ฝากคิด


พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๓ (ปรับข้อความบนภาพประกอบธรรมะ) #ความสุข ถ้าคนทำงานแบบมีฉันทะนะ! ยิ่งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจสำหรับคนปรกติทั่ว ๆไปนะ แต่ตัวเองกลับกลายเป็นเห็นสิ่งนั้น เรากลับมีความสุข เพราะเราจะได้ช่วย หมอ(อาชีพ) ถ้าต้องการเงินอย่างเดียว ก็นับคนไข้ว่าวันนี้จะได้รักษากี่คน แล้วเราจะได้เงินเท่าไหร่? แต่ถ้าเป็นหมอที่มีฉันทะ จะรู้สึกว่าวันนี้เราได้ช่วยคนเท่าไหร่ ความสุขมันต่างกัน.. เห็นไหม? ….. ความสุข คือ การได้สนองความปรารถนา หรือความอยาก ถ้าความอยากของเราหยุดอยู่แค่ตัณหา ความสุขจะมีอยู่ได้นิดเดียว แล้วจะมีทุกข์ง่าย “ของ” หรือว่า “คน” ที่เคยให้ความสุข ถ้าได้ซ้ำๆ เราจะสุขน้อยลง สุขน้อยลง จนเฉย ๆ กลายเป็นอุเบกขา แล้วถ้าได้อีก จะรู้สึกว่า (กู) ชักไม่อยากได้แล้ว เบื่อแล้ว ชักเบื่อ คนคนเดียวกัน หรือของสิ่งเดียวกัน ชักสร้างทุกข์ให้ตัวเอง อยากจะทิ้ง อยากจะผลักไส อยากจะทำให้พ้นสายตาไป ใครเจอสถานการณ์นี้ อยู่บ้าง? ต้องพัฒนาความปรารถนา หรือพัฒนาความอยาก ความอยาก (ภาษาไทย) มันดูรู้สึกว่าไม่ดีเท่าไร..ใช่ไหม? พัฒนาความอยาก จากตัณหา ให้เป็นความอยากแบบมีฉันทะ อยากให้สิ่งๆ นั้น หรือคนๆ นั้น ดีสมบูรณ์ โดยตัวของคนๆ นั้นเอง หรือโดยสภาวะนั้นเอง ถ้าเราทำงาน เราจะทำตามธรรมชาติของงานนั้น อยากได้ผล..ตามธรรมชาติของงานนั้น เป็นครู..ก็อยากให้นักเรียนมีความรู้ เป็นหมอ..ก็อยากให้คนมีสุขภาพดี ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่ีอง “ศักยภาพแห่งความสุข” ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์แสดงธรรม https://youtu.be/33B6NFN01Kc (นาทีที่ 38.16-41.03)


วันอังคารที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๒ #เห็นธรรมดาของจิต ที่ปฏิบัติ(ธรรม)มาเพื่อให้เห็นธรรมดาของมัน! ธรรมดาของจิต ถ้ามีความสุข อยู่กับอารมณ์ใด จิตอยู่กับอารมณ์นั้นได้นาน ก็ได้สมถะ..เรื่องธรรมดา! ขอเพียงแค่มีความสุขอยู่กับอารมณ์นั้น จิตจะเกิดสมถะขึ้นเอง..โดยธรรมดา ธรรมชาติของมัน ทีนี้ถ้าเราเป็นพวกจริตประเภทช่างคิด ช่างนึก ช่างปรุง ช่างแต่ง ช่างวิพากย์วิจารณ์ มันก็ธรรมดาของเรา แม้จะมีความสุขอยู่กับอารมณ์นี้ แต่มันก็อิ่มเร็ว จิตนี้อิ่มเร็วแล้วก็หิวง่าย อิ่มจากนี้นะ แล้วก็หิวอื่น หิวอารมณ์อื่น ก็เป็นธรรมดาของจิตนี้ จิตมันไป..ก็รู้ทันธรรมดาของมัน อย่าไปห้ามมัน อย่าไปดึง อย่าไปแทรกแซง เห็นตามความจริงว่ามันหิวอารมณ์อีกแล้ว ดูธรรมดาของจิต เห็นธรรมดาของจิต ก็จะเห็นว่ามันเกิด-ดับ เมื่อก่อนนี้ไม่เห็นเกิด-ดับ มันเกิดความอยากอะไรก็จะสนอง เมื่อสนองไม่ได้ ก็จะรู้สึกว่า..เทคนิคนี้ไม่พอ ต้องหาเทคนิคอื่น ต้องหาวิธีอื่น เพื่อให้ได้ตามที่มันมีตัณหาบัญชาการ ไม่ได้เห็นเลยว่ามันมีการเกิด-ดับ ถ้าเห็นเพียงว่ามันมีตัณหาเกิดขึ้นมา..แล้วมันดับลงไปเนี่ยนะ! ก็จะเห็นธรรมดาของตัณหาว่า..มันเกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป ส่วนจำเป็นจะต้องสนองมั้ย? ก็ดู! หมายถึงว่างานนั้นจะต้องทำมั้ย? ก็ดูว่าความจำเป็นของงาน แต่ว่าไม่ได้ทำด้วยตัณหา ดูตามความจำเป็น ถ้าเห็นว่าความจำเป็นจะต้องทำ..ควรทำ! คราวนี้ทำแบบมีฉันทะ ไม่เหมือนกันนะ! เห็นประโยชน์ของมัน เห็นความจำเป็นของมันควรทำ..อันนั้นเป็นฉันทะ แต่ทำด้วยความอยาก มันไปด้วยความรู้สึกว่า จะมาสนองตัวเองบ้าง หรือสนองความโลภ หรือสนองความเป็นตัวตน สนองอยากของตัวเอง อันนี้ทำด้วยตัณหา มันไม่มีเหตุผลอะไรมาก มันเป็นเพียงความพอใจ อยากจะได้ อยากจะกิน อยากจะมี อยากจะเป็น แต่ถ้ามันมีเหตุผล..ควรทำ!..ทำแล้วได้ประโยชน์ เราได้ประโยชน์บ้าง คนอื่นได้ประโยชน์บ้าง ส่วนรวมได้ประโยชน์บ้าง อย่างนี้นะ..ก็ทำ! ทำด้วยความพอใจ จากการเห็นมันมีประโยชน์ ตรงนี้เรียกว่ามีจิตใจใฝ่ดีที่จะทำ เพราะเห็นประโยชน์ แล้วทำด้วยความขยัน มีความหมั่นเพียรประกอบเข้ามาเลย เห็นประโยชน์ของมันใจก็จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น อาจจะมีทดลองผิด ทดลองถูกบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผิดแล้วรู้ ก็ได้ประโยชน์ ว่าอันนี้ผิด แล้วก็จะไม่ทำอีก ถ้าได้ทางถูกก็จะได้รู้ว่า นี่เป็นทางถูกก็ทำสิ่งนี้ไป ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บ! จะต้องถูกปั๊บ! โดยเฉพาะปฏิบัติธรรมเนี่ยนะ ส่วนใหญ่จะต้องผิด แต่ผิดแล้วรู้ทีไร ก็จะเจริญทุกที มันจะผิดยากขึ้น หรือจะผิดสั้นลง จากการที่เห็นว่า..เมื่อก่อนเคยทำอย่างนี้แล้วคิดว่าดี พอรู้ว่ามันผิดนะ พอมันผิดไปหน่อยก็รู้ปุ๊บ ไอ้ผิดแล้วรู้นะ! ก็กลายเป็นว่า..ผิดแล้วทำให้เกิดสติ ผิดแล้วทำให้เกิดสมาธิ ผิดแล้วทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ไฟล์สียง 620811 ธรรมดา-ทิพยะวิลล่า 4of5 http://bit.ly/2MGKNlL ( ระหว่างเวลา ๓๕.๑๗ – ๓๘.๕๑ )

วันอังคารที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๓ #ความสุข ถ้าคนทำงานแบบมีฉันทะนะ! ยิ่งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจสำหรับคนปรกติทั่ว ๆไปนะ แต่ตัวเองกลับกลายเป็นเห็นสิ่งนั้น เรากลับมีความสุข เพราะเราจะได้ช่วย หมอ(อาชีพ) ถ้าต้องการเงินอย่างเดียว ก็นับคนไข้ว่าวันนี้จะได้รักษากี่คน แล้วเราจะได้เงินเท่าไหร่? แต่ถ้าเป็นหมอที่มีฉันทะ จะรู้สึกว่าวันนี้เราได้ช่วยคนเท่าไหร่ ความสุขมันต่างกัน.. เห็นไหม? ….. ความสุข คือ การได้สนองความปรารถนา หรือความอยาก ถ้าความอยากของเราหยุดอยู่แค่ตัณหา ความสุขจะมีอยู่ได้นิดเดียว แล้วจะมีทุกข์ง่าย “ของ” หรือว่า “คน” ที่เคยให้ความสุข ถ้าได้ซ้ำๆ เราจะสุขน้อยลง สุขน้อยลง จนเฉย ๆ กลายเป็นอุเบกขา แล้วถ้าได้อีก จะรู้สึกว่า (กู) ชักไม่อยากได้แล้ว เบื่อแล้ว ชักเบื่อ คนคนเดียวกัน หรือของสิ่งเดียวกัน ชักสร้างทุกข์ให้ตัวเอง อยากจะทิ้ง อยากจะผลักไส อยากจะทำให้พ้นสายตาไป ใครเจอสถานการณ์นี้ อยู่บ้าง? ต้องพัฒนาความปรารถนา หรือพัฒนาความอยาก ความอยาก (ภาษาไทย) มันดูรู้สึกว่าไม่ดีเท่าไร..ใช่ไหม? พัฒนาความอยาก จากตัณหา ให้เป็นความอยากแบบมีฉันทะ อยากให้สิ่งๆ นั้น หรือคนๆ นั้น ดีสมบูรณ์ โดยตัวของคนๆ นั้นเอง หรือโดยสภาวะนั้นเอง ถ้าเราทำงาน เราจะทำตามธรรมชาติของงานนั้น อยากได้ผล..ตามธรรมชาติของงานนั้น เป็นครู..ก็อยากให้นักเรียนมีความรู้ เป็นหมอ..ก็อยากให้คนมีสุขภาพดี ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่ีอง “ศักยภาพแห่งความสุข” ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์แสดงธรรม https://youtu.be/33B6NFN01Kc (นาทีที่ 38.16-41.03)


วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๔ #คนส่วนใหญ่มักจะทำสมถะเพื่อสมถะ จะเจริญวิปัสสนาได้ต้องมีสมถะรองรับ หรือมีสมถะเป็นบาทฐาน ที่เป็นห่วงอย่างเดียวคือ.. คนส่วนใหญ่มักจะ..”ทำสมถะเพื่อสมถะ” พอไม่สงบก็พยายามทำให้สงบ มันฟุ้งไป ก็ไม่เรียนรู้ว่า มีความฟุ้งซ่านเกิด-ดับ แต่ฟุ้งซ่านไป รีบทำให้มันสงบ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้นี้มีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏแล้วให้ดู คือ ฟุ้งซ่าน แทนที่จะรู้ว่าฟุ้งซ่านเฉย ๆ เห็นฟุ้งซ่านเกิด-ดับ กลับไปแก้ไขฟุ้งซ่านให้มันสงบ เมื่อกี้นี้มีราคะเกิดขึ้น แทนที่จะเห็นราคะเฉย ๆ แล้วเห็นมันเกิด-ดับ กลับไปทำให้มันสงบ..นึกออกมั้ย? ไปติดอยู่ตรงที่ว่า มัวแต่ทำความสงบ! แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำความสงบ.. ยังต้องทำความสงบนะ.. แต่ทำความสงบเพื่อให้เห็นจิตที่มันฟุ้งซ่านไป เห็นจิตที่มันเผลอไป เห็น..ให้มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู! มันจะเข้าสู่ทางแห่งความพ้นทุกข์ คือทางสายกลางนี้ให้ได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงมา มันมีทางสุดโต่งสองด้านเนี่ย ก็ต้องเรียนรู้ว่าเราผิดแบบไหน! ตอนรู้ว่าผิด..จะถูกพอดี ตอนตามใจกิเลสเนี่ย คือคิดเรื่องนี้มันส์เหลือเกินนะ คิดยาว ๆ นี่ก็ตามใจกิเลส เป็น “กามสุขัลลิกานุโยค” ถ้าทำไป ก็เป็นของคนผู้มีกิเลสหนาเป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน อย่างนี้เรียกว่า ตามแบบสุดโต่งไปด้านหนึ่ง ด้านตามใจกิเลส ไม่อยากให้เผลอ..บังคับให้มันอยู่นิ่ง ๆ เครียด ๆ ไม่มีความสุข ไม่เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิที่ถูกต้อง เมื่อไม่มีสมาธิที่ถูกต้องก็ไม่เกิดปัญญา ฉะนั้น เพียงแค่ทำสมถะตามกำลังของเรา เราอาจจะเป็นพวกสมถยานิก หรือวิปัสสนายานิก อาจจะไม่ต้องสนใจตรงนั้นก็ได้ แค่ทำสมถะตามกำลังของเรา สมถะนั้นจะเอื้อให้เห็นเลยว่า เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวจิตนี้ก็จะทำงาน ต่าง ๆ นา ๆ ให้ดู เราจะศึกษาให้เห็นความจริงของจิต ว่ามันไม่เที่ยงอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็เกิด-ดับ เดี๋ยวก็เผลอไป เผลอไปแล้วรู้ทัน..เผลอดับ ไอ้ตัวรู้ก็ดับด้วย ดับแบบไล่ตามกันไป ไม่ใช่ดับพร้อมกันด้วยนะ! ไอ้ “เผลอ” ดับก่อน แล้ว “รู้” ดับตามกันไป เห็นอย่างนี้ ไม่มีเราในที่ไหนเลย! กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ก็ไม่ใช่เราด้วย เนี่ย..ถ้าได้อย่างนี้เรียกว่า “มีดวงตาเห็นธรรม” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากการแสดงธรรมเรื่อง “ทางสายกลาง” แสดงธรรม ณ เรือนไทยริมน้ำ วัดสังฆทาน เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๒ ลิงค์ไฟล์เสียง 620822 ทางสายกลาง-วัดสังฆทาน http://bit.ly/2roHFnv (ระหว่างเวลา ๔๘.๓๑- ๕๑.๐๓)

วันพุธที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๕ #โลกเปลี่ยนไป ให้รู้ทันกิเลสตัวเองนะ! จิตใจนี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โลกเปลี่ยนแปลงอะไรไปเนี่ย เราหวั่นไหวไหม? ถ้ารู้ทันความเปลี่ยนแปลงของโลก (จิต)เราหวั่นไหว..รู้ทันความหวั่นไหว แล้วต้องมีใจพร้อมพอที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้นะ แต่โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเนี่ย! เราห้ามเขาไม่ได้ เราเพียงแค่รู้เท่าทัน แล้วก็ปรับตัวให้อยู่กับโลกนี้ให้ได้..เท่าทันกับมันไป ส่วนที่ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ โลกนี้ คือ กายและใจนี้ โลก คือกายและใจนี้นะ ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือที่ใจ ความเปลี่ยนแปลงทางกายนี่..ห้ามไม่ได้! ทำได้แค่เพียงชะลอ หรือ(ใช้เครื่องสำอาง)โบกเอาไว้ ปิดบัง(ความจริงของใบหน้า) กายกับใจเรานะ..เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ นะ ไอ้กายเปลี่ยนแปลงไปห้ามไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าปลงตก ในลักษณะที่ว่ายอมแพ้นะ ไม่ดูแลไม่รักษา หน้าหนาวไม่อาบน้ำ “ใจสะอาดพอแล้ว จิตใจสะอาด ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” อันนี้ไม่ใช่นะ ควรจะอาบน้ำด้วยนะ! ถ้าเจอน้ำเข้าไปในห้องน้ำ เจอน้ำแล้ว ใจมันเป็นอย่างไร? สยองไหม? สยองให้รู้ว่าสยอง ดูแลรักษาร่างกายเอาไว้ เพื่อเอาร่างกาย..เอาชีวิตนี้มาพัฒนาจิตใจ ตัวจิตใจเป็นตัวแกนนำ จิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน ถ้าจิตเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปดีหรือไม่ดี โดยเฉพาะถ้าเกิดกิเลสขึ้นมา..ให้รู้ทันกิเลส ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย “โลกเปลี่ยนไป” รายการธรรมปทีป วัดยานนาวา ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ (ช่วงเวลานาทีที่ 1:05:20-1:08:21) ลิงค์สด https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1012589449122597&id=247204051973251


พฤหัสบดี​ที่​ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๖ #ดัดมิจฉาทิฐิ เวลาทำบุญต้องทำให้ครบวงจร พระพุทธเจ้าสอนการทำบุญไว้ถึง ๓ อย่าง คือ​ การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ต้องภาวนาด้วย ต้องพัฒนาจิตใจ ด้วยการสงบให้เป็น แล้วก็ให้ฉลาดให้ได้ ฉลาด คือ รู้เท่าทันความจริงของชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีรูป มีนาม หรือ มีกาย มีใจ มีชีวิตแล้วก็มีความเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าคิดว่า..กายนี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา คิดว่า..ใจนี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือมีเราในกายนี้ แต่อาจจะไม่เป็นของเรา แต่มีเราอยู่ในกาย มีเราอยู่ใจนี้ด้วย มีความเป็นเราแฝงอยู่ ความเข้าใจเหล่านี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ จะดัดมิจฉาทิฐิได้ต้องมีสัมมาทิฐิ ที่เกิดจากการปฏิบัติ..เห็นจริง! ก็คือ..มีสติมารู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากคลิปแสดงธรรม “นิทานเปรตผมยาว” ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/2tvdZq4 (นาทีที่ 59.56-1.01.00 น.)

พุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๗ #สมปรารถนา พอผิดหวังจิตไม่ดี รีบทำให้มันดี แล้วคิดว่าที่ดีต้องนิ่ง ต้องสงบ แล้วก็รีบที่จะกดข่ม บังคับจิตให้อยู่กับที่ การกดข่ม บังคับจิตให้อยู่กับที่เนี่ย มันคือทำความเครียดให้กับจิต..จิตเป็นทุกข์ จิตเป็นทุกข์..ไม่เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ เหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ คือ สุข สุข เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ฉะนั้น กระบวนการก็คือว่า ต้องตั้งเจตนาให้ถูกต้องด้วยนะ! มีที่อยู่เอาไว้สักที่หนึ่ง แล้วเจตนาที่จะเรียนรู้ว่า..จิตมันทำงานยังไง? พอจิตทำงานยังไง? จิตจะเป็นจิตที่ดีก็ได้ จิตที่ไม่ดีก็ได้ จิตดีก็จะรู้ จิตไม่ดีก็จะรู้ รู้ทีไร..ได้สมปรารถนาทุกที เพราะเราจะเรียนรู้เรื่องจิต จิตไม่ดีก็รู้ เราได้สมปรารถนาแล้ว ถ้าเราปรารถนาเพียงแค่ให้สงบ มันจะสมปรารถนาตอนที่สงบเท่านั้น ตอนที่ไม่สงบจะไม่สมปรารถนา..แล้วเครียด กระบวนการจะออกมาในแนวเครียด ถ้าตั้งใจไว้ว่า..จะมีที่อยู่เอาไว้เพื่อจะเรียนรู้ว่าจิตมันทำงานยังไง พอจิตทำงานดี ก็จะเรียนรู้ว่ามีกุศลเกิดขึ้น จิตทำงานไม่ดี ก็เรียนรู้ว่ามีอกุศลเกิดขึ้น ได้ความรู้ทั้งที่มันเป็นกุศลและทั้งที่เป็นอกุศล นึกออกมั้ย? อย่างนี้..แค่ตั้งใจไว้ว่า จะเรียนรู้เรื่องจิตนะ มีที่อยู่เอาไว้สักที่หนึ่ง แล้วจะเรียนรู้เรื่องจิต เราจะได้คะแนนอยู่เสมอ จะสมปรารถนาอยู่เสมอด้วย และจะภาวนาด้วยความสุข เพราะสมปรารถนาอยู่เสมอ ความสุข คือสมปรารถนา นึกออกมั้ย? ถ้าผิดหวัง คือไม่มีความสุขแล้ว ใช่มั้ย? หวังจะสงบแล้วมันไม่สงบ ผิดหวัง แต่หวังรู้ แม้ไม่สงบก็รู้ เราก็สมหวัง ฉะนั้น มีที่ตั้งหรือมีที่อยู่ไว้เพื่อเรียนรู้เรื่องจิต ปรารถนาว่าจะเรียนรู้เรื่องจิต แล้วไม่ว่าจิตแสดงอะไรออกมา จะได้ความรู้อยู่เสมอ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ☃️☃️☃️ เรียบเรียงจากการบรรยายธรรมเรื่อง “โลกเปลี่ยนไป” วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ วัดยานนาวา ลิงค์ไฟล์เสียง 621207 โลกเปลี่ยนไป-วัดยานนาวา http://bit.ly/2PJfABk (นาทีที่ ๐๑.๐๙.๑๓ – ๐๑.๑๑.๒๘)


วันพฤหัสบดีที่ ๙ มการาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๓๘ #ปริญญาดูจิต ….ถ้าเราตั้งใจเพียงแค่ว่า..จะศึกษาเรื่องจิต จิตจะดี..ก็ดี รู้ว่าดี แต่ก็ไม่รักษามัน เพราะจะเรียนรู้เฉย ๆ จิตไม่ดี..ก็รู้ว่าไม่ดี แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อนใจ กับสิ่งที่ไม่ดีเมื่อกี้นี้ เพราะเราจะเพียงแค่เรียนรู้ว่า จิตเมื่อกี้นี้มันไม่ดี พอเรารู้แล้วจิตไม่ดี มันก็ดับด้วย แล้วดับจริง ๆ แต่ถ้าตั้งใจจะให้มันดี พอจิตไม่ดีเกิดขึ้น เห็นว่าไม่ดีนะ ไอ้ความไม่ดีเมื่อกี้นี้เป็นศัตรู เช่น มีความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธนี้เป็นศัตรูของสติ หรือเป็นศัตรูของการทำความสงบ ก็จะรีบดับมัน ความเผลอเมื่อกี้นี้ไม่ดี เพราะมันเป็นศัตรูของการเจริญกรรมฐานของเรา กรรมฐานที่ดีมันควรจะอยู่ตรงนี้ ไม่เผลอไปไหนเลย มีเผลอแล้วรีบดึงกลับมา ดึงกลับมาได้..ก็ดีใจชั่วขณะ ดึงกลับมาไม่ได้..ก็เสียใจ หมดกำลังใจ นึกออกมั้ย? จะไม่เห็นสภาวะตามที่มันเป็น ยถาภูตญาณทัสสนะไม่เกิด เพราะเห็นมันเป็นศัตรู แต่ถ้าเราตั้งใจเพียงแค่ว่า..จะศึกษาเรื่องจิต ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ จะเห็นความจริงทันทีเลยว่า..มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาแล้ว พอเห็นปุ๊บ! ถ้ามันเป็นของไม่ดีนะ จะดีมาก คือมันจะดับให้ดูเลย ความจริงที่ปรากฏกับจิต ก็จะพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ความจริงเบื้องต้นคือ มีสภาวะนี้(ดีหรือไม่ดี) เกิดขึ้นจริง สภาวะนี้..ที่ว่านี้มักจะเป็นของไม่ดีด้วย เวลาพระพุทธเจ้าให้ดูจิต จะให้ดูของที่ไม่ดีก่อน ราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ของไม่ดีทั้งนั้นเลย แต่เห็นทีไรนะ! จะเกิดของดีขึ้น คือเห็นมันดับ เพราะฉะนั้น ความจริงที่เราเห็นเนี่ยจะพัฒนาขึ้น ตรงนี้มีศัพท์ด้วยเรียกว่า “#ปริญญา” (ความรู้) ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย เรื่อง #ฝึกใจให้เป็นอิสระ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ #อาคารธรรมดีรุ่งโรจน์ ลิงค์ไฟล์เสียง 621215 ฝึกใจให้เป็นอิสระ-ธรรมดีรุ่งโรจน์ http://bit.ly/391iGIs (ระหว่างเวลา ๐๑.๐๕.๒๕ – ๐๑.๐๗.๐๔)

วันศุกร์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือนยี่ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #การเผยแพร่กิเลสเป็นบาป เวลาเราเผชิญกับสถานการณ์จริง ๆ รู้อยู่ว่าคำพูดนี้ไม่ดี อย่าไปเอาคำพูดนั้นใส่คืนเขาไป เขาทำหน้าอย่างนี้ใส่เรา มันไม่ดี เราไม่ชอบใจ ก็อย่าไปทำหน้าที่ดุกว่านั้นใส่เขาไป เห็นเขาแยกเขี้ยวมา ถ้าเราก็แยกเขี้ยวตอบนะ มันก็คล้ายสุนัขแล้ว ให้รู้ทันว่าสิ่งนี้ไม่ดี เราไม่ชอบใจ อย่าเอาสิ่งที่น่าไม่ชอบใจนี้ ไปใส่ให้เขาตอบ ให้รู้ทันกิเลสว่า.. “นี่..เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจแล้ว” การเผยแพร่กิเลสเป็นบาป เดี๋ยวนี้เผยแพร่กิเลสง่ายเนอะ! โพสต์ไปปุ๊บ! โทสะเกิดขึ้นทั้งประเทศเลย! โพสต์ไปปุ๊บ! ราคะเกิดขึ้นทั้งประเทศเลย! อย่าไปอยากเป็นเน็ตไอดอลในแนวนี้ ดังก็จริง แต่ว่าไม่ได้เป็นกุศลก็มี..ใช่มั้ย? อย่าเป็นอย่างนั้น สรุปวิธีจัดการกับกิเลส มี ๓ ข้อ ข้อที่ ๑ รู้ทันมัน, ไม่ตาม, ไม่ต้าน (คือทำตามแนวทางวิปัสสนา) ข้อที่ ๒ ถ้ารู้ข้อ ๑ ไม่ทัน ให้ทำสมถะแก้ไข ข้อที่ ๓ คือถ้าทำวิปัสสนาก็ไม่ทัน และทำสมถะก็ไม่ทัน หลบไปก่อน…ถอย! ถอยแล้วตั้งหลัก แล้วกิเลสเกิดขึ้นอีกทำข้อ ๑ นะ! ไม่ได้ถอยไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ทำแต่ข้อ๓ นะ หรือทำแค่ข้อ ๒ ก็ไม่ได้นะ กิเลสเกิดขึ้นใหม่แล้วต้องทำข้อ ๑ เลย กิเลสก็แค่สิ่งเกิดใหม่ในจิตดวงใหม่ ธรรมบรรยายโดย.. พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “ก้าวย่างในการภาวนา” คอร์สจิตเกษม https://youtu.be/Ebom8O5jhyY (ระหว่างนาทีที่ 43.51-45.48)


วันศุกร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๔๐ #ถูกยั่วให้วนเวียน จริง/ไม่จริงแบบสมมุติเนี่ยนะ! มันเป็นตัวหลอก ถ้าเราไปหลงเพียงแค่สมมุติข้างนอกเนี่ยนะ! เราก็จะถูกโลกนี้หลอกไปเรื่อย ๆ โลกนี้หลอกไปแล้วมันจะมีผลเสียอย่างไร? เราก็จะวนเวียน ถูกยั่วให้โกรธ..ก็โกรธ ถูกยั่วให้โลภ..ก็โลภ ถูกยั่วให้เพลิน..ก็เพลิน แล้วมันก็วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ ตายไปแล้ว ก่อนตายก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ไม่อิ่มพอ..รู้สึกว่า..ยังไม่อิ่มในโลก ถูกโลกนี้หลอกให้อยากเกิดอีก หรือว่าบางทีอยากเกิดมาเพื่อจะกินอีก อยากจะเสพอีก อยากจะสะสมทรัพย์สิน หรือสะสมกามให้มากขึ้น เพราะว่าชาตินี้แปดสิบปียังสะสมไม่พอ..ประมาณนี้ ตายแล้วยังเสียดาย!..อยากจะเกิดมาเสพ มากินอีก บางคนอยากจะเกิดมา เพื่ออยากจะแก้แค้นมัน เรียกว่าอาศัยความโกรธ พาให้เกิดอีก อาศัยความโลภ พาให้เกิดอีก อาศัยความหลง พาให้เกิดอีก หลงว่าฉันจะเป็นนั่น เป็นนี่ อยากจะเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสาเหตุให้เราวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เห็น ความโลภ ความโกรธ ความหลง แสดงตัวตนจริง ๆ ว่ามันเพียงแค่สภาวะหนึ่ง เกิดขึ้นมา พอรู้ปุ๊บ! มันก็ดับ เห็นไปเลยว่า..สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ พอเราเห็นมันเกิด-มันดับ เราหวังพึ่งอะไรมันไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้งบุญ ทั้งบาป ที่เกิดขึ้นมานี้ เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป บาป นี่เกิดขึ้นมาแล้วดับเร็ว บุญ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับด้วย สติ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับด้วย ตัวรู้ เกิดขึ้นมาก็ดับด้วย เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลง เอาไว้ไม่ได้ด้วย รักษาไว้ไม่ได้ด้วย เราคิดว่าจะต้องสร้างตัวรู้ขึ้นมานะ..ต้องสร้างก่อนนะ จึงจะรู้ว่าเมื่อกี้มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม? เราต้องสร้างตัวรู้นี้ขึ้นมา แต่ตัวรู้นี่เอง! ก็เป็นสภาวะหนึ่งที่เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง นั้นเรามาศึกษาเห็นความจริงตรงนี้ เห็นความจริงตรงนี้จะเป็นประโยชน์ในแง่ที่ว่า.. เห็นความจริงแล้วเราจะหน่ายจากการเกิด-ดับขึ้นมา เจอความหลอกลวงของโลกนี้ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “จริงหรือเปล่า” แสดงธรรม ณ วัดยานนาวา ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓ ลิงค์เสียง https://bit.ly/38upjlD ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/ociuhHPq1g8 (นาทีที่ 54.18-57.03)

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๔๒ #กามาวจร กาม คือ ความสุขที่ได้จากการดู การฟัง การดม การลิ้มรส และการสัมผัสทางกาย ความสุขแบบนี้เป็นปกติของคนทั่ว ๆ ไป เพราะเราอยู่ในกามาวจร..จรไปจรมาในกาม เป็นธรรมดา..เทวดาก็เหมือนกัน อย่าว่าแต่เรา! หมา แมว ตุ๊กแก ก็เหมือนกัน! ต้องการความสุขจากการได้ดู ได้ฟัง ได้ดม ได้กิน ได้สัมผัส ความสุขแบบนี้เมื่อได้รับการสนองก็มีสุข แต่จริง ๆ แล้ว..มันก็ไม่ได้รับสนองทุกครั้งไป อยากได้..แล้วไม่ได้ ก็มี อยากได้แล้วไม่ได้ กับ อยากได้แล้วได้ อย่างไหนมากกว่ากัน? แม้ของที่ได้มาแล้ว..ก็ยังหวั่น ๆ ว่าจะสูญเสียไปเมื่อไหร่? ความสุขในกามนั้นยังไม่ปลอดภัย รวมทั้งถ้าเพียงแค่จะให้มีความสุขเท่าเดิม กามนั้นก็ต้องมากขึ้นเรื่อย ๆ มากทั้งด้านปริมาณ และความเข้มข้นด้วย พร้อมกันนั้น ก็ต้องแย่งกันด้วย เพราะของมีจำกัด สิ่งของมีจำกัด ตำแหน่งมีจำกัด ต้องสอบเข้า ต้องแย่งกัน แข่งฟุตบอลกันยี่สิบทีม..แย่งถ้วยหนึ่งใบ ต้องมีทีมที่สมหวังอยู่ทีมเดียว ทีมที่ผิดหวังอีกสิบกว่าทีม มันต้องแย่ง .. คนแย่งได้ก็มีความสุข คนแย่งไม่ได้..ก็เก็บมาคิดว่า “ฝากไว้ก่อน ปีหน้าข้าจะมาเอาให้ได้” มีการจองเวรกัน มีการพยาบาทกัน เพราะแย่งไม่ได้ จะเห็นว่า กามสุขมันมีอยู่จริง แต่ก็มีข้อเสียมีโทษด้วย! พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธกามว่าไม่ให้สุข.. ..ให้สุขได้จริง แต่ว่ามีข้อเสียมากมาย แล้วจึงต้องหาทางออกจากกาม ทางออกก็คือ ต้องพัฒนาให้ใจมันมีความสุขในระดับที่สูงขึ้นไป (ให้ถึง ฌานสุข และ นิพพานสุข) ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “ศักยภาพแห่งความสุข” ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/2OSbG8