คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร -๔.พระสารีบุตร(580726) –CD บ้านจิต๗
โยม:
ถ้าต้องมีภาระทำงานหนัก หาเงินเลี้ยงครอบครัว บางครั้งขนาดไม่มีเงินสดติดตัว ต้องรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อข้าว
ในสภาพที่จิตใจ มันไปวิตกอยู่กับเรื่องปากเรื่องท้อง… ถามว่า ในสภาพที่แบบ “แร้นแค้น” อย่างนี้ จะภาวนาอย่างไร ครับ?
พอจ. กฤช:
แร้นแค้นเลยนะ ตรงนี้ต้องแยกเป็นสองเรื่องนะ
เรื่องภายนอกคือ ฐานะทางการเงินของเราก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องการทำใจก็อีกเรื่องหนึ่งนะ
ไม่ใช่ว่า ‘ให้ทำใจ’ อย่าคาดว่า พระจะตอบว่าให้ทำใจ! แล้วก็ไม่ต้องไปหาตังค์นะ เงินก็ควรหา ใจก็ควรทำ มันไม่ใช่ว่านั่งทำใจสบายแล้วเงินจะมาเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
เบื้องแรกเลยสำหรับคน นักปฏิบัติอย่างเรา หรือไม่ใช่นักปฏิบัติก็ตาม แต่ถ้าเห็นว่ามีสองเรื่องที่จะต้องทำเนี่ยนะ
เรื่องแรกที่จะทำได้ทันที คือเรื่องทางจิตใจ ถ้ารู้ว่าขณะนั้นจิตตก
จิตตกเนี่ยนะเป็นภาษาชาวบ้านทั่วๆ ไป คือ เกิดอกุศลเกิดขึ้น มีความเศร้าหมอง ให้รู้ทันความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับใจ ขณะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือ..
ความเศร้าหมอง ส่วน ‘กูซวยจริงๆ’ อันนี้เป็นสำนวน ไม่มี ‘กู’ ไม่มีนะ และ ‘ความซวย’ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแกล้ง ตรงนี้ไม่มีใครแกล้ง ทำให้ต้องไปแก้ไข
ตามต้นเหตุ ตรงต้นเหตุเนี่ยนะ
ตรง ‘ต้นเหตุ’ ที่ว่าเนี่ย ต้องไปดูเอาเองว่า ในกรณีนั้นๆ ‘ ต้นเหตุความแร้นแค้น’ ที่เกิดขึ้นเนี่ย มันเกิดขึ้นจากอะไร?.. ไปแก้เอา ส่วนที่จะแก้เนี่ย
ให้แก้ด้วย ‘จิตที่เป็นกุศล’ อย่าเอาความเศร้าหมองหรือเอาความคับแค้นใจไปแก้
เพราะว่าในขณะที่เศร้าหมองและคับแค้นใจนั้นน่ะ มันเป็น ’จิตที่เป็นอกุศล’ ไม่มีปัญญา.. จิตไม่ผ่องใส ไม่เกิดปัญญา
ฉะนั้น.. ให้จิตมันผ่องใสพ้นจากอกุศลอันนั้นก่อน
วิธีพ้นจากอกุศลนั้น ง่ายๆ ก็คือ รู้ว่ามี ‘ความเศร้าหมอง’ เกิดขึ้น รู้ว่ามี ‘ความไม่สบายใจ’เกิดขึ้น แค่ตอน ‘รู้’ พ้นจากความเศร้าหมองพอดี เพราะว่า
ขณะที่รู้นั้น..มีสติ ..แล้วค่อยหาว่า เราจะแก้ไขปัญหาจุดนั้นอย่างไร
การแก้ไขเนี่ย บอกตรงๆไม่ได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะว่า แล้วแต่กรณี… กรณีอย่างนั้นอาจจะต้องไปปรึกษาคนโน้น บางทีอาจจะต้อง
ไปแก้ไขกระบวนการใช้ชีวิตของตัวเอง บางทีเราอาจจะใช้ชีวิตไม่เหมาะสมก็ได้ บางทีเราอาจจะไปหมกมุ่นในอบายมุขมากเกินไปก็ได้ ..อะไรอย่างนี้นะ!
มันไม่แน่ว่า ‘เราใช้ชีวิตด้านไหนผิดไป!’
พูดถึงอบายมุขนะ นึกถึงเรื่องๆหนึ่ง สมัยรัชกาลที่ ๓ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจฝืด เงินฝืด ข้าวยากหมากแพง แร้นแค้น ใช้อย่างนี้เลย ใช้คำนี้เลย “แร้นแค้น” ทำไมต้องแค้นก็ไม่รู้เนาะ.. มันแห้งแล้ง ปีนั้นแห้งแล้งมากขนาดที่ว่า ทำนาไม่ได้ผล ต้องซื้อข้าว เมืองไทยอ่ะ เมืองไทยต้องซื้อข้าวต่างประเทศมากิน
สมัยรัชกาลที่ ๓ นะ แห้งแล้ง ปรากฏว่าชาวบ้านก็เตรียมพร้อมในการรับมือ สภาวะเศรษฐกิจฝืดๆอย่างนั้นน่ะนะ เอาเงินฝังดิน ใส่ตุ่มฝังดิน ไม่ค่อยเอาออกมาใช้
ผู้บริหารสมัยนั้นก็มี
พอดีว่าในยุครัชกาลที่ ๓ เนี่ย ท่านติดต่อกับจีน มีคนจีนมารับราชการ มาปรึกษางานเมืองกัน ก็ถามคนจีน คนจีนก็เสนอขึ้นมาว่า
ถ้าเป็นเมืองจีนนะ ถ้ามีสภาวะอย่างนี้ คนเก็บเงินเอาไว้ไม่เอามาใช้เนี่ยนะ เงินมันไม่หมุนในเศรษฐกิจ สมัยนั้นยังไม่มีเศรษฐศาสตร์อะไรนะ แต่เขารู้ว่า
ถ้าทุกคนเก็บเงินแต่ละคนก็มั่นใจในตัวเอง แต่ว่าเงินในตลาดมันไม่หมุน
เงินในตลาดมันไม่หมุนเนี่ย เศรษฐกิจดูเหมือนไม่เฟื่องฟูและไม่ดี คนจีนมีวิธีที่จะเอาเงิน ที่เขาฝังไว้ในตุ่มให้เข้ากลับมาสู่ตลาด
ถามว่าเขาทำอย่างไร คนจีนทำอย่างไร?
คนจีนเปิดบ่อน สมัยก่อนเมืองไทยไม่มีบ่อนแบบนี้ อาจจะมีชนไก่ กัดปลา อะไรอย่างนี้นะแบบธรรมดามาก แต่ไม่มีบ่อนลักษณะที่ว่าเป็นทางการ
เขาบอกทำยังใง? เคยได้ยินคำว่า ‘หวย กอ ขอ’ มั้ย? .. เคยได้ยินมั้ย?
(ขณะนั้นมีโยมตอบว่า ไม่ ) …ตกประวัติศาสตร์!
เคยได้ยินมั้ย? หวย กอ ขอ เลิกไปนานแล้วล่ะ แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัย ร.๓
จะให้คนมาซื้อ ซื้อว่าหวยงวดนี้ออกอะไร แต่ไม่เป็นเลข จะเป็น ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก แต่ว่าสมัยนั้นเนี่ย เนื่องจากว่าเริ่มมาจากคนจีน ก.ไก่ ก็จะใช้ชื่อตัวละครของคนจีน ก.ไก่อะไรก็ไม่รู้นะ แล้วแต่จำไม่ค่อยได้ ห๊า? (มีเสียงโยมตอบ) ..กงซุน.. ไม่รู้นะ อันนี้ไม่รับรองนะ! ประมาณเป็นชื่ออย่างเนี้ย
ชื่อคนจีนน่ะเป็นชื่อคนจีน แล้วก็มีตัวละคร ๔๔ ตัว ตามอักษรของไทย
แต่ว่า ไอ้ ก. ข. ค. ง. จนถึง ฮ.นกฮูกเนี่ยนะ มีตัวละครเป็นตัวแทนในตัวอักษรตัวนั้น แล้วออกหวยเนี่ยนะ โหดมากเลย
ออกทุกวันๆ แทงตัวนึง ถ้าออกเนี่ยนะก็จะได้เงิน สมมุติว่าแทงบาทนึง สมัยนั้นคงไม่ได้เรียกเป็นบาทหรอก แทงบาทนึง อาจจะได้ ๒๐ หรือ ๔๐
ก็ประมาณอย่างนี้
แล้วจริงๆแล้วเนี่ย ความน่าจะเป็นในการที่จะออก ซื้อได้ตรงกับที่ออกเนี่ยนะ มันเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เขาคำนวณแล้วล่ะว่า
คนซื้อที่ถูกเนี่ยจะมีน้อย ไอ้คนที่ไม่ถูกจะมีเยอะ เอาเงินจากคนที่ไม่ถูก(หวย)มาจ่าย แล้วจ่ายไปแล้วเนี่ย จะมีกำไรกลับมา แล้วใช้เป็นสัมปทาน คือ
เจ้าของโรงพนัน โรงหวยเนี่ย จ่ายให้กับรัฐ สมัยนั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๓ เนี่ยนะ จ่ายให้กับรัฐ แล้วตัวเองได้กำไรเท่าไหร่นอกจากกำไรจากที่ส่งให้รัฐแล้วเนี่ย
ก็เป็นของนายบ่อนเจ้าของโรงหวย
เขาเรียกว่า หวย กอ ขอ อันนั้นไม่เป็นตัวเลข
ปรากฏว่า คนไทยตื่นเต้นกันมาก กับโรงหวยใหม่ๆอันนี้ ก็เพราะว่ามันแทงนิดนึง แล้วได้เยอะ ถ้าได้ก็ได้เยอะ
แต่เสียก็เสียนิดนึง รู้สึกว่าเสียนิดเดียว แต่รวมแล้ว เจ้าของโรงหวยเนี่ย กำไรมากมายเลย เงินที่แบ่งให้กับรัฐก็จำนวนหนึ่ง
แต่เงินกำไรเนี่ยเยอะกว่า
คนไทยก็เห็นว่า เห้ย กำไรเยอะนี่หว่า เปิดบ้าง ก็เลย เปิดบ้าง จากออกทุกวันๆละครั้ง ก็เป็นออกทุกวันๆละ สองครั้ง
ตอนเช้าหวยคนจีนตอนกลางคืนหวยคนไทย แต่คนไทยไม่ชำนาญทำไปทำมา เจ๊ง คนจีนฮุบกิจการ ออกเองเป็นสองครั้งต่อวัน มีบรรดาศักดิ์ให้ด้วยนะ
เจ้าของโรงหวยเนี่ยนะ ขุน ..เป็นขุนนะ ขุนบานเบิกบุรีรัฐ น่าเป็นมั้ย ห๊า?
คนไทยเรียก ขุนบาน.. ขุนบานเบิกบุรีรัฐ
เศรษฐกิจเริ่มเคลื่อน แต่เคลื่อนแบบอบายมุข คนไทยจนลงคนจีนนายหวยรุ่งเรืองขึ้น เงินที่ได้เข้ารัฐก็มีเหมือนกัน ผ่านมาถึงรัชกาลที่ ๖
รัชกาลที่ ๖ เห็นว่า เอ วิธีนี้ไม่ดี วิธีนี้เนี่ยนะ มันทำให้คนงมงาย แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ดูนะในหลวงรัชกาลที่๖
พอเสวยราชย์ แรกๆเนี่ย อยากจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้นเนี่ยนะ รัฐบาลก็มีค่าใช้จ่าย เศรษฐกิจยังไม่ดี พระองค์เองมีทรัพย์ส่วนพระองค์
แต่ยังมีงานที่ต้องทำในเรื่องของส่วนพระองค์เหมือนกัน ส่วนพระองค์เนี่ยไม่ใช่ว่าไปจ่ายสำราญอะไรนะ คือ มีสิ่งก่อสร้างตกค้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕
ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินส่วนพระองค์นะ ไม่ใช่เงินแผ่นดินนะ ก็คือ
สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมอะไรอย่างงี้ ยังไม่เสร็จยังมีภาระในการใช้จ่าย กิจการต่างๆ กองเสือป่าอะไรประเภทนี้ยังต้องมีการใช้จ่ายอยู่ เงินในคลังส่วนพระองค์
ยังไม่พอ ท่านก็เลยจำยอมต้องให้เปิดโรงบ่อนไปก่อน พอครองราชย์ครบ ประมาณ ๖ ปี พอถึง ๖ ปีท่านตรวจคลังดูแล้ว พร้อม ท่านจ่าย.. ไอ้ค่า..ค่า
ที่โรงบ่อนจ่ายให้กับรัฐบาลน่ะ จ่ายเอง เหมือนจ้างให้เลิกโรงบ่อน
เพื่อให้คนไทยปลอดจากอบายมุข โดยที่รัฐบาลไม่เสียรายได้ด้วย แล้วท่านก็เจียดเงินส่วนพระองค์จ่ายให้ทุกปี
ในส่วนที่โรงบ่อนเคยให้กับรัฐบาล ดูนะ! นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ ๖ ที่ทำสิ่งดีๆ ให้กับประเทศ
แต่ถ้าใครคิดจะทำอีกเนี่ยนะ..แย่มากนะ! มันควรจะทำยังใง ที่จะชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ดี อย่ามาอ้างว่า ก็เขาทำกันมานานแล้ว ทำจนเป็นปกติแล้ว ก็ควรจะเปิดๆไปซะอย่างนี้นะ มันทำให้สอนจริยธรรมยากขึ้นนะ มันแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ตอนเนี้ยชี้ชัดๆ ได้เลยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด
ก็ควรจะจับมาลงโทษ ควรจะทำให้กฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่ไปยอมรับว่าสิ่งนี้ควรทำ
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ กว่าจะเลิกได้มันไม่ใช่ง่ายนะ จะไปเปิดใหม่นี่ จะใช้คำภาษาอังกฤษหรูๆ ถึงจะห่อดีๆแต่ข้างในคือ ขี้ ก็ไม่ควรเอา หรือว่าใส่ขวดหรูๆ
แต่ข้างในเป็นยาพิษเนี่ยนะ มันก็เป็นยาพิษอยู่ดี จะตั้งชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ จะเป็นคอมเพล็กซ์ (Complex)หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็คือ เป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยกับสังคมทั้งนั้นเลย ก็แยกให้ออกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดีอะไรไม่ดี แยกให้ชัดชี้ให้ชัด ถ้าไปถลำอยากจะได้เงินอย่างเดียวเนี่ยนะ
มันไม่คุ้มกับความเสื่อมเสียของสังคมที่ตามมา
คือ หลังจากเปิดบ่อนไปแล้วเนี่ยนะ คนที่ไม่เคยขโมยก็เริ่มขโมย เพราะตัวเองติดการพนัน คนที่ไม่เคยกินเหล้าก็ไปกินเหล้าเพราะว่าในโรงบ่อนก็จะมีอะไรที่มัน
พร้อมมูลไปหมด ยิ่งถ้าที่เขาจะทำ เป็นคอมเพล็กซ์ กาสิโน (Casino) อะไรพวกนี้นะ มันจะพร้อมไปหมดเลย ได้ไม่คุ้มเสีย และที่ได้ไม่ใช่รัฐบาล รัฐบาลอาจได้เล็กๆ น้อยๆเนี่ยนะ แต่ไอ้ที่ได้จริงๆ คือเจ้าของโรงบ่อน
เรียกว่า เจ้าของโรงบ่อน นั่นแหละที่ได้มาก
ตอบคำถามแล้วยืดเยื้อเลื้อยมาถึงเรื่องนี้ จริงๆ คือเรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่แฉลบออกมานิดนึง อย่าคิดในเรื่องแค่เงินทองอย่างเดียว ให้ดูที่มาของเงินทองนั้นด้วย เงินทองที่ได้มาถ้าได้มามากแต่เป็นผลเสียกับส่วนรวม ได้น้อยดีกว่า ได้น้อยแต่มั่นคงและประเทศชาติสงบ ร่มเย็นดีกว่า
แล้วการสอนลูกหลานมันสอนได้เต็มปากเต็มคำนะ ถ้ามายอมกับรายได้เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ เสียในเรื่องของจริยธรรมนี่นะ
มันทำให้สังคมเราไปยากขึ้น สงบสุขยากขึ้น
ส่วนใครจะทำ ประเทศเพื่อนบ้านจะทำ ก็ทำของเขาไป แล้วส่วนใหญ่ที่เขาทำนะ ก็มุ่งมาให้เราเล่น สังเกตดูว่ามันเปิดแถวๆ ชายแดนเรานั่นแหละ
อาตมารู้จักโยมที่เมืองจันท์ ชอบเล่น ก็จะไปเล่นที่ไอ้บ่อนชายแดนนี่ ไป แล้วก็ไม่ได้ดีสักคน มีสวนผลไม้ ร่ำรวยควรจะเป็นเศรษฐีนะ แต่ไปเล่นแล้วก็เสีย.. เสีย
ทั้งเงิน เสียทั้งลูกหลาน ตัวเองก็เสียไปด้วย เศร้าหมอง ไม่ดี ใครไปคลุกคลีด้วยไม่ดีทั้งหมดเลย แค่เดินดูว่ามีอะไรบ้างแล้วก็รีบกลับพอได้
เจ้ามือจะไม่ยอมให้เราได้แล้วกลับเลย จะให้เราเอาเงินที่ได้ไป มาจ่ายให้หมด
มีเทคนิคของคน เปิดโรงหวย อันหนึ่งนะ ตอนที่เล่าถึงว่าโรงหวยคนจีนมาฮุบกิจการโรงหวยคนไทย คนจีนมีเทคนิค.. นี่ไม่ได้ว่าคนจีนนะ… แต่ว่านายบ่อนคนนี้ เขามีเทคนิคว่า มันมีแทงตอนเช้ากับแทงตอนเย็นใช่ไหม ใครได้เงินตอนเช้า ถ้าเอามาแทงต่อตอนเย็น ถ้าถูกจะได้รางวัลมากขึ้น แล้วส่วนใหญ่ไม่ถูก ใช่มั้ย?
มันได้ตอนเช้านี่นะ ไอ้คนได้แล้ว บอกว่ามี option ถ้าแทงต่อ เอาเงินที่ได้ไปแทงต่อตอนเย็น จะได้รางวัลมากขึ้นจากเดิม เรียกว่า มันมีแจ็คพอต (Jackpot) ในรอบเย็น เงินได้จากตอนเช้าถ้าถูกแล้วไม่เอากลับบ้านนี่นะ เอาเงินนั้นมาแทงทั้งหมดนะ ต้องทั้งหมดด้วยนะ เอาเงินที่ได้ไปทั้งหมดมาแทง จะได้แจ็คพอต สำหรับคนนั้นถ้าถูก แล้วไม่เคยถูกเพราะว่าตอนออกนี่นะ มันไม่ได้มีการเอาผู้หญิงสวยๆ มาหยิบลูกปิงปองมาชูให้ดูอย่างนี้ มันแล้วแต่นายบ่อนจะหยิบเอง คนก็คือ
เล่นเกมทายใจนายบ่อน ว่าจะหยิบ ก. ข. ค. ง. นายบ่อนก็นึกสนุก จ้างคนใบ้หวย มีการใบ้หวยนะ คนก็นึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่จะรู้กันกับนายบ่อน ไม่รู้กันหรอก ไอ้คนใบ้หวยเขียนอะไรก็เขียนไป แต่คนเล่นหวยนึกว่าไอ้คนใบ้หวยนี่รู้ว่านายบ่อนจะออกอะไร คนใบ้หวยก็ ต้นพฤกษานานาพันธุ์ มีมวลสกุณาบินไปบินมา เขียนเป็นคำกลอนนะ สมมติว่าเป็นคำกลอนประมาณอย่างนี้ว่า มวลพฤกษานานาพันธุ์ สกุณาร้องเริงร่าอยู่ในพฤกษานั้น ประมาณอย่างนี้ คนเล่นหวยก็จะ ต้นไม้เหรอ ต.เต่ามั้ง สกุณาเหรอ นกสิ น.หนูมั้ง อะไรอย่างนี้นะ ที่ไหนได้ มันออก ป.ปลา กับ ร.เรือ ไอ้คนเล่นหวยก็ โธ่ กูว่าแล้วเลย เสียดาย ตีหวยผิด จริงๆ มันไม่ใช่
ต้นไม้ มันป่า มันควรจะเป็น ป.ปลา โอ้โห ตีหวยผิด สกุณาเราตีว่าเป็นนก น.หนู โอ๊ย ทำไมกูโง่อย่างนี้วะ จริงๆ มันคือ แร้ง ร.เรือ นี่ ดูซิ จริงๆ ไอ้สองคนไม่รู้กันเลย ไอ้คนใบ้เองก็ ต่างหาก ไอ้คนออก ก.ไก่ ข.ไข่ อีกต่างหาก นายบ่อนจะมาดูว่า ใครแทงอะไรมาก รู้แล้ว รู้อยู่แล้วว่าใครแทงอะไรมาก ไอ้ตัวถูกแทงมาก ไม่ออก ตัวไหนคนแทงน้อยจะออกตัวนั้น หวยล็อค
ฉะนั้นไม่เล่น อย่าไปเล่นนะ อย่าไปหวังร่ำรวย แก้ความแร้นแค้นของตัวเองด้วยการเข้าเรื่องการพนัน ไม่เอานะ เพราะว่ามันจะยิ่งล่มจม
แล้วก็ ถ้าสังคม คือ คนในที่นั้น เห็นดี เห็นงามกับการเล่นการพนัน สังคมนั้นก็จะล่มจม ไม่รุ่งเรือง ไม่เจริญ
ประเทศที่เจริญควรจะเป็นประเทศที่คนขยันทำมาหากิน ไม่ใช่ได้เงินจากความฟลุคๆ ที่เล่นการพนันนะ สังคมที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจึงจะมั่นคง
คนที่ร่ำรวยจากการทำมาหากินจากหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเองจะรวยอย่างมั่นคง ไม่ใช่รวยแบบฟลุคๆ อย่างที่เราเรียกกันอยู่เสมอว่า พวกสามล้อถูกหวย
อันนี้ไม่ได้ตำหนิสามล้อ หรือตำหนิใครนะ แต่ว่ามันคือ รวยแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วก็ไม่รู้จักการใช้เงินเพราะว่าได้มาง่ายๆ เมื่อได้ง่ายก็ใช้ง่าย
แล้วไม่รู้ว่าจะใช้อะไรควรบ้าง และมักจะใช้ในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อได้ง่ายก็เลี้ยงเพื่อน เมากัน ไปแจกจ่ายพริตตี้ อย่างนี้นะ
มันอยู่ในวงจรที่ไม่ดีเลย
ฉะนั้นเมื่อเราหาเงินด้วยความยากลำบาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละครั้ง มีหยาดเหงื่อและแรงกายลงไปนี่นะ จะเห็นคุณค่าของเงินและใช้อย่างมีค่าสมกับความที่ตัวเองได้มาด้วยความลำบาก ให้ได้มาด้วยหยาดเหงื่อดีกว่า ให้ได้มาด้วยความลำบากดีกว่า กว่าจะได้มาก็ลองผิดลองถูก ค้าขายแต่ละที กว่าจะได้กำไร หรือว่าตั้งตัวได้
มันลองผิดลองถูก ขาดทุนมาก็มากอะไรอย่างนี้นะ เห็นความยากลำบากในการหาเงิน แล้วใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าของเงินที่ได้มา อย่างนั้นดีกว่า
ตอบยาวจัง
เรียบเรียงจาก
ตอบโจทย์จากการแสดงธรรมโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ไฟล์ แผ่นซีดีบ้านจิต ๗-๔.พระสารีบุตร(580726) คำถาม-ในสภาพเศรษฐกิจที่แร้นแค้นจะภาวนาอย่างไร
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1Wl4Rt2