All posts by admin
ทางเอก ตอนที่ 6
วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๒ #ชวนศึกษา”#อธิษฐานธรรม…
วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒
วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๒
#ชวนศึกษา“#อธิษฐานธรรม ๔ ข้อ”
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับ’ปุกกุสาติกุลบุตร’
อันนี้ มีเกร็ดน่าสนใจตรงที่ว่า..
พระองค์สอนให้ปุกกุสาติกุลบุตร มีธรรมะ ๔ ข้อ
เพื่อให้เป็นที่ตั้งของใจ หรือเป็นที่มั่นของใจ
ภาษาบาลีเรียกว่าเป็น’อธิษฐานธรรม’
อธิษฐานธรรม ๔ ประการ
ข้อแรก ให้มี ‘ปัญญา’
ข้อที่ ๒ ให้มี ‘สัจจะ’
ข้อที่ ๓ ให้มี ‘จาคะ
ข้อที่ ๔ ให้มี ‘อุปสมะ’
“อุปสมะ” นี้ก็เรียกว่า เป็นความสงบ
ในแต่ละข้อเนี่ย!
“ปัญญา” คือให้มีความรู้จริงในสิ่งที่ปรากฏ
พระองค์สอนให้พระเจ้าปุกกุสาติ
จริงๆ ตอนนั้นออกบวชแล้ว ก็เรียกว่า ‘ปุกกุสาติกุลบุตร’
พระองค์สอนให้ปุกกุสาติกุลบุตรเนี่ย ให้มีปัญญาเห็นความจริง
โดยพระองค์สอนให้เห็นเวทนา
เวทนาที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ มันไม่เที่ยง
แล้วก็มันเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่นอกเหนือการบังคับควบคุม
อยากให้สุข ก็สุขได้ไม่นาน
มีทุกข์อยู่ อยากให้ทุกข์ดับไปเร็วๆ ก็ไม่เป็นไปตามอยาก
การเห็นสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงของปุกกุสาติกุลบุตร เนี่ย
ท่านต้องมีอะไร? ท่านต้องมีสมถะที่แก่กล้าพอที่จะมาดูเวทนา แสดงไตรลักษณ์ได้
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมที่เหมาะสมกับผู้ฟัง
ก็คือแสดงธรรมให้ท่านดูเวทนา ให้เวทนาแสดงไตรลักษณ์ ก็เกิดวิปัสสนาปัญญา
แล้วให้เห็น “สัจจะ” คือความจริง
ความจริงที่เห็นจะเห็นว่า มันเกิด มันดับ
มันเปลี่ยนแปลงไปเนี่ยนะ!
แล้วเข้าถึงสัจจะตัวสุดท้ายเลย คือเข้าถึงพระนิพพาน
‘ความจริง’ที่มันเป็นเรื่องปรุงแต่ง ก็รู้จัก
‘ความจริง’ที่พ้นความปรุงแต่ง ก็รู้จักมันด้วย
เรียกว่าเข้าถึง “สัจจะ” ให้ถึงพร้อม
มีศึกษาให้เห็นความจริงอันนี้
แล้วก็ “จาคะ”
เริ่มตั้งแต่จาคะ คือเสียสละวัตถุสิ่งของ สละสิ่งของภายนอก
จนสละไปถึงกิเลสเลย
สละราคะ สละโทสะ สละโมหะ สละไปหมดสิ้น
เรียกว่าเมื่อเข้าใจถึงนิพพานแล้ว ก็จะสละพวกกิเลสเหล่านี้ออกไปจากจิตใจ
เมื่อสละกิเลสออกไปจากจิตใจแล้ว ก็เข้าถึงความสงบ
เพราะว่าสิ่งที่มารบกวนให้จิตใจไม่สงบนั้น ถูกสละทิ้งไปแล้ว
ก็ถึงความสงบ เรียกว่าถึง “อุปสมะ”
หรืออีกคำก็เรียกได้ว่า ถึงสันติ
สันติในที่นี้หมายถึงว่า ไม่เกิดอีกแล้ว
เหตุแห่งความเกิดทั้งหลายหมดไปแล้ว
ไอ้ที่ยังวุ่นวายวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารก็เป็นอันสงบลงไป
อันนี้เป็นคำสอนที่พระองค์เคยสอนเอาไว้
พวกเราชาวพุทธก็นำมาพฤติปฏิบัติได้
๑. ให้อย่าประมาทในปัญญา
๒. ศึกษาให้เห็นความจริงถึงสัจจะ
๓. แล้วก็จาคะ สละสิ่งของได้ คือเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว เรามีอยู่มากเกินพอ ก็สละให้กับคนที่เขาต้องการ หรือว่ามีความด้อยโอกาสมากกว่าเรา สละไปแล้ว คนอื่นเขามีความสุข เราเห็นเขามีความสุข เราก็มีความสุขด้วย
แล้วสละไปนั้นน่ะ ที่สละจริงๆ คือสละความตระหนี่ในใจ
สละกิเลสต่างๆในใจ
๔. แล้วก็เข้าถึงความสงบ
เรียนรู้ถึงความสงบไล่ระดับไปเรื่อยๆ
จากสงบในแง่ของสมถะ จนถึงความสงบในแง่ของกิเลสดับไป
ก็ชวนกันมาศึกษามี ๔ อย่างนี้
เรียกว่า “อธิษฐานธรรม ๔ ข้อ”
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากรายการ’ธรรมะสว่างใจ’
ออกอากาศเมื่อ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ที่ลิงค์วีดีโอhttps://youtu.be/ScJaTwQiiyg
(ระหว่างนาที ๒.๔๓-๖.๕๒)
อ่านเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ลิงค์ http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=8748&Z=9019
ทางเอก ตอนที่ 5
ทางเอก ตอนที่ 4
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๒ ?? #ถาม : เวลานั่งสมาธิ ทำไมต้องเกิดภาพนิมิตต่างๆ ขึ้นมาคะ? เราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะให้เรารู้ว่า…
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๒
??
#ถาม : เวลานั่งสมาธิ ทำไมต้องเกิดภาพนิมิตต่างๆ ขึ้นมาคะ? เราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะให้เรารู้ว่า การที่เราเห็นภาพนิมิตนี้เป็นของจริงหรือไม่ค่ะ?
#ตอบ : นิมิตนี่นะ เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อเราทำสมาธิระดับหนึ่ง
พอเกิดเรื่องขึ้นมา ถ้าใจไปสนใจนิมิตนั้น จิตจะส่งออกไปหาสิ่งที่เห็น
ถ้าเรามองจิตออก จะเห็นจิตมันพุ่งไปหานิมิต ก็รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป เมื่อรู้แล้ว จิตก็ตั้งมั่น ไม่เผลอไปตามนิมิตนั้น
เราจะได้สมาธิที่ดีขึ้น เป็นสมาธิที่เรียกว่าจิตตั้งมั่นนะ
แต่ถ้าเห็นนิมิตอะไรเกิดขึ้นมา แล้วก็อยากรู้เรื่องราวอะไรต่อในนิมิตนั้นนะ
จิตเริ่มส่งออกตั้งแต่สนใจนิมิตนั้นแล้ว
ฉะนั้น นิมิตนั้นถ้าเรารู้อยู่ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เกิดขึ้นจากการทำสมาธิของเรา การเห็นนิมิตก็เป็นเพียงการเห็นเฉยๆ
ถ้าเราสนใจสิ่งนั้นไปแล้ว ก็รู้ทันจิตที่ส่งออก ก็ใช้ได้
นิมิตนั้นจะจริงหรือไม่จริง.. ดูอย่างนี้..
ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งนั้นจริง ใจเราจะน้อมไปหาสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยิน คือน้อมไปหานิมิตนั้น
จิตก็ส่งออกตั้งแต่ตอนต้นเลย
ดังนั้น ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจริงหรือไม่จริง ดูจิตที่มันเคลื่อนหรือไม่เคลื่อนที่ดีกว่า
ตอนที่มันจม มันสนใจเรื่องราว จิตมันจะจมอยู่กับภาพนั้นอยู่กับเสียงนั้น
จิตจมอยู่ หรือคลุกคลีคลอเคลียกับนิมิตนั้น ก็ไม่รู้ทัน
เช่น เกิดแสงสว่างขึ้นมา ไปสนใจแสงสว่างนั้น จิตก็ส่งออกไปหาแสงแล้ว
ถ้าเห็นภาพนรก-สวรรค์ เห็นเทวดา สนใจภาพนั้น จิตก็ส่งออกไปหาสิ่งนั้น
สิ่งนั้นจะจริงหรือไม่จริง ไม่ได้ไม่ใช่สาระหในตอนนี้เลย
สาระที่เราควรจะสนใจคือว่า จิตมันเป็นยังไง? จิตมันทำงานยังไง?
จิตมันพุ่งไปสนใจอยู่ ให้รู้ทันว่าจิตมันส่งออก? เข้าใจไหม?
สมาธิที่จิตส่งออกไปอย่างนั้น มีอันตรายคือ มันจะไปไหนก็ไม่รู้ บังคับไม่ได้
แทนที่จะปล่อยให้จิตมันเลื่อนลอยอย่างนั้น ก็กลับมารู้สึกตัวใหม่
ถ้าใช้ลมหายใจในการภาวนา ก็หายใจให้แรงขึ้นมาอีกนิดนึง ทำความรู้สึกตัว
ไม่ปล่อยให้จิตส่งออกในลักษณะอย่างนี้ ไม่ให้นิมิตมาหลอกเรา
นิมิตที่เกิดขึ้นดูน่าเชื่อนะ ดูน่าสนใจ ดูน่าติดตาม
ทั้งๆ ที่มันน่าเชื่อน่าสนใจน่าติดตามนั้น มันทำหน้าที่ในการหลอกจิตให้ส่งออก!
กายมีอยู่..ก็ให้ลืมกาย จิตมีอยู่..ก็ให้ลืมจิต
มันมัวแต่สนใจเรื่องราวในนิมิตนั้น
ฉะนั้น อย่าให้มันหลอกเรา
มีนิมิตเกิดขึ้น..จิตมาสนใจนิมิต ให้รู้ทันว่า..จิตมันเคลื่อนไปแล้ว!
หายใจขึ้นมาแรงๆ อีกสักที หรือ สองที เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
อย่าให้นิมิตนั้นหลอกเรานะ!
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมะ
ในรายการธรรมะสว่างใจ เมื่อ ๘พฤษภาคม ๒๕๖๒
ลิงค์วีดีโอhttps://youtu.be/4geXsKOgjeM
(09:40-13:30)
ทางเอก ตอนที่ 3
ทางเอก ตอนที่ 2
#คลิปแสดงธรรม เรื่อง #ผู้มุ่งสันติ โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? ทุกคนเห็นด้วยมั้ย? ที่เทวดาไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า…..
#คลิปแสดงธรรม เรื่อง #ผู้มุ่งสันติ
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
ทุกคนเห็นด้วยมั้ย?
ที่เทวดาไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า..
“ชีวิต และอายุเป็นของเล็กน้อย
ถูกชราต้อนไป แล้วต้านทานไม่ได้
สุดท้ายมุ่งไปสู่ความตาย
เห็นภัยสามอย่างนี้แล้ว
ควรสั่งสมบุญเพื่อนำสุขมาให้”
แล้วพระพุทธเจ้า ทรงเห็นด้วยหรือไม่?
เมื่อเกริ่นเรื่องมาตรงนี้ พระอาจารย์จึงบรรยายธรรมที่การ”มุ่งสู่สันติ”
???
รับฟังธรรมบรรยายเรื่อง”มุ่งสันติ”
ลิงค์ไฟล์ https://bit.ly/315le3u
แสดงธรรม ณ สุรัตนธรรมสถาน
เมื่อ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ทางเอก ตอนที่ 1
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๑ ?? #ถาม : ผู้ชายมาเที่ยวหญิงโสเภณี ผิดศีลข้อ ๓ ไหม? #ตอบ : จริงๆ แล้ว…
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๑
??
#ถาม : ผู้ชายมาเที่ยวหญิงโสเภณี ผิดศีลข้อ ๓ ไหม?
#ตอบ : จริงๆ แล้ว ถ้าเราจะรักษาศีลข้อ ๓ ให้บริสุทธิ์ ควรจะเว้นการกระทำนี้ด้วย
เพราะว่าผู้ชายถ้ามีครอบครัว เราขออนุญาตภรรยาหรือยัง?
แล้วผู้หญิงคนที่ทำงานนี้ เขามีครอบครัวอยู่หรือเปล่า? เราไม่รู้ได้เลยว่าเขามีครอบครัวอยู่หรือเปล่า? เขาแอบสามีมาทำงานนี้หรือเปล่า? มันก็มีโอกาสที่จะไปผิดศีลได้
โดยเฉพาะเราเอง เราแอบภรรยาไปหรือเปล่า? ถ้าเราแอบภรรยาไป นี่ก็เราผิดตั้งแต่แอบนั่นแหละ!
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโสเภณีนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่เปิดเผยได้ไหม? ภรรยาของเรารับรู้ด้วยไหม? ยินดีด้วยไหม?
ถ้าภรรยาบอกว่า “ช่วงนี้ฉันไม่ว่างนะ! เธอไปหาโสเภณีเถอะ”
อย่างนี้ภรรยาอนุญาตแล้ว ไปได้.. ไปได้ในแง่ภรรยาอนุญาต
แต่โสเภณีที่ว่านี้สามีเขามีหรือเปล่า? เขาอนุญาตหรือเปล่า? เขาแอบทำหรือเปล่า? มั่นใจได้ไหมว่าเขามีอาชีพนี้อย่างบริสุทธิ์ไม่ได้ถูกหลอกมาขาย ไม่ได้ถูกล่อลวงมา มาด้วยความเต็มใจของเขาเอง?
ถ้าโสเภณีคนนั้นมีสามี สามีเขาก็อนุญาต ประมาณนี้นะ ถ้าเจอโสเภณีที่สมบูรณ์ขนาดนั้นค่อยไปได้ และก็ภรรยาเราอนุญาตด้วย
แต่ถ้าเราจะรักษาศีลข้อนี้ เพื่อที่จะภาวนาให้เจริญยิ่งขึ้นนี้นะ ถ้าเว้นได้ก็ดีนะ
คือจะยุ่งเกี่ยวเฉพาะภรรยาตน เพราะว่าทุกครั้งที่เราตามใจกิเลสตัวนี้ ใจก็เศร้าหมอง
เวลาคนไปสถานที่แบบนี้นะ มงคลอะไรต่างๆก็หายหมด
พระหรือวัตถุมงคลที่แขวนคอไว้ พอเข้าไปในสถานที่แบบนี้นะ ที่เคยขลังก็เสื่อมหมด
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม
ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ”
เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒
นาทีที่ 1:12:02 – 1:14:16
ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/M4FcxmPzNvg
#เที่ยวหญิงโสเภณี #ผิดศีลข้อสาม
วันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๑ #พึงเป็นคนสนใจจิต…
วันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๒
วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๑
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่ง
ทุกคนรักตัวเอง.. แต่ไม่ค่อยสนใจตัวเอง!
(คนเรา)พยายามรักษาร่างกายนี้นะ
แต่เพื่อไปดูอย่างอื่น ไปเสพอย่างอื่น ไปฟังอย่างอื่น
หาคนที่จะมารักกายในแง่ที่่ถูกต้อง..หายาก!
รักกายแล้วควรจะใส่ใจอยู่กับกาย
แบบมีสติรู้อยู่ที่กาย..ไม่ค่อยมี!
มักจะไปสนใจข้างนอก…
ตัวที่น่าสงสารที่สุดเลย คือใจ
ชีวิตเรานี้มีส่วนประกอบอยู่สองอย่าง
คือ กาย กับ ใจ
แต่(ใจ) เป็นตัวที่ลืมยิ่งกว่ากายอีก
กายนี้ยังส่องหน้า ยังผัดหน้า ยังแปรงฟัน
แต่ใจเนี่ย เป็นส่วนของชีวิตที่เราลืมมากยิ่งกว่ากายอีก
ทั้งๆ ที่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน
เป็นต้นเหตุของสุขและทุกข์ทั้งหลาย
กายที่กำลังสวยงาม มีสุขภาพดี
แต่ถ้าใจเป็นทุกข์.. กายที่กำลังสุขภาพดีไม่มีผลเลย
ดังนั้น ส่วนที่เราควรใส่ใจให้มาก คือเรื่องของใจ
ภาษาพระเรียกว่า อยู่ที่จิต ดูที่จิต
ครูบาอาจารย์จึงเน้นย้ำมาที่ “จิต”
หลวงปู่มั่น มีคำสอนอยู่ว่า..
“ถ้าถึงจิตก็ถึงธรรม ถ้าเสียจิตก็เสียธรรม”
คือถ้าลืมไปแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องจิต ก็ไม่ได้สนใจธรรม
ถ้าเราจะมาศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
ทางที่ลัดสั้นและตรงที่สุดก็คือ มาสนใจในจิต
เพราะจิตเนี่ย เป็นแหล่งรวมของบุญ ของบาป
ของกุศล ของอกุศล
รวมทั้งถ้าจะให้ถึงมรรคผล มรรคผลก็เกิดที่จิต
พระนิพพานที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็สามารถสัมผัสได้ด้วยจิต บรรลุได้ด้วยจิต
ดังนั้น ถ้าจะให้ตัดตรงไปเลย
ก็คือ มาสนใจเรื่องจิต
แต่ก็อาศัยกายนี้ด้วย
เพราะจิตนี้อาศัยกายอยู่
ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากแสดงธรรมเรื่่อง #พึงเป็นคนสนใจจิต
เมื่อ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ โรงเรียนรุ่งอรุณ
คลิปลิงค์เสียงธรรม 147-620605 https://bit.ly/2K7UB8w
(นาทีที่ ๑๒.๑๙-๑๕.๔๐)
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๐ ?? #ถาม : ใส่บาตร ไม่ถอดรองเท้า จะบาปมั้ยคะ? #ตอบ : ตามธรรมเนียมของไทย เมื่อจะใส่บาตร…
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๗๐
??
#ถาม : ใส่บาตร ไม่ถอดรองเท้า จะบาปมั้ยคะ?
#ตอบ : ตามธรรมเนียมของไทย เมื่อจะใส่บาตร มักจะนิยมถอดรองเท้าก่อน เพื่อแสดง “ความเคารพ”
ก็ต้องย้อนไปในสมัยพุทธกาล
สมัยนั้น ถือกันว่า การใส่รองเท้าหรือถอดรองเท้า เป็นวิธีแสดงออกถึงความเคารพและไม่เคารพวิธีหนึ่ง
เช่น ไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่ควรให้ความเคารพ ไม่ว่าจะเป็น ในเขตเจดีย์ ในเขตโบสถ์ ก็จะถอดรองเท้าก่อนจะเข้าไปในเขตนั้น
ถ้าใส่รองเท้าเข้าไป ก็เป็นการไม่เคารพสถานที่นั้น
ถ้าเป็นพระภิกษุ ก็จะมีโทษ เป็นอาบัติทุกกฏ
เวลาบิณฑบาต พระภิกษุท่านก็มีปกติไม่ใส่รองเท้า เมื่อชาวบ้านจะใส่บาตร ก็จะถอดรองเท้าก่อน จึงจะนำอาหารมาใส่บาตร ซึ่งก็เป็นวิธีแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง คือ ไม่อยู่ในที่ที่สูงกว่าพระ (ผู้ใส่รองเท้า ถือว่าอยู่สูงกว่าผู้ที่ไม่มีรองเท้า) เรียกว่า “ใส่บาตรด้วยความเคารพ”
สำหรับผู้ที่มีศรัทธา การใส่บาตร(รวมถึงการถวายของพระ) จะไม่เหมือนการให้แก่คนทั่วไป
การให้ทานด้วยการใส่บาตร(รวมถึงการถวายของพระ) ผู้ให้รู้ว่าผู้รับเป็นนักบวช เป็นผู้ทรงศีล เป็นเนื้อนาบุญ จะรู้สึกว่าเป็นโอกาสดี เป็นบุญเหลือเกินที่ท่านมาโปรด และรู้สึกอยู่ว่า ผู้รับ(คือพระ)อยู่ในฐานะที่สูงกว่า
เคยเห็นที่ต่างจังหวัด บางแห่งเขาปูเสื่อหรือวางแผ่นไม้ไว้ ให้พระยืนรับบิณฑบาตบนเสื่อหรือแผ่นไม้นั้น แล้วโยมใส่บาตรด้วยอาการคุกเข่าบนพื้นดิน
โยมขี่จักรยานมา พอจะผ่านพระ ก็ลงมาเดินจูงจักรยาน พ้นพระไปแล้วจึงขึ้นขี่ไปตามปกติ
แม้แต่ขี่จักรยานยนต์ ก็จะดับเครื่อง แล้วลงมาจูงเหมือนกัน
นี่ก็เป็นตัวอย่างการแสดงความเคารพ
ในกรณีที่มีความจำเป็น เช่นอยู่ในที่เฉอะแฉะ ไม่ถอดรองเท้า ก็ไม่ได้ถือว่ามีความผิด และไม่เป็นบาป แต่ควรก็ใส่บาตรด้วยอาการนอบน้อม
ในปัจจุบันมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่ทำให้ญาติโยมไม่สะดวกที่จะถอดรองเท้า (เช่น รองเท้าทหาร) กรณีอย่างนี้จะไม่ถอดรองเท้าก็ได้ ขอให้ใส่บาตรด้วยกิริยาที่งดงาม แสดงว่ามีความเคารพก็แล้วกัน
(กรณีตำรวจ,ทหาร ในเครื่องแบบ ก็ให้ถอดหมวก
หมวก ก็เป็นของใช้อีกอย่างที่ควรถอด เพื่อแสดงความเคารพ)
ที่สำคัญคือ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีบัญญัติบังคับอะไรกับผู้ถวาย
แต่ญาติโยมก็ต้องการแสดงความเคารพ จึงเป็นธรรมเนียมที่จะแสดงอาการกิริยาอันงดงามต่าง ๆ ออกมา
บางคนไม่ทราบธรรมเนียมเหล่านี้ เห็นพระภิกษุเดินบิณฑบาต เกิดมีจิตศรัทธา หรือมีใจเอื้อเฟื้อ คิดจะนำอาหารมาใส่บาตร แต่ไม่ได้ถอดรองเท้า ถ้ามีคนมาทักท้วง (หรือตำหนิ หรือต่อว่า) คนนั้นก็อาจจะเกิดโทสะ หมดศรัทธา อาจจะคิดว่า “เรื่องมากจัง” บรรยากาศที่กำลังเป็นกุศลดูดี ก็บังเกิดรังสีอำมหิตไปเสีย
ยิ่งถ้าอยู่ต่างประเทศ แล้วพระไปบิณฑบาต หากต้องบังคับให้เขาถอดรองเท้าก่อน ก็อาจจะไม่มีชาวต่างชาติใส่บาตรก็ได้
การแสดงออกซึ่งความเคารพของแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นต่างประเทศ เขาก็มีวิธีของเขา ไม่จำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมไทยเป๊ะ ๆ
เว้นแต่ว่าเขามีศรัทธา ต้องการเข้ามาศึกษาและทำตามแบบเรา
ก็ค่อย ๆ สอนกันไป
ขอยกตัวอย่างสิกขาบท ที่สื่อถึงการแสดงความเคารพบางข้อ เช่น
ครั้งหนึ่ง พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต โดยไม่เอาใจใส่ ทำ
อาการดุจทิ้งเสีย
เรื่องถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า
“ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ”
ภิกษุใดไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ทำเหมือนจะทิ้ง
ต้องอาบัติทุกกฏ
นี่เป็นบัญญัติสำหรับฝ่ายภิกษุ ผู้รับบิณฑบาต ถ้าบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ก็มีโทษ
แต่สำหรับผู้ใส่บาตร ถ้าถอดรองเท้าได้ก็ควรถอดนะ
ถ้ามีเหตุจำเป็น จะไม่ถอดก็ไม่เป็นไรนะ
พระอาจาร์ยกฤช นิมฺมโล
๕ สิงหาคม ๒๕๖๒
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๙ ?? #ถาม : ใส่บาตรตอนเช้า แล้วเราใส่เงินในบาตร จะผิดไหมคะ? #ตอบ : เรารู้อยู่แล้วว่าพระท่านไม่รับเงิน…
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๙
??
#ถาม : ใส่บาตรตอนเช้า แล้วเราใส่เงินในบาตร จะผิดไหมคะ?
#ตอบ : เรารู้อยู่แล้วว่าพระท่านไม่รับเงิน รับแล้วเป็นอาบัติ
ถ้าเราใส่เงินไปในบาตร ก็ทำความลำบากให้กับพระ
ถ้าเราอยากจะถวายเงินถวายปัจจัย และถ้าพระท่านมีลูกศิษย์ ก็ให้ฝากลูกศิษย์ไปดีกว่า
หรือว่าเรารู้อยู่ว่าพระรูปนี้มาจากวัดไหน อยากจะทำบุญกับท่าน ก็ตามไปถวายที่วัด เช่น ไปใส่ที่ตู้บริจาค เป็นต้น
ก็จะช่วยท่านรักษาวินัยด้วย
พระท่านมีหน้าที่รักษาวินัย
บาตรที่ท่านอุ้มไปตอนเช้า ก็เอาไว้ใส่อาหาร ไม่ใช่ใส่เงิน
แต่ไม่ได้ห้ามทำบุญด้วยปัจจัยนะ
แต่ว่าตอนบิณฑบาต เราไม่ควรใส่ปัจจัยในบาตร
ถ้าเราต้องการจะถวายเป็นปัจจัยก็สามารถทำได้ ก็ไปที่วัด หรือถ้าท่านมีลูกศิษย์ ก็ฝากไว้ที่ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็ถือว่าเป็นไวยาวัจกรของท่าน
ไวยาวัจกร หมายถึง คฤหัสถ์ผู้ช่วยเหลือรับใช้หรือทำกิจธุระให้แก่พระ เป็นผู้ดูแลปัจจัยนี้แทนพระ
ก็มอบทรัพย์ฝากปัจจัยนั้นกับไวยาวัจกร บอกว่า”เอาปัจจัยนี้นะ ถวายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสมณะบริโภค สำหรับหลวงพี่รูปนี้”
หรือว่าถวายเป็นส่วนกลาง ถวายเป็นสังฆทานก็ได้
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมะ
ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ”
เมื่อ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
นาทีที่ 1:32:55 – 1:35:33
ลิงค์วีดีโอ ลิ้งค์
https://youtu.be/ypuu7ZIIG3w






