆ เป็นมิตรซึ่งกันและกัน แล้วคอยปกป้องด้วย ในที่สุดพระภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์กันทุกรูป (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เมตตสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ) เวลาเราแผ่เมตตาเนี่ยนะ พระพุทธเจ้าจึงแสดงว่า.. อานิสงค์ของการแผ่เมตตา คือ 1. หลับสบาย 2. ตื่นขึ้นก็สบาย 3. ขณะนอนหลับก็ไม่ฝันร้าย 4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย 5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย อมนุษย์ ในที่นี้หมายถึงว่า ไม่ใช่เฉพาะเทวดา ก็คือรวม เปรต อสุรกาย ที่เรากลัว ๆ กันด้วย พอแผ่เมตตาไปแล้ว เขากลับรักเราด้วย 6. เทวดาคุ้มครองรักษา 7. ไม่เป็นอันตรายจากไฟ จากอาวุธ จากยาพิษอะไรทั้งหลาย 8. จิตเป็นสมาธิได้เร็ว 9. ผิวหน้าผ่องใส 10. ตายอย่างมีสติ ไม่หลงตาย 11. ถ้าไม่บรรลุคุณวิเศษสูงขึ้นไป อย่างน้อยก็เป็นพระพรหม อยู่บนพรหมโลก นี้คืออานิสงส์ของเมตตา ดังนั้น ถ้ากลัวตามคำทักของคนอื่นว่า “ไปนอนทับที่ตายของใคร แล้วคนที่ตายตรงนั้น จะมาตามเรา” ถ้าเขาตามมาแล้วเราแผ่เมตตา เขาก็กลายเป็นเพื่อนคอยดูแลเราปกป้องเรา.. อันนี้ดีไปเลย นึกออกไหม? ไม่ต้องไปกลัว.. แผ่เมตตาไป แล้วไม่ต้องไปกลัวว่า ‘เอ๊ะ! แล้วคืนนี้เราจะไปนอนทับที่ตายใครหรือเปล่า?’ แผ่เมตตาไปก่อน ทับแน่..ทับแน่! ไม่มีตรงไหนที่ไม่มีคนตาย ทับแน่! เพราะฉะนั้นหมดห่วง ไม่ต้องกลัว เอานะ.. ให้แผ่เมตตานะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการ “ธรรมะสว่างใจ” ออกอากาศวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=IFnq-Ew7VVU (นาทีที่ 20.30-30.00)

อ่านต่อ