Since Feb 01, 2019 Inoreader Pro plan is required to export RSS feeds.
If you are the owner of the feed, please consider upgrading to Pro.
Since Feb 01, 2019 Inoreader Pro plan is required to export RSS feeds.
If you are the owner of the feed, please consider upgrading to Pro.
#คลิปแสดงธรรม #วันมาฆบูชา (ช่วงแรก)
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
พระอาจารย์แสดงธรรมในประเด็นที่ว่า
“มาฆบูชา” เป็นวันที่มีเหตุการณ์พิเศษ
อันเป็นเหตุให้เรามาระลึกถึงเรื่องราวในอดีต
ซึ่งเป็นวันที่พระอรหันต์ ที่พระพุทธเจ้าบวชให้
มาประชุมกัน ๑,๒๕๐ รูป โดยไม่ได้นัดกัน
การบวชนั้นเรียกว่า “#เอหิภิกขุอุปสัมปทา”
พระองค์ได้ประทานพระคาถา “#โอวาทปาติโมกข์”
อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ในการประชุมนี้
ต่อจากนั้นพระอาจารย์ได้โยงเข้าไปสู่วิธี
ที่จะทำให้จิตใจผ่องใส ปราศจากความมัวหมอง
รับชมและฟังธรรมะที่เป็นมงคลชีวิตในวันมาฆบูชา
ได้ที่ลิงค์ http://yt3.piee.pw/G38FA
แสดงธรรม ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ
เมื่อ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓
??
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๙
ตระกูลเจ้า ตระกูลหวัง
พวกฟุ้งซ่านเนี่ย! ทำสมาธิแบบอารัมปนูปนิฌานยาก
แต่อาศัยทักษะจากการเจริญสติดูจิต มาทำลักขณูปนิฌานได้นะ!
แรก ๆ วิธีทำเหมือนกัน จะเจริญสติดูจิต
หรือเจริญกรรมฐานถึงขั้นลักขณูปนิฌาน คือจิตตั้งมั่นเนี่ยนะ!
วิธีทำ ทำเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าตอนเห็นจิตมันเห็นคนละแบบ
เริ่มต้น..ต้องเริ่มจากมุมมองในการทำกรรมฐาน
คือไม่ได้หวังว่าจะต้องสงบ
ต้องไปอยู่ตระกูลเจ้า “เจ้าอย่าหวัง”
ถ้าเป็นพวก “หวังอยู่” คือคนที่หวังว่าจะสงบ มันก็จะหวังว่่จะสงบ
ก็คือ(หวังว่า)จิตต้องอยู่ตรงนี้ อย่าหนีไปไหน
คนที่หวังว่าจะสงบอยู่เนี่ยนะ!
พอจิตมันหนีไป..มันผิดหวัง
เพราะหวังอยู่ว่าจะสงบ
พอมันผิดหวัง คือจิตมันไม่สงบก็ผิดหวัง
(พอ)ผิดหวัง ก็จะไม่ชอบไอ้จิตที่มันไม่สงบ
จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันเผลอไป ไม่ชอบ!
เห็นจริงนะ! เห็นว่ามีเผลอจริงนะ
แต่มุมมองคือ ไม่ชอบ!
พอไม่ชอบทำไง?
รีบดึงกลับมา แล้วก็บังคับด้วยกำลังที่มากขึ้น
เพราะรู้สึกว่าเมื่อกี้บังคับน้อยไป มันจึงหนี
ดังนั้นต้องบังคับให้มากขึ้น
บังคับมากขึ้น ก็เครียดมากขึ้น จิตเป็นทุกข์
จิตเป็นทุกข์ ก็จะไม่เกิดสมาธิที่ถูกต้อง
สมาธิที่ถูกต้อง ต้องเกิดจากอารมณ์ที่เป็นสุข
ถ้ามุมมองของเรา “หวังอยู่” ว่าจะสงบ
ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่เป็น “เจ้าอย่าหวัง”
คือไม่หวังจะสงบ
แล้วหวังอะไร?
หวังเรียนรู้ความจริงของจิต
ตระกูลหวังเหมือนกันนะ!
แต่หวังแบบไทย ๆ หน่อย คือ
หวังเรียนรู้ความจริงของจิต
หวังเรียนรู้ความจริงของจิต คืออะไร?
คือจิตจะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้..ขอรู้
จิตจะสงบก็ได้ ไม่สงบก็ได้..ขอรู้
จะฟุ้งซ่านก็ได้ จะมีราคะ
จะมีโทสะ โมหะ จะหดหู่
จะมีมานะ ถือตัว
อะไรก็ได้..ฉันจะรู้
ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
??
เรียบเรียงจากไฟล์เสียง 620113 ตระกูลเจ้า vs ตระกูลหวัง
ณ สุรัตนธรรมสถาน
ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/2VcBf4K
(นาทีที่ 26.46-29.25)
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๒
??
#ถาม : ทำอย่างไรให้คนที่ไม่เชื่อในบาปบุญมาเชื่อได้?
#ตอบ : เบื้องต้น ควรเลี่ยงคนพาล ควรคบบัณฑิต
ให้เข้าหาบัณฑิต มาพููดคุยสนทนา เพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อรู้จักและยอมรับความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติ
โดยธรรมชาติ ทำดีย่อมได้ดี เหมือนกับปลูกพืชอะไรก็ย่อมได้รับผลของพืชนั้น ปลูกกล้วยต้นกล้วยก็ย่อมออกลูกเป็นกล้วย ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้ ปลูกต้นมะม่วงก็ย่อมออกลูกเป็นมะม่วง อย่างนี้เป็นต้น
การที่ได้รับทุกข์ทรมาน ไม่น่ายินดี ก็ย่อมเป็นผลจากบาป
การได้รับความสุขสบาย น่ายินดี ก็ย่อมเป็นผลมาจากบุญ
คบคนพาล ก็ชวนกันทำความเดือดร้อนให้กับสังคม ชวนกันเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง เรียกรวมๆว่าทำบาป แรกๆอาจจะได้ทรัพย์สินโดยง่าย เมื่อบาปยังไม่ให้ผลก็ย่ามใจทำบาปต่อ แต่นั่นคือการสร้างเหตุที่ชั่วไว้แล้ว ก็ย่อมได้รับผลชั่วแน่นอน แต่อาจจะไม่รวดเร็วทันใจกองแช่งทั้งหลาย
เรื่องบุญบาป บางทีดูชาติเดียวอาจจะยังไม่ชัดเจนพอ สองชาติก็อาจจะยังเข้าใจผิด อย่างเช่นในเรื่อง ”นารทชาดก”
พระเจ้าอังคติราชเสด็จไปฟังธรรมจากชีเปลือยรูปหนึ่งนามว่า คุณาชีวก ซึ่งสอนว่า “ไม่มีบิดามารดา อาจารย์ บุตร หรือภรรยา มนุษย์และสัตว์เกิดมาเท่าเทียมกัน บุญหรือบาปนั้นไม่มีจริง เมื่อตายไปร่างกายก็แตกสลายดับไปพร้อมทุกข์และสุข ใครจะทำร้ายใครก็ไม่ถือว่าเป็นบาป ทั้งสัตว์และมนุษย์เมื่อเกิดมาครบ 84 กัป ก็จะสามารถพ้นจากทุกข์ไปได้เอง ไม่ว่าจะทำบุญหรือบาปเท่าไรหากไม่ครบ 84 กัป ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ไปได้”
ขณะนั้นเอง อลาตะเสนาบดีผู้ระลึกชาติได้ก็กล่าวรับสมอ้างคุณาชีวกว่า” จริงอย่างท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเองเมื่อชาติก่อนเป็นคนฆ่าโค ชื่อปิงคละ ข้าพเจ้าฆ่าโคเสียไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันตัว ตายจากชาตินั้นมาเกิดในตระกูลเสนาบดี ได้เสวยสุขจนกระทั่งบัดนี้ ถ้านรกมีจริงข้าพเจ้าคงไปเกิดไปเกิดในนรกแล้ว ไม่ได้มาเกิดเป็นเสนาบดีดังนี้ ผลบาปต้องไม่มีแน่ ๆ ข้าพเจ้าจึงเกิดมาดังนี้”
เวลานั้น มีบุรุษยากจนคนหนึ่งชื่อ วิชกะ นั่งฟังอยู่ด้วยเขารับได้ฟังคำของอลาตะเสนาบดีแล้วอดใจอยู่ไม่ได้ ถึงกับน้ำตาไหลออกมานองหน้า พระเจ้าอังคติราชเห็นเข้าก็ให้ประหลาดพระทัยจึงตรัสถามว่า
“เจ้าวิชกะ เจ้าร้องไห้ทำไม ?”
“ขอเดชะ เพราะข้าพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ว่าเมื่อชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้าเป็นเศรษฐี มีจิตใจบุญ จำแนกแจกทานทานแก่สมณชีพราหมณ์และยาจกวณิพกตลอดมา แต่เมื่อตายแล้วแทนที่จะไปสวรรค์ กลับต้องมาเกิดในตระกูลจัณฑาล ได้รับรับความลำบากยากเข็ญอยู่ในบัดนี้ เพราะฉะนั้นที่ท่านอลาตะกล่าวว่าบุญไม่มีผล บาปไม่มีผลนั้น เป็นความจริงแน่นนอน ถ้ามิฉะนั้นแล้วกระหม่อมฉันจะตกระกำลำบากไม่ได้”
พระเจ้าอังคติราชเห็นว่ามีพยานพร้อมอย่างนี้จึงเชื่อชีเปลือยอย่างเต็มที่ เสด็จกลับวังทันที ไม่ทำบุญกับชีเปลือยนั้นด้วย
นับแต่นั้นมาก็ปล่อยพระองค์ตกอยู่ในความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินกับสุรานารีดนตรีอบายมุขไปตามเรื่อง กิจราชการน้อยใหญ่มอบให้เป็นธุระของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๓ คน ศาลาโรงทานที่เคยได้ตั้งไว้ ก็ตรัสให้เลิกทั้งหมด เพราะไม่มีผลจะทำไปทำไม ผลบุญทานก็ไม่มี หาความสุขดีกว่า สุรา นารี เออมันช่างแสนสุขสำราญเสียจริง ๆ
ที่จริง อลาตะเสนาบดีนั้น ชาติก่อนๆนั้นไปอีกเขาได้เกิดในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ได้บูชาพระเจดีย์ด้วยพวงอังกาบพวงหนึ่ง ตายจากชาตินั้นแล้วได้ท่องเที่ยวไป ๆ มา จนเกิดเป็นปิงคละ และด้วยอานิสงส์ได้บูชาพระเจดีย์ จึงได้ไปเกิดเป็นเสนาบดี แต่เพราะแกระลึกชาติได้เพียงชาติเดียว จึงเห็นว่าคนฆ่าสัตว์มากมายแต่กลับได้เสวยความสุข จึงทำให้เข้าใจผิดไปว่าแกทำบาปแต่กลับได้ดี อันผิดวิสัยความจริง
ส่วนนายวิชกะ ชาติก่อนๆนั้น เขาได้เกิดเป็นคนเลี้ยงโค และได้ติดตามโคไป บังเอิญพบพระหลงทางรูปหนึ่ง ท่านก็เข้ามาถามหนทาง แต่เพราะเขากำลังขุ่นใจเรื่องตามโค จึงไม่ตอบท่าน ท่านก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ยิน เลยถามอีก เขายิ่งหงุดหงิดก็ตวาดไปว่า
“พระขี้ข้าอะไร ปากแข็งจริง ถามเซ้าซี้น่ารำคาญ”
เพราะกรรมนี้เองจึงทำให้เขาเกิดในตระกูลจัณฑาล แต่เพราะเขาระลึกชาติไปไม่ถึง จึงเห็นเพียงชาติที่เขาเป็นเศรษฐีเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าเวลาเพียง ๒ ชาติก็ใช่ว่าจะเพียงพอสำหรับคนพาลที่จะทำความเข้าใจเรื่องบาปบุญได้
ฉะนั้น เมื่อเราได้พยายามช่วยอธิบายแล้ว แต่เขาไม่รับฟัง ยังยืนยันความเชื่อเดิม บางทีก็ต้องวางใจอุเบกขา
(สำหรับพระเจ้าอังคติราชนั้น ต่อมาก็ได้รับการแก้ทิฏฐิโดยพระโพธิสัตว์ ผู้เสวยพระชาติเป็นมหาพรหมนารท)
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
#ปฏิทินธรรม
#เดือนมีนาคม ๒๕๖๒
กำหนดการแสดงพระธรรมเทศนา
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
(สวนธรรมประสานสุข อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี)
?รายการสด #ธรรมะสว่างใจ
ณ สถานีโทรทัศน์ SBBTV
วัดสังฆทาน ต.บางไผ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี
?พุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๒
?พุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒
?พุธที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลาออกอากาศ ๑๖.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.
ปรึกษาธรรมะในรายการ : โทร 02 – 496 1163
ฝากคำถามในรายการ : โทร 02 – 496 1164
(แผนที่ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
https://maps.google.com/maps?q=13.823627%2C100.493177)
?วันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๑๔.๐๐ – ๑๕.๐๐ น.
บรรยายธรรม ณ #อาคารปฎิบัติธรรมสุรัตนธรรมสถาน
ถ.จักรพงษ์ ติดถนนใหญ่ ฝั่งเดียวกับวัดชนะสงคราม
เยื้องสหกรณ์กรุงเทพ บางลำพู กรุงเทพฯ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร 087 -082 9707-8 , 081-933 0559 (คุณสุรัตน์)
?วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๑.๐๐ น.
บรรยายธรรม ณ #กลุ่มบ้านอริยะ ๗
หมู่บ้านธาริณี ถนนประชาชื่น ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ
สำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ที่เบอร์ 091-665 5499 ( คุณต้อม )
ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
(แผนที่ สถานที่จัดงาน https://goo.gl/maps/SdqTNtUBoCT2)
?วันจันทร์ที่ ๑๑ – ศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๒
บรรยายธรรม ใน #คอร์สปฏิบัติธรรมชาวต่างชาติ (จีน)
ณ ECO HOTEL by Thammasat, อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
(แผนที่ ECO HOTEL by Thammasat
https://goo.gl/maps/zRNX79bmedC2 )
?วันพุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๑๐.๐๐ – ๑๑.๐๐ น.
บรรยายธรรมในหัวข้อ “ธรรมะกับชีวิตและงาน “
ณ #กระทรวงคมนาคม ถ. ราชดำเนินนอก แขวง วัดโสมนัส เขต ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
(แผนที่ กระทรวงคมนาคม https://goo.gl/maps/WWd9DUvGuM22 )
?วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๑๔.๐๐ – ๑๕.๓๐ น.
บรรยายธรรม ณ ห้องสัมมนา #ฐณิชาฌ์รีสอร์ท
อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 034 – 751942 , 062 – 324 2915
(แผนที่ ฐณิชาฌ์ เฮลท์ตี้ รีสอร์ท
https://goo.gl/maps/mjx4kqh7nZP2
?วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๑๒.๓๐ – ๑๖.๐๐ น.
บรรยายธรรมจัดโดย #ชมรมสารธรรมล้านนา
ณ โรงแรมคุ้มภูคำ ถ.ชลประทาน ต.ช้างเผือก
อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
081 – 716 3960 (คุณหมอดุลยา )
( แผนที่ รร.คุ้มภูคำ
https://g.co/kgs/yXpnto )
?วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒
เวลา ๑๐.๐๐ – ๑๑.๓๐ น.
บรรยายธรรม ณ ศาลาไตรสิกขา #บ้านจิตสบาย
พุทธมณฑลสาย ๒ ซ.สุขาภิบาลบางระมาด กรุงเทพฯ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 – 448 3392
( แผนที่ บ้านจิตสบาย https://goo.gl/maps/8p9PGTgvwE42)
???
สามารถติดตาม ‘ปฏิทินธรรม นิมฺมโล’ ได้ที่
https://nimmalo.com/calendar/
วันอังคารที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันเพ็ญมาฆะบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๙๘
ความเป็นพระเนี่ยมันไม่ได้อยู่ที่จีวร
จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระเนี่ย
ท่านเน้นไว้ที่ตัวคุณสมบัติที่เป็น “สังฆคุณ”
“สังฆคุณ” เคยสวดไหม?
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ก็คือในส่วนที่เป็น “สาวะกะสังโฆ”
สงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า…
ความหมายไม่เหมือนกันกับคำว่า “ภิกษุสงฆ์”
ที่เราสวดเจริญสังฆคุณ นี้คือ
“สาวกสงฆ์ / สาวะกะสังโฆ”
สาวะกะสังโฆ ไม่จำเป็นต้องห่มผ้าเหลืองแบบนี้ก็ได้
จะ(เป็น)ชุดชาวบ้านก็ได้
แต่..ความแตกต่างก็คือว่า
มาฝึกฝนปฏิบัติธรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ถ้าเป็นพระก็มาเน้นที่รักษาศีล
แล้วก็มาเจริญศึกษาด้านจิตใจ
แล้วก็มาศึกษาด้านปัญญา
ที่พูดสั้น ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศึกษาแล้วก็มีความเข้าใจตาม(คำสอนของ)พระพุทธเจ้า
ถ้ามีความเข้าใจตาม(คำสอนของ)พระพุทธเจ้าแล้ว
ถ้าไม่ได้ห่มผ้า(จีวร)อย่างนี้ เป็นชุดฆราวาสนี้(ก็เป็นสงฆ์ได้)
ถ้ามีความเข้าใจในขั้นแรกก็คือ
เข้าใจว่า..”กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา”
เรียกบุคคลอันนี้ว่า..เริ่มเข้าสู่กระแส..
กระแสแห่งพระนิพพาน
ยังทำการเรียนไม่จบ แต่ว่าจะจบแน่!
เข้าสู่กระแสนิพพานแล้ว
คนที่เริ่มเข้าสู่กระแสนี้ ก็เรียกคนเหล่านี้ว่า
สาวะกะสังโฆ เป็นสงฆ์สาวก
สงฆ์สาวก ก็มีทั้ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
จำแนกเป็น ๔ ประเภท
(คือ โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์)
ถ้ารู้ว่ามี ๔ ประเภท อย่างนี้แล้ว
เราเองควรจะเป็นหนึ่งในสงฆ์สาวกนี้ด้วย
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ
เรียกว่าเจริญรอยตาม..
เจริญรอยตามนี้หมายถึง เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า..
เจริญรอยตามความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย
เมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ลิงค์คลิปวีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=iGB3Tnr7SDA&t=
(ช่วงนาทีที่ 4:24 – 7:11)
?ถอดคำโดย อารยา สุวะมาตย์
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๑
??
#ถาม : สืบเนื่องจากที่โยมบอกบุญงานไถ่โคกระบือที่ได้ข่าวมา..มีเพื่อนท่านหนึ่งมีข้อคิดเห็นว่า การไถ่ขีวิตโคกระบือเป็นการก้าวก่ายหรือไถ่บาปให้กับมัน และไม่มีใครไถ่บาปให้กับใครได้…..จึงกราบเรียนถามเพื่อเป็นความรู้ในเส้นทางนี้ต่อไปและหากมีข้อพิจารณาอื่นใดที่พระอาจารย์เห็นสมควรเพื่อเป็นความรู้ เพื่อจะได้ระมัดระวังต่อไป ก็ขอรบกวนด้วยค่ะ
#ตอบ : เจตนาของผู้ที่ไปไถ่ชีวิตโคกระบือ(รวมทั้งสัตว์อื่น) น่าจะมีเจตนาว่า “ปรารถนาให้โคกระบือ(รวมทั้งสัตว์อื่น)พ้นจากทุกข์ที่กำลังจะถูกฆ่า”
คำว่า “ไถ่” ในที่นี้หมายความว่า ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขัง
ไถ่ชีวิตสัตว์ที่นิยมทำกัน ก็คือ การนำทรัพย์ไปแลกเปลี่ยนให้สัตว์ที่กำลังถูกกักขัง(และกำลังจะถูกฆ่า) เพื่อนำไปเลี้ยงในที่ที่ปลอดภัยจากการฆ่าหรือขายเพื่อฆ่า
คงไม่มีใครคิดว่าจะไถ่ชีวิตกระบือเพื่อให้มันพ้นจากภพภูมิของกระบือ แต่ให้กระบือยังคงเป็นกระบือ และเป็นกระบือที่มีสุขทุกข์แก่เจ็บตายไปตามปกติของอัตภาพกระบือ เพียงแต่ให้พ้นจากการถูกฆ่าในคราวนี้เท่านั้น
(ในกรณีสัตว์อื่นก็เช่นเดียวกัน)
เมื่อเห็นสัตว์ถูกกักขังเพื่อนำไปฆ่า
– แล้วเกิดอุเบกขา เห็นว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ก็สามารถทำได้
– เห็นแล้วเกิดสลดสังเวช เห็นทุกข์ภัยของการเวียนว่ายตายเกิด คิดหาทางปฏิบัติให้พ้นไปจากทุกข์ ก็สามารถทำได้
– เห็นแล้วเกิดความกรุณา จะไถ่ชีวิตมัน ก็สามารถทำได้
พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เคยช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ปรากฏอยู่ในชาดกหลายเรื่อง (เช่นใน”อัฏฐสัททชาดก” เป็นต้น)
ขอเสริมว่า ผู้ที่จะไถ่ชีวิตสัตว์ควรใส่ใจในรายละเอียดอีกนิดว่า :-
– ที่ที่นำสัตว์ไปปล่อยนั้น เหมาะกับการดำรงชีวิตของสัตว์นั้นหรือไม่? (เช่น ปลาไหลก็ชอบอยู่ในแหล่งน้ำตื้นๆที่มีพืชขึ้นรกๆ บางคนไปปล่อยที่น้ำลึก มีปลาใหญ่ฮุบกินต่อหน้าต่อตา เป็นต้น)
– ปล่อยสัตว์นั้น(หรือเหล่านั้น)ไปแล้วกระทบกับสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศน์ในที่นั้นหรือไม่? (เช่น นำปลาต่างถิ่นต่างประเทศที่ตัวใหญ่และอึด มาปล่อยในแหล่งน้ำเมืองไทย ปลาท้องถิ่นของไทยก็ถูกแย่งอาหาร แย่งที่อยู่ ที่ร้ายกว่านั้นคือถูกปลาต่างถิ่นกิน อาจทำให้ปลาท้องถิ่นของไทยสูญพันธุ์ เป็นต้น)
ฯลฯ
ถ้าไถ่ชีวิตสัตว์พร้อมทั้งใส่ใจในรายละเอียดดังกล่าว ก็จะเป็นการเจริญกรุณาอันประกอบด้วยปัญญา ก็นับว่าเป็นการทำกุศลที่น่าอนุโมทนา
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒