
วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ วันอาสาฬหบูชา วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๗๒ #พุทธานะสาสะนังฯ วิปัสสนาเป็นการทำจิตให้ฉลาด พอฉลาดก็จะมีปัญญา ละกิเลสเป็นลำดับๆ ฉลาดถึงระดับละกิเลสคือฉลาดในระดับเรียกว่า เกิดมรรคผล มรรคผลขั้นที่ ๑ เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันก็ชำระกิเลส ไปได้ ๓ ข้อ ๓ ข้อเท่านั้นเอง พระโสดาบัน นะ! ๓ ข้อนั้น คือ สังโยชน์ ๓ ข้อต้น มีอะไรบ้าง? สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส ชำระไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนขาวรอบ ขาวรอบจนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ ไม่มีความเศร้าหมองทางใจเกิดขึ้นอีกแล้ว นี่คือ “พุทธานะ สาสะนังฯ” คือเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ในอดีตที่ผ่านมาก็สอนอย่างนี้ องค์ปัจจุบันก็สอนอย่างนี้ องค์ที่จะตรัสรู้ต่อไปในอนาคตก็จะสอนอย่างนี้ จึงเรียกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้น เกิดมาทันพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้ว ให้รีบฝึกรีบทำ เพราะไปรอพระองค์หน้าก็ต้องทำเรื่องนี้แหละ ถ้าชาติปัจจุบันเจอคำสอนนี้แล้ว..บอก “เอาไว้ก่อน” (คือยังไม่ฝึก) ชาติหน้าถ้ามีบุญเจอพระพุทธเจ้า..ก็จะ “เอาไว้ก่อน” มันจะติดนิสัย “เอาไว้ก่อน” ไปเรื่อยๆ ชาตินี้พบคำสอนนี้แล้ว..ทำ! ทำได้เท่าไรตามกำลัง…ตามกำลังของเรา เราต้องมีนิสัยอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับจิตแล้วว่า เจอคำสอนแล้ว..ทำให้เต็มที่ เจอคำสอนแล้ว..ทำให้เต็มที่ ถ้าชาตินี้ไม่จบ ไปเจอพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป เจอคำสอนแล้ว..ก็ทำให้เต็มที่ มันจะมีนิสัย “จะทำให้เต็มที่” นึกออกไหม? แต่ถ้าเราเป็นประเภทว่า “เอาไว้ก่อน” เจออีกก็..”เอาไว้ก่อน” มีนิสัย..”เอาไว้ก่อน!” “เดี๋ยวก่อน!” จาก “เดี๋ยวก่อน!” ต้องเปลี่ยนใหม่เป็น..”เดี๋ยวนี้!” “ทำเลย” เพราะอะไร? เพราะจะตายเมื่อไรไม่รู้ ใช่ไหม? ตายแน่ แต่ตายเมื่อไรไม่รู้ ไอ้ตายเมื่อไรไม่รู้เนี่ย..น่ากลัว! เพราะว่าเราคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า ความตายเป็นของคนอื่น คนอื่นตาย ส่วนเราเนี่ยอีกนาน.. รู้สึกไหม..อีกนาน ถ้าจะมีข่าวคนตาย ก็เป็นของคนอื่น บุคคลอื่น ประเทศอื่น ชาติอื่น หรือว่าครอบครัวคนอื่น ไม่ใช่ครอบครัวของเรา สังเกตได้จากพอมีเรื่องเกิดขึ้นในครอบครัวของเรา หรือคนที่ใกล้ชิดเรา เราจะทำใจไม่ได้ เพราะไม่เคยคิด ฉะนั้น ต้องคิดไว้ก่อนว่า เราจะตายเมื่อไรก็ได้ คนรักของเราจะตายเมื่อไรก็ได้ ครอบครัวเราจะมีการพลัดพรากเสียชีวิตกันเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น อย่าประมาท! อย่าประมาทในที่นี้ คือเห็นความตายของตนด้วย เห็นความตายของคนที่เรารักด้วย มองอย่างนี้นะ! เห็นความตายของตัวเอง จะทำความดีให้เกิดขึ้นกับตนเองให้มาก ให้ทันก่อนที่จะตาย ซึ่งจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ คำว่า..ชาติหน้ากับพรุ่งนี้…เคยมีสำนวนนี้ใช่ไหม? “ชาติหน้ากับพรุ่งนี้ ไม่แน่ว่า อะไรจะมาก่อน” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย วันมาฆบูชา ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ลิงค์แสดงธรรม https://www.youtube.com/watch?v=7IX5hNMcXuQ&t=4883s (ระหว่าง นาทีที่ 1:19:38-1:23:03)

วันเสาร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๗๐ #ผู้ขอจัด ถ้าเราอยากอยู่แบบไม่คบใครเลยนะ..ให้ขอ! ขอเยอะๆ จะไม่มีใครคบ เราจะเป็นผู้อยู่วิเวก แต่จะเป็นวิเวกที่เต็มใจรึเปล่า? “การขอ” ทำให้ผู้ขอกับผู้ให้เนี่ย.. มีโอกาสที่จะห่างเหินกัน มีโอกาสที่จะผิดใจกัน มีโอกาสที่จะรังเกียจกัน ถ้าเราเป็นผู้ขอจัด ก็ทำให้คนอื่นพยายามรักษาระยะห่างกับเรา ถ้าเราไปขอเขาบ่อยๆ เขาก็จะห่างเราไปเรื่อยๆ ห่างจน.. ห่างไกลไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมของเรา ไม่ปรับนิสัยของเรา เราจะกลายเป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเขาหนีห่างไป.. ห่างไป.. ห่างไป! เราไม่ต้องกลัวว่าจะไปติดไวรัสจากใครเลย ถ้าเราเป็นผู้ขอจัด แต่เป็นการไม่ติดไวรัส โดยเหตุที่..เพราะเราเป็นที่น่ารังเกียจ…อย่างนี้ไม่ดี! ดังนั้น ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องมารักษาระยะห่างกันแล้วเนี่ย แต่ถ้าเรามีนิสัยที่ไม่ดี คนอื่นก็จะรักษาระยะห่างกับเรา..อย่างนี้นะ! คนอื่นเขามีความสุขกันแล้ว เราจะกลายเป็นผู้โดดเดี่ยว เดียวดาย เหงาหงอย คราวนี้ ถ้าเราไม่ปรับตัว ไม่ปรับพฤติกรรม.. เราก็จะอยู่กับชีวิตหลังโควิดยาก พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากรายการ คลิกใจให้ธรรม ตอน คนที่ควรห่าง ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ลิงค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=8Y2f-HlPN9U&t=618s (ระหว่าง นาทีที่ 32.17-36:13)

วันศุกร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๖ #รู้ที่ปลอดภัย ตัวกิเลสเบื้องหลังที่ทำให้เกิดอึน ๆ ไอ้ตัวนั้นคือ อยากดี อยากสุข อยากสงบ อยากได้สมาธิ อยากเก่ง มารู้ตัวนี้ ถ้ารู้ตัวกิเลส กิเลสจะดับ แต่ถ้ารู้ที่วิบาก วิบากก็ยังคงอยู่ บางทีนะ เรียกว่ามันมีแรงเฉื่อย รู้ที่ปลอดภัย และเห็นผลชัดที่สุด คือรู้กิเลส ถ้าจะรู้จิต ให้มารู้ที่ตัวกิเลสนี่จะเห็นผลของการปฏิบัติที่ชัดเจน คือกิเลสมันดับให้เห็นเลย เพราะตอนที่รู้..จิตเป็นกุศล ถ้ารู้ในสิ่งที่เป็นอกุศลนะ อกุศลนั้นจะดับทันที เพราะตอนรู้มันเป็นกุศล กระบวนธรรมเนี่ย พอถึงมีปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ แล้วเนี่ยนะ หลังจากที่มีสมาธิ สมาธิที่ว่าเนี่ยหมายถึงมีจิตตั้งมั่น ไม่ใช่สมาธิแบบที่เราเข้าใจ คือ เพ่ง ไม่ใช่อย่างนี้นะ! สมาธิในที่นี้หมายถึง จิตตั้งมั่น คือมีผู้รู้ และสิ่งหนึ่งถูกรู้ นี่เรียกว่าจิตตั้งมั่น จิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นแล้วจะมีสภาวะหนึ่ง..ชื่อยาวหน่อย เรียกว่า “ยถาภูตญาณทัสสนะ” ใครเคยได้ยินคำนี้บ้าง? “ยถา” แปลว่า ตามนั้น “ภูตพุธ” คือ เป็น “ยถาภูตพุธ” คือ ตามที่มันเป็น “ญาณทัสสนะ” แปลว่า ญาณหยั่งรู้ “ทัสสนะ” คือการเห็น แต่ไม่ใช่แบบที่ตาเห็นนะ มันเป็นญาณ มีปัญญาหยั่งรู้เห็นว่าสภาวะนั้นเกิดขึ้นตามที่มันเป็น คือ “รู้ซื่อ ๆ” หรือว่า “รู้แบบไม่ตามไม่ต้าน” หรือว่า “รู้เฉยๆ” คำไหนเข้าใจง่ายสุด…เอาคำนั้นแหละ! ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรมเรื่อง “แค่รู้” 630111 คอร์สกองบุญสร้างอริยะ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ ลิงค์ไฟล์ https://youtu.be/jbhixCmMaZU

วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเจ็ด ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๘ #จริงหรือเปล่า? คนทั่วๆไปจะมีความหมายรู้ผิดๆ ความหมายรู้ผิด ๆ เรียกว่า “สัญญาวิปลาส” รู้จัก “วิปลาส” มั้ย? “วิปลาส” ถ้าในภาษาไทย คนไทยเรียกว่า “บ้า” พระพุทธเจ้าตรัสคำอย่างนี้นะ ประมาณว่า.. ทิฏฐิวิปลาส-เห็นผิด, สัญญาวิปลาส-สำคัญผิด, จิตตวิปลาส-คิดผิด มีวิปลาสเกิดขึ้นในใจกับคนปุถุชนทั่วๆไป คนทั่วๆไป จะมีความเห็นผิดแบบไหน? เห็นผิดในสิ่งที่ไม่สวย..ว่าสวย เห็นผิดในสิ่งที่ไม่เที่ยง..ว่าเที่ยง เห็นผิดในสิ่งที่เป็นทุกข์..ว่าเป็นสุข เห็นผิดในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน..ว่าเป็นตัวตน ฉะนั้น สิ่งที่เราเห็นนี่นะ! จริงหรือเปล่า? ยังไม่แน่! ที่ว่าสวย..สวยจริงหรือเปล่า? ยังไม่แน่! ไปดูดีๆ เราสวยจริงหรือเปล่า? เราสะอาดจริงหรือเปล่า? เราน่ารักน่าใคร่จริงหรือเปล่านะ? ถ้าพิจารณาตัวเองนะ ถ้าไม่รู้จะพิจารณาเริ่มจากไหน มีคำสวดให้พิจารณา..เคยสวดมั้ย? เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เขาเรียกว่า “กายคตาสติ” เริ่มด้วยผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาเห็นความจริง แรกๆ ก็ผมสวยจังเลย ตาก็สวยอะไรอย่างนี้นะ ทุกอย่างๆ ดูน่ารัก น่าใคร่ แม้กระทั่งของตนเอง ส่องกระจกแล้วรู้สึกตัวเองสวยมั้ย? ควรจะรู้สึกว่าสวยนะ ถึงจะกล้าออกจากบ้านมาได้ ใช่มั้ย? ส่องไปจริงๆ นะ ถ้าเราเห็นว่าสวยเนี่ย แสดงว่า มีวิปลาสเกิดขึ้น..ดูสิ! แต่ถ้าไม่ให้วิปลาสเกิดขึ้น เราจะทำยังไง? ดูให้เห็นความจริง.. ตอนตื่นนอน..หน้าตาเป็นยังไง? หน้าตาจะแสดงความจริงขึ้นมา !!! ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย เรื่อง “จริงหรือเปล่า” ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓ ณ วัดยานนาวา คลิปลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/ociuhHPq1g8 (นาทีที่ 17.47-19.46)

วันเสาร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๖๙ #หลงแสง #หลงความคิด เห็นแสง..ทำยังไงต่อดี? ถ้าพวกชอบจิตส่งออกนะ เอาเลย! ไปดูแสงเลย! หรือไม่ก็ปรบมือ..ดีจัง! โอ้โห..เก่งจริงๆ เลย! แสงอะไรอย่างนี้นะ! แสงสีหลายสีเลย..ดีมาก! แต่ถ้าในทางผู้เจริญวิปัสสนานะ จะถามกลับว่า.. “เห็นแล้วรู้สึกยังไง?” เพราะว่าสิ่งที่เห็นยังเป็นอารมณ์ ไม่ใช่จิต! แสงสี มืด สว่าง อะไรอย่างนี้นะ มันเป็นอารมณ์ เห็นแล้ว..แต่ยังไม่ถึงจิต ! มันถึงจิตตอนไหน? ตอนที่รู้ว่า “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ”.. “ใจมันเป็นยังไง?” เห็นแล้ว ..ใจเป็นยังไง? ตอนนั่งมืดๆ .. รู้สึกยังไง? ตอนนั่งแล้วเห็นแสงสี ..รู้สึกยังไง? นั่งแล้วมีความคิดเกิดขึ้น รู้ทันความคิด .. แล้วรู้สึกยังไง? ตอนรู้ทันความคิดเริ่มเห็นสภาวะแล้ว เริ่มเห็นของจริง ตอนที่นั่งคิดอยู่นะ ไม่เห็นของจริง รู้แต่เรื่องที่คิด พอเห็นความคิด .. แล้วจิตเป็นไง? มีแสงด้วย เห็นแสง แล้วจิตเป็นไง? ..ลืมตาก็เห็นได้ หรือหลับตาแล้วเห็น.. ไม่มีนัยอะไร แต่เห็นแล้วดีใจ เห็นแล้วชอบใจ เห็นแล้วไม่ชอบใจ รู้ทันจิต คราวนี้มันจะมาเริ่มขั้นต่อไปแล้ว จะมีแสงถูกดู จิตรู้สึกยังไง จะเริ่มเข้ามาสู่ของจริงแล้วนะ ถ้าไม่มีการฉุกคิดมาว่า ใจเป็นยังไง? เราก็จะหลงกับสิ่งภายนอก คนนั้นพูดดี พูดดีจังเลย ก็หลงไปหาคนๆ นั้น คนนั้นพูดไม่ดี พูดไม่ดีเลย ก็หลงไปหาไอ้คนๆ นั้น ลืมไปเลยว่า เราฟังแล้วรู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจยังไง..ลืมดู! เหมือนกัน.. นั่งแล้วเห็นแสง แสงสวยดี ใจไม่รู้ว่าดีใจ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เข้าใจมั้ย? มันต้องย้อนกลับมาดูว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ดูอย่างนี้นะ มันถึงจะเริ่มที่จะมีการปฏิบัติต่อ ถ้ามัวแต่นั่ง แล้วก็มองเห็นอะไร หรือรู้เรื่องราวในความคิด มันก็พอกันแหละ..ฟุ้งซ่าน จิตส่งออกไปแล้ว ส่งออกไปหาแสง ส่งออกไปหาเรื่องราวในความคิด เรียกว่า “ธรรมารมณ์” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “สิ่งที่ปิดบังไตรลักษณ์” ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ลิงค์คลิปวีดีโอ https://youtu.be/S1gF1ZlMP6k (นาทีที่ 0.20-4.51)

วันจันทร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ไม่มีอะไรเป็นศัตรู พระอรหันต์ไม่มองอะไรเป็นศัตรู พระพุทธเจ้าไม่มองพระเทวทัตเป็นศัตรู ไม่มองว่าพราหมณ์เป็นศัตรู ไม่มองว่าพระเจ้าอาชาตศัตรูเป็นศัตรู ไม่มองอย่างนั้น ถ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยสมบูรณ์แล้ว จะไม่มองอะไรเป็นศัตรู มองเห็นแต่สัตว์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีแต่ความกรุณา ที่มองเห็นว่าเขายังเป็นผู้โง่ หรือเป็นผู้เขลา ยังมีทุกข์อยู่ มองเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ มองขันธ์ ๕ ที่ตัวเองเคยยึด มองแล้วก็เห็นว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอาลัยอาวรณ์ ไม่อาลัยว่า..’ฉันจะตายไปแล้ว’ ไม่ใช่อย่างนั้น มองเป็นว่า อาศัยขันธ์ ๕ นี่แหละ เมื่อครั้งหนึ่งมันทำให้ทุกข์ใจ แต่ตอนนี้ฉลาดแล้ว จะตายก็ตายไป ไม่ได้ว่ากัน ไม่อาลัยอาวรณ์ แล้วก็ไม่ถึงกับเกลียดมัน จนกระทั่งเรียกว่า ‘เมื่อไหร่มันจะตายสักที’ ไม่คิดอย่างนั้นด้วย เข้าใจมั้ย? มันเป็นกลางแท้ๆ เลย ไม่มีเห็นว่าอะไรเป็นศัตรู รวมทั้งไม่เห็นอะไรเป็นที่รักที่พอใจด้วยซ้ำไป ไม่ยึดติด และไม่ผลักไส อยู่กับมันไปอย่างนี้ แต่ของเรานี่นะ… ขณะนี้ มันอาจจะมีบ้างที่ไม่ชอบใจสิ่งนั้น ไม่ชอบใจสิ่งนี้ ภาวะที่เป็นศัตรูจริงๆ กลายเป็นว่า คือ ความโง่ และ ความหลง ที่เราจะสามารถฝึกได้ก็คือ ทำอย่างไรให้เรามีความรู้ขึ้นมาบ่อยๆ คือ รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ แล้วภาวะแห่งพุทธะนี้ จะเบิกบานเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเป็นศัตรู พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล คัดลอกจาก หนังสือ นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ หน้า ๑๐๙ – ๑๑๐

วันอังคาร ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ลองนั่งเงียบๆ ลองนั่งเงียบๆ มีเครื่องอยู่เอาไว้สักอย่างหนึ่ง คือรู้ร่างกายนี้หายใจอยู่ นั่งอยู่ หายใจอยู่ แล้วถ้ามีเสียงพูดอะไรขึ้นมาในใจสักนิดนึง จะรู้ทัน เพราะมันไม่เงียบ เวลาเรานั่งสมาธิ ใจเราเงียบมั้ย? มันจะมีเสียงพูดอยู่ในใจ เสียงเราเอง ใช่มั้ย? โดยเฉพาะอย่างอาตมานี่นะ ในชีวิตจริง อาตมาจะคอยจับไมค์แล้วคอยบรรยายอยู่เรื่อยๆ เนี่ยนะ บรรยายเกี่ยวกับเรื่องจิต เรื่องใจ เกี่ยวกับเรื่องสภาวะต่างๆ เนี่ย ทีนี้ตอนที่มานั่งในรูปแบบ พอมีสภาวะอะไรในใจนะ อาตมาจะอธิบาย เหมือนมีโยมมานั่งฟังอยู่ อธิบายว่าจิตตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นนะ มันแว้บไปอย่างนี้นะ มันแว้บไปอย่างนี้อีกนะ อธิบายๆ..ไม่มีใครนั่งฟังหรอก!แบบว่า..ประมาณซ้อมบรรยาย! จนมาสังเกตตอนช่วงหยุดโควิดเนี่ย “ถ้าปล่อยอย่างนี้นะ ก็คงฟุ้งซ่านไปจนโรคมันหายระบาดแล้ว ไม่มีอะไรก้าวหน้าแน่เลย” ก็เลยลองบอกในใจตัวเองว่า..”นั่งเงียบๆ” บอกในใจว่า ‘นั่งเงียบๆ’ แต่ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ว่าให้นั่งเงียบๆ ให้นั่งเงียบๆ คือเห็นกายนี้นั่ง ถ้ามันพูดอะไรในใจก็รู้ แล้วมันคือไม่เงียบ แล้วพอรู้แล้ว ก็เห็นกายนั่งเงียบๆ ต่อ ปรากฏว่า พอบอกตัวเอง ‘นั่งเงียบๆ’ มันก็พูดเลย บรรยายเลย.. “นี่ไง! นั่งเงียบๆ มันต้องอย่างนี้นะ! เห็นร่างกายเฉยๆ นะไม่ต้องพูดอะไร” มันบรรยายว่า ‘ไม่ต้องพูดอะไร’ คือมันพูดแล้ว! แต่มันเห็นเลยว่า พอตั้งกติกาไว้ว่า.. “นั่งเงียบๆ” นะ มันไม่หลงไปนาน มันไม่หลงพูดไปนาน พอหลงพูดก็ ‘อ้าว!ไม่เงียบแล้ว’ แล้วก็ ‘อ้าวแน๊ะ! มีหลายตัวเลย ทีละตัวๆ เหมือนกับซ้อนไปเรื่อยๆว่า ‘พูดอีกแล้ว’ อีกตัวบอก ‘มึงก็พูดแล้ว’ ‘แล้วมึงเมื่อไหร่จะหยุดสักที’ ประมาณนี้นะ เหมือนมีอาตมาหลายตัวคอยบรรยายไอ้เมื่อกี้แกพากย์อะไร ไอ้ตัวบรรยายเนี่ยเป็นตัวผิดกติกาทุกตัวเลย เพราะมันคอยส่งเสียง คอยบอกไปเรื่อยๆ แต่พอรู้ทีหนึ่ง ก็เห็นกายนั่งเงียบๆ แล้วเดี๋ยวก็บรรยาย พอรู้อีกทีก็เห็นกาย แล้วมันก็บรรยาย จะเห็นความเกิด-ดับของมันง่ายมาก สำหรับคนจริตแบบนี้นะ! ประเภทฟุ้งซ่าน! ลองทำอย่างนี้ดูก็ดี …. บอกไว้ก่อนว่าบางทีดูได้ไม่นาน ก็จะหมดแรงนะ เพราะอันนี้มันใช้แรงเหมือนกันนะในการดูที่มันแว้บๆมาถี่ มันใช้แรง เพราะฉะนั้น ถ้าดูอะไรไม่ไหว ชักจะมึนแล้วนะ ให้ทำสมถะไปก่อน ไม่ต้องสนใจคอยดูเงียบๆ แล้ว ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ สวนธรรมประสานสุข ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๓

วันอังคารที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #ผูกโกรธ ผูกโกรธ เป็นความโกรธแบบไม่ยอมสลัดทิ้ง ออกแนว “จองเวร” เช่น ผูกอาฆาตเอาไว้ว่า.. “เจอกันเมื่อไหร่ ชาติไหนก็ตาม ฉันจะทำร้ายเธอ ฉันจะเอาคืน” ชาตินี้ล้างแค้นไม่ได้ ก็ทำใจผูกโกรธเอาไว้ เหมือนอดีตชาติของพระเทวทัต ตอนเป็นพ่อค้า โกรธเพื่อนพ่อค้าด้วยกันที่เป็นพระโพธิสัตว์ ไล่ตามไม่ทัน ถึงหาดทรายก็กำทรายขึ้นมา ประกาศว่าจะล้างแค้นตลอดทุกชาติ เท่าจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ นี่ยังดีนะ ถ้าบอกว่าทุกชาติไป นี่ลำบาก ทุกชาติไปนี่ไม่ไหวเลย มันไม่มีจุดจบเลย กำทรายขึ้นมานี่ เม็ดทรายมากมายก็จริง แต่ยังมีจุดจบนะ! ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรเอาอย่างนะ ไม่ต้องทำตาม คนที่ผูกโกรธน่ะ..น่าเห็นใจนะ บางทีก็ถูกทำร้ายก่อน แต่ถึงแม้ว่าจะถูกทำร้ายก่อน ถ้าเราเอาแต่ผูกโกรธนะ ไอ้คนที่ทำร้ายเราน่ะ เขาก็ไม่ได้เลวไปเสียทุกเรื่อง หรือไม่ได้ทำเลวทุกชาติ ชาติอื่นๆ ต่อๆ ไป เขาอาจจะพัฒนาตัวเองกลายเป็นคนดีขึ้นมาก็ได้ แล้วอาจจะดีประเสริฐ ถึงขั้นพระอรหันต์แล้วก็มี หากเรามัวแต่ผูกโกรธไปเรื่อย เราก็กลายเป็นผู้ผิดที่น่าสงสาร ผิดเพราะผูกโกรธนี่แหละ ถึงแม้ชาติที่เราถูกกระทำนั้นเราน่าเห็นใจก็จริง แต่ความผูกโกรธเป็นอุปกิเลสของเรา เขาทำบาปก็เป็นบาปของเขา ถึงแม้เราไม่โกรธ เขาก็ตกนรกอยู่แล้ว ความผูกโกรธมันจึงไม่จำเป็น ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล คัดลอกจากหนังสืออุปกิเลส ๑๖ (หน้า ๔๙-๕๐)

วันพุธที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #อุปกิเลส ๑๖ #ว่าด้วยความเศร้าหมองใจ ๑๖ ประการ สิ่งที่เราจะดูได้บ่อยก็คือ กิเลส ๓ ตัว ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ บางคนดูไปแล้วก็จะเกิดความเข้าใจละเอียดมากขึ้น เห็นลีลา ของจิตมันจะแสดงออกมาชัดเจนมากขึ้น เห็นลักษณะของ กิเลสละเอียดมากขึ้น จากกิเลส ๓ ตัว ก็มากระจาย กลายเป็นอุปกิเลส ๑๖ อุปกิเลส แปลว่า เครื่องเศร้าหมองของจิต มีอะไรบ้าง? มี ๑. อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภเพ่งเล่งอยากได้) ๒. พยาบาท (ความคิดปองร้ายผู้อื่น) ๓. โกธะ (ความโกรธ) ๔. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ) ๕. มักขะ (การลบหลู่) ๖. ปฬาสะ (การยกตัวขึ้นเทียมเขา) ๗. อิสสา (ความริษยา) ๘. มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๙. มายา (ความเจ้าเล่ห์เจ้ากล) ๑๐. สาเถยยะ (ความโอ้อวด) ๑๑. ถัมภะ (ความดื้อ) ๑๒. สารัมภะ (ความถือดี อวดดี) ๑๓. มานะ (ความถือตัว) ๑๔. อติมานะ (ความถือตัวให้ยิ่งขึ้น) ๑๕. มทะ (ความมัวเมา ความเมาหลง) ๑๖. ปมาทะ(ความประมาท) อุปกิเลสทั้ง ๑๖ ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างที่พระพุทธเจ้า แสดงถึงลีลาของจิต เป็นตัวอย่างในการกระจายกิเลส ๓ ตัวออกมาเป็น ๑๖ ข้อ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล คัดลอกจากหนังสืออุปกิเลส ๑๖ สามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่หน้า ๔๕- ๕๒ ลิงค์หนังสือหนังสือ – นิมฺมโล https://nimmalo.com/bookshelf/

วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เมตตาแท้ ๆ เวลาเจริญเมตตา อย่าเจริญเมตตาเพียงหวังเป็นพระพรหม อย่าเจริญเมตตา เพื่อหวังความเจริญของตัวเองอย่างเดียว เจริญเมตตาให้เห็นความจริงของเมตตาของเรา หรือให้เห็นความจริงของจิตเรา เดี๋ยวก็เป็นเมตตา..เดี๋ยวก็เป็นราคะ เดี๋ยวก็เป็นเมตตา..เดี๋ยวก็เป็นพยาบาท เดี๋ยวก็เป็นเมตตา..เดี๋ยวก็เป็นเสน่หา เดี๋ยวเมตตา..เดี๋ยวก็ลืมไปแล้ว ไม่ได้เป็นเมตตา ไม่ได้อะไรเลย เหม่อ ๆ ลอย ๆ จิตมันเป็นแบบนี้ คือมันเกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง เห็นจิตแสดงความจริงคือ เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง คือเห็นจิตแสดงไตรลักษณ์ ในแง่ของอนิจจัง จะเมตตาตลอดเวลา ก็บังคับใจตัวเองให้เมตตาตลอดเวลาไม่ได้ จะให้เมตตาไม่ให้พลิกไปเป็นราคะ ไม่ให้พลิกเสน่หา ก็บังคับจิตตัวเองไม่ได้ จิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ แต่มีเหตุ คือฝึกได้ ฝึกได้ คือฝึกรู้ทัน ว่ามันบังคับไม่ได้ เป็นอย่างนี้ รู้ทันว่าจิตมันบังคับไม่ได้ คือเห็นจิตแสดงไตรลักษณ์ ในแง่อนัตตา ดังนั้น เมตตา ฝึก! ต้องฝึกนะ ฝึกด้วย คือฝึกให้เกิดขึ้นกับเรา และฝึกเมตตาให้เป็นเมตตาแท้ ๆ ไม่ไปเป็นโทสะ ไม่ไปเป็นเสน่หา ไม่ไปเป็นราคะ แล้วเห็นมันแสดงความจริงด้วยว่า เกิด-ดับ เกิด-ดับ ไม่เที่ยง และมันมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ แสดงไตรลักษณ์ในแง่อนัตตาด้วย ดังนั้น เราจะเจริญเมตตาครบถ้วนได้ทั้งสมถะ และวิปัสสนา เจริญเมตตา สมกับความเป็นชาวพุทธ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ ที่ชั้น ๑๑ อาคาร ซี.พี. ทาวเวอร์ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ลิงค์คลิปแสดงธรรม “เมตตาธรรม”https://bit.ly/31MjrSV (ระหว่าง นาทีที่ 57.10-58.41)

วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #อธิษฐานบารมี อธิษฐานของคนทั่วไป หมายถึง ขออธิษฐานของพระ คือตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะทำอะไร อธิษฐานบารมี หมายถึง ตั้งใจมั่นที่จะตั้งใจมั่นต่อจุดหมาย ข้อดีของอธิษฐานคือ เมื่อมีความตั้งใจมั่นแล้ว ถ้ามีอะไรจุกจิกกวนใจ หรือปัญหายุ่งยากกวนใจ ก็จะไม่ใส่ใจ มีแต่จะมุ่งมั่นทำให้ถึงจุดหมาย เป้าหมายในพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าประสงค์ให้สัตว์โลกทั้งหลายตั้งเป้าหมายคือ อธิษฐานให้พ้นทุกข์ อธิษฐาน หมายถึง ตั้งใจมั่น มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะสร้างกุศล และกุศลสูงสุดของพุทธบริษัทคือ มุ่งสู่พระนิพพาน วิธีที่จะให้ชีวิตมุ่งตรงต่อจุดหมายคือ อธิษฐาน และถ้าอธิษฐานนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้บรรลุธรรม เราก็เรียกอันนี้เป็น อธิษฐานบารมีของเรา พระพุทธเจ้าแนะนำให้อธิษฐาน “ปัญญา” เรียกว่า ปัญญาธิฏฐาน พระพุทธเจ้าแนะนำให้อธิษฐาน “สัจจะ” เรียกว่า สัจจาธิฏฐาน พระพุทธเจ้าแนะนำให้อธิษฐาน “จาคะ” เรียกว่า จาคาธิฏฐาน พระพุทธเจ้าแนะนำให้อธิษฐาน “นิพพาน” เรียกว่า อุปสมาธิฏฐาน “ปัญญาธิฏฐาน” คือ เราจะไม่ประมาท โลกนี้เกิดดับเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย โลกนี้มีลักษณะ ๓ อย่างคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา “สัจจาธิฏฐาน” คือ อธิษฐานให้เห็นความจริง ให้เรารักษาความจริง ก่อนจะเห็นความจริง เราต้องรักความจริงก่อน ไม่รู้แล้วบอกว่า “รู้” .. อย่างนี้ไม่เคารพความจริง เคารพความจริง รักษาความจริง เรียกว่า “อนุรักษ์สัจจะ” เวลาเรามาภาวนา เราจะคุ้นชินกับการที่จะดูความจริง “จาคาธิฏฐาน” จาคะในที่นี้ก็คือ สละกิเลสออกไป เห็นราคะ โทสะ โมหะ แล้วจาคะไป “อุปสมาธิฏฐาน” โดยสูงสุดคือ พระนิพพาน พบพุทธศาสนาแล้วตั้งใจเป็นเทวดา ถือว่า..ใฝ่ต่ำ พบพุทธศาสนาแล้วตั้งใจจะถูกหวยสักที ถือว่า..ใฝ่ต่ำ พบพุทธศาสนาแล้วตั้งใจมีตำแหน่งสูงๆ ถือว่า..ใฝ่ต่ำ พบพุทธศาสนาแล้วต้องตั้งใจพัฒนาจิตใจ ให้เข้าใกล้ความพ้นทุกข์ ชีวิตนี้มีไว้เพื่อพัฒนาตนเองให้มากที่สุด ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม เรื่อง “อธิษฐานบารมี” ณ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย นครปฐม ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๓

วันพุธที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๓ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #จิตนี้ข่มยาก ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถ กามนิปาติโน จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ หมายความว่า จิตนี้ข่มยาก เบา เกิดดับตลอดเวลา ปลิวไปปลิวมาด้วยความเบา ลหุ แปลว่า เบา เบา ในที่นี้คือ อยู่ตรงนี้นะ..ถูกลมพัดก็ปลิวไปแล้ว ลมในที่นี้หมายถึง โลกธรรมทั้ง ๘ มีอะไรบ้าง? ได้ลาภ-เสื่อมลาภ ได้ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์ ไม่ว่าอะไรมากระทบ จิตมันจะปลิว ปลิวในที่นี้แปลได้อีกความหมายว่า เกิด-ดับ คนส่วนใหญ่ปลิวไปปลิวมาในโลก ปลิวไปทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ที่มากที่สุดคือปลิวไปทางความคิด เรียกว่า ฟุ้งซ่าน ยตฺถ กามนิปาติโน แปลว่า มีปกติตกไปในกาม จริง ๆ แล้วจิตมีปกติใฝ่หากาม คือใฝ่หาความสุขจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าได้มา ก็เรียกว่าได้ตามที่มีกามราคะ (มีราคะในกาม) โทสะ มาจากอยากได้..แล้วมันไม่ได้ จิตที่ข่มได้ยาก เบา ปลิวไปปลิวมาไปตามกระแสของโลก มันไม่ได้ไปไหน มันตกอยู่ในโลกของกาม ๕ ประการ คือ อยากเสพรูปทางตา อยากเสพเสียงทางหู อยากเสพกลิ่นทางจมูก อยากเสพรสทางลิ้น อยากเสพสัมผัสทางกาย รวมแล้วเรียกว่าอยากเสพ “กาม” จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ แปลว่า การฝึกจิตเป็นการดี จิตฺตํ ทนฺตํ สุขา วหํ แปลว่า จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ มันต้องฝึก ไม่ฝึกไม่ได้ เอาแต่ฟังอย่างเดียวไม่พอ หรือฝึก..แต่ว่าไม่ลงไปเห็นสภาวะ ก็ไม่ได้ ต้องเห็นจิตทำงาน เป็นเรื่องธรรมดาที่จิตมันจะวอกแวก อย่าไปลงโทษตัวเอง เพราะนั่นเป็นการปรุงแต่งทุกข์ไปทับถมตัวเอง ทุกข์ที่ไม่ควรเกิด..เกิดมาจากที่เราเห็นจิตไม่ได้ดังใจ คือเราอยากจะดี แล้วมันไม่ดีดั่งใจ ไอ้”ดี”เนี่ย มันไม่ได้มาด้วยอยาก “ดี” มันมาจากรู้ทันความจริง เข้าใจความจริง ว่าจิตทำงานอย่างนี้นี่เอง ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากบรรยายเรื่อง “จิตนี้ข่มยาก” กิจนิมนต์ ณ บ้านคุณมาลี ปาละวงศ์ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เมตตาฤาเสน่หา เมตตานั้นมันพลิกไปพลิกมา ซึ่งอาจจะมีตอนต้น แต่ก็พลิก ตอนพลิกเป็นโทสะเนี่ยดูง่าย เพราะมันตรงข้ามกันเลย แต่ตอนที่พลิกมาเป็นราคะบ้าง เป็นเสน่หาบ้างเนี่ย เรามักจะไม่รู้ เพราะเราจะเรียกมันว่า(เป็น)”เมตตา”ต่อ เมตตาเนี่ยจะเป็นเมตตาแบบ “ปรารถนาให้เขามีความสุข” แต่พอเป็นราคะ หรือเป็นเสน่หาเนี่ย จะ “ปรารถนาให้เขาทำให้เราสุข” อยากให้เขาอยู่ตรงนี้นาน ๆ เพื่อเราจะได้มองเขาบ่อย ๆ แล้วเราจะมีความสุข นี่แค่แบบผิวเผินมากนะ ถ้ายิ่งกว่านั้นก็คือ มาเป็นของเรา เราจะได้แตะตัวเขานาน ๆ มีเขาเดินข้าง ๆ รู้สึกเสริมความเป็นตัวตน “เห็นมั้ย? เมียฉันสวย”..”เห็นมั้ย? สามีฉันหล่อ” มันคือเสริมมานะ เสริมความเป็นตัวตน รู้สึกมีความสุขที่เห็นคนอื่นริษยาเรา ถ้าต้องการเขา..เพื่อให้เรามีความสุข นี่เรียกว่าเป็น “เสน่หา” หรือเป็น “ราคะ” นะ ถ้ารู้อย่างนี้ ก็จะเป็นตัวแยกได้ว่า.. ไอ้เมตตาของเราเนี่ย มันพลิกไปแล้วหรือยัง? เปลี่ยนไปหรือยัง? ถ้ามันเปลี่ยนไป..ให้รู้ทัน มันก็คือสภาวะหนึ่งที่มันเกิดขึ้นมา..แล้วดับไป จากเมตตาเกิดขึ้นมา..แล้วดับไป กลายเป็นราคะเกิดขึ้นมาอีกแล้ว มันไม่ใช่เมตตามาตลอดสายแล้วนะ เมตตามา แล้วก็ดับไป กลายเป็นเสน่หา หรือเมตตาดับไป กลายเป็นราคะขึ้นมา นี่ก็ทำให้เราเห็นสภาวะที่มีการเกิด-ดับเปลี่ยนแปลง เจริญเมตตา แล้วเปลี่ยนเป็นราคะได้มั้ย? …ได้! เพราะเราก็ยังเป็นคนที่ยังมีกิเลส ยังมีเสน่หาได้ ยังมีราคะได้ ยังไม่ใช่เป็นพระอนาคามี เหมือนมีข้ออ้างหน่อย ๆ นะ เป็นข้ออ้างเพื่อให้มีกิเลสได้ แต่จริง ๆ ตามภูมิธรรมของเราเนี่ย..มันยังละราคะไม่ได้ ถ้ามีราคะขึ้นมาก็ให้รู้ทัน แต่ที่มันไม่รู้ทัน เพราะเราคิดว่ามันยังเป็นเมตตา แล้วเรียกชื่อมันว่าเป็นเมตตาอยู่ ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “เมตตาฤาเสน่หา?” แสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ลิงค์ไฟล์เสียง 630726 เมตตาฤาเสน่หา-บ้านจิตสบาย https://bit.ly/3lLb8jc (ระหว่างเวลา ๒๖.๔๔-๒๙.๒๐)
