วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #จาคะกิเลส การฝึกปฏิบัติเพื่อไม่มีตัวตน ก็คือ ฝึกจาคะ ก่อนที่จะไปเป็นพระโสดาบัน .. ก่อนจะบรรลุมรรคผลแล้วเห็นว่า “กายนี้-ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา” ก็ต้องฝึกตัว “จาคะ” นี้ด้วย ทำ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ให้มันเบาบางจางคลายไปบ้าง ด้วยการฝึกที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น ด้วยการให้วัตถุสิ่งของกับเขา .. ละความเห็นแก่ตัว ถ้าฝึกปฏิบัติ แต่ยังเห็นแก่ตัวอยู่.. ก็ยาก!! เรียกว่า “ยึดมั่นถือมั่น ‘ความเป็นตัวตน’ อย่างเหนียวแน่น” มันก็ยากจะเกิดมรรคผล ต้องฝึกจาคะ! ….. “จาคะ” นอกจากจะมีการ ‘สละวัตถุสิ่งของ’ แล้ว มันต้องมีใจกล้าพอที่จะ ‘จาคะกิเลส’ ตัวเองด้วย คนเราเนี่ยตามใจกิเลสมานาน อยากได้อะไรก็จะตามใจกิเลส ทำให้มันสมอยาก คือเอาสิ่งที่อยากได้นั้นมาให้ได้ แสวงหาสิ่งนั้นมาให้ได้ ได้ด้วยความชอบธรรมก็ดีไป ถ้าไม่ได้ด้วยความชอบธรรม.. ถ้าไม่มีสำนึกของศีลเลย.. ก็ไปแสวงหาแบบไม่ชอบธรรม อย่างนี้เรียกว่าไม่มี “จาคะ” เลย ไม่สละกิเลสออกไปได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องฝึกสละด้วยนะ! กิเลสที่เกิดขึ้นมา รู้ทัน!.. แล้ว “จาคะ(กิเลส)” ไป รู้ทัน.. แล้ว “จาคะ(กิเลส)”ไป ต้องฝึกจาคะ! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก ถาม-ตอบ รายการธรรมะสว่างใจ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์แสดงธรรม https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/898255431021786 (นาทีที่1.07.12-1.07.58)
วันเสาร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #อย่าละเลยพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านเตือน… การนับถือพระพุทธเจ้าในอดีตก็ตาม ในอนาคตก็ตาม ต้องระวังนิดนึง!.. ระวังในแง่ของตัวเราเอง !!.. ท่านให้ข้อสังเกตว่า.. คนเรานี่นะ..บางทีก็ไปเน้นนับถือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือพระพุทธเจ้าในอดีต บางคนก็ไปเน้นนับถือพระพุทธเจ้าที่จะไปตรัสรู้ในอนาคต คือ “พระศรีอริยเมตไตรย” ..ลืมองค์ปัจจุบัน !!! พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันกำลังมีบทบาทในปัจจุบันนี้.. ธรรมจักรที่พระพุทธองค์แสดงกำลังมีบทบาทในปัจจุบันนี้.. ..กลับละเลย! แล้วหวังจะไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ครูบาอาจารย์บอกว่า..อย่าหวัง! เพราะปัจจุบันทำความคุ้นชินที่จะ”ประมาท”ไปแล้ว คือ พระพุทธเจ้าสอน “อริยสัจ ๔” ไม่สนใจ! พระพุทธเจ้าสอน “สติปัฏฐาน ๔” ไม่สนใจ … ถ้าละเลยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน !! ก็อย่าหวังว่าจะทันพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป พระอาจารย์ กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากรายการ “คลิกใจให้ธรรม” ลิงค์ไฟล์https://youtu.be/y_PKAVvB3ok
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #จิตที่มีสติดีเสมอ องค์ธรรมที่จะช่วยให้เราภาวนาแล้วปลอดภัย ที่ควรจะทำก่อนก็คือ “สติ” อย่าเพิ่งรีบทำสมาธิ ! “สมาธิ” อาจจะเกิดกับจิตที่เป็น ‘กุศล’ ก็ได้ หรืออาจจะจิตที่เป็น ‘อกุศล’ ก็ได้ เช่น โจรจะยิงเจ้าทรัพย์ ก็ต้องมีสมาธิ ถึงจะยิงถูก อย่างนี้สมาธิเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลได้ แมวจะจับจิ้งจก ก็ต้องมีสมาธิ ในการที่จะค่อย ๆ ย่องไป แล้วก็พุ่งกระโจนไปสู่เป้าหมาย จิตที่เป็นสมาธิ..ยังไม่แน่ว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ จิตที่มี “สติ” ดีเสมอ จิตที่มีสตินะ มีความรู้สึกตัว ..ดีเสมอ เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์มักจะสั่งสอนว่า “ให้เจริญสติก่อน” เจริญสติเนี่ย ไม่ใช่สติแบบโลก ๆ แต่เป็น “สติในสติปัฏฐาน” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย : ธรรมะที่เป็นมงคลชีวิตในวันมาฆบูชา (ภาคบ่าย) ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ลิงค์แสดงธรรม https://www.youtube.com/watch?v=Yi46aJXh5c8 (นาทีที่ 21.24 -22.32)
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู ?️?️?️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ฟังธรรมให้ได้ประโยชน์สูงสุด ฟังธรรมจะให้ได้ประโยชน์สูงสุด คือ “จะต้องฟังอย่างมีเป้าหมาย” เป้าหมายของเราในชีวิตนี้ ก็คือ “จะต้องพัฒนาตนเองให้ถึงทางพ้นทุกข์ให้ได้ หรืออย่างน้อยให้ใกล้เคียง” ดังนั้นการฟังธรรม คือ การมาฟังวิธีการพัฒนาจิตใจตนเอง ให้ถึงความพ้นทุกข์ ให้มีเป้าหมายอย่างนี้ ไม่ใช่ฟัง..เพื่อจดจำไปถกเถียง ไม่ได้ฟัง..เพื่อเก็บข้อมูล ไปอวดภูมิรู้กับคนอื่น ไม่ใช่ฟัง..เพื่อสนองตัณหาอะไรอย่างอื่น แต่ฟัง..เพื่อทราบวิธีการที่จะพัฒนาตนเอง ว่าทำอย่างไร?..ทุกข์ที่มีอยู่นี้เนี่ย! จะดับหายไป หรือให้มันน้อยลง ๆ ก็คือ พัฒนาจากปุถุชนให้เป็นพระโสดาบัน พัฒนาจาก “โสดาบัน” ให้เป็น “สกทาคามี” พัฒนาจาก “สกทาคามี” ให้เป็น “พระอนาคามี” พัฒนาจาก “พระอนาคามี” ให้ถึงที่สุด คือเป็น “พระอรหันต์” ไป นี้คือ ไปฟังธรรม เพื่อประโยชน์พัฒนาตนเอง พัฒนาจิตใจตนเอง จนกว่าจะพ้นทุกข์ออกไป ที่แนะนำ ก็คือว่า ฟังธรรมไม่ว่าจะทางไหนเนี่ย ถ้าฟังแบบมีเป้าหมาย มันจะทำให้การฟังนั้นได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ ได้วิธีการที่จะเอามาพัฒนาตนเอง ดังนั้นไม่ว่าจะฟังจากสื่อไหน? เวลาไหน? ขอให้ได้ฟัง และให้มีเป้าหมายอย่างนี้! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก ถาม-ตอบ รายการธรรมะสว่างใจ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์แสดงธรรม https://www.facebook.com/Watsanghatha… website : www.watsanghathan.com (นาทีที่1.26.22-1.28.11)
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนห้า(๕) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เผชิญความทุกข์อย่างไรดี ทุกข์เป็นความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ และพระพุทธองค์ทรงสอนให้เรา “รู้” ทุกข์ ไม่ใช่ให้ “เป็น” ทุกข์ แล้วก็ไม่ใช่ให้ “หนี” ทุกข์ ถ้าเราครุ่นคิด ติดอยู่ในความรู้สึก ก็จะจมอยู่กับทุกข์ เอาความคิดผิดมาซํ้าเติมปัญหา เรียกว่า ปฏิบัติผิด กลายเป็น.. “เพิ่มทุกข์” ถ้าเรา ไม่ชอบทุกข์ที่กำลังเป็น .ก็จะมีตัณหา “อยาก” ที่จะพ้นจากทุกข์นี้ แต่ตัณหาเป็นสมุทัย คือเป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็เรียกว่าปฏิบัติผิด เหมือนอยากดับไฟ แต่กลับไปเพิ่มเชื้อ ผลที่ได้ ก็กลายเป็น “ยิ่ง ทุกข์” อาการป่วยของลูก…เป็นวิบาก ผู้เป็นพ่อแม่ก็ดูแลไปตามกำลัง ตรงนี้เป็นบุญ กุศลที่สร้างใหม่ของพ่อแม่ การที่คิดว่า ‘วันใด ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่คอยดูแลแก ไม่รู้แกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร’ เป็นความกังวล ความกังวล เป็นอกุศล และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ซํ้ายังนำทุกข์มาให้ เมื่อมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก ให้ “รู้” ว่ากังวล ขณะกังวล เป็นอกุศล ขณะรู้เป็นกุศล ความกังวลเป็นตัวสร้างทุกข์ฟรีๆ ถ้าอีก ๑๐ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๑๐ ปี ถ้าอีก ๕ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๕ ปี แต่มันอดที่จะกังวลไม่ได้หรอก แต่ก็อาศัยว่ามีความกังวลนี่แหละ ให้เรารู้ ให้เราฝึกเจริญสติ จิตปลอดจากความกังวลแล้ว เราก็แก้ปัญหา ด้วยปัญญา ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยความกังวล มีลูกป่วย ดีกว่ามีลูกเลว! ดูดีๆ ช่วงที่อาการของลูกเป็นปกติ หรือดีขึ้น เรามีความสุข ก็อย่าให้สุขนั้นผ่านไปเปล่า ให้ใจชุ่มชื่นบ้าง อย่าจมกับความทุกข์ เพราะคนรอบข้างจะพลอยทุกข์ไปด้วย โดยเฉพาะลูก กรรมที่ทำให้ได้รับวิบากอย่างนี้ ก็เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่าเสียเวลา คำนึงน้อยใจ เรื่องที่น่าหวาดหวั่นในกาลข้างหน้า ก็เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิด อย่าเสียเวลากังวล ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง ปัจจุบันน้อยใจ ให้รู้ ปัจจุบันหวั่นใจ ให้รู้ ปัจจุบันเศร้าใจ ให้รู้ ปัจจุบัน กังวล ให้รู้ ปัจจุบันทุกข์ ให้รู้ ขณะที่รู้ ขณะนั้นละสมุทัย ขณะที่รู้ ขณะนั้นทุกข์ดับ ขณะที่รู้ ขณะนั้นกำลังเจริญมรรค ขอเพียงไม่หนีปัญหาเผชิญหน้าด้วยสติ ทุกข์ที่เห็น..จะสอนใจให้เข้มแข็ง และมีปัญญาพ้นทุกข์ในที่สุด พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
วันจันทร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนหก(๖) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #คนดี คือคนที่ชั่วน้อย “คนดี คือคนที่ชั่วน้อย” เป็นนิยามที่ดีเหมือนกันนะ คือคนที่อยากเป็นคนดี ให้มองเห็นความชั่วของตัวเอง แล้วชั่วจะน้อยลง ถ้าชั่วอยู่แล้วไม่เห็นว่าชั่ว ก็ชั่วอยู่นั่นเองใช่ไหม? ถ้าชั่วแล้วรู้สึก เฮ้ย! เมื่อกี้เราชั่วไป.. เริ่มจะดีแล้ว เริ่มดีขึ้นมาตั้งแต่รู้ตัวแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ชั่วจะน้อยลง อย่าไปตั้งเป้าว่า “นับแต่นี้ไป ขออย่าให้มีความชั่วเลย” ซึ่งเป็นไปไม่ได้…. เมื่อปุถุชนต้องการจะพัฒนาตนให้เป็นคนดี เป็นธรรมดาเลยที่เราจะเห็นความชั่วของตัวเอง เพราะทันทีที่คิดว่าจะเป็นคนดีนี้นะ! ถ้าจะตั้งเป้าไว้ว่า ‘คิดจะเป็นคนดีปุ๊บ! จงอย่าได้มีชั่วเลย’ อันนี้นะ..คิดผิด มันคิดเอาไม่ได้ สั่งไม่ได้ ปุถุชนคิดว่าจะเป็นคนดี..ปุ๊บ! “ต่อไปนี้ จะไม่โกรธ” ..เป็นไปได้ไหม? ตอนนี้มันยังไม่ใช่ พระอนาคามี! พระโสดาบัน ยังโกรธได้นะ พระสกิทาคามี ก็ยังโกรธได้ ฉะนั้น เราเป็นปุถุชนอยู่นี้นะ ย่อมมีโกรธเหมือนกัน แต่อย่าให้โกรธนั้นบานปลาย กลายเป็นเหตุ ให้เกิดการทำผิดศีลข้อต่างๆ วิธีที่จะให้อยู่กับความชั่วของตัวเองได้ คือ รู้ทันความชั่วของตัวเอง ไม่ได้ตั้งเป้าว่า “จงเป็นคนดีล้วนเดี๋ยวนี้!!” ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! เพราะความจริงคือ มันมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง คนปกติ มันจะมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง คนชั่ว ก็คือ คนที่เวลามีความไม่ดีเกิดขึ้น ก็ให้ความไม่ดีนั้นเติบโตพอกพูน กลายเป็นครอบงำ.. ให้กิเลสนั้นครอบงำวิถีชีวิตต่อไป แต่ คนที่ดี คือ..ก็มีความชั่วนั่นแหละ มีกิเลสบ้าง แต่ไม่ยอมให้ความชั่วหรือกิเลสนั้น ครอบงำใจ ไม่ให้มันนำทางชีวิตต่อไป คือไม่เอาด้วย มีอยู่..แต่รู้ทันไม่เอาด้วย หรือมีอยู่..แต่ห้ามไว้ ไม่เอาด้วย คนดี มี ๒ แบบ :- ๑. มีความชั่วขึ้นมารู้ทัน ห้ามไว้..ไม่เอาด้วย! กับ ๒. มีความชั่วขึ้นมารู้ทัน รู้เฉย ๆ แล้วมันดับไปเลย! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย เรื่อง “เหนือดี ๑” ณ ศาลาเรียนรู้กายใจ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ลิงค์วีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=7Ki3-T8XAzo&t=357s (ระหว่าง นาทีที่ 2:14-5:42)
วันอังคารที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือนหก(๖) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #พร้อมที่จะอยู่คนเดียว โควิด (COVID) หรือโรคระบาดในคราวนี้ จะเป็นตัวที่จะทำให้.. ถ้าเราใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ จะทำให้เราได้มีวินัยในตัวเองให้มากขึ้น บางคนได้อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็กลายเป็นว่าได้ฝึกตัวเอง มีเวลาในการอยู่คนเดียว ก็คือได้วิเวก มีกายวิเวก เป็นต้น ถ้าคนเคยภาวนามา หรือคนที่จิตใจใฝ่การภาวนาอยู่แล้ว การได้อยู่คนเดียวก็ไม่เห็นแปลก! ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้วิเวก และได้ภาวนา แต่ถ้าคนไม่เคยฝึกเลย ยิ่งถ้าป่วยไปอยู่คนเดียว จะรู้สึกร้อนรน กระวนกระวาย ใฝ่หาคนที่จะมาคุยด้วย หรือคนที่จะเข้ามาอยู่ใกล้ๆ นี่เป็นข้อแตกต่าง “ระหว่างคนที่เคยฝึก” กับ “คนที่ไม่เคยฝึก” ก็ทำใจง่าย ทำใจยากต่างกัน เพราะฉะนั้นในช่วงเวลานี้นะ ตีเสียว่า..ถ้าเราจะต้องติดโรค เราก็พร้อมที่จะอยู่คนเดียว หรือถ้าเป็นผู้เสี่ยง เราก็พร้อมที่จะกันตัวเองออกมา รับผิดชอบร่วมกัน ไม่เอาแต่ใจ ไม่บ่นด่า โรคมันก็ร้ายอยู่แล้ว อย่าทำใจให้ร้ายไปกว่าเขา อย่าปากร้ายใส่คนอื่น อย่าโพสต์ (post) อะไรร้ายๆ สร้างมลพิษทางไซเบอร์ (cyber) อย่างนี้นะ เรียกว่า..เวลาคนอ่านความคิดเห็นของเรา ให้เขาอ่านแล้วเขามีความชุ่มชื่นใจ เวลาเขาฟังเสียงจากเรา ให้เขาฟังแล้วมีความชุ่มชื่นใจ เวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องช่วยกันส่งกระแสดีๆ ออกไปในวงกว้างนะ ส่งกระแสแห่งความเอื้ออาทรกัน ให้กำลังใจกัน มีความหวานชื่น เหมือนกับว่า ดินตอนนี้กำลังแตก กำลังแห้ง เราก็ควรที่จะรดน้ำลงไปให้ความชุ่มชื้นกับดิน ไม่ใช่ไปใส่ไฟเผา ไปเอาขวานจามลงไป เอาจอบขุดไปอีก อะไรอย่างนี้นะ มันก็ทำให้ยิ่งอยู่กันยาก และอยู่เป็นทุกข์มากขึ้น อะไรดีๆ ที่เราทำได้..ก็ทำ อะไรที่พูดดีๆ ได้..ก็พูด อะไรที่คิดดีๆ ได้.. คิด ถ้าทำอะไรไม่ได้เลย คิดดีไม่เป็น ทำดีไม่เป็น พูดดีไม่เป็น ให้อยู่นิ่งๆ อยู่เฉยๆ นะ อย่าไปแสดงออกอะไรกับคนอื่นเขามาก แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วนะ ส่วนใครที่ถ้าจะพูดอะไรออกมาสู่สังคม หรือจะทำอะไรออกมาสู่สังคม ให้เลือก-ให้ทำ-ให้ดี ถ้าทำดีได้ ก็ขออนุโมทนา พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก รายการธรรมะสว่างใจ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์แสดงธรรม https://www.youtube.com/watch?v=Z-RLdFXAPbU (นาทีที่ 2.00.37 – 2.0318)
วันอังคารที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนหก(๖) ??? #พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #หาที่อยู่ให้จิต หาที่อยู่ไว้อย่างหนึ่ง แล้วเห็นจิตที่มันผิดไปจากนี้ เห็นแล้วกลับมาที่อยู่ เพื่อเรียนรู้จิตอีก ไม่ใช่เห็นทีเดียว แล้ววันนี้พอแล้ว ไม่ใช่อย่างนี้นะ! เห็นแล้วกลับมา เห็นแล้วกลับมาบ่อย ๆ ถ้าใช้ชีวิตประจำวัน มันไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ ก็เอาที่อยู่ที่มันเป็นกายกำลังเคลื่อนไหวก็ได้ หรือหางานอะไรทำสักอย่าง กวาดบ้านก็ได้ ที่มันไม่ใช่งานที่ต้องใช้ความคิด งานที่ไม่ต้องคิดมากนะ เอามาทำกรรมฐานได้หมดเลย กวาดบ้าน ล้างหน้า อาบน้ำ ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า แต่งกิ่งไม้ ฯลฯ ทำงานไป กายเคลื่อนไหวให้งานนั้นเป็นที่อยู่ของจิต ภาษาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ทำกรรมฐานอะไรแล้ว สังเกตจิตที่มันผิดจากกรรมฐานนั้น” ถ้าอยู่นิ่ง ๆ ก็ใช้ลมหายใจ ที่จมูกก็ได้ ที่ท้องก็ได้ ตอนที่ว่า “สังเกตจิตที่มันผิดจากกรรมฐานนั้น” ก็คือ เห็นสิ่งที่ผิดนั่นแหละ ถ้าเห็นที่ผิดธรรมดา คือเห็นเผลอ ก็ได้สติ ถ้าเห็นที่ผิดในลักษณะที่ว่ามันเคลื่อนออกไป ก็ได้สติและสมาธิ แค่นี้เอง.. แล้วจากนั้นจิตมันจะทำงาน จิตมันพร้อมพอที่จะเดินปัญญาเองแล้ว ถ้าไม่เดินปัญญาสักที ก็นำร่องบ้าง คือถ้าเห็นว่าจิตมีกิเลสบ้าง เห็นจิตเคลื่อนบ้าง แล้วมันยังไม่เดินปัญญานะ คือไม่มองไตรลักษณ์สักทีนะ ก็นำร่องให้จิต คือคิดนำสักนิดหนึ่ง เช่น คิดว่า “เนี่ย เมื่อกี้โกรธ ตอนนี้ไม่โกรธ โกรธก็เกิดดับ” เป็นต้น แต่อย่าคิดทุกครั้งนะ คิดเป็นบางครั้งบางคราว เพราะการคิดเอา..ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา งานจริง ๆ มีแค่นี้ นึกออกไหม ? …. วิธีการปฏิบัติแบบเดียวกัน คือ หาที่อยู่ให้จิต แล้วสังเกตจิตมันทำงาน ไอ้ตรงจิตทำงานนี่แหละ มันจะทำงานแตกต่างกันไป แต่แล้วมันจะได้ ข้อสรุปแบบเดียวกัน คือ “มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล บรรยายธรรม “เหยื่อล่อจิต”ณ บ้านจิตสบาย วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ก็ถือโอกาสช่วงนี้ ยังอยู่ในช่วงที่ประเทศยังอยู่ในช่วงวิกฤติโรคระบาด ก็ขอเตือนเอาไว้ว่า.. ในช่วงที่มีสภาวะแบบนี้ เป็นช่วงที่ให้เราเลือกว่า “จะทำอะไรกับชีวิต?” วิกฤติที่เกิดขึ้นมาเนี่ย เราจะใช้วิกฤตินี้ทำอะไร ? เราจะใช้เพื่อสร้าง ‘อกุศล’ มากขึ้น หรือ จะใช้วิกฤตนี้เป็น ‘โอกาส’ .. ในการที่เราจะเจริญกุศล ทำบุญ มีวิกฤตินี่ทำให้เราได้มีโอกาสที่จะ – ให้ทาน ในแง่ของบริจาคเพื่อโรงพยาบาล หรือ – ได้ช่วยเหลือผู้คน – ได้ให้กำลังใจคน – ได้ขอบคุณคน – ได้ดูแลคนในครอบครัวใกล้ชิดมากขึ้น เพราะว่าไม่ต้องไปไหน ฯลฯ มันเป็นโอกาสที่จะทำได้ทั้ง ‘กุศล’ และ ‘อกุศล’ ..เป็นทางเลือก ขอจงเลือกให้ดี!!! มันเป็น “จุดหัวเลี้ยวหัวต่อ” ของคนทั้งหลาย จะใช้โอกาสตอนนี้สร้าง “กุศล” หรือจะใช้โอกาสตอนนี้สร้าง “อกุศล” แล้วรับผล รับวิบากในอนาคต เลือกเอาเองนะ ! ขอให้ท่านมี ‘ปัญญา’ ในการเลือกใช้วิกฤตินี้ เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวท่านเอง และบุคคลอื่นๆ ..ขออนุโมทนา พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก รายการธรรมะสว่างใจ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ลิงค์แสดงธรรม https://www.youtube.com/watch?v=fMFUWARWefs (นาทีที่ 1.53.34-1.55.10)
วันพุธที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) วันวิสาขบูชา ??? #พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #จิตรู้ที่ถูกต้อง จิตรู้ที่ถูกต้อง ต้องมีลักษณะอย่างนี้ว่า “ไร้น้ำหนัก บางเฉียบ เงียบกริบ” “ไร้น้ำหนัก” คือ เป็นจิตรู้.. รู้เฉยๆ รู้เบาๆ ไม่ใช่ว่าเพ่งไปว่า ‘เอ้ย! ฉันเห็นแล้ว’ เพ่งแบบเอาจริงเอาจัง มันก็เกินไป มันมีน้ำหนัก “บางเฉียบ” คือ มันเกิดแล้วมันก็ดับเลย “เงียบกริบ” คือ มันพูดอะไรไม่ทันเลย ตอนรู้เนี่ยนะ ไม่มีแม้แต่คำว่า “รู้” เพราะฉะนั้นไอ้ที่มีคำไล่ตามหลังว่า “เผลอหนอ” อะไรเนี่ยนะ มันเป็นตอนที่มันปรุงคำพูดทีหลังแล้ว ไอ้ตอนรู้จริงๆ นะ มันแว๊บเดียว มันหนึ่งชั่วขณะจิต มันไวมาก ไวกว่ากระแสไฟฟ้าที่มันเกิดดับด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ไอ้ตอนที่มันรู้นะ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะต้องพูด ไม่ต้องไปกังวล ถ้าตอนนี้ยังไม่เกิดตัวผู้รู้ ก็ทำสมถะไปเรื่อยๆ ดูจิตที่มันเผลอไป พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ตอบปัญหาธรรม รายการ ‘ธรรมะสว่างใจ’ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) วันอัฏฐมีบูชา วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #พระปัญญาธิกะ พระพุทธเจ้าของเราในยุคนี้ เป็นพระพุทธเจ้าประเภท “ปัญญาธิกะ” ใช้เวลาสะสมบารมี ‘เพียง’ ๔ อสงไขย กับ แสนกัป คำว่า “เพียง” เมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าประเภทอื่นนะ แต่ในความรู้สึกของเราก็.. ‘โอ้โห! ยาวนานมาก ๔ อสงไขย กับ แสนกัป’ นับไม่ถ้วน ๔ ครั้ง ก็ไม่ใช้เวลาน้อยๆ เลย แม้กระนั้นเอง พระองค์ท่านก็ไม่ระย่อท้อถอย ด้วยซ้ำไป และที่จริงก็น่าเคารพกราบไหว้ น่าสรรเสริญพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ประเภท ไม่ควรจะใช้ความรู้สึกของปุถุชน ไปเทียบเคียง คนเราบางทีศึกษาพุทธประวัติ หรือว่าศึกษาเนื้อหาคำสอน พบว่า พระพุทธเจ้ามีหลากหลาย บางทีก็แอบเอาความรู้สึกของปุถุชนเนี่ยนะ ไปเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้าเอาเอง.. แต่ว่า แต่ละพระองค์ แต่ละท่าน ไม่ได้เปรียบเทียบกัน ทุกพระองค์มี “คุณแห่งพุทธะ” เท่ากัน มีพุทธคุณทั้ง ๙ เสมอกัน ที่เราสวดกันนะ.. “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง, สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต, โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ, ภะคะวา ฯ” ทั้ง ๙ คุณนี้ มีเสมอกัน ในทุกๆ พระองค์ แม้จะพระองค์ในอนาคตก็จะเป็นอย่างนี้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก รายการธรรมะสว่างใจ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์แสดงธรรม https://www.youtube.com/watch?v=lExNJw1B4us (นาทีที่ 1.26.22-1.27.52)
วันพุธที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) #พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ??? #วาจาสุภาษิต คำพูดที่ดีคือ.. คำพูดจริง คำพูดอ่อนหวาน คำพูดที่มีประโยชน์ คำพูดที่ออกมาจากใจที่มีเมตตา แล้วก็..พูดถูกกาล ถูกเวลา มันต้องเลือกเวลาพูดด้วยนะ! คำพูดนั้นควรต้องอ่อนหวานด้วย สมานสามัคคีกัน ถ้าพูดไม่ดี..แสดงว่า..คนๆนั้นอาจจะมีจิตใจที่ไม่ดี ไม่มีเมตตา ไม่มีกรุณา หรือมีความเชื่อที่ผิดๆ “คำพูด” มันก็เลยจะสะท้อน ‘ความคิด’ ของตัวเอง หรือสะท้อน ‘ความเชื่อ’ ของตัวเอง อย่างน้อยๆ ถ้าเรายังฝึกมายังไม่ดี ต้องรู้อยู่ว่า.. “คำพูด”ชนิดไหนเป็นคำพูดที่ควรพูด! หรือไม่ควรพูด!! แม้เราจะยังไม่เป็นพระอรหันต์ หรือแม้เรายังไม่เป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่ง อย่างน้อยๆ เรื่องนี้ควรจะเป็นตัวฝึกเรา ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ เราจะเป็น “ผู้มีมงคล” ก็คือ..ถ้าจำเป็นจะต้องพูด ก็ต้อง “พูดดี” พอถึงตรงนี้ ก็จะมีอีกประเด็นหนึ่งคือว่า… การเลือกพูดให้ดี ไม่จำเป็นต้องพูดเสมอไป บางครั้งนะ “คนฉลาดอาจจะไม่ต้องพูดด้วยซ้ำไป” บางทีการรู้จักเงียบ! กลับกลายเป็นว่า.. เป็นการแสดงออกซึ่งผู้ฉลาด มีปัญญา และมีวินัย บางครั้งไม่ต้องพูด! การรู้จักคราวไหนควรพูด คราวไหนไม่ควรพูด กลับกลายเป็นตัวชี้สำคัญว่า..ผู้นั้นฝึกมาดีแค่ไหน? พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากโอวาทธรรม “อยู่อย่างฉลาด” จากรายการคลิกใจให้ธรรม ที่ลิงค์ https://youtu.be/j7l58g8z3Co (นาทีที่ 42.03-44.17)
วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนแปด(๘) ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ทำให้พ้นไป ถ้าเห็นว่าชาตินี้ทุกข์เหลือเกินแล้ว แม้ระลึกชาติไม่ได้ ก็เชื่อว่าชาติก่อนๆ ก็คงทุกข์ ไม่เบาไปกว่านี้! เทียบอย่างพระพุทธเจ้า ตามพุทธประวัติก็ได้ พระองค์ระลึกชาติได้ แล้วพระองค์ก็ยังไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับการเกิดในชาติหน้าต่อไป แม้พระองค์จะเคยเป็นพระมหาจักรพรรดินับชาติไม่ถ้วน อย่าว่าแต่พระมหาราช คือพระราชาผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ อีกนับชาติไม่ถ้วน เป็นเทวดานับชาติไม่ถ้วน เป็นพระพรหมนับชาติไม่ถ้วน ผ่านความสุขเท่าที่มนุษยชาติทั้งหลายลงความเห็นว่าเป็นเลิศอีกนับชาติไม่ถ้วน สุขเหล่านั้นพระองค์ก็ยังรู้สึกว่า ..ทั้งหมดนี้ไม่เที่ยง หวังพึ่งไม่ได้ เพราะเกิดทีไร ตายทุกที สุขเกิดขึ้นมา ก็ดับทุกที ความไม่เที่ยงแห่งความสุข มันคือความทุกข์อีกแบบหนึ่ง รู้สึกไหม? รู้สึกว่า..ไอ้ความสุขที่เรามีอยู่เนี่ย ถ้ามองในแง่มันจะจากไปเมื่อไร ก็ไม่รู้นะ …ทุกข์แล้ว! แล้วมันก็ทุกข์ทุกที!! เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่เที่ยง หวังพึ่งไม่ได้ ทางออกของเราทางเดียวคือ.. ทำให้ “พ้นไป” วิธีทำให้พ้น ให้เร็วที่สุด คือ ปฏิบัติให้ถูกกับจริตของตัวเอง ….ไม่ฝืน…. พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายวันวิสาขบูชา 620518 บ้านจิตสบาย ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=TCSNFzV7Hmo&t=5591s (ระหว่าง นาทีที่ 2:41:20-2:42:55)