All posts by gade

วิธีรบกับกิเลส

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๑

วิธีรบกับกิเลส

ในขณะที่เราจะรักษาศีล ให้มันถึงพร้อม
การมีสติรู้ทันกิเลสจะช่วยได้

“มีสติรู้ทันกิเลส” คือมีกิเลสเกิดขึ้นปุ๊บ! รู้ทัน!
ศีลจะสมบูรณ์แน่นอน จะไม่ละเมิด เพราะกิเลสมันไม่สามารถครอบงำจิตใจเราได้
เราอาจจะถอยอยู่นะ!..อาจจะถอยอยู่!
คือมีกิเลสเกิดขึ้นมาตัวใหญ่ๆ
เราก็ปะทะ-รู้ คือปะทะ คือรู้มันนะ!
แล้วก็ถอยมา ไม่ให้อาหารต่อ
ไม่ให้มันครอบงำใจ..ถอยไป! ไม่ปะทะ!

ขณะนี้เรียกว่ามีอะไร? มี อินทรีย์สังวร
รู้ว่าตอนนี้เรารบไม่ได้
กองทัพเรายังน้อยอยู่
“กองทัพเรา” คือกุศลในใจของเรา ..ยังน้อยอยู่ กำลังของกุศลเรายังน้อยอยู่ เดี๋ยวสะสมกุศล

วิธีสะสมกุศล ง่ายๆเลย..รู้ทันกิเลส!
รู้ทันกิเลส..มีกิเลสขึ้นมา..รู้ทันกิเลส
เราได้กุศลเพิ่มขึ้น
มีกิเลส..รู้ทันกิเลส..เราได้กุศลเพิ่มขึ้น

“วิธีสะสมกุศล”
คือ เอากำลังของศัตรูน่ะ..มาสะสม
“กิเลส” คือกำลังของศัตรูใช่มั้ย?
เรารู้ทันศัตรู..ได้ฝ่ายเรามาเพิ่ม!

รู้ทันศัตรู..ได้ฝ่ายเรามาเพิ่ม
เป็นการรบที่น่าสนใจนะ!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

ไฟล์ บ้านจิตสบาย 581227-สงครามและสันติภาพ _07.สงครามและสันติภาพ
นาทีที่ ๐๒.๔๑-๐๔.๒๒
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/1WOcJ4g

น้ำหนักของจิต

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๐

น้ำหนักของจิต

ขณะที่มีกุศล!
จิตจะคล่องแคล่ว ว่องไว เหมาะควรแก่การงาน เบา ๆ ไม่มีน้ำหนัก
ถ้าเกิดมีน้ำหนักขึ้นมา!
แสดงว่า..เราเข้าไปแทรกแซง
มีการกระทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
สังเกตความเครียด! หรือสังเกตน้ำหนักในการปฏิบัติ
ถ้าจิตใจมันไม่มีความสุขในการดู ขณะนั้นพลาดแล้ว แล้วมันก็จะไม่ได้แม้กระทั่งสติ
ไม่เห็นสภาวะของจริง!
ไม่ได้แม้แต่สมาธิ!
เพราะสมาธิจะเกิดได้ เมื่อจิตมีความสุข
มีสุขก่อน..แล้วจึงมีสมาธิ
สุขเป็นบรรทัดฐาน เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์สเสียดายตายไปไม่รู้ธรรม
๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

แผ่นซีดี เสียดายตายไปไม่รู้ธรรม๑ 05.หลักการภาวนาฯ นาทีที่ (๐๔.๔๐-๑๐.๐๓)
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/24Jgy0D

เอาชนะทิฐิ..ด้วยกรุณา

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๙

เอาชนะทิฐิ..ด้วยกรุณา

“ทิฐิ” คือ “ความเห็น”
ความเห็นของเราต้องถูกเสมอ!
ใครมากระทบความเห็นอันนี้
แล้วมันเริ่มกระเทือนขึ้นมาเนี่ยนะ! ถ้าเราไม่ละตัวนี้ เราก็จะสร้างเหตุขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน เถียงกัน
เป็นการ ‘ปกป้องทฤษฎีของตัวเอง’

มีการอธิบายยืดยาวมาก
เพื่อป้องกันความเห็นของตัวเอง
ว่า..ความเห็นอันนี้ถูกนะ! ความเห็นอันนี้ดีนะ! ความเห็นของคุณผิดนะ!

ถ้ามีการปกป้องความเห็นอย่างนี้เมื่อไหร่
ให้รู้ทัน! ว่าขณะนั้นมีกิเลสตัวนี้ ที่ชื่อว่า “ทิฐิ” ขึ้นมาในใจ

แต่ถ้าจะแสดงให้เห็นว่า
ที่เขาเห็นอยู่นี่ผิด..ด้วยกรุณา
ไม่เหมือนกันนะ!
ด้วยกรุณา คือต้องการจะให้เขาพ้นจากทุกข์
จากการยึดถือความเห็นอันผิด แล้วก็อธิบายเขาไป
อันนี้ไม่ได้อธิบาย..ด้วยถือทิฐิ

เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม ไปปราบทิฐิมานะของคนทั้งหลายเนี่ย!
พระองค์ไปแสดงธรรมด้วยกรุณา

ฉะนั้น วิธีการพูดของพระองค์จึงไม่เหยียบย่ำ! ไม่ซ้ำเติม! ไม่ทำลาย!
บางทีก็โอนอ่อนกับผู้ฟังไปก่อนด้วยซ้ำไป
คือไม่ได้พูดเพื่อไปโจมตี ไปทับถม

แต่ถ้าถือทิฐิต่อกัน..
วิธีการพูดมันจะเป็นการยกตัวเอง แล้วไปกดคนอื่น!
แต่ถ้าพูด “ด้วยกรุณา”
มันจะกลายเป็นว่า..ให้เกียรติกัน

ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗

ไฟล์แผ่นซีดี บ้านจิตสบาย ๖
3.เวลาแห่งพุทธะ (571228)_09. มหาปุริสวิตก
ระหว่างเวลา ๓๔.๓๑-๓๖.๔๘
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/1KRUwST

การหมุนของเข็มนาฬิกา..เวลาที่ล่วงไป

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๘

การหมุนของเข็มนาฬิกา..เวลาที่ล่วงไป

“ชีวิตนี้น้อยนัก” เป็นคำในพุทธพจน์นะ
ชีวิตนี้น้อยนัก อย่าประมาท เวลาผ่านไปแล้วไม่สามารถเอากลับคืนมาได้
เราอาจจะหมุนเข็มนาฬิกา เอาเข็มหมุนทวนได้
แต่ในขณะที่เราเอาเข็มหมุนทวน เวลาก็ผ่านไปอีกแล้ว
เวลาเป็นสิ่งสมมุติก็จริง
แต่มันผ่านไปแล้วผ่านไปเลย…ไม่กลับคืนมา
ชีวิตเราก็ผ่านไป
ชีวิตนี้จะมีค่าหรือไม่
ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ชีวิตแบบไหน
ใช้ชีวิตเพื่อจะเจริญสติ เพื่อจะทำจิตให้ยิ่ง
“อธิจิตฺเต จ อาโยโค” เนี่ย..เราทำหรือเปล่า? ถ้าไม่ได้ทำ เราก็ปล่อยชีวิตนี้ให้สะสม..
อย่างน้อย ๆ ก็ อนุสัย…น่ากลัวนะ!
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ปฏิบัติด้วยเนี่ยนะ
เราจะสะสมความไม่ดีอยู่เรื่อยเลย

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

ไฟล์ แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๓ 02.2-มาฆบูชา (560224)
ระหว่างนาที ๒๒.๔๘ – ๒๓.๔๔
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/211lRUzhi

จิตอยู่ในกระจก (อุบายการฝึกดูจิตไหล)

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๗

จิตอยู่ในกระจก
(อุบายการฝึกดูจิตไหล)

อีกที่หนึ่งที่จะฝึกได้ดีนะ..กระจก!
ห้องนี้มีกระจกที่เสา หันมองกระจก
ไปฝึกที่ห้องน้ำก็ได้

ตอนเห็นกระจกจริงๆเนี่ยนะ!
จิตอยู่ที่ไหน?
..จิตอยู่ในกระจก!
เราจะไม่รู้ตัวอยู่ที่ตัวจริงๆใช่มั้ย? จะเห็นตัวปลอมคือ..ตัวเงาในกระจก
แล้วจิตก็ไปอยู่ที่นั่น

ให้ฝึกมองกระจก แล้วก็ทำความรู้สึกอยู่ที่ตัวจริงคือตัวนี้
โดยที่ลืมตาอยู่..ไม่ต้องหลับตา แล้วก็สบตาเงาตัวเองในกระจก โดยที่ให้จิตอยู่กับตัวเองตรงนี้..
ไม่ไหลไป
แต่แล้วเดี๋ยวมันก็ไหลไป

อาการไหลไป..คือเคลื่อนไป
จะแสดงเลยว่า..ความไม่ตั้งมั่นเกิดขึ้น
แต่เห็นความไหลทีไร.. จิตก็ตั้งมั่นทุกที!
เห็นความไหลทีไร..ตั้งมั่นทุกที!

แล้วลองสังเกตดูว่า.. จริงๆชีวิตประจำวันของเราน่ะ
จิตไหลตลอดเลย เพียงแต่ว่า
ไม่มีตัวเปรียบเทียบให้ดูเท่านั้นเอง ไม่มีตัววิหารธรรมมาโดนตัวเปรียบให้เราเห็นว่า
#ความไหลมันมีเกิดขึ้นตลอดเวลา

จริงๆแล้วมันไหลอยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่ว่า ไม่มีตัวเปรียบใช่มั้ย?
เราเลยไม่รู้ว่า..จิตไหลเป็นอย่างไร
พอมีวิหารธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ..จิตไหลเป็นอย่างนี้เองเหรอ..

ท่านจึงให้มีวิหารธรรมก่อน..

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงการบรรยายธรรม ณ ฐนิชาฌ์รีสอร์ท อัมพวา
๑ มกราคม ๒๕๕๙

ไฟล์ 590103-ฐนิชาฌ์รีสอร์ท-19.ตัวอย่างฝึกดูจิตไหล
ระหว่างเวลา ๑.๔๐.๑๖-๑.๔๒.๓๔
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1VMup0

รักที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๖

รักที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ

“รัก”ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ..เป็นอย่างไร?
ความรักมีสองแบบ..คือ ‘รักแบบเมตตา’ กับ ‘รักแบบราคะ’
สำรวจตัวเองว่า..เรารักเขาเนี่ย ‘รักแบบเมตตา’ หรือ ‘รักแบบราคะ’

‘รักแบบเมตตา’ คือ ปรารถนาให้เขามีความสุข เมตตากับคนไหน เราก็ต้องการให้คนนั้นมีความสุข

ถ้าเป็นแม่กับลูก
แม่ก็ปรารถนาให้ลูกมีความสุข
เป็นเพื่อนกับเพื่อน เพื่อนก็ปรารถนาให้เพื่อนมีความสุข
คือปรารถนาให้บุคคลที่เราเมตตาด้วย..มีความสุข

ถ้า ‘รักแบบราคะ’ ก็คือ
ปรารถนาให้เขามาทำให้เรามีความสุข
ต้องมีเขาอยู่ด้วย ต้องมีเขานั่งตรงนี้ ต้องมีเขามาคุย
ต้องมีเขามาอยู่ในชีวิต ฉันจึงจะมีความสุข
อย่างนี้เรียกว่า.. ‘รักแบบราคะ’

ฉะนั้น ให้พัฒนาตัวเองนะ! เราควรจะพัฒนาให้ตัวเองมีความรักมากขึ้น
โดยที่เป็น ‘รักแบบมีเมตตา’
เช่น ถ้าเขามีความสุขกับคนอื่น..ก็ยินดีด้วย
ถ้าเรามีความรักตั้งต้นที่ดี คือมีเมตตา มันจะมีกุศลธรรมอย่างอื่นติดตามมามากมายเลย
เช่นว่า มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา ติดตามมา
ไม่ใช่จมอยู่กับความรักแบบเดียว คือราคะ

ถ้ามีความรักแบบราคะอย่างเดียว.. มันก็จะเป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์อยู่เสมอ
เพราะว่าอยู่ต่อๆไปนะ ก็ต้องมีเหตุให้คนหนึ่งจากไป
ไม่เราจากเขาก่อน ก็เขาจากเราก่อน
เราก็จะมีความทุกข์เกิดขึ้นทันที หรือเขาเสื่อมไป สลายไป เปลี่ยนแปลงไป
ใจเขาเปลี่ยนไปนะ!เราก็มีความทุกข์ได้อีก
มันมีโอกาสที่จะทุกข์ได้เสมอ เพราะว่าเราฝากความสุขไว้กับคนอื่น
ฝากไว้กับคนๆนั้น กับบุคคลนั้น กับสิ่งของนั้น
ถ้า‘รักแบบราคะ’อย่างนี้เกิดขึ้นกับใจเรานะ!
เราก็พร้อมที่จะทุกข์อยู่เสมอเลย
ฉะนั้น พัฒนาจิตใจตนเองนะ!
ให้มี…‘รักแบบเมตตา’ มีเมตตาอย่างนี้แล้วก็สามารถเจริญกุศลตัวอื่นๆได้มากมาย

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคำตอบในรายการ “ตอบโจทย์”
WBTV วัดยานนาวา วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ https://youtu.be/PafKrI46Npk

ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน!

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๕

ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน!

มีกิเลสขึ้นมา..แล้วยอมให้มันครอบงำ
แล้วเราก็ไปผิดศีลบ้าง..
ไปทะเลาะกับคนนู้นบ้าง.. ทะเลาะกับคนนี้บ้าง..
อย่างนี้คือ..มีกิเลสแล้วถูกกิเลสครอบงำ
อย่างนี้ก็เปรียบเหมือนยอมตกเป็นประเทศราชเรียบร้อย

แต่ถ้ากำลังมันมา..มันกองทัพใหญ่อยู่นะ!
มันมีทั้งราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่
มีอุปกิเลสอีก ๑๖ … เยอะ! ทัพใหญ่มาก! โดยหัวโจกมันคือ “อวิชชา”
เราจะไปปราบอวิชชาเลยนี่นะ.. ยังไม่ใช่งานของเรา!
ถ้าขืนทำ..เขาเรียกว่า..ทำเกินตัว!

ให้มันมีอะไรมาแล้วก็รู้ทันๆ
เรียกว่า ปะทะ..แล้วก็ถอย
แล้วไม่ให้ที่อยู่มัน ไม่ให้มันอยู่ในใจเรา
ไม่ให้มันครองใจเรา
ไม่ให้อาหารมันด้วย!

ไม่ให้อาหารก็คือว่า..ไม่คิดเรื่องนั้นต่อ
เข้าใจมั้ย?
อาหารของราคะ โทสะ โมหะ คืออะไร?
คือ อกุศลวิตกทั้งหลาย
มีความคิดถึงสิ่งที่น่าพอใจ ก็เป็นอาหารของ ‘ราคะ’
มีความคิดถึงสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นอาหารของ ‘โทสะ’
มีความคิดอยู่ แล้วไม่รู้ว่าคิด ก็เป็นอาหารของ ‘โมหะ’

ถ้าเราให้อาหารมันอยู่นะ!
กองทัพมันก็ยังมีอาหารอยู่ ท้องมันก็อิ่ม
มันก็ยังรบกับเราต่อ

ไม่ให้อาหารมันคือ..ไม่คิดเรื่องนั้นซ้ำเติม ไม่คิดเรื่องนั้นซ้ำต่อ
คิดแล้วคิดอีก ซ้ำๆ เนี่ยนะ มันก็ซ้ำเรื่องนั้นต่อ จิตก็ขึ้นวิถีนั้นอีก

เหมือนอย่างที่เขาร้องเพลงน่ะ
นึกออกมั้ย.. “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน!” แล้วมันก็ซ้ำอยู่อย่างนั้น
“ไสว่าสิบ่ถิ่มกั๊นนนน..!” .. ซ้ำไปซ้ำมานะ!
จิตขึ้นวิถีนี้ทีไร
ก็เป็นการเอาทุกข์มาซ้ำเติมตัวเองทุกที..ใช่มั้ย?
“ไหนว่าจะไม่ทิ้งกัน แล้วทำไมมึงทิ้งกูๆ”
เนี่ย..ต้องแปลเป็นภาษากลางให้บ้าง..!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจาก ณ บ้านจิตสบาย
๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

สามารถรับฟังเสียงธรรมได้ที่
ไฟล์ 581227 แผ่นบ้านจิตสบาย 8. สงครามและสันติภาพ
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1OZJ9V3

เตือนตัวเอง

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๔

เตือนตัวเอง

เวลาอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ นี่นะ
ไม่มีใครเตือน..เราต้องเตือนตัวเอง!
แล้วเราก็เลือกสถานการณ์ไม่ได้
แต่เลือกวิธีการโต้ตอบได้

เจอคนนั้นด่ามา..เราเลือกไม่ได้
เลือกไม่ได้แม้กระทั่งคำด่า!
“อย่าด่าอย่างนี้สิ!”..ไม่ได้..เลือกไม่ได้ ใช่มั้ย?
“ด่าเพราะๆ หน่อยสิ!” ..เลือกไม่ได้
บังคับเขาไม่ได้ใช่มั้ย? เลือกไม่ได้!

แต่เราเลือกได้อยู่อย่างหนึ่ง
คือ เลือกวิธีการตอบโต้
ตอบโต้อย่างไร..ที่จะไม่ให้ผิดศีล
ตอบโต้อย่างไร..ที่จะไม่ซ้ำเติมสถานการณ์นั้นเข้าไปอีก

ฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฎ..ที่กระทบกับเรา..เป็นเครื่องฝึกทั้งนั้นเลย!
แม้แต่ที่มากระทบ..แล้วเราพลาด! ความผิดพลาดที่เราทำไปเมื่อกี้นี้
ถ้าเรารู้ตัวว่าพลาด ความพลาดอันนั้นจะเป็นเครื่องสอนใจเราต่อไป
เราจะไม่พลาดอย่างนั้นอีก

แต่ถ้าพลาดไปแล้วไม่เป็นเครื่องสอนใจเลย
ก็พลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฉะนั้น เหตุการณ์ต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดนะ
ถ้าเป็นคนมีปัญญา..เราสามารถเอาไอ้เหตุการณ์เหล่านั้น แม้ที่ร้ายๆ นั้น นำมาเป็นประโยชน์กับเราได้
เป็นเครื่องสอนใจเราได้เสมอ
เรียกว่า..อยู่ด้วยปัญญา

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

ไฟล์ 581122_ โพธิราชกุมาร
Track 06.สรุปจากชาดกโพธิราชกุมาร ระหว่างนาทีที่ ๐๔.๔๔-๐๖.๐๙
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1S8DiRz

ครูสอนจิตที่แท้จริง

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๓

ครูสอนจิตที่แท้จริง

เวลาดูจิต!.. สิ่งที่เราจะเรียนจากสิ่งที่ปรากฎอยู่ในจิต
ก็คือเป็นกิเลสต่างๆ
ราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับจิต
และดับไปทันทีที่เรามีสติเห็น! สิ่งเหล่านี้จะแสดงความจริงให้เราเข้าใจ

สิ่งเหล่านั้นแสดงความจริงในแง่ว่าไม่เที่ยง สิ่งที่เกิด-ดับในจิต..มันไวมาก
แต่มันก็ไม่เกินสติ..เข้าใจมั้ย?

สิ่งที่เกิด-ดับ แม้จะไวก็จริง
แต่สติเองก็ไว..ไวพอเหมือนกัน ไวพอที่จะไปรู้ว่า..มันคืออะไร?
รู้ว่า..เมื่อกี้นี้ มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าเรียกชื่อได้..ก็เรียก
ถ้าเรียกชื่อไม่ได้..ก็ไม่ต้องกังวล
อะไรก็ได้ ที่มันเกิด..แล้วเห็นจริงๆ ในขณะนั้น

บางคนกังวลว่า “มันชื่ออะไรหนอ?”
..ก็ให้ดูทัน”กังวล”ไป ความกังวลก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้จริงๆ
ไอ้ที่เห็นเมื่อกี้นี้ก็เห็นนะ แต่เรียกชื่อไม่ถูก

ถ้ากังวลว่ามันคืออะไร?
ให้รู้ทันความกังวลต่อไปเลย
อย่ามัวเสียเวลา มัวแต่คิดว่า ..
“เอ๊ะ.! มันจะเรียกว่าอะไรดี” นี่..เสียเวลา!

และทันทีที่เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในจิต
สิ่งเหล่านั้นจะแสดงความจริง คือมันไม่เที่ยง
และสุดท้ายจะเข้าใจว่า..มันไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่ว่าจะดูกาย หรือดูจิต ก็จะเห็นอย่างนี้

สรุปแล้วคือ..
ครูบาอาจารย์..สอนได้เพียงวิธีการ
พระพุทธเจ้าก็สอนได้เพียงวิธีการ
ไม่ใช่ว่าพระองค์จะมาเสกชุบจิตเราว่า
“เจ้าจงเป็นอรหันต์เดี๋ยวนี้” ..ไม่มี!
มีแต่ชี้ให้ดู!

ถ้าดูแล้วเข้าใจตาม..ก็เป็นพระอริยเจ้า
เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันต์ไป

แต่สิ่งที่ท่านชี้ให้ดูนี่นะ!
สิ่งนั้นจะสอนจิตคนนั้นเอง… เข้าใจมั้ย?
ท่านไม่ได้มีฤทธิ์ที่จะเสกให้จิตคนนั้นเป็นอย่างนี้ ให้จิตคนนั้นเป็นอย่างนั้น

แต่จิตที่เห็นน่ะ..สิ่งนั้นน่ะ!
สิ่งนั้นคืออะไร เห็นกายกับใจนี้
ใครถนัดดูกาย..ก็ดูกาย
ใครถนัดดูใจ..ก็ดูใจ
แล้วสิ่งที่เห็นนั้นน่ะ..จะเป็นครูสอนจิตดวงนั้นเอง!

จิตที่เห็นสิ่งเหล่านั้นแสดงความจริง
คือมันแสดงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตจะเข้าใจเอง
แล้วก็จะปล่อยวางความเข้าใจผิดเดิมๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิ
ที่เคยคิดว่าเข้าใจว่า..
“กายนี้เป็นเรา ใจนี้เป็นเรา” อย่างนี้
มันจะปล่อยวางความเข้าใจผิดอย่างนี้เป็นเบื้องต้น

คนที่มีความเข้าใจถูกอย่างนี้ขึ้นมาเรียกว่า
มีสัมมาทิฐิในขั้นที่เป็นพระโสดาบัน แต่ยังมีความเข้าใจผิดอื่นๆ อีก ยังต้องเรียนต่อนะ! เรียกว่ายังเรียนไม่จบ..เป็นพระเสขะบุคคล
แต่มีความเข้าใจถูกแล้วว่า “กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย
ณ ฐนิชาฌ์รีสอร์ท อัมพวา
๓ มกราคม ๒๕๕๙

ไฟล์ 5901033-ฐนิชาฌ์รีสอร์ท-08.ครูสอนจิตที่แท้จริง
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1Om4TMJ

มีปัญญา..จึงพ้นทุกข์

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๒

มีปัญญา..จึงพ้นทุกข์

เบื่อแบบปัญญานี่นะ..มันไม่ได้มีโทสะ
คือ มันเห็นเกิด-ดับ
เห็นเกิด-ดับ อยู่เรื่อยๆ นะ
เห็นเกิด-ดับ เห็นซ้ำไปซ้ำมา..
เห็นซ้ำไปซ้ำมา.. จนมันเห็นโทษ.. เห็นโทษของจิตที่มันเกิดตามภพภูมิต่างๆ

บางทีเราก็ไปเพ่ง..เกิดเป็นภพภูมิของ ‘พรหม’
บางทีก็มีความสุขดี..ก็เป็นภพภูมิของ ‘เทวดา’
แต่ทุกครั้งที่เกิด..ก็ดับทุกที!
ทุกครั้งที่เกิด..ดับทุกที!

เห็นไปเรื่อยๆ นะ
ทุกครั้งที่เกิด-ดับทุกที!
เดี๋ยวก็มีความสุขดี..แล้วก็ดับ!
เดี๋ยวก็มีความทุกข์..แล้วก็ดับ!
เดี๋ยวก็หงุดหงิด เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน หงุดหงิดทีไรนะ..ก็เป็น ‘สัตว์นรก’
ฟุ้งซ่านทีไร..ก็เหมือนเป็น ‘สัตว์เดรัจฉาน’

จิตแต่ละขณะๆ มันเป็นคุณสมบัติของภพต่างๆ
จิตโลภ..ก็เป็นคุณสมบัติของพวก ‘เปรต’ จิตที่มีความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป..ก็เป็นภพภูมิของ ‘เทวดา’
จิตที่ทำสมาธิได้ แม้ชั่วขณะแวบๆ มีความสงบอยู่ชั่วแวบๆ ..ก็เป็นภพภูมิของ ‘พรหม’

แต่ทุกครั้งเลย ถ้าเรามีสติตามดูสภาวะไปเรื่อยๆ นะ!
จะเห็นว่า มันเกิด..แล้วก็ดับ มันเกิด..แล้วก็ดับ
เห็นซ้ำๆ อย่างนี้นะ..จะกลัว!
กลัวต่อการเกิดในภพต่างๆ
เห็นภพต่างๆ เป็นเหมือนถูกไฟไหม้
ไปเกิดทีไร..ก็ต้องตาย
เกิดทีไร..ก็ตาย
มีโทษประหาร รออยู่ทุกภพเลย
ไปเกิดเป็นพรหม ก็ต้องถูกประหาร..ตายจากพรหม
ไปเกิดเป็นเทวดา ก็ถูกประหาร..ตายจากเทวดา
เกิดเป็นคน ก็ต้องถูกประหาร..ตายจากคน
ตายเอง!..ไม่ต้องรอให้คนอื่นประหารนะ!
มันหมดอายุของมันเอง
ถ้ามันถูกฆ่าตาย ก็แสดงว่าตายก่อนอายุขัยไปอีก

ฉะนั้น ทุกครั้งที่เกิดในภพภูมิต่างๆ จะต้องมีโทษประหาร คือ “ตาย” มีความตายรออยู่เสมอ!
ทุกครั้งที่เกิด จะมีดับรออยู่เสมอ
จะเห็นเหมือนเป็นโทษเป็นภัย
จะเบื่อหน่ายจากการอยู่ในภพ
เห็นความเกิด..ดับ เห็นโทษเห็นภัยของมัน
อยากจะพ้นไปนะ..แต่พ้นไม่ได้

ทุกครั้งที่อยากจะพ้นนะ มันไม่รู้จะพ้นไปไหน
เพราะขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน มันก็มีภพที่นั่น

ถ้ามีแค่ขันธ์ ๑ จะมีภพมั้ย? มีอยู่ที่ไหน? ก็เป็นภพ เป็น’พรหมลูกฟัก’ มีแต่รูป ไม่มีจิต

ส่วนภพที่มีเพียงขันธ์ ๔ เป็นยังไง รู้จักมั้ย?
รู้จักสัตว์ที่มี ๔ ขันธ์ มั้ย?
คือผู้ที่ทำอรูปฌาน ตายไปแล้วก็เป็น ‘อรูปพรหม’
อรูปพรหม คือไม่มีรูป
เคยเป็นคนมีขันธ์ ๕
ทำอรูปฌานแล้วตาย
ตอนเข้าอรูปฌานกลายเป็นอรูปพรหม
ไม่มีรูป ก็เหลือแต่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นภพของขันธ์ ๔

สัตว์นอกนั้นมีขันธ์ ๕
สัตว์เดรัจฉานมีขันธ์ ๕ สัตว์นรกมีขันธ์ ๕ เปรตมีขันธ์ ๕ เทวดามีขันธ์ ๕ รูปพรหมมีขันธ์ ๕ มนุษย์มีขันธ์ ๕
มีขันธ์ก็ต้องไปหาที่อยู่ของขันธ์
ที่จะพ้นไปนะ..
ก็ต้องเกิดจากปัญญามีความเข้าใจ แล้วมันทิ้งขันธ์ไป

แต่ตอนนี้ อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น
เอาแค่ว่า เห็นมันเกิดดับ..เห็นมันเกิดดับ นะ
ความเบื่อหน่าย ที่เป็น ‘#นิพพิทาญาณ’
คำนึงเห็นด้วยความหน่าย
(ญาณขั้นที่ ๘ ในโสฬสญาณ ๑๖-ผู้ถอดคำ)
คือเห็นมันเกิดดับ จนเบื่อที่จะเกิดในภพ
เพราะอยู่ที่ไหนก็ดับทุกที อยู่ที่ไหนก็ตายทุกที
อยู่ไม่ได้แล้ว ก็ต้องหาทางไป
ซึ่งไม่มีทาง!.. ไม่มีทาง… มีแต่ภพรอดักอยู่ตลอดเลย..!
ต้องไปด้วยปัญญา..เห็นโทษภัยของขันธ์ ๕ นี้ ไม่ใช่เห็นเฉพาะโทษภัยของภพอย่างเดียว
เห็นโทษภัยของขันธ์ ๕ นี้
สุดท้ายแล้ว..ตัวขันธ์ ๕ นี่แหละ..เป็นทุกข์!
ไม่ใช่ว่าภพภูมิทั้งหลายเป็นทุกข์
เห็นขันธ์ ๕ นี้..เป็นทุกข์!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
คอร์สปฏิบัติธรรมเนยยะ
ณ ศูนย์ฝึกอบรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บางปะกง
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
บรรยายช่วงค่ำ
ไฟล์ 581127-พระอาจารย์กฤช ช่วงค่ำเกมส์ถั่ว2 Track 581127_12.มีปัญญาจึงพ้นทุกข์
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1IQr4eQ

เปิดกล่องของขวัญปีใหม่

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๑

เปิดกล่องของขวัญปีใหม่

อนุโมทนากับทุกๆ คนนะ
ที่วันนี้ได้มาหาของขวัญปีใหม่ให้กับตัวเอง
ของขวัญปีใหม่ก็คือ.. มีความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากพระพุทธเจ้า
รักษามาโดยครูบาอาจารย์ พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย
ของขวัญอันนี้ยังมีอยู่อีกไม่นาน เรารีบเปิดของขวัญให้เร็วๆ นะ! รีบปิดของขวัญให้ไวๆ
ของขวัญนี้มีอยู่ชั่วคราวในวัฎสงสาร
ของขวัญอันนี้มีผ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่เราไม่เคยรู้
หรือรู้แล้ว แต่เปิดกล่องไม่ได้สักที ก็คือมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้วหลายพระองค์
เราก็อยู่ในวัฎสงสารนี้แหละ! อยู่ร่วมยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ แต่อาจจะไม่เห็นคุณค่า
หรืออาจจะอยู่ในถิ่นห่างไกล
ตอนนี้ ชาตินี้ ขณะนี้เดี๋ยวนี้
เราอยู่ในยุคที่มีของขวัญอันนี้เกิดขึ้นแล้ว
ก็ให้พยายามฝึกฝนตนเอง ฝึกฝนให้มีภูมิรู้ มีกุศลธรรมมากพอที่จะไปเปิดของขวัญอันนี้ให้ได้
กุศลธรรมที่เราจะฝึกให้มีมากขึ้นเรื่อยๆได้ ก็คือ
ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีจิตตั้งมั่น ฝึกให้มีปัญญา ฝึกรักษาศีล.. ฝึกรักษาศีลที่ดีโดยที่มีสติ อย่างนี้ศีลจะสมบูรณ์
ศีลสมบูรณ์แล้วก็จะมีคุณธรรมที่เกิดต่อเนื่องเป็นกระบวนธรรมขึ้นมาเอง

อย่างที่อาตมาได้บอกแล้วว่า..
แม้ไม่เจตนา..ก็จะมีความไม่มีความขัดเคืองใจ
ไม่มีความร้อนใจ และก็จะมีปราโมทย์
มีปีติ มีปัสสัสธิ มีสุข มีสมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทา วิราคะ
และก็มี วิมุตติญาณทัสสนะ โดยลำดับ

ก็ขอให้ทุกคนพัฒนาจิตใจตัวเอง มีกุศลธรรม เพิ่มพูนมากขึ้น
ได้รับผลประโยชน์จากการ เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้
ให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ขออนุโมทนากับทุกๆ คน

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

ไฟล์ 581227-สงครามและสันติภาพ 2 of 2 นาทีที่ 61.32 – 64.25
รับฟังได้ที่ http://bit.ly/1OCkuef
581227-สงครามและสันติภาพ 1 of 2 สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1IJjUJs

การพัฒนาจิต กับ การพัฒนาใจ ต่างกันอย่างไร

คำถาม-การพัฒนาจิต กับ การพัฒนาใจ ต่างกันอย่างไร -ไฟล์ 3.3.วิหารธรรม-เคอร์ฟิว-(570525)-ถาม-ตอบ

โยม: ไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง การพัฒนาจิต กับการพัฒนาใจ ต่างกันตรงไหนคะ

พอจ. กฤช:
โอ มันแล้วแต่คนพูดล่ะสิคราวนี้ ถ้าโดยทั่วๆ ไปนะ จิตกับใจแทนกันได้ เขาเรียกว่าเป็นไวพจน์เป็น
รู้จักไวพจน์ใช่มั้ย? งานบวชนี่จะได้ยินบ่อยๆ เลยใช่มั้ย นั่นมัน (ไวพจน์) เพชรสุพรรณ แล้ว ไม่ใช่นะ
ไวพจน์ แปลว่าคำที่ใช้แทนกันได้
มีความหมายแบบเดียวกัน

เรื่อง จิตกับใจ ก็คือเรื่องของนามธรรม ถ้าแบ่งชีวิตเป็นสองส่วน รูปธรรมกับนามธรรม ส่วนนามธรรมจะเรียกว่า จิตก็ได้ จะเรียกว่า ใจ ก็ได้ แต่ถ้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็ต้องดูบริบทของคำแล้ว บริบทของคำคือ คำที่แวดล้อมในขณะนั้นน่ะ ท่านอธิบายเรื่องอะไรอยู่
ถ้าอธิบายในแง่ของ จิตคือสภาพรู้อารมณ์ เจตสิกคือคุณภาพของจิต อย่างนี้ก็ต้องแยกกัน งงมั้ย? คราวนี้เลยไปไกล กลายเป็นอีกเรื่องแล้ว ใช่มั้ย

จิตคือสภาพรู้อารมณ์ ก็คือจิตที่ไปรู้รูปทางตา รู้เสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น รู้ (เย็น,ร้อน,อ่อน,แข็ง,ตึง,ไหว) ทางกาย
รู้ความคิดนึกทางใจ จิตโดยละเอียดแล้วมีหน้าที่อย่างนี้ ส่วนที่คิดนึก เป็นบุญ,เป็นบาป,เป็นกุศล,อกุศล,จิตดี,จิตไม่ดี
คุณภาพของจิตเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า เจตสิก
ถ้าเป็นตรงนี้ท่านก็จะมาสอนก็ต้องเลือกคน เลือกคนที่ว่าคือ เริ่มมีความเข้าใจ เริ่มเรียนคำสอน หรือเริ่มศึกษาเรื่องจิตมากขึ้น ท่านก็แยกย่อยว่า

ในส่วนของนามธรรมหรือจิตมันแยกออกไปได้อีกนะ แยกออกไปได้อีก
ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ เรียกว่า เวทนา
ความจำได้หมายรู้เรียกว่า สัญญา
ความปรุงแต่งเป็นบุญ,เป็นบาป,เป็นกุศล,เป็นอกุศลเรียกว่า สังขาร อย่างนี้
สามตัวนี้เรียกว่า เจตสิก ส่วนจิตคือ ตัวรู้อารมณ์เฉยๆ

แต่จิตรู้อารมณ์แล้วจะมีคุณภาพดีหรือไม่ดี มันขึ้นอยู่กับเจตสิกเหล่านี้ จิตเป็นบุญ,จิตเป็นบาป,อยู่ที่เจตสิก,จิตดี,จิตไม่ดี,จิตสุข,จิตทุกข์ อยู่ที่เจตสิก อย่างนี้
ส่วนจิตคือสภาพรู้อารมณ์ อีกส่วนเรียกว่าเจตสิก ถ้าเรียกเป็นขันธ์ก็ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
ทั้งสี่อันนี้รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกัน เป็นชีวิตส่วนนามธรรม
รูปธรรมนี้ยกไว้ต่างหาก คือรูป คือกาย ส่วนนามธรรมเนี่ยแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ จิตกับเจตสิก เจตสิกก็แบ่งย่อยๆ ไปอีกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร
แต่ทั้งหมดนี้เป็นนามธรรม รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกันๆ ไม่เกี่ยวกับรูปนะรูปเนี่ย เกิด-ดับช้ากว่า แต่จิตในส่วนนามนี้ เกิด-ดับพร้อม

เรียบเรียงจาก
ตอบโจทย์จากการแสดงธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ไฟล์แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๕-3.3.วิหารธรรม-เคอร์ฟิว -(570525) -ถาม-ตอบ ระหว่างเวลา๐๗.๔๐-๑๑.๒๖
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1UbE4iN

ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร

คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร -๔.พระสารีบุตร(580726) –CD บ้านจิต๗

โยม:
ถ้าต้องมีภาระทำงานหนัก หาเงินเลี้ยงครอบครัว บางครั้งขนาดไม่มีเงินสดติดตัว ต้องรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อข้าว
ในสภาพที่จิตใจ มันไปวิตกอยู่กับเรื่องปากเรื่องท้อง… ถามว่า ในสภาพที่แบบ “แร้นแค้น” อย่างนี้ จะภาวนาอย่างไร ครับ?

พอจ. กฤช:
แร้นแค้นเลยนะ ตรงนี้ต้องแยกเป็นสองเรื่องนะ
เรื่องภายนอกคือ ฐานะทางการเงินของเราก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องการทำใจก็อีกเรื่องหนึ่งนะ
ไม่ใช่ว่า ‘ให้ทำใจ’ อย่าคาดว่า พระจะตอบว่าให้ทำใจ! แล้วก็ไม่ต้องไปหาตังค์นะ เงินก็ควรหา ใจก็ควรทำ มันไม่ใช่ว่านั่งทำใจสบายแล้วเงินจะมาเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ

เบื้องแรกเลยสำหรับคน นักปฏิบัติอย่างเรา หรือไม่ใช่นักปฏิบัติก็ตาม แต่ถ้าเห็นว่ามีสองเรื่องที่จะต้องทำเนี่ยนะ
เรื่องแรกที่จะทำได้ทันที คือเรื่องทางจิตใจ ถ้ารู้ว่าขณะนั้นจิตตก
จิตตกเนี่ยนะเป็นภาษาชาวบ้านทั่วๆ ไป คือ เกิดอกุศลเกิดขึ้น มีความเศร้าหมอง ให้รู้ทันความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับใจ ขณะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือ..
ความเศร้าหมอง ส่วน ‘กูซวยจริงๆ’ อันนี้เป็นสำนวน ไม่มี ‘กู’ ไม่มีนะ และ ‘ความซวย’ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแกล้ง ตรงนี้ไม่มีใครแกล้ง ทำให้ต้องไปแก้ไข
ตามต้นเหตุ ตรงต้นเหตุเนี่ยนะ
ตรง ‘ต้นเหตุ’ ที่ว่าเนี่ย ต้องไปดูเอาเองว่า ในกรณีนั้นๆ ‘ ต้นเหตุความแร้นแค้น’ ที่เกิดขึ้นเนี่ย มันเกิดขึ้นจากอะไร?.. ไปแก้เอา ส่วนที่จะแก้เนี่ย
ให้แก้ด้วย ‘จิตที่เป็นกุศล’ อย่าเอาความเศร้าหมองหรือเอาความคับแค้นใจไปแก้
เพราะว่าในขณะที่เศร้าหมองและคับแค้นใจนั้นน่ะ มันเป็น ’จิตที่เป็นอกุศล’ ไม่มีปัญญา.. จิตไม่ผ่องใส ไม่เกิดปัญญา
ฉะนั้น.. ให้จิตมันผ่องใสพ้นจากอกุศลอันนั้นก่อน

วิธีพ้นจากอกุศลนั้น ง่ายๆ ก็คือ รู้ว่ามี ‘ความเศร้าหมอง’ เกิดขึ้น รู้ว่ามี ‘ความไม่สบายใจ’เกิดขึ้น แค่ตอน ‘รู้’ พ้นจากความเศร้าหมองพอดี เพราะว่า
ขณะที่รู้นั้น..มีสติ ..แล้วค่อยหาว่า เราจะแก้ไขปัญหาจุดนั้นอย่างไร
การแก้ไขเนี่ย บอกตรงๆไม่ได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะว่า แล้วแต่กรณี… กรณีอย่างนั้นอาจจะต้องไปปรึกษาคนโน้น บางทีอาจจะต้อง
ไปแก้ไขกระบวนการใช้ชีวิตของตัวเอง บางทีเราอาจจะใช้ชีวิตไม่เหมาะสมก็ได้ บางทีเราอาจจะไปหมกมุ่นในอบายมุขมากเกินไปก็ได้ ..อะไรอย่างนี้นะ!
มันไม่แน่ว่า ‘เราใช้ชีวิตด้านไหนผิดไป!’

พูดถึงอบายมุขนะ นึกถึงเรื่องๆหนึ่ง สมัยรัชกาลที่ ๓ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจฝืด เงินฝืด ข้าวยากหมากแพง แร้นแค้น ใช้อย่างนี้เลย ใช้คำนี้เลย “แร้นแค้น” ทำไมต้องแค้นก็ไม่รู้เนาะ.. มันแห้งแล้ง ปีนั้นแห้งแล้งมากขนาดที่ว่า ทำนาไม่ได้ผล ต้องซื้อข้าว เมืองไทยอ่ะ เมืองไทยต้องซื้อข้าวต่างประเทศมากิน
สมัยรัชกาลที่ ๓ นะ แห้งแล้ง ปรากฏว่าชาวบ้านก็เตรียมพร้อมในการรับมือ สภาวะเศรษฐกิจฝืดๆอย่างนั้นน่ะนะ เอาเงินฝังดิน ใส่ตุ่มฝังดิน ไม่ค่อยเอาออกมาใช้
ผู้บริหารสมัยนั้นก็มี

พอดีว่าในยุครัชกาลที่ ๓ เนี่ย ท่านติดต่อกับจีน มีคนจีนมารับราชการ มาปรึกษางานเมืองกัน ก็ถามคนจีน คนจีนก็เสนอขึ้นมาว่า
ถ้าเป็นเมืองจีนนะ ถ้ามีสภาวะอย่างนี้ คนเก็บเงินเอาไว้ไม่เอามาใช้เนี่ยนะ เงินมันไม่หมุนในเศรษฐกิจ สมัยนั้นยังไม่มีเศรษฐศาสตร์อะไรนะ แต่เขารู้ว่า
ถ้าทุกคนเก็บเงินแต่ละคนก็มั่นใจในตัวเอง แต่ว่าเงินในตลาดมันไม่หมุน

เงินในตลาดมันไม่หมุนเนี่ย เศรษฐกิจดูเหมือนไม่เฟื่องฟูและไม่ดี คนจีนมีวิธีที่จะเอาเงิน ที่เขาฝังไว้ในตุ่มให้เข้ากลับมาสู่ตลาด
ถามว่าเขาทำอย่างไร คนจีนทำอย่างไร?

คนจีนเปิดบ่อน สมัยก่อนเมืองไทยไม่มีบ่อนแบบนี้ อาจจะมีชนไก่ กัดปลา อะไรอย่างนี้นะแบบธรรมดามาก แต่ไม่มีบ่อนลักษณะที่ว่าเป็นทางการ
เขาบอกทำยังใง? เคยได้ยินคำว่า ‘หวย กอ ขอ’ มั้ย? .. เคยได้ยินมั้ย?
(ขณะนั้นมีโยมตอบว่า ไม่ ) …ตกประวัติศาสตร์!
เคยได้ยินมั้ย? หวย กอ ขอ เลิกไปนานแล้วล่ะ แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัย ร.๓

จะให้คนมาซื้อ ซื้อว่าหวยงวดนี้ออกอะไร แต่ไม่เป็นเลข จะเป็น ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก แต่ว่าสมัยนั้นเนี่ย เนื่องจากว่าเริ่มมาจากคนจีน ก.ไก่ ก็จะใช้ชื่อตัวละครของคนจีน ก.ไก่อะไรก็ไม่รู้นะ แล้วแต่จำไม่ค่อยได้ ห๊า? (มีเสียงโยมตอบ) ..กงซุน.. ไม่รู้นะ อันนี้ไม่รับรองนะ! ประมาณเป็นชื่ออย่างเนี้ย
ชื่อคนจีนน่ะเป็นชื่อคนจีน แล้วก็มีตัวละคร ๔๔ ตัว ตามอักษรของไทย

แต่ว่า ไอ้ ก. ข. ค. ง. จนถึง ฮ.นกฮูกเนี่ยนะ มีตัวละครเป็นตัวแทนในตัวอักษรตัวนั้น แล้วออกหวยเนี่ยนะ โหดมากเลย
ออกทุกวันๆ แทงตัวนึง ถ้าออกเนี่ยนะก็จะได้เงิน สมมุติว่าแทงบาทนึง สมัยนั้นคงไม่ได้เรียกเป็นบาทหรอก แทงบาทนึง อาจจะได้ ๒๐ หรือ ๔๐
ก็ประมาณอย่างนี้

แล้วจริงๆแล้วเนี่ย ความน่าจะเป็นในการที่จะออก ซื้อได้ตรงกับที่ออกเนี่ยนะ มันเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เขาคำนวณแล้วล่ะว่า
คนซื้อที่ถูกเนี่ยจะมีน้อย ไอ้คนที่ไม่ถูกจะมีเยอะ เอาเงินจากคนที่ไม่ถูก(หวย)มาจ่าย แล้วจ่ายไปแล้วเนี่ย จะมีกำไรกลับมา แล้วใช้เป็นสัมปทาน คือ
เจ้าของโรงพนัน โรงหวยเนี่ย จ่ายให้กับรัฐ สมัยนั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๓ เนี่ยนะ จ่ายให้กับรัฐ แล้วตัวเองได้กำไรเท่าไหร่นอกจากกำไรจากที่ส่งให้รัฐแล้วเนี่ย
ก็เป็นของนายบ่อนเจ้าของโรงหวย

เขาเรียกว่า หวย กอ ขอ อันนั้นไม่เป็นตัวเลข
ปรากฏว่า คนไทยตื่นเต้นกันมาก กับโรงหวยใหม่ๆอันนี้ ก็เพราะว่ามันแทงนิดนึง แล้วได้เยอะ ถ้าได้ก็ได้เยอะ
แต่เสียก็เสียนิดนึง รู้สึกว่าเสียนิดเดียว แต่รวมแล้ว เจ้าของโรงหวยเนี่ย กำไรมากมายเลย เงินที่แบ่งให้กับรัฐก็จำนวนหนึ่ง
แต่เงินกำไรเนี่ยเยอะกว่า

คนไทยก็เห็นว่า เห้ย กำไรเยอะนี่หว่า เปิดบ้าง ก็เลย เปิดบ้าง จากออกทุกวันๆละครั้ง ก็เป็นออกทุกวันๆละ สองครั้ง
ตอนเช้าหวยคนจีนตอนกลางคืนหวยคนไทย แต่คนไทยไม่ชำนาญทำไปทำมา เจ๊ง คนจีนฮุบกิจการ ออกเองเป็นสองครั้งต่อวัน มีบรรดาศักดิ์ให้ด้วยนะ
เจ้าของโรงหวยเนี่ยนะ ขุน ..เป็นขุนนะ ขุนบานเบิกบุรีรัฐ น่าเป็นมั้ย ห๊า?
คนไทยเรียก ขุนบาน.. ขุนบานเบิกบุรีรัฐ
เศรษฐกิจเริ่มเคลื่อน แต่เคลื่อนแบบอบายมุข คนไทยจนลงคนจีนนายหวยรุ่งเรืองขึ้น เงินที่ได้เข้ารัฐก็มีเหมือนกัน ผ่านมาถึงรัชกาลที่ ๖

รัชกาลที่ ๖ เห็นว่า เอ วิธีนี้ไม่ดี วิธีนี้เนี่ยนะ มันทำให้คนงมงาย แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ดูนะในหลวงรัชกาลที่๖
พอเสวยราชย์ แรกๆเนี่ย อยากจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้นเนี่ยนะ รัฐบาลก็มีค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจยังไม่ดี พระองค์เองมีทรัพย์ส่วนพระองค์
แต่ยังมีงานที่ต้องทำในเรื่องของส่วนพระองค์เหมือนกัน ส่วนพระองค์เนี่ยไม่ใช่ว่าไปจ่ายสำราญอะไรนะ คือ มีสิ่งก่อสร้างตกค้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕
ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินส่วนพระองค์นะ ไม่ใช่เงินแผ่นดินนะ ก็คือ

สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมอะไรอย่างงี้ ยังไม่เสร็จยังมีภาระในการใช้จ่าย กิจการต่างๆ กองเสือป่าอะไรประเภทนี้ยังต้องมีการใช้จ่ายอยู่ เงินในคลังส่วนพระองค์
ยังไม่พอ ท่านก็เลยจำยอมต้องให้เปิดโรงบ่อนไปก่อน พอครองราชย์ครบ ประมาณ ๖ ปี พอถึง ๖ ปีท่านตรวจคลังดูแล้ว พร้อม ท่านจ่าย.. ไอ้ค่า..ค่า
ที่โรงบ่อนจ่ายให้กับรัฐบาลน่ะ จ่ายเอง เหมือนจ้างให้เลิกโรงบ่อน

เพื่อให้คนไทยปลอดจากอบายมุข โดยที่รัฐบาลไม่เสียรายได้ด้วย แล้วท่านก็เจียดเงินส่วนพระองค์จ่ายให้ทุกปี
ในส่วนที่โรงบ่อนเคยให้กับรัฐบาล ดูนะ! นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ ๖ ที่ทำสิ่งดีๆ ให้กับประเทศ

แต่ถ้าใครคิดจะทำอีกเนี่ยนะ..แย่มากนะ! มันควรจะทำยังใง ที่จะชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ดี อย่ามาอ้างว่า ก็เขาทำกันมานานแล้ว ทำจนเป็นปกติแล้ว ก็ควรจะเปิดๆไปซะอย่างนี้นะ มันทำให้สอนจริยธรรมยากขึ้นนะ มันแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ตอนเนี้ยชี้ชัดๆ ได้เลยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด
ก็ควรจะจับมาลงโทษ ควรจะทำให้กฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่ไปยอมรับว่าสิ่งนี้ควรทำ

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ กว่าจะเลิกได้มันไม่ใช่ง่ายนะ จะไปเปิดใหม่นี่ จะใช้คำภาษาอังกฤษหรูๆ ถึงจะห่อดีๆแต่ข้างในคือ ขี้ ก็ไม่ควรเอา หรือว่าใส่ขวดหรูๆ
แต่ข้างในเป็นยาพิษเนี่ยนะ มันก็เป็นยาพิษอยู่ดี จะตั้งชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ จะเป็นคอมเพล็กซ์ (Complex)หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็คือ เป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยกับสังคมทั้งนั้นเลย ก็แยกให้ออกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดีอะไรไม่ดี แยกให้ชัดชี้ให้ชัด ถ้าไปถลำอยากจะได้เงินอย่างเดียวเนี่ยนะ
มันไม่คุ้มกับความเสื่อมเสียของสังคมที่ตามมา

คือ หลังจากเปิดบ่อนไปแล้วเนี่ยนะ คนที่ไม่เคยขโมยก็เริ่มขโมย เพราะตัวเองติดการพนัน คนที่ไม่เคยกินเหล้าก็ไปกินเหล้าเพราะว่าในโรงบ่อนก็จะมีอะไรที่มัน
พร้อมมูลไปหมด ยิ่งถ้าที่เขาจะทำ เป็นคอมเพล็กซ์ กาสิโน (Casino) อะไรพวกนี้นะ มันจะพร้อมไปหมดเลย ได้ไม่คุ้มเสีย และที่ได้ไม่ใช่รัฐบาล รัฐบาลอาจได้เล็กๆ น้อยๆเนี่ยนะ แต่ไอ้ที่ได้จริงๆ คือเจ้าของโรงบ่อน

เรียกว่า เจ้าของโรงบ่อน นั่นแหละที่ได้มาก

ตอบคำถามแล้วยืดเยื้อเลื้อยมาถึงเรื่องนี้ จริงๆ คือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่แฉลบออกมานิดนึง อย่าคิดในเรื่องแค่เงินทองอย่างเดียว ให้ดูที่มาของเงินทองนั้นด้วย เงินทองที่ได้มาถ้าได้มามากแต่เป็นผลเสียกับส่วนรวม ได้น้อยดีกว่า ได้น้อยแต่มั่นคงและประเทศชาติสงบ ร่มเย็นดีกว่า
แล้วการสอนลูกหลานมันสอนได้เต็มปากเต็มคำนะ ถ้ามายอมกับรายได้เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ เสียในเรื่องของจริยธรรมนี่นะ
มันทำให้สังคมเราไปยากขึ้น สงบสุขยากขึ้น

ส่วนใครจะทำ ประเทศเพื่อนบ้านจะทำ ก็ทำของเขาไป แล้วส่วนใหญ่ที่เขาทำนะ ก็มุ่งมาให้เราเล่น สังเกตดูว่ามันเปิดแถวๆ ชายแดนเรานั่นแหละ
อาตมารู้จักโยมที่เมืองจันท์ ชอบเล่น ก็จะไปเล่นที่ไอ้บ่อนชายแดนนี่ ไป แล้วก็ไม่ได้ดีสักคน มีสวนผลไม้ ร่ำรวยควรจะเป็นเศรษฐีนะ แต่ไปเล่นแล้วก็เสีย.. เสีย

ทั้งเงิน เสียทั้งลูกหลาน ตัวเองก็เสียไปด้วย เศร้าหมอง ไม่ดี ใครไปคลุกคลีด้วยไม่ดีทั้งหมดเลย แค่เดินดูว่ามีอะไรบ้างแล้วก็รีบกลับพอได้
เจ้ามือจะไม่ยอมให้เราได้แล้วกลับเลย จะให้เราเอาเงินที่ได้ไป มาจ่ายให้หมด

มีเทคนิคของคน เปิดโรงหวย อันหนึ่งนะ ตอนที่เล่าถึงว่าโรงหวยคนจีนมาฮุบกิจการโรงหวยคนไทย คนจีนมีเทคนิค.. นี่ไม่ได้ว่าคนจีนนะ… แต่ว่านายบ่อนคนนี้ เขามีเทคนิคว่า มันมีแทงตอนเช้ากับแทงตอนเย็นใช่ไหม ใครได้เงินตอนเช้า ถ้าเอามาแทงต่อตอนเย็น ถ้าถูกจะได้รางวัลมากขึ้น แล้วส่วนใหญ่ไม่ถูก ใช่มั้ย?

มันได้ตอนเช้านี่นะ ไอ้คนได้แล้ว บอกว่ามี option ถ้าแทงต่อ เอาเงินที่ได้ไปแทงต่อตอนเย็น จะได้รางวัลมากขึ้นจากเดิม เรียกว่า มันมีแจ็คพอต (Jackpot) ในรอบเย็น เงินได้จากตอนเช้าถ้าถูกแล้วไม่เอากลับบ้านนี่นะ เอาเงินนั้นมาแทงทั้งหมดนะ ต้องทั้งหมดด้วยนะ เอาเงินที่ได้ไปทั้งหมดมาแทง จะได้แจ็คพอต สำหรับคนนั้นถ้าถูก แล้วไม่เคยถูกเพราะว่าตอนออกนี่นะ มันไม่ได้มีการเอาผู้หญิงสวยๆ มาหยิบลูกปิงปองมาชูให้ดูอย่างนี้ มันแล้วแต่นายบ่อนจะหยิบเอง คนก็คือ

เล่นเกมทายใจนายบ่อน ว่าจะหยิบ ก. ข. ค. ง. นายบ่อนก็นึกสนุก จ้างคนใบ้หวย มีการใบ้หวยนะ คนก็นึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่จะรู้กันกับนายบ่อน ไม่รู้กันหรอก ไอ้คนใบ้หวยเขียนอะไรก็เขียนไป แต่คนเล่นหวยนึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่รู้ว่านายบ่อนจะออกอะไร คนใบ้หวยก็ ต้นพฤกษานานาพันธุ์ มีมวลสกุณาบินไปบินมา เขียนเป็นคำกลอนนะ สมมติว่าเป็นคำกลอนประมาณอย่างนี้ว่า มวลพฤกษานานาพันธุ์ สกุณาร้องเริงร่าอยู่ในพฤกษานั้น ประมาณอย่างนี้ คนเล่นหวยก็จะ ต้นไม้เหรอ ต.เต่ามั้ง สกุณาเหรอ นกสิ น.หนูมั้ง อะไรอย่างนี้นะ ที่ไหนได้ มันออก ป.ปลา กับ ร.เรือ ไอ้คนเล่นหวยก็ โธ่ กูว่าแล้วเลย เสียดาย ตีหวยผิด จริงๆ มันไม่ใช่

ต้นไม้ มันป่า มันควรจะเป็น ป.ปลา โอ้โห ตีหวยผิด สกุณาเราตีว่าเป็นนก น.หนู โอ๊ย ทำไมกูโง่อย่างนี้วะ จริงๆ มันคือ แร้ง ร.เรือ นี่ ดูซิ จริงๆ ไอ้สองคนไม่รู้กันเลย ไอ้คนใบ้เองก็ ต่างหาก ไอ้คนออก ก.ไก่ ข.ไข่ อีกต่างหาก นายบ่อนจะมาดูว่า ใครแทงอะไรมาก รู้แล้ว รู้อยู่แล้วว่าใครแทงอะไรมาก ไอ้ตัวถูกแทงมาก ไม่ออก ตัวไหนคนแทงน้อยจะออกตัวนั้น หวยล็อค

ฉะนั้นไม่เล่น อย่าไปเล่นนะ อย่าไปหวังร่ำรวย แก้ความแร้นแค้นของตัวเองด้วยการเข้าเรื่องการพนัน ไม่เอานะ เพราะว่ามันจะยิ่งล่มจม
แล้วก็ ถ้าสังคม คือ คนในที่นั้น เห็นดี เห็นงามกับการเล่นการพนัน สังคมนั้นก็จะล่มจม ไม่รุ่งเรือง ไม่เจริญ

ประเทศที่เจริญควรจะเป็นประเทศที่คนขยันทำมาหากิน ไม่ใช่ได้เงินจากความฟลุคๆ ที่เล่นการพนันนะ สังคมที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจึงจะมั่นคง
คนที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจากหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเองจะรวยอย่างมั่นคง ไม่ใช่รวยแบบฟลุคๆ อย่างที่เราเรียกกันอยู่เสมอว่า พวกสามล้อถูกหวย
อันนี้ไม่ได้ตำหนิสามล้อ หรือตำหนิใครนะ แต่ว่ามันคือ รวยแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วก็ไม่รู้จักการใช้เงินเพราะว่าได้มาง่ายๆ เมื่อได้ง่ายก็ใช้ง่าย
แล้วไม่รู้ว่าจะใช้อะไรควรบ้าง และมักจะใช้ในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อได้ง่ายก็เลี้ยงเพื่อน เมากัน ไปแจกจ่ายพริตตี้ อย่างนี้นะ
มันอยู่ในวงจรที่ไม่ดีเลย

ฉะนั้นเมื่อเราหาเงินด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละครั้ง มีหยาดเหงื่อและแรงกายลงไปนี่นะ จะเห็นคุณค่าของเงินและใช้อย่างมีค่าสมกับความที่ตัวเองได้มาด้วยความลำบาก ให้ได้มาด้วยหยาดเหงื่อดีกว่า ให้ได้มาด้วยความลำบากดีกว่า กว่าจะได้มาก็ลองผิดลองถูก ค้าขายแต่ละที กว่าจะได้กำไร หรือว่าตั้งตัวได้
มันลองผิดลองถูก ขาดทุนมาก็มากอะไรอย่างนี้นะ เห็นความยากลำบากในการหาเงิน แล้วใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าของเงินที่ได้มา อย่างนั้นดีกว่า

ตอบยาวจัง

เรียบเรียงจาก
ตอบโจทย์จากการแสดงธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ไฟล์ แผ่นซีดีบ้านจิต ๗-๔.พระสารีบุตร(580726) คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1Wl4Rt2

ความเชื่อเรื่องทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรม

ถาม : ความเชื่อเรื่องทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรม
จากเหตุการณ์ที่โยมประสบมา
คนที่โยมรู้จัก..เป็นคนที่ทำไม่ดีมาเยอะในอดีต
แต่พอตอนตาย..มีคนเอาบทสวด”อิติปิโสฯ”ไปให้ฟัง
คนนั้นเขาก็บอกว่า “คนที่ตายก็จะไปขึ้นสวรรค์ทันที”
ถ้าอย่างนี้ก็เป็นทางลัดที่เราไม่ต้องปฏิบัติธรรมเลยก็ได้
แล้วเขายังบอกอีกว่า “ถ้าลูกชายบวชให้เขาตลอดชีวิต
ตนที่ตายก็สามารถพ้นบาปทั้งหมดได้”
โยมเลยสงสัยว่า ถ้าอย่างนี้ เราจะทำดีไปเพื่ออะไร
เพราะว่าแค่ตอนตายเราสามารถฟังบทสวดฯ
หรือคิดถึงพระตอนตาย ก็ทำให้เราสามารถขึ้นสวรรค์ได้
และถ้ามีคนบวชให้ คนตายก็สามารถพ้นบาปได้ทั้งหมด
ซึ่งเป็นทางลัดที่ง่ายมาก

ตอบ : ประเด็นแรก
ความเชื่อที่ว่า “คนใกล้ตาย..ถ้ามีใครสวด’อิติปิโสฯ’ให้ฟัง
คนนั้นตายไปก็จะขึ้นสวรรค์ทันที”นั้น
ก็ยังไม่ถูกแท้ เพราะยังต้องดูเงื่อนไขอื่นอีก เช่น
– คนใกล้ตายคนนั้น ศรัทธาพระพุทธศาสนาอยู่หรือไม่
ถ้าไม่ การสวดครั้งนั้นก็คงไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
อาจจะก่อความรำคาญหรือทำให้เกิดโทสะด้วยซ้ำ
– คนใกล้ตายนั้น พอเห็นพระมาสวดมนต์
หากเข้าใจว่าตนกำลังจะตาย ก็กลับมีจิตใจลนลานกลัวตาย
หรือโกรธญาติที่นิมนต์พระมา คิดว่า ‘พวกนี้มาแช่งเราให้ตาย’
อย่างนี้พอตายไปก็ย่อมไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะจิตเป็นอกุศล
ฉะนั้น จึงยังต้องพิจารณาว่า คนใกล้ตายนั้นยินดีด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สอง
“ถ้าลูกชายบวชให้เขาตลอดชีวิต ตนที่ตายก็สามารถพ้นบาปทั้งหมดได้”นั้น
อันนี้ก็ต้องดูว่า
ลูกที่บวชนั้นประพฤติตนอย่างไร?
และผู้ตายทำบาปอะไรไว้?
เช่น
– ถ้าลูกบวชแล้วประพฤติดี ผู้ตายทราบแล้วอนุโมทนา
ก็เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับผลบุญจากการอนุโมทนานั้นก่อนได้
แต่บาปที่ทำก็ยังรอให้ผลอยู่ ไม่ได้พ้นบาปทั้งหมด
– ถ้าลูกบวชแล้วประพฤติทราม ซ้ำผู้ตายก็ทำบาปหนัก
แม้ลูกจะบวชจนตาย ก็ช่วยอะไรผู้ตายไม่ได้
ตัวอย่างเช่น เรื่องเจ้าสุปปพุทธะศากยะผูกอาฆาต
พระศาสดา ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ คิดว่า
๑. ‘พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวเรา (พระนางพิมพา) ออกบวช’
๒. ‘ให้ลูกชายเรา (พระเทวทัต) บวช
แล้วตั้งอยู่ในฐานะผู้มีเวรต่อลูกชายเรา’
จึงแกล้งนั่งปิดทางเสด็จพระศาสดา
กรรมหนักอันนั้นทำให้ต้องถูกธรณีสูบ
พระเทวทัตก็บวชตลอดชีวิตนะ
คือบวชจนถูกธรณีสูบตายเหมือนกัน
ก็ไม่สามารถช่วยบิดาของท่านพ้นบาปได้เลยสักนิด
สรุปว่า เหตุกับผล..ต้องสมกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๘