All posts by admin

วันอังคารที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๗ #ตัวรู้ก็เกิดดับ…

วันอังคารที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๗

#ตัวรู้ก็เกิดดับ

เราเป็นพวก”เนยยะ”
ไม่ใช่เพียงฟังแล้วจะบรรลุแบบสาวกสมัยพุทธกาล
ฟังแล้วต้องเอาไปทำ!
ทำในทีนี้ ไม่ใช่คร่ำเคร่งทำ
ทำในที่นี้คือ..ไปดู
ไปดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต
ดูจิตบ้าง ดูกายบ้าง

.. เอากายเป็นที่อยู่ชั่วคราว
แล้วบางทีก็เห็นกายในกาย (เป็นคำในสติปัฏฐานสี่)
ตอนเราไม่มีสติเนี่ยนะ! จะเห็นอะไร?
เห็นกู! .. กูกำลังนั่ง
แต่ถ้ามีสติขึ้นมานะ พอเห็นกายนั่ง มันไม่มีกู
เห็นเป็นก้อนอะไรสักก้อนหนึ่งนั่งอยู่
ถ้าเดินก็เห็นกายเดิน กายเคลื่อนไหว
ถ้าไม่มีสติ จะเห็นกูกำลังเดิน
ไม่เหมือนกันนะ!

บางทีก็อาศัยกายเป็นที่อยู่ชั่วคราว แล้วเห็นจิต
เห็นจิตเผลอจากกายไปไหน! ก็รู้ทันจิต

เรียนแค่..”เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วรู้” ก็ได้
เผลอแล้วรู้ ๆ มันก็จะแสดงความจริงว่า
เดี๋ยวเผลอก็เกิดขึ้น เผลอก็ดับ
ไอ้ ‘ตัวรู้’ เกิดแล้วก็ดับ
ทั้ง ‘เผลอ’ และ ‘รู้’ เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน

แรก ๆ เราจะรักษาตัวรู้เอาไว้
เฮ้ย! ตัวรู้นี่ดีจังเลย
เห็นความเผลอแล้วมีตัวรู้ด้วย
ตัวรู้นี่ดีจังเลย ทำยังไงจะรักษาตัวรู้นี้ไว้นาน ๆ
ถ้ารู้อยู่บ่อย ๆ เราน่าจะได้มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น
ก็จะรักษาตัวรู้..จริง ๆ แล้วตัวรู้ก็เกิดและก็ดับด้วย
ก็เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ความผิดพลาดไปเรื่อย ๆ

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากไฟล์ คนช่างคิด 601029
แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย 10
ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/2hnYoiB
(นาทีที่ 1.10.38-1.12.52)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๐ ?? #ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า.. ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๐
??

#ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า..
ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง ๘๒ แล้วค่ะ​ ลูกพวกนี้ไม่มีน้ำใจกับเรา เขาว่าเราไปว่าเขาไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าเขาอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ที่จริงโยมก็ไม่ได้พูด
ตั้งแต่เขามีเมียคนนี้มานะ​ แต่งงานมา ๑๕ ปี ไม่เคยถามเราว่ากินข้าวหรือยัง​ อะไรหรือยัง งานบ้านไม่เคยช่วยเราทำ ก็คือไม่ค่อยสนใจเราค่ะ แล้วก็มีถ้าเขาไม่พอใจเรา​ เขาก็จะหันซ้าย-หันขวา เวลาโยมทำกับข้าวเขาก็ไม่กิน​ ทำให้เราเครียด

ทุกวันนี้ถ้าเขามีอะไรเขาก็จะฟ้องลูกชาย ทำให้ลูกชายเวลาเจอหน้าเราก็ตาเหล่ๆ​เรา​ ไม่ค่อยพอใจเรา
ถ้าเราผิดอะไรลูกชายก็ต้องถามเรานะ​ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า​ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า นี่เขาไม่ถาม​ มีแต่เกลียดเรา​ มีแต่เหล่เรา

แล้วทุกวันนี้เขาว่าเรา​ ไปบอกชาวบ้านว่าไปว่าเมียเขา แล้วก็ว่าลูกเขาอย่างนี้ โยมบอกลูกอีกคนว่า เขาว่าเราลูกอีกคนนึง​ บอกว่าเขาว่าเรา ก็บอกเขาว่า อั๊วไม่ได้พูดเลย ไม่ได้ว่าลูกให้เขาฟังเลย มีแต่เขาถามว่าผู้หญิงคนนี้เราก็พูดให้เขาฟังบอกว่า เขาน่ะสิบกว่าปีแล้วไม่เคยเรียกโยมกินข้าวสักครั้งนึง เรียกว่ากินข้าวแล้วยัง​ แม่กินแล้วยัง​ อย่างนี้ไม่เคยเลย
ถ้าเขาไม่พอใจอะไรเราอย่างนี้ แต่ที่จริงโยมไม่เคยร้ายอะไรอย่างนั้นนะ ไม่รู้อะไรมันทำไม่ถูกน่ะเวลานั้นเขาก็จะหันซ้าย-หันขวา​ ไม่กินข้าวกับเรา มีแต่พูดอย่างนี้ให้เขาฟัง
แล้วเวลาเราไปหาหมอเช้าหรือเย็นอะไรนอกเวลาอะไร ลูกเราเขาไม่เคยไปสนใจเรา ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร​ กลับหรือยัง​ ไม่เคยถามเรา แต่เมียเขาอยู่ที่ไหนดึกๆนะ​ เขาก็จะไปรับเมียของเขากลับมาได้

ทีนี้ถามหลวงพ่อว่า​ ทำไมชีวิตเราอย่างนี้ล่ะ จะถามหลวงพ่อว่าฆ่าตัวตายได้มั้ย

แล้วที่ไปบ้านลูกชายคนที่สามเมื่อกี้นี้ เขาก็พูดเรื่องนี้ให้เรา เราก็ฟังแล้วมันตัวอ่อนไป ๆ แล้วก็เดินแล้วก็หกล้มลงไป แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยนะว่าเราหกล้ม แล้วเราไม่พูด​ ไม่มีใครสนใจ​ เราจะพูดให้ใครฟัง เราไม่รู้จะทำยังไงเนี่ย

คิดดูตอนนี้โยมนั่งอยู่บ้านเนี่ย ดูโทรทัศน์​(รายการธรรมะสว่างใจ) อยู่ จะถามหลวงพ่อว่าจะคิดยังไงเนี่ย อยากตายอย่างเดียว​ ไม่มีใครสนใจเรา ใครๆก็เข้าใจเราผิดหมดเลย ว่าเราไม่ดี ไม่รู้อะไรไม่ดี​ ไม่เข้าใจเลย
ในชีวิตเรานะไม่เคยให้ลูกได้เดือดร้อนอะไรเลย ไม่เคยเดือดร้อนเขานะ ไปหาหมออะไรไม่เคยเดือดร้อนเขานะ มีแต่เราเสียตังค์เอง
พอกลับมานะไม่มีใครถามแม่ว่า เออ กลับมาแล้วกินข้าวแล้ว​ หมอว่าไง ไม่เคยถามโยมเลย
จะถามหลวงพ่อให้ช่วยว่า จะแก้ไขยังไง​ ให้อยู่ให้ถึงตายได้ กราบรบกวนหลวงพ่อ

#ตอบ : ถ้าให้ช่วยแก้ไขน่ะโอเคนะ​
แต่ถ้าถามว่าจะฆ่าตัวตายนั่นน่ะ ไม่ควรฆ่าตัวตาย​นะ เดี๋ยวฟัง​ต่อทาง​โทรทัศน์​นะ​ …
น่าเห็นใจ
จริง ๆ แล้วเนี่ย​ ถ้าจะบอกว่าฆ่าตัวตาย มันเป็นการซ้ำเติมตัวเอง มันควรจะทำชีวิตจากนี้ไปจนตาย​เนี่ย​(ให้​เป็น​กุศล​มากที่สุด)​
ถ้ามันจะตายให้มันตายเอง..ไม่ต้องไปฆ่า เพราะเราก็อายุมากแล้ว แปดสิบกว่าแล้วเนี่ย ควรจะใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงวันตายเนี่ยนะสั่งสมกุศลให้มากที่สุด

กุศลง่ายๆเลยก็คือ ให้รู้ทันว่า..ขณะนี้จิตมันเป็นอกุศล
ตอนรู้ว่าจิตมันเป็นอกุศลเนี่ยนะ ตอนที่รู้..จิตเป็นกุศลทันที
อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระเนี่ยนะ สอนโยมด้วย ก็คือว่า ให้รู้จิตที่มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่

อย่างโยมกำลังคิดอย่างนี้นะ..เข้าอยู่ในข่ายหดหู่ ก็รู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้​ มันไม่ใช่เรา​ มันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว
เวลาใจมันหดหู่ขึ้นมา​ หรือว่ามองลูกชายบ้างลูกสะใภ้บ้าง​ แล้วไม่ชอบใจ​ ไม่พอใจ​ ก็​อย่าไปแสดงออกด้วยคำพูดหรือหน้าตาตามที่​กิเลส​สั่ง คืออย่าให้กิเลสครอบงำ​ ให้รู้ทันกิเลสก่อน

กิเลสเกิดขึ้นมา​ เช่นมันไม่ชอบใจ มันหดหู่ มันน้อยใจ อย่างนี้นะ​ ให้รู้ทันกิเลสเหล่านี้
อย่าเอาความไม่ชอบใจ ความน้อยใจ​ ความหดหู่นี้ บันดาล​ให้​เราไปพูดหรือไปแสดงออก เพราะทันทีที่เราพูดด้วยความน้อยใจ ความหดหู่หรือความไม่ชอบใจเนี่ยนะ​ มันจะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง

ลูกชายเราแท้ๆเลย เวลาเราหดหู่นะ​ หรือว่าเราพูดด้วยความไม่ชอบใจเนี่ย แม้แต่เป็นลูกชายเรา เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากฟังมันเลย เขาก็แสดงออกประมาณอย่างที่โยมเห็นนั่นแหละ ลูกสะใภ้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปต่อว่าไปเรียกร้องอะไรเขามาก​ เขาก็จะไม่ค่อยชอบใจ

ฉะนั้น เราหาที่พึ่งของเราให้ได้​ แล้วก็ไม่หวังจะไปพึ่งเขาดีกว่า

ที่พึ่งได้ง่ายๆเลยคือ ที่พึ่งทางใจ เราเตรียมตัวที่ว่าเราจะเดินทางต่อในสังสารวัฏ​ ก็คือว่า ถ้าโยมต้องการจะตายก็ควรจะตายอย่างสง่าผ่าเผย ตายอย่างพร้อมจะตาย ก็คือว่า มีจิตใจที่เป็นกุศลก่อนตาย

ฉะนั้น อย่าไปจมกับความคิดน้อยใจ อย่าไปจมกับความคิดที่ว่า​ “คนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราควรจะได้รับการดูแลหรือเอาใจใส่จากคนนั้นคนนี้มากกว่านี้” ถ้าคิดอย่างนี้แสดงว่ามีความน้อยใจ ให้รู้ทันความน้อยใจที่เกิดขึ้นในใจ
เราเวลาจะพูดอะไรกับใครให้รู้ใจตรงนี้ก่อน ให้จิตเป็นปกติก่อน

ถ้าจิตผิดปกติไปเนี่ย​ เวลาพูดก็จะพูดอย่างที่เคยพูดมาเนี่ยนะ พูดไปแล้วก็ไม่มีใครอยากฟัง พูดไปแล้วเขาก็รำคาญใจ
ฉะนั้น เวลาจะพูดให้พูดไพเราะ
ถ้าพูดลับหลังให้พูดแบบสรรเสริญ
พูดกับคนข้างบ้าน​ ก็ให้หาแง่มุมที่ดีของลูกๆรวมทั้งลูกสะใภ้ด้วย​ ไป​คุย
พูดกับคนที่บ้าน ใครมาเยี่ยมเราที่บ้าน อย่าไปนินทาลูกชาย อย่าไปนินทาลูกสะใภ้ ให้หาแง่มุมดีๆของลูกชาย ให้หาแง่มุมดีๆของลูกสะใภ้ มาพูดให้คนฟัง
มองเขาในแง่ดีหรือว่าหาแง่ดีของเขามาบอกกล่าวต่อ

ถ้าเรามองเขา​(ไม่​ดี)​ หรือว่าเราเก็บเอาเรื่องราวที่ไม่ดีมาคิด​ หรือว่ามาพูดต่อเนี่ยนะ ทุกครั้งที่เราเก็บเอาเรื่องราวมาพูดต่อ เล่าต่อกับคนอื่นเนี่ย​ ใจเรา​ก็จะไม่ดีไปด้วย เราจะไม่ชอบใจ เราจะไม่พอใจ​ พูดแล้วก็จะยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ ความน้อยใจ ความหดหู่ที่เกิดขึ้นกับใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดังนั้นเปลี่ยนใหม่ มองแง่ดีของเขาให้ออก ถ้ามองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเขา
แล้วถ้าไม่พูดถึงเขาไม่คิดถึงเขา แล้วเราจะพูดถึงใครคิดถึงใคร?
ก็มาคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรมคำสอนของพระองค์ คิดถึงพระสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วมีใจแช่มชื่นเบิกบาน​ อย่างนี้นะ ทำใจให้มันเป็นกุศลแช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ

วิธีทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ ทำง่ายๆ​ อีกวิธีหนึ่งคือ สวดมนต์
สวดมนต์ก็จะสวดมนต์ถึงพระพุทธคุณ ถึงธรรมคุณ ถึงสังฆคุณ
“อิติปิ​ โส​ ภะคะวา อะระหัง​ สัมมา​สัมพุทโธ” ..
หรือว่าสวดตามที่โทรทัศน์เปิดสวดทำวัตรเช้า-เย็นนี้ก็ได้
สวดไปจนคล่องปาก​ สวดบ่อยๆ

เวลาเจอใครก็ยิ้มให้ ไม่หน้าบึ้ง ไม่เรียกร้องให้ใครมาเอาใจเรา เพราะเราไม่ต้องพึ่งใคร เราพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราพึ่งตนเอง จะพัฒนาตนเองให้แจ่มใสเบิกบานขึ้นมาด้วยใจของตนเองให้ได้ ไม่ไปหวังพึ่งคนอื่น

ถ้าหวังพึ่งคนอื่นนะ..จะผิดหวัง
ผิดหวังแล้วก็มานั่งน้อยใจ บ่น.. อย่างนี้นะ ยิ่งบ่นเราก็ยิ่งทุกข์
ดังนั้นหยุดบ่น ตอนนี้เราจะทำใจให้เป็นกุศลแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้า สวดมนต์ไปนึกไปแล้วก็ยิ้มไป

ถ้าจะพูดถึงคนอื่นให้พูดในแง่ดี
พอพูดถึงคนอื่นในแง่ดีแล้ว จะมีสิ่งดีๆกลับเข้ามา คนอื่นเขาจะไปแก้ต่างแทนเราด้วย
พอเวลาลูกชายลูกสะใภ้มาคุยกับคนอื่นนะ พูดถึงเราในแง่ไม่ดี คนอื่นที่เขาเคยฟังเราชมลูกชายลูกสะใภ้เนี่ย​ เขาจะแก้ต่างให้เราว่า “ไม่จริงนะ อาม่าเนี่ยพูดถึงเธอดีนะ อาม่าพูดชมเธอนะ” เนี่ยเขาจะแก้ต่างให้เรา

ลองทำวิธีนี้ดูนะ​ แล้วชีวิตจะดีขึ้น

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เมื่อวัน​พุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ“
สถานีดาวเทียมพุทธภูมิ SBBTV 999
ณ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
ไฟล์ วิดีโอ ๑๖ ม.ค.๖๒ ธรรมะสว่างใจ
ระหว่างเวลา ๒๗.๔๗ – ๓๘.๑๑
https://youtu.be/B5-VL8-XYws


อ่านบน Facebook

จันทร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๑๕ คำ เดือนยี่(๒) ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๖ #อัตตาไม่มี…

จันทร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๑๕ คำ เดือนยี่(๒)
☘️☘️☘️
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๖

#อัตตาไม่มี

ชีวิตเราเนี่ยเป็นเพียงส่วนประกอบ
ของนามธรรม และรูปธรรมหลากหลาย
เราเองน่ะโง่..ตัวจิตเนี่ยโง่ เรานี่หมายถึงตัวจิต
จิตนี่แหละโง่ที่ไปยึดเอาส่วนประกอบทั้ง ๕
คือ​รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ มายึดเอามาเป็นเรา
“เรา” จริง ๆ ไม่มี!

ตอนยึดว่ามี”เรา” ถ้าจะยึดเนี่ยนะ ไอ้”เรา”ที่ยึดก็ไม่มี
แต่ไปยึดว่าเป็น”เรา” นี่เป็นความเข้าใจผิด
ตัวนี้เรียกว่าเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” สำคัญผิดว่ามี”เรา”

ความยึดตรงนี้ ภาษาบาลีนี่ชัดเจนมากเลย
คือ​ “อัตตวาทุปาทาน”
อุปาทาน คือ​ ความยึดมั่น
ยึดมั่นในวาทะว่ามี”เรา”
ใน”วาทะ” นะ!​ วาทะ คือ​ เป็นความเห็น
ยึดมั่นในวาทะว่ามีเรา.. แสดงว่า..
อัตตวาทุปาทาน เป็น​ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา
นี่..แปลอย่างนี้ยิ่งชัดมากขึ้น

อัตตา จริง ๆ ไม่มี
มีแต่”วาทะว่ามี”
วาทะว่ามีเรา เป็นความเห็นเฉย ๆ เท่านั้นเอง
เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ
จะเข้าใจตรงนี้ได้เนี่ย ก็จากการที่เจริญสติปัฏฐานนี่เอง
คนทำสมาธิได้ ให้ดูกาย กับเวทนา
คนทำสมาธิยังไม่ได้ ให้ดูจิต หรือดูธรรม

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
☘️☘️☘️
เรียบเรียงจากคลิปวีดีโอ 610128 “จิตเป็นอย่างนี้แหละ”
วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๑
ลิงค์คลิปวีดีโอ
https://www.youtube.com/watch?v=FpOqW3ky4pI
(ระหว่างนาทีที่ ๐๑.๔๒ – ๐๑.๔๔)


อ่านบน Facebook