#นิมฺมโลตอบโจทย์ #บุญคนละแนว.. #อุทิศแทนกันไม่ได้ #ถาม : บุญกุศลจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะสามารถอุทิศบุญกุศลนี้ ให้แปรเป็น อาหาร เสื้อผ้า และเปลี่ยนภพภูมิ ให้แก่ญาติผู้ล่วงลับได้หรือไม่? #ตอบ : ยากนะ มันบุญคนละแนว บุญมันมีแนว หรือว่าเป็นที่เกิดของบุญอยู่ ๓ ทาง (๑) บุญจากการให้ทาน (๒) บุญจากการรักษาศีล (๓) บุญจากการภาวนา ผู้ที่จะรับบุญกุศล ที่เราอุทิศไปให้ ในแง่..เป็นอาหาร เสื้อผ้า ต้องเป็นบุญที่มัน ‘ตรงกัน’ เขาหิวอยู่ เราไปนั่งภาวนาให้เขาดู ..เขาไม่หายหิว เขาเปลือยอยู่ เราไปนั่งภาวนาให้เขาดู ..เขาไม่หายเปลือย เราต้องให้ผ้า ทำ “ผ้า” นั้นให้เป็นทาน แล้วอุทิศ “บุญ” จากการทำทานนั้น ไปให้เขา แล้วเขาอนุโมทนา ผ้าจะปรากฏกับเขา เขาหิวอาหาร เราก็เอา “อาหาร” ไปทำทาน แล้วอุทิศ “บุญ” จากการทำทาน ด้วยอาหารนั้น ไปให้เขา มันจึงจะตรงทาง มันไม่ใช่ว่าจะมานั่งกรรมฐานให้เขาดู แล้วเขาจะดีใจ แล้วก็ได้เสื้อผ้า แล้วอิ่มขึ้นมาเลย มันยาก !! เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า ‘บุญอย่างนี้มันสูงแล้วนะ เขาน่าจะอนุโมทนา แล้วก็รวบยอดไปเลย’ มันไม่ง่ายอย่างนั้น อย่างสมมติ “เปรต” มีเปรตมากมาย พระก็นั่งกรรมฐานกัน เปรตพอเห็นพระนั่งกรรมฐาน เปรตจะพ้นอบายไหม? ..ไม่พ้นนะ ไม่พ้น ก็คือถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะช่วยเปรตได้?” พระเหล่านั้น ถ้ารู้นะ ก็ต้องไป “ทำทาน” ขนาดพระสารีบุตรนะ พระสารีบุตร เจอเปรตกินน้ำ กินเท่าไหร่ น้ำนั้นก็ไม่เข้าปากสักที ท่านต้องไปเอาน้ำ ไปถวายพระ แล้วอุทิศบุญจากการให้น้ำนั้น ให้กับเปรต ขนาดพระสารีบุตรนะ พระสารีบุตรไม่ได้บอกว่า “อาตมาเป็นพระอรหันต์แล้วนะ อนุโทนากับความเป็นพระอรหันต์ของอาตมา” เปรตไม่อนุโมทนา เปรตหิวน้ำ เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น ต้องเอาน้ำให้เขาเห็น “นี่น้ำ ถวายเป็นบุญ ขออุทิศให้เธอ” อย่างนี้ จึงจะได้ คือ คนกำลังมีทุกข์เรื่องนี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะมาอนุโมทนาในเรื่องของละเอียด ๆ ระดับทำวิปัสสนากรรมฐาน.. อย่าว่าแต่วิปัสสนากรรมฐานเลย พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์แล้ว เจริญวิปัสสนาจนจบแล้ว จะอุทิศ “อรหัตตผล”ให้กับเปรต ยังไม่ได้เลย !! ..ดูอย่างนี้ก็แล้วกัน พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=fQWR8dKGGYE (นาทีที่ 1.24.13-1.27.41) Shortlink: September 27, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กรรม 🤔🤔 #ถาม : กรรมที่พ่อแม่ทำ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ผลของกรรมนั้น จะตกถึงลูกหลานได้หรือไม่? แล้วที่ว่า “กรรมเป็นเผ่าพันธุ์” หมายถึงอะไร? #ตอบ : โดยหลักการแล้ว.. “กรรม” ผู้ใดทำ-ผู้นั้นก็เป็นผู้รับผลของกรรม ที่ว่า “กัมมะทายาโท – กัมมะพันธุ” เป็นทายาทของกรรม – มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หมายความว่า เราเป็นทายาทของกรรม กรรมพาให้เราไปอยู่ในกลุ่มที่ทำกรรมคล้าย ๆ กัน วิบากคล้าย ๆ กัน ในกรณีบางคนบอกว่า “พ่อแม่ทำ แล้วตกมาถึงลูกหลาน” มันมักจะเป็นในกรณีที่ว่า ทั้งพ่อและแม่ทำกรรมประเภทเดียวกันมา บางทีก็ทำด้วยกัน (ในอดีตนะ) แล้วพอมีความคุ้นเคยกันตั้งแต่อดีต ทำอะไรมา ทำร่วมกัน ก็เลยมาเกิด “เป็นครอบครัวเดียวกัน” แล้วก็มีนิสัยคล้าย ๆ กัน ประมาณอย่างนี้ เวลารับวิบากอะไร มันก็มาคล้าย ๆ กัน หรือพ่อแม่ทำกรรมบางอย่าง แล้วบางคนก็รู้สึกกว่า ‘กรรมนั้นส่งวิบาก ตกถึงลูก’ มันไม่ใช่เป็นการทำกรรมโดยพ่อ แล้วลูกเป็นคนรับ แต่กรรมนั้น..ทำให้ผู้ที่มีวิบากที่จะได้รับแนวนี้มาเกิดด้วย เช่นว่า “ไปทำสัตว์หรือทำคนพิการ ทำให้ลูกออกมาพิการ” จริง ๆ แล้ว คำมันเกินไป.. มันไม่ใช่ว่า พ่อทำ-แล้วทำให้ลูกพิการ แต่การที่ไปทำให้คนอื่นพิการ เป็นเหตุให้ตัวเอง ต้องมามีลูกที่มีวิบากแบบพิการ คนที่วิบากแบบพิการ..จะเกิดอยู่แล้ว หาที่เกิดอยู่..ก็ได้ที่เกิดที่พอดี คือครอบครัวนี้ล่ะ ที่บุญน้อย จะต้องเจอกับคนพิการไปอยู่ด้วย แต่คนพิการ ไม่ใช่ว่าหมายความว่า เขาจะไม่ดีนะ คนพิการที่ไม่ยอมแพ้กับสภาพร่างกาย ไม่ได้ท้อถอย สามารถพัฒนาตัวเอง ให้มีคุณค่าอยู่ในสังคม มีมากเลยนะ ไม่ได้หมายความว่า คนพิการจะไม่ดี หรือ “ไปหลอกผู้หญิง ทำให้มีลูกมาถูกหลอก” จริง ๆ ไม่ใช่ว่าพ่อทำ-แล้วลูกจะได้รับผล ..ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันจะมีลูกที่มีวิบากแนวนี้..มาเป็นลูก คนก็เลยมองว่า ‘พ่อทำ-แต่ลูกได้รับ’ แต่จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น พ่อทำนั่นล่ะ ทำให้ต้องมีสัตว์ ที่เป็นคนประเภทอย่างนี้ ที่จะได้รับวิบากอย่างนี้ มาเกิดด้วย เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้รับวิบากในแง่ว่า จะมีความทุกข์ใจกับการที่ถูกกระทำ เหมือนที่ตัวเองไปกระทำคนอื่น แล้วไม่ได้สนใจว่า เขาจะทุกข์หรือเปล่า ก็เลยมีคนใกล้ชิด ที่มีวิบากแบบนี้มาเกิดด้วย ประมาณอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทำ แล้วลูกจะรับผลของกรรม มันจริง ๆ ไม่ใช่!.. ลูกมีวิบาก คือทำกรรมเอาไว้ของตัวเอง จะต้องได้รับวิบากอย่างนี้อยู่แล้ว คำว่า “มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์” ก็คือ ทำกรรมร่วมกันมา มันก็เลยมาอยู่ด้วยกัน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทำให้ต้องมาอยู่ในเผ่านี้ อยู่ในกลุ่มนี้ อยู่ในตระกูลนี้ อยู่ในครอบครัวนี้ “เป็นทายาทของกรรม” คือ ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นนั่นเอง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=fQWR8dKGGYE (นาทีที่ 1.14.53-1.19.12) Shortlink: September 20, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๒ ตอน ๕๒ #ความสุขมีหลายระดับ ถาม : เราจะมีอุบายวิธีพิจารณาให้เห็น โทษของกามได้อย่างไรบ้าง? ที่นอกจากการตามรู้ตามดูครับ ตอบ : กาม คือความใคร่ ความอยาก สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ กามมี ๒ คือ ๑ กิเลสกาม แปลว่า กิเลสที่ทำให้ใคร่ ๒ วัตถุกาม แปลว่า วัตถุอันน่าใคร่ กามก็มีคุณเหมือนกันนะ ที่เรียกกันว่า “กามคุณ ๕” คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าพอใจ กามให้คุณ คือให้ความสุข ที่เรียกกันว่า “กามสุข” แต่ความสุขทั้งหลายไม่ได้มีเพียงกาม กามสุขเป็นสุขที่หยาบที่สุด ยังมีสุขที่ยิ่งๆ ขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป อีกหลายระดับ ว่าโดยคร่าวๆก็คือ ๑ สุขชั้นกาม ที่เรียกว่า “กามสุข” ๒ สุขชั้นพรหม เรียกว่า “ฌานสุข” ๓ สุขชั้นโลกุตตระ เรียกว่า “นิพพานสุข” ชั้นแรก เมื่อทราบว่า ยังมีสุขที่ประณีตยิ่งกว่า เราก็จะขวนขวายแสวงหาสุขที่ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้สัมผัสสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นกับตัวบ้าง ก็จะเห็นโทษของสุขที่หยาบๆ ได้ง่ายขึ้น โทษของกาม มองได้ ๓ มุม คือ ๑. มุมที่มองมาที่ผู้บริโภคกาม โดยเฉพาะมองมาที่กระบวนการก่อทุกข์ในใจ คือมองที่กิเลสกาม เพราะไม่รู้เท่าทัน เผลอพอใจ-ไม่พอใจ รับรู้ปรากฏการณ์ต่างๆ แล้วสร้างตัณหาขึ้นมา สั่งสมจนเคยชิน พอได้สนองตัณหา ก็ติดใจ รู้สึกว่ามีความสุข ถ้าไม่ได้ ก็ขัดใจ ดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้มา บ่นรำพึงถึงสิ่งที่เคยมีเคยได้ในอดีต ครุ่นคำนึงฝันถึงสิ่งที่ปรารถนาในอนาคต ไม่มีสติ รู้สภาวะจริงๆ ที่เป็นไปในปัจจุบัน ไม่มีปัญญาเท่าทันความเป็นจริงที่ปรากฏ แต่ถ้ามีสติปัญญา มองมาดีๆ จะรู้ว่า แค่เพียงมีกามตัณหา ใจก็ทุกข์ขึ้นมาทันทีแล้ว และยังเป็นปัจจัยให้วงจรปฏิจจสมุปบาท หมุนวนต่อไปไม่สิ้นสุด เรียกว่า สั่งสมความพร้อมที่จะทุกข์ ๒. มุมที่มองไปที่ตัวกามที่เราแสวงหา คือมองไปที่วัตถุกาม เราแสวงหาวัตถุกาม ก็หวังจะได้รสของกาม หวังจะได้ความพึงพอใจจากการเสพ แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นข้อบกพร่องอยู่มาก คือ มีความสุขให้ชื่นใจนิดเดียว แต่ให้ทุกข์ให้โทษมากเหลือเกิน ท่านให้ข้อเปรียบเทียบไว้มากมาย เช่น – เหมือนสุนัขที่อ่อนเพลียและหิวโหย มีคนโยนกระดูกเปื้อนเลือดให้ ก็แทะไปจนเหนื่อยอ่อน ปริมาณก็ไม่เต็มอิ่ม อร่อยก็ไม่เต็มอยาก – เหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งกาโฉบมาได้ แร้งกาตัวอื่นเห็น ก็โผเข้ามาแย่งรุมจิกตีกัน เพื่อแย่งชิ้นเนื้อนั้น หมายความว่า กามเป็นของที่คนทั่วไปหมายปอง เราไม่มีสิทธิ์ขาด ผู้อื่นแย่งชิงได้ เป็นเหตุให้ เกิดการเบียดเบียน ทำร้าย และทำลายชีวิตกัน – เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า ที่ถือเดินทวนลม ก็ได้อาศัย ความสว่างบ้าง แต่ควันไฟที่ลอยมา ก็ทำให้แสบตาแสบจมูก ถ้าถือไว้ ไม่ปล่อยวาง ไม่ช้าไฟก็จะลามมาไหม้มือ ยังมีข้อเปรียบเทียบอีกมาก ขอยกมาเป็นตัวอย่างแค่นี้ก่อน โดยสรุปก็คือ กามนำสุขมาให้ชั่วครู่ แต่นำทุกข์มาฝังติดอยู่ในใจแสนนาน คิดถึงสุขที่ผ่านไปในวันวาน ก็ให้รู้สึกทรมานเสียดายอาลัยอาวรณ์ ๓. มุมที่มองด้านความสัมพันธ์ในสังคม เริ่มตั้งแต่ต้องทนทุกข์ยากในการหางานทำเลี้ยงชีพสั่งสมวัตถุเงินทอง ต้องทนแดดทนฝน ทนหนาวทนร้อน เหนื่อยยากพากเพียร ปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้านายและลูกน้อง บางทีไม่ทันได้มีกามเต็มตามหวัง ก็ตายไปเสียก่อน ที่ได้มาบ้างก็ลุ่มหลงตกเป็นทาสมัน ยกเอาวัตถุกามมาเหยียดหยามกัน บ้างก็ทะเลาะวิวาทแย่งชิงกามกันก็มากมาย ที่เข่นฆ่ากันถึงตายก็มากมี เพื่อนทะเลาะกับเพื่อน พี่ทะเลาะกับน้อง ลูกทะเลาะกับพ่อแม่ ญาติทะเลาะกับญาติ ทะเลาะวิวาทกันถึงระดับชาติระดับโลก ทำสงครามทำลายชาติบ้านเมืองกัน ก็ด้วยเหตุแห่งกาม ถ้ามาฝึกทำฌาน สุขจากฌานจะประณีตกว่าสุขจากกาม ท่านเปรียบกามสุขเหมือนสุขของเด็กทารก ที่เล่นสนุกแม้กับอุจจาระและปัสสาวะของตนเอง แต่ถ้าทำฌานได้ ก็เหมือนกับเด็กนั้นเติบโตขึ้นมา รู้เดียงสา ที่สนใจของเล่นใหม่ๆ สนุกกับการเล่นตุ๊กตา เล่นรถเด็กเล่น เล่นหกคะเมน เล่นเกม เล่นกีฬา ฯลฯ ก็จะยินดีในสุขที่ประณีตกว่า แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะฌานยังอยู่ในระดับโลกิยะ คือยังเสื่อมได้ และก็กามนี่แหละที่ทำให้เสื่อม ต้องพัฒนาตน จนสัมผัสสุขในขั้นโลกุตตระบ้าง จึงจะพอวางใจได้ วิธีพัฒนาตน ที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปไว้ให้ ก็คือ “มีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” เมื่อพัฒนาตนจนมีปัญญา มีโลกุตตรสุขเต็มภูมิแล้ว ก็จะไม่วกเวียนกลับมาหากามอีก วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ Shortlink: September 16, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #นอนเนื่องในจิต 🤔🤔 #ถาม : นิสัยในชาตินี้ เป็นมาตั้งแต่อดีตชาติหรือเปล่า? #ตอบ : อ๋อ! มันสะสมมา ที่ทำมาในอดีตชาติ ก็เป็นเหตุให้ชาตินี้ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ และก็ไม่ใช่เพราะชาติที่แล้วด้วย ไม่ใช่เพราะชาติที่แล้วชาติเดียว มันเป็นหมื่นๆ ชาติ แล้วนานกว่านั้นอีก.. มันสะสมจนมันติดอยู่ในจิตเลย คิดดูเถอะ! ร่างกายนี้เน่าเปื่อยไปแล้วนะ เกิดใหม่มันก็ยังมีนิสัยอย่างนี้ เขาเรียกว่า “แก้ยาก” ภาษาบาลีเขาเรียกว่าเป็น “อุปนิสัย” ถ้าเป็นภาษาไทยก็ต้องเป็น “สันดาน” ไม่ใช่คำด่านะ! เขาเรียกว่า “มันนอนเนื่องอยู่ในจิตใจนี้มานาน” เหมือนกับว่า “เป็นนิสัยบุคลิกติดยู่กับผู้นั้น” เช่น ตัวอย่างนะก็คือ “พระสารีบุตร” พระสารีบุตร เกิดเป็นลิง มาหลายร้อยชาติ ก็ยังติดนิสัย ทำอะไรก็ว่องไว ทำอะไรว่องไว.. บางทีคนอื่นๆ ดูแล้วเหมือนท่านไม่เรียบร้อย คือในสายตาคนอื่นนะ แต่โดยท่านเนี่ย ไม่มีกิเลสแล้ว เวลาเดินไปไหนเจอท้องร่อง ก็กระโดดข้ามด้วยความว่องไว ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่จะยอมที่จะเดินอ้อม ท่านเป็นคนว่องไว ท่านก็กระโดดข้ามเลย โยมเดิมตามหลังมา ‘โอ้โห! ไม่เรียบร้อยเลย’ อยากจะทำบุญผ้าไตรจีวร ..ชักออกสักผืนหนึ่ง เหลือสองผืน พอไปอีก แล้ว ..กระโดดอีกร่องหนึ่ง แสดงว่ามีหลายร่องนะ กว่าจะถึงวัดมีหลายร่อง ..ก็กระโดดอีก ..ชักออกอีกผืนหนึ่ง พอถึงร่องสุดท้าย ไม่โดด! ท่านค่อยๆ เดินไป หาไม้มาพาด แล้วก็เดินๆ ไป โยมก็ถาม ‘อ้าว! พระคุณเจ้า ร่องนี้ทำไมไม่โดด?” ..“ถ้าโดด..ก็หมดสิ” ประมาณว่า รู้อยู่ว่าโยมดึงออก เตรียมผ้าไตรมา แล้วดึงออก นี่ก็คือเป็นเรื่องที่สะสมมาตั้งแต่อดีต เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นคนที่เรียบร้อย ..ท่านก็เรียบร้อยมาตั้งนานแล้ว เห็นคนที่พูดจาโผงผาง ไม่เรียบร้อย ..ท่านก็อย่างนี้ล่ะ เป็นบุคลิกของท่าน ก็เหมือนอย่างหลวงตามหาบัวนะ ท่านจะบอก ท่านเองเนี่ย ท่านเองไม่เรียบร้อย (นี่ท่านบอกของท่านเองนะ) ถ้าไปเทียบกับหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่เทสก์จะดูเรียบร้อย เหมือนอย่างเป็นพระที่มาจากวัง ประมาณนี้ คืออยากจะดูใครเรียบร้อย ให้ไปดูหลวงปู่เทสก์ จริงๆ เราในสายตาผู้น้อยเนี่ยนะ ..ดูน่าเคารพคนละแบบ หลวงปู่เทสก์ก็ดูน่าเคารพ ตามลักษณะของท่านอย่างนี้ หลวงตามหาบัวก็ดูน่าเคารพ ตามลักษณะของท่านอย่างนี้ ดูไม่มีกิเลส ดูผ่องใส มีบุคลิกของท่านเป็นเฉพาะอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเครื่องที่จะมาตำหนิอะไรกันเลย อันนี้ตอบยาวไปหน่อยหรือเปล่า? สรุปแล้วคือ “สิ่งที่ทำมาในอดีต มันมีผลกับปัจจุบันด้วย รวมทั้งลักษณะนิสัยบุคคลิกต่างๆ” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=MzT7-np8Ljc (นาทีที่ 1.15.52-1.19.42) Shortlink: September 10, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กิเลส #กรรม #วิบาก 🤔🤔 #ถาม : “กิเลส” แปลว่าอะไร? รบกวนพระอาจารย์ช่วยแนะนำให้ทราบ #ตอบ : “กิเลส” คำนี้เราน่าจะคุ้นเคยกันมากเลยนะ ได้ยินกันบ่อย และก็พูดกันบ่อยด้วย “กิเลส” แปลว่า สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง “กิเลส แปลว่า เศร้าหมอง” ถ้าโดยความหมายแล้ว.. คือสิ่งที่มันมาปน หรือเกิดขึ้นกับจิต แล้วทำให้จิตมันเศร้าหมองไป แปลหนัก ๆ ก็เรียกว่าเป็น “ความชั่ว” ที่แฝงอยู่ก็ได้นะ แต่บางทีกิเลสบางตัวนะ มันจะบอกว่า “ชั่ว” ก็ดูจะรุนแรง กิเลสเราเคยได้ยินกันว่ามี โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ตัวใช่ไหม? ทีนี้ในกิเลสวัตถุ จะระบุไว้ถึง ๑๐ ข้อ มี.. ๑. โลภะ ๒. โทสะ ๓. โมหะ ๔. มานะ ๕. ทิฏฐิ ๖. วิจิกิจฉา ๗. ถีนะ ๘. อุทธัจจะ ๙. อหิริกะ ๑๐. อโนตตัปปะ “ถีนะ” ก็คือ ความซึม ความง่วง ความขี้เกียจ ประมาณนี้ “อหิริกะ” ก็คือ ความไม่ละอาย “อโนตตัปปะ” ก็คือ ความไม่เกรงกลัว ความไม่ละอายและความไม่เกรงกลัว คือ ไม่ละลายต่อบาป และ ไม่เกรงกลัวต่อบาป อันนี้ถือเป็นกิเลสด้วยเหมือนกัน ก็ทั้งหมดนี้เป็น “เหตุ” ให้ไปทำ “กรรม” มีกิเลสตัวใดตัวหนึ่งก็แล้วแต่ ..เป็นเหตุให้ไปทำกรรม ..เมื่อทำกรรม ก็รับวิบาก วิบากที่ทำ ด้วย “กรรมที่มีกิเลส” ก็จะเป็นวิบากที่ “เผ็ดร้อน” เพราะว่าทำจากจิตที่มันเศร้าหมองจากกิเลสในแง่ต่างๆ เช่น โลภ ก็ไปลักของเขาก็ได้ หรือจะไปฆ่าเขาก็ได้ใช่ไหม? โลภแล้วไปฆ่า อยากได้เงินล้าน – เป็น ๒ ล้าน ก็โลภนะ! อยากได้ แล้วก็ไปฆ่า นี่ก็เพราะโลภ ก็ไปทำความชั่ว พอไปทำชั่ว แล้วก็ได้รับวิบาก ได้รับวิบาก แล้วบางทีก็ไม่รู้หรอกว่า เป็นผลมาจากการที่มีกิเลส มีกิเลส – ทำกรรม – แล้วรับวิบาก พอรับวิบากมา..ไม่รู้ว่า ‘ทำไมเราต้องทุกข์อย่างนี้?’ ก็ไปทำความไม่พอใจ แล้วก็สร้างตัณหา สร้างกิเลสขึ้นมาใหม่ สร้างกรรมอีก! ทำกรรมลงไปอีก! แล้วรับวิบากไปอีก! ก็เลยเรียกว่าเป็น “ไตรวัฏฏ์” กิเลส – กรรม – วิบาก รับ “วิบาก” แล้วก็มี “กิเลส” มี “กิเลส” ก็ทำ “กรรม” ทำ “กรรม” แล้วรับ “วิบาก” “วิบาก” ก็คือ ผลของการกระทำ ที่เราไปไหนไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ทันวงจรอันนี้ ที่เรียกว่า ไตรวัฏฏ์ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ที่ว่า “ไตรวัฏฏ์” ก็คือ มันวนอยู่อย่างนี้ วัฏฏะ-วนอยู่อย่างนี้ วนไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่จบเลย แต่เราก็มีโอกาสที่จะพ้นไปจากวัฏฏะนี้ โดยการที่มา “รู้ทันกิเลส” ในขณะที่ตอนรู้ทันกิเลส เราได้ทำกรรมตัวหนึ่งเรียกว่า “กรรมฐาน” “กรรมฐาน” จะเป็นการทำกรรม เพื่อพ้นจากกรรมที่มันจะเกิดวิบาก ..แล้วก็มีกิเลส ..แล้วก็ทำกรรม คือ พ้นจากไตรวัฏฏ์นี้เอง ที่เรามาเรียนรู้พุทธศาสนา ก็คือมาเรียนรู้ที่จะรู้จักกิเลส เพื่อจะได้ไม่ถูกมันครอบงำ แล้วจะได้ไม่หลงวนเวียนอยู่ในไตรวัฏฏ์อันนี้ ก็ต้องทำความรู้จัก.. “กิเลสไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลย มันอยู่ที่ใจ” เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเวลาสอนให้เจริญสติปัฏฐาน จึงมาให้ดูที่ “จิตตัวเอง” จิตมีราคะ ให้รู้ว่ามีราคะ จิตมีโทสะ ให้รู้ว่ามีโทสะ จิตมีโมหะ ให้รู้ว่ามีโมหะ จิตฟุ้งซ่าน..ให้รู้ จิตหดหู่..ก็ให้รู้ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ก็อยู่ในกิเลส ๑๐ ตัวนี้เหมือนกัน คือแล้วแต่ว่าจะอธิบายกิเลสในแง่มุมไหน กิเลสที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ก็ ๓ ตัวแรก ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ถ้าจะแยกออกมาเป็น ๑๐ ตัวก็ได้ หรือจะเป็นอุปกิเสล ๑๖ อย่างที่เราสวดกันบ่อย ๆ ก็ได้ แล้วแต่ว่าพระพุทธเจ้าจะสอนใคร ด้วยวัตถุประสงค์แบบไหน บางทีการแจกแจงกิเลสก็จะมีโดยย่อ ๓ ข้อ ขยายออกมาหน่อยเป็น ๑๐ ข้อ ขยายออกไปอีกก็เป็น ๑๖ ข้อ (บางคัมภีร์นับจำนวนกิเลสได้ถึง ๑,๕๐๐) พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=0uL7F3FS-5Q (นาทีที่ 3.16-8.29) Shortlink: September 7, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ใช้สื่ออย่างมีสติ #ถาม : กราบเรียนค่ะ ทุกครั้งที่เขียน หรือคอมเมนต์ (comment – แสดงความคิดเห็น) อะไรลงไปในโซเชียลมีเดีย (social media) บางครั้งรู้ว่า มีโทสะในขณะที่เขียน เพราะเขียนอย่างมีสติ ไม่ได้เขียนเพื่อความสะใจ ถึงกระนั้นก็พยายามไม่ทำบ่อย คำถามค่ะ ‘ทำลักษณะอย่างนี้ คงไม่ผิดมาก ใช่ไหมคะ?’ #ตอบ : คือ ถ้าเขียนอย่างมีสตินะ ถ้ามีสติจริง ควรจะไม่เขียนอย่างมีโทสะ ถ้าตอนที่มีโทสะ แล้วเขียนไป.. ตอนนั้น “ขาดสติ” ถ้าจะให้ดีคือ ถ้าจะคอมเมนต์อะไรในโซเชียลฯ นะ .. “ต้องให้ใจมันปกติก่อน” ต้องให้ใจปกติก่อน ไม่มีโทสะในขณะที่คอมเมนต์นั้น ไม่ใช่มีโทสะ..แต่ก็รู้ไป..แล้วก็คอมเมนต์ไป..แล้วก็มีโทสะ อันนี้เรียกว่า ยังไม่เกลี้ยง สติยังไม่แท้ ถ้าจะมีสติแท้ๆ และให้มันมีประโยชน์ต่อชีวิตของเราด้วย ก็คือ ควรจะ “มีสติ” แล้ว “กิเลสดับ” กิเลสดับ..แล้วไม่เกิด..แล้วค่อยคอมเมนต์ ถ้ามันมีกิเลสเกิดขึ้นมา อย่าเพิ่งคอมเมนต์!! ไม่อย่างนั้น มันเหมือนรู้ตัวนะ แต่ถ้าอย่างนี้มันคล้ายๆ กับว่ากิเลสยังมีอยู่ ฉะนั้น อย่าให้มีเจือเลย! อย่าให้มีเจือเลย! ..โทสะ แม้แต่นิดๆ หน่อยๆ นะ คือโซเชียลฯ สื่อสังคมเนี่ยนะ เราไม่ต้องรีบคอมเมนต์ก็ได้ ไม่ต้องรีบพิมพ์ก็ได้ รอใจสบายๆ ก่อน แล้วค่อยพิมพ์ แล้วก็..ที่มันมีปัญหาอยู่ทุกๆ วันนี้นะ เพราะเราคล้ายๆ จะทำด้วยความสะใจ แม้จะบอกว่า ‘ไม่ได้เขียนด้วยความสะใจ’..ก็จริง แต่ก็บอกว่า ‘บางครั้งรู้ว่า มีโทสะในขณะเขียน’.. ถ้า “มีโทสะ” อย่าเขียน! อย่าพิมพ์! คือคนไทยเนี่ยนะ เขามีประเมินนะ (รู้สึกทางไมโครซอฟท์ เขาประเมิน) จัดลำดับ “ความหยาบคายในการใช้โซเชียลมีเดีย” ในการใช้สื่อในอินเทอร์เน็ต เมืองไทยคะแนนสูงมากเลย! คะแนนสูง หมายถึงว่า “หยาบมาก” ไม่ใช่ดีมากนะ.. หยาบมาก ! อาจจะไม่ถึงหยาบที่สุด แต่มันอยู่กลุ่มท้ายๆ ประเทศที่มีคะแนนความสุภาพในการใช้สื่อสังคม ดูเหมือนจะเป็นเนเธอร์แลนด์ ในเอเชีย ประเทศที่ใช้สื่อสังคมอย่างสุภาพที่สุดก็คือ สิงคโปร์ ของเราเนี่ยนะ จริงๆ ไม่ต้องรอให้เขาประเมินก็ได้ เราดูในสื่อสังคมของเราก็แล้วกันว่า มันหยาบขนาดไหน? เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเติมความหยาบในนั้น เราในฐานะที่ฟังธรรมกันแล้ว เรียนรู้กรรมฐานกันแล้ว เรียนรู้จิตใจกันแล้ว อย่าไปเติมความหยาบในนั้น อย่างน้อยๆ ต้องรู้ว่า “จิตขณะนี้ มันมีกิเลสอะไรปน?” มันอยากจะไปจิ้มเขา อยากจะไปเหน็บเขา อยากจะไปเฉือนเขา อย่างนี้นะ อย่าเพิ่งทำ! ถ้าจะให้ดี..การเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย.. สามารถทำได้ แต่การชี้แจงต้องเป็นไปอย่าง “ผู้เจริญ” ชี้แจงด้วยเหตุผล เอาข้อมูลมาแสดง เหมือนอย่าง นพ.ยง นพ.อุดม หรือ นพ.ประสิทธิ์ ไปดูเถอะ อาจารย์หมอทั้ง ๓ ท่าน เวลาแสดงข้อมูลออกสื่อมาเนี่ย ..สุภาพ ไม่มีคำด่าทอ ให้ข้อมูลซื่อๆ ให้ข้อมูลแบบซื่อๆ ไม่มีเหน็บแนม นี้เป็นตัวอย่างได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นพระด้วยใช่ไหม เราสามารถใช้สื่อสังคม หรือว่าสามารถที่จะแสดงออกต่อสังคมอย่างสุภาพได้ และควรส่งเสริมแบบนี้.. “แสดงออก..อย่างสุภาพ” ไม่ควรจะใช้สื่อสังคม เป็นเวทีเอาไว้ทะเลาะกัน หรือว่าเห็นว่า ‘เขาคงไม่รู้จักเรา’ ..เราก็ ‘เกรียน’ เต็มที่เลย อย่างนี้แย่มาก (เกรียน ศัพท์แสลง แทนบุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน) เพราะฉะนั้นควรส่งเสริม ให้เรามีสติ ในการใช้สื่อสังคม ไม่ใช่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างเดียว แต่เป็นประโยชน์ต่อเราด้วย เราจะเป็นผู้ละเอียดรอบคอบ และก็อย่างที่มีโยมเคยถามว่า “จะทำอย่างไรให้ใจเราสะอาด?” เราจะสะอาดจากกิเลสได้ ต่อเมื่อเรารู้ทันกิเลสที่มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ามีโทสะ..อย่าเพิ่งแสดงออก! เขาไม่ได้บังคับให้เราต้องรีบแสดงออก เราสามารถที่จะเจริญสติก่อนได้ ถ้ามันยังมีอะไรขุ่นๆ มัวๆ เราอยากจะไปกัดเขา จิกเขา ให้นึกถึงที่อาตมาพูดไว้คราวก่อนว่า “เราอาจจะเป็นไก่ในเข่ง ที่กำลังจิกกันเอง แล้วเตรียมถูกเชือด” เพราะฉะนั้น มองให้กว้างออกไป อย่ามองเพียงแค่ไก่ในเข่งนี้ มองกว้างๆ ออกไป มองดูภาพรวม มองดูชีวิตๆ นี้ เราควรใช้ชีวิตนี้เพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อไปจิกๆๆ ไอ้ที่ไปจิกเนี่ยนะ..ก็เพียงแค่ขัดแย้งในเรื่องตัณหา ทิฏฐิ มานะ แล้วก็มัวแต่ไปรักษาตัณหา ทิฏฐิ มานะ.. พยายามส่งเสริม พยายามรักษากิเลส ๓ ตัวนี้ ไม่ต้องไปเสียดายมัน ไม่ต้องไปเสียดาย เพียงแค่รู้ทันนะ รู้ทันดีกว่า รู้ทันว่า.. จริงๆ แล้ว เราต้องการอะไรในชีวิตนี้? เราต้องการที่จะให้ชีวิตพัฒนาไปในแนวไหน ในแง่ไหน? ถ้าเพียงแค่ว่าเพื่อปกป้องกลุ่มของตน หรือเพื่อปกป้องแนวคิดนี้ ขอให้ฉันได้จิกกัด..หากใครมากระทบกลุ่มฉันแนวคิดฉัน มันเป็นการทำเพื่อสนองกิเลส สนองตัณหา สนองทิฏฐิ สนองมานะ ก็รู้ทันซะ แล้วอย่าไปทำตาม “ขอให้ใช้สื่อ อย่างมีสติ” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=sg_MuJyunsQ (นาทีที่ 1.45.15-1.53.15) Shortlink: September 1, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ไม่บวชก็กตัญญูได้ ?? #ถาม : ตอนนี้ผมอายุ ๓๐ กว่า แต่ยังไม่ได้บวชให้พ่อแม่ เพราะผมทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? #ตอบ : ไม่เป็นอะไร.. “ไม่บวช ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่กตัญญู” อยู่กับพ่อแม่ แม้ไม่บวช ก็สามารถเป็นลูกที่ดีได้ และทำตนให้เป็นลูกที่กตัญญูกตเวทีได้ พ่อแม่เลี้ยงเรามาจนเราอายุ ๓๐ พ่อแม่น่าจะเริ่มเข้าวัยชราแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ที่จะต้องดูแลพ่อแม่ ยามพ่อแม่แก่ชรา.. เราก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่ ยามพ่อแม่ป่วย..ก็ดูแลท่าน ยามพ่อแม่แก่ชราทำอะไรไม่ได้..ก็ทำงานแทนท่าน ถ้าท่านต้องเสียชีวิต..เราก็ทำบุญอุทิศให้ท่าน ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาบวช ขอให้เป็น “คนดี” และมีความ “กตัญญูกตเวที” เห็นคุณค่าที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ขอย้ำว่า “ไม่จำเป็นต้องบวช” ก็ได้ บวชแล้ว อาจจะทำไม่ดีเท่ากับตอนที่เป็นฆารวาสอยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับว่า เรามีความพร้อมแค่ไหน? มันไม่ได้มีบทสำเร็จรูปว่า ‘จะต้องบวชเท่านั้น จึงจะเป็นลูกที่ดี’ ..ไม่จำเป็น ลูกที่ดี ที่อยู่เป็นฆารวาสต่อไปก็มี.. ดูอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นลูกที่ประเสริฐมาก แม่ของพระองค์มีความภูมิใจมาก สมเด็จย่านึกถึงลูกของพระองค์..คือในหลวงรัชกาลที่ ๙ นึกแล้วมีความปลื้มใจ ปีติใจในความกตัญญูกตเวทีของในหลวง เช่นเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องไปบวช เราก็อยู่เป็นฆราวาส.. – ดูแลพ่อแม่ให้ดี – มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว – ไม่ทำอะไรให้มันเป็นที่เสื่อมเสีย ..ก็น่าจะพอสมควร พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=EPmTbFz10Xw (นาทีที่ 1.54.56-1.57.13) Shortlink: August 24, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #พระภูมิเจ้าที่ ?? #ถาม : โยมได้ซื้อบ้านมือสอง ซึ่งเป็นบ้านเก่ามาอีกทีหนึ่งค่ะ และบ้านนั้นก็มีศาลพระภูมิเจ้าที่ และศาลตายายเดิมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดิฉันยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ ถ้าดิฉันย้ายเข้าไปอยู่ ควรทำอย่างไร จึงจะเหมาะสมเจ้าคะ? #ตอบ : เก็บเอาไว้ก็ได้.. ถ้ามีศาลพระภูมิ ก็ถือว่าเทวดามีที่อยู่แล้ว “พระภูมิเจ้าที่” คือ เทวดาชั้นภุมเทวดา (เทวดาที่อยู่ตามภาคพื้น) เทวดาอยู่ก่อนเรา เราไปถึงก็ไปทำความรู้จัก ด้วยการคล้ายๆ กับว่า ‘อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหา’ เพราะในที่ตรงนั้นมีคนอยู่ก่อน ถ้าเขาอยู่ก่อน ก็เหมือนกับว่า “เขาเป็นเจ้าของที่” โดยความรู้สึกของเขานะ แต่ “เราก็เป็นเจ้าของที่” ในแง่ของความตกลงของมนุษย์ด้วยกัน แต่แน่ๆ คือ เราไปทีหลัง เราไปทีหลัง ก็ไปอ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ “เทวดา” เราก็ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วน “ศาลตายาย” ก็ประมาณว่า ถ้ามีเจ้าของรุ่นแก่ๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกผูกพันกับที่ตรงนั้น อย่างน้อยๆ ก็ ‘มีที่ให้เขาอยู่’ เราก็ไม่รู้นะ อาตมาก็ไม่ได้มีตาทิพย์ ไม่ได้มีอะไรที่จะไปตัดสินได้ว่า ที่ของโยมมีอะไรอยู่บ้าง แต่ไหนๆ มีแล้ว.. โดยหลักชาวพุทธ..เราอยู่ร่วมกันกับเทวดาทั้งหลายได้ ไม่ต้องไปรื้อ ไม่ต้องไปทำลายก็ได้ มีอยู่..เราก็ถือว่าถ้ามีเทวดาอยู่ในที่ ที่เราซื้อบ้านมานี้จริง ท่านก็มีที่อยู่ของท่านแล้ว ถ้าเราจะทำบุญระลึกถึงเทวดา ก็มาบอกกับเทวดา ณ ศาลตรงนี้ บอกกับตายายด้วยก็ได้ “ตายาย” โดยความรู้สึกก็คือ เทวดาที่ชั้นต่ำกว่าพระภูมิเจ้าที่หน่อยหนึ่ง ถ้ามีนะ! ถ้ามี! เราก็ติ๊งต่างไว้ก่อนว่า ‘ถ้ามี’ เราก็ให้เคารพอ่อนน้อม จิตใจเราก็จะได้ไม่แข็งกระด้าง แล้วเราก็จะได้หมั่นทำบุญ เพราะเรารู้สึกว่า ‘เรามีเทวดาประจำอยู่ตรงนี้’ ถ้าจะให้ดี ให้เป็นมิตรกัน ก็หมั่นทำบุญ แล้วระลึกถึงเทวดาบ่อยๆ จะได้แสดงความเป็นมิตรซึ่งกันและกัน มีน้ำใจต่อกัน แล้วเวลาจะพูดจะทำอะไร ก็จะได้มีสติระวังรักษาการแสดงออกของเรา จะไม่พูดร้าย จะไม่ทำร้าย จะไม่ทำอะไรที่มันผิดศีลผิดธรรม “ในบ้าน” เพราะว่าที่บ้านมีเทวดาอยู่!! ไม่อย่างนั้นแล้ว เดี๋ยวเทวดาจะไม่คุ้มครองรักษา หรือ เทวดาไม่รัก ก็ควรใช้ของที่มีอยู่ให้ เป็นประโยชน์ในแง่แบบนี้ แล้วที่บ้านก็ควรมีพระพุทธรูป ..คือเราอยู่กับเทวดา.. เรา “นับถือเทวดา” ในแง่ของการอยู่ร่วมกันในชุมชน “ชุมชน” ในที่นี้หมายถึง สามแดนโลกธาตุ ที่มีสรรพสัตว์อาศัยอยู่ มีมนุษย์ มีสัตว์เดรัจฉาน มีเปรต มีอสุรกาย อยู่ในมิติตรงนี้ หลากหลายมิตินะ แล้วยังมีเทวดา มีภุมเทวดา มีเทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไป..เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ไม่ได้นับถือเทวดาจนถึงขนาดว่าเป็นสรณะ!! เพราะฉะนั้น ในบ้านก็ควรจะมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นการชักชวนให้เทวดาทั้งหลายมานับถือพระพุทธเจ้าด้วย ระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยกัน ชักชวนเทวดามาสวดมนต์ด้วยกัน มารักษาศีล มาสมาทานศีลด้วยกัน ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยการมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ คือมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทีระลึก ด้วยกันทั้งหมดเลย ทั้งคน ทั้งเทวดา ในที่ตรงนั้น..อยู่ร่วมกัน โดยมีครูบาอาจารย์สูงสุด คือ พระพุทธเจ้า แล้วก็มีคำสอนของครูบาอาจารย์ แล้วก็คำสอนของพระพุทธเจ้า โดยผ่านมาทางครูบาอาจารย์ แล้วเรายังก็มีการทบทวนพระธรรมคำสอน มีการปฏิบัติธรรม มีการสมาทานศีล มีการให้ทาน มีการภาวนา ..เป็นประจำอยู่ ณ ที่ใหม่นี้ ไหนๆ ก็มาอยู่ที่ใหม่แล้ว โอกาสที่จะเริ่มต้นทำดีใหม่ๆ ที่อาจจะยังไม่เคยทำ หรือเคยทำไว้ดีแล้ว ณ ที่บ้านเก่า ก็มาทำต่อที่นี่ หรือเคยคิดว่า ‘แหม อยากจะมีที่เอาไว้สำหรับสวดมนต์’ ก็เริ่มทำเลย ทำตอนนี้ ทำได้เลย เพราะเราได้เริ่มต้นใหม่ ถ้าเริ่มมาอยู่ ณ ที่ใหม่ แล้วได้เริ่มต้นทำอะไรดีๆ เขาเรียกว่า ก้าวแรกเมื่อมันเริ่มดี… ต่อไป..จะทำอะไรได้ประสบความสำเร็จ ราบรื่นไปได้เรื่อยๆ ก็ขออวยพรนะ ขออวยพรให้เข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ อย่างเป็นมิตรกับสรรพสัตว์ที่นั้น ทั้งที่เป็นเทวดาที่อยู่สุคติ แล้วมันไม่ได้มีแต่เทวดานะ มีสัตว์อื่นๆ อยู่ในที่นั้นด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเราไปแล้ว ก็เป็นมิตรกับทุกๆ คน ทุกผู้ทุกนาม ทำบุญสวดมนต์ ให้เขาเห็น ทำบุญ ทำกรรมฐาน ให้เขาเห็น แล้วก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ให้กับสรรพสัตว์ที่นั้นด้วย รวมทั้งเทวดาและก็ปู่ย่าตายายเก่าๆ ที่นั่นด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=6nTaF4MHWdE (นาทีที่ 1.27.40.34.07) Shortlink: August 20, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ “ศรัทธาที่ไหน ทำที่นั่น” ?? #ถาม : มีญาติหลายๆ คน มีความคิดว่า ‘น่าจะไปทำบุญกับวัดจนๆ ขาดแคลน ห่างไกล อยู่บนเขาบนดอยไม่น่าจะไปทำบุญกับวัดที่รวยๆ มีเจ้าอาวาสดังๆ’ คิดแบบนี้ถูกหรือผิดเจ้าคะ? #ตอบ : เอาอย่างนี้ดีกว่า “ศรัทธาที่ไหน ทำที่นั่น” ที่บอกว่า “วัดรวยๆ” นี่ก็ต้องระวังนะ คือ บางทีมุมมองเรา อาจจะมีอคติ พระดี มีคนศรัทธาเยอะ เราอาจจะไปมองว่า ‘ท่านรวย’ อย่างนี้เราก็เท่ากับว่า เราไปมองว่า ‘วัดนี้มีคนเข้าเยอะ มีคนศรัทธาเยอะ’..แล้วตีว่า ‘ไม่ทำบุญกับวัดนี้ เพราะวัดนี้รวย’ บางทีเราจะพลาดจากการพบกับครูบาอาจารย์ดีๆ ก็ได้ เช่น สมมติว่าเราเกิดทัน “หลวงตามหาบัว” เราเห็นว่าหลวงตามหาบัว ลูกศิษย์เยอะ.. ไปมองว่า “ท่านรวย” ก็ไม่ทำบุญกับท่าน ไปหาทำไกลๆ ไอ้ที่ไกลๆ จะดีเท่าหลวงตาหรือเปล่า? นี่นะ ยกตัวอย่างให้ฟังนะ คือมันดีในแง่ที่ว่า เราได้สงเคราะห์พระที่อยู่ห่างไกล แต่อย่าไปตีตกเหมารวมว่า พระที่มีลูกศิษย์เยอะ เป็นพระไม่ดี หรือว่าเป็นพระรวยๆ คือคำที่ใช้มาเมื่อกี้นี้ มันออกจะหมิ่นเหม่สักนิดหนึ่ง กลายเป็นว่าเหมือนมีอคติ กับพระที่มีลูกศิษย์เยอะ แต่ต้องแยกให้ออกนะ แยกให้ออกว่า ที่ท่านมีลูกศิษย์เยอะ หรือว่ามีสิ่งก่อสร้างอะไรมากมายเนี่ย มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไหม? คล้ายๆกับว่า ท่านมีลูกศิษย์เยอะ จึงต้องมีเสนาสนะเยอะ อย่างนี้นะ มันจำเป็นต้องมี เข้าใจไหม? คนมาเป็นร้อย ฝนตก ไม่มีที่พัก มันก็ต้องมีศาลาใหญ่ๆ จะไปบอกว่า “เนี่ย วัดนี้สร้างศาลาเยอะ”..ก็คนมันเยอะน่ะ! คือต้องดูความจำเป็น ดูเหตุปัจจัย ไม่ใช่ดูว่า มีสิ่งก่อสร้างเยอะอย่างเดียว แต่ถ้าออกแนว บอกบุญประจำเลย ..บอกบุญ เจอทีไรก็บอกบุญ สั่งสอนอะไร ก็ออกแนวหัวข้อ “ให้ทาน” อย่างเดียวเลย “ภาวนา”..ไม่ค่อยมี “รักษาศีล”..ก็พูดไปอย่างนั้น แต่พูดจบ ก็บอกบุญ อย่างนี้นะ อันนี้ก็ต้องระวังหน่อย! แต่ถ้าเป็นพระกรรมฐาน สอนกรรมฐาน ลูกศิษย์เยอะ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าท่านเป็น “พระดี” ถ้าเราปฏิเสธเพียงแค่มาตรฐานว่า.. เพราะ ท่านมีลูกศิษย์เยอะ หรือ ท่านมีเสนาสนะใหญ่โต เราอาจจะพลาดพระที่เป็นครูบาอาจารย์ที่สามารถจะสอนเราได้ อันนี้ต้องระวังนิดหนึ่ง คือไม่ได้ปฏิเสธว่า พระอยู่ห่างไกล จะเป็นพระไม่ดี แต่ก็อย่าปฏิเสธว่า พระที่มีลูกศิษย์เยอะ ไม่ควรเข้าหา มันไม่ใช่จะไปตัดสินพระ ด้วยจำนวนลูกศิษย์ หรือเสนาสนะ หรือวัดวาอาราม สรุปแล้ว อย่างที่ตอบไว้คำแรกเลย คือ “ศรัทธาที่ไหน ทำที่นั่น” แต่อย่าไปปรามาสท่าน ..อย่าไปปรามาสท่าน ถ้าเราไม่รู้จริงนะ อย่าไปปรามาสท่าน บางทีเห็นพระอยู่วัดหรู เราก็ปรามาสท่าน เรารู้ได้อย่างไรว่า เป็นพระดีหรือไม่ดี? ‘โอ้! วัดนี้จน แสดงว่าไม่ดี’ อันนี้ก็ รู้อย่างไรว่า ที่ท่านอยู่แบบซอมซ่อนั้น ท่านจิตใจเป็นอย่างไร? คือ ระวัง! ระวัง! อย่าไปประเมินท่าน แต่ศรัทธาที่ไหน ทำที่นั่น แล้วอย่าไปปรามาส ถ้าเราไม่รู้จริง ไม่รู้ข้อมูลอะไร พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=sg_MuJyunsQ (นาทีที่ 32.12-36.36) Shortlink: August 12, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #เพียรฝึกจิต ?? #ถาม : ในการฝึกสติปัฏฐาน ที่ท่านแสดงว่า “อาตาปี สัมปชาโน สติมา” เราต้องฝึกตามลำดับ คือ “ฝึกเพียร – ฝึกสัมปชัญญะ – ฝึกสติ” ให้เกิดอย่างนี้ไหมครับ? #ตอบ : คือจะถามว่า ลำดับการฝึก..ต้องมีความเพียร มีสัมปชัญญะ แล้วมีสติ เป็นลำดับอย่างนี้หรือเปล่า? ไม่จำเป็นจะต้องเป็นลำดับก็ได้นะ คือในระหว่างที่ฝึก มันจะฝึก ๓ ตัวนี้ไปพร้อมๆ กัน ทุกครั้งที่มี “สติ” ขณะนั้นมี “ความเพียร” ทุกครั้งที่มี “สติ” มันรู้อยู่ด้วยว่า ‘จะทำอะไร..เพื่ออะไร’ ก็มี “สัมปชัญญะ” อยู่ด้วย คือมันไม่ได้แยก แต่เวลาอธิบาย มันจะแยกออกมาว่า “มีความเพียรนะ” “มีสัมปชัญญะนะ” “มีสตินะ” แต่ถึงตอน “ขั้นฝึก” มันไม่ใช่ว่า แยกฝึกทีละตัว..เป็นลำดับๆ ไม่ใช่อย่างนั้น! ก็คือ “ฝึกสติ” นี่แหละ ฝึกสติ – รู้ทันสภาวะ ตอนรู้ทันสภาวะ เรารู้อยู่ว่า ‘เราเป็นพวกทิฏฐิจริตนะ – ต้องฝึกในการดูจิตนะ’ รู้ในการแยะแยะได้ว่า ‘เราเป็นทิฏฐิจริต – ต้องฝึกดูจิต – เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์’ ..แล้วก็ฝึกไป อย่างนี้เรียกว่า “มีสัมปชัญญะ” แล้วทุกครั้งที่เห็นกิเลส ขณะนั้น “มีความเพียร” “เพียร” ในที่นี้คือ 1. “เพียรระวัง” ยับยั้งบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิด 2. “เพียรละ” กำจัดอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว 3. “เพียรเจริญ” ทำกุศลที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น 4. “เพียรรักษา” รักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและเจริญยิ่งขึ้นไป จากที่ไม่มีกุศล..ก็เกิดกุศลขึ้นมา กุศลเกิดขึ้นแล้ว..ก็เจริญกุศลนั้นต่อไปเรื่อยๆ จากที่เคยมีอกุศลอยู่มากๆ..อกุศลก็ถูกละไป ดับไป แล้วก็สามารถที่จะทำให้อกุศลเหล่านั้น หมดกำลังลงเรื่อยๆ ด้วยการ “เจริญสติ” ก็คือ “มีความเพียร” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้น เวลาฝึกๆ อย่างเดียว เวลาฝึกๆ อย่างเดียว เวลาได้ มันได้ ๓ ตัว (ไม่ใช้ใบ้หวยนะ) หมายถึงว่า ฝึกเจริญสติ มันจะได้.. (๑) ความเพียร (๒) สัมปชัญญะ (๓) สติ ..ในการฝึกครั้งเดียวนั้นล่ะ เวลาเราเจริญสติ-ดูจิต คนไม่ชำนาญ..ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปดูจิตเลย ก็คือ “ดูกาย” ไปก่อน ให้มันเป็นที่อยู่ เขาเรียก “เป็นตัวเทียบ” เช่น “ดูลมหายใจ” ก็เป็นการ “ดูกาย” ดูลมหายใจไป แล้วพอจิตมันเผลอ ความเผลอมันอยู่ในจิต เห็นความเผลอ คือเห็นจิต เพราะฉะนั้น พอเห็นความเผลอ ความเผลอดับแล้ว ไม่ใช่ไปดูจิตต่อ ก็กลับมาดูกาย คือเห็นลมหายใจต่อ เห็นลมหายใจแล้ว มีความเผลอเกิดขึ้นอีก ก็เห็นความเผลอ ความเผลออยู่ที่จิต ..เห็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่า..จะเลือกดูจิตอย่างเดียว ไม่ใช่ว่า..จะเลือกดูกายอย่างเดียว ก็คืออาศัยกายทำสมถะไป พอมีเผลอเกิดขึ้น รู้ทันความเผลอ ความเผลออยู่ที่จิต ก็คือได้ดูจิต ตอนได้ดูจิตแต่ละครั้ง ได้มี “ความเพียร” แล้วรู้ว่า ‘เส้นทางนี้ ที่เราทำอยู่นี้ วิธีนี้มันเหมาะกับจริตของเรา’ แล้ววิธีนี้ ทำไป.. รู้ปลายทางด้วยว่า.. ‘เราจะไปเพื่อให้ถึงมรรคผลนิพพาน’ จะมีวิธีฝึกอย่างนี้ ก็เรียกว่ามี “สัมปชัญญะ” อยู่ด้วย “สัมปชัญญะ” แปลว่า ความรู้ตัว ความรู้ชัด ความตระหนัก คือ 1. รู้ชัดว่า สิ่งใดมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ คือตระหนักในจุดหมาย 2. รู้ชัดว่า สิ่งใดเหมาะ หรือไม่เหมาะ คือตระหนักว่า สิ่งนั้นหรือการกระทำนั้นเกื้อกูลต่อความเจริญของกุศล 3. รู้ชัดว่าเป็นโคจร คือรู้ตระหนักในงานที่ทำ ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ก็รู้สึกตัวกับกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวัน 4. รู้ชัดว่าไม่หลง คือตระหนักรู้ในเรื่องราวเนื้อหาสาระ รู้สภาวะที่ปรากฏ เหมือนกับว่า เราจะไป..จุดหมายอยู่ตรงนี้ สมมติว่า อาตมาอยู่ศรีราชา จะไปวัดสังฆทาน จะไปนนทบุรี รู้อยู่ว่า ‘จะต้องไปนนทบุรี’ ..แล้วรู้ ..แล้วก็เดินทาง เลือกเส้นทาง ในระหว่างการเดินทาง อยู่ในเส้นทางนั้น ก็รู้อยู่ว่า ‘อยู่ตรงไหน’ เส้นทางนี้จะไปจุดหมาย ก็ไปอยู่อย่างนี้ ระหว่างเดินทาง ก็ “รู้” อยู่ด้วย อย่างนี้เรียกว่าเป็น “สัมปชัญญะ” การภาวนาก็เหมือนกันนะ ก่อนฝึกอะไรขึ้นมา..ก็ศึกษา! ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ‘เราควรจะฝึกแบบไหน?’ แล้วก็เดินตามเส้นทางที่เราควรจะไป ในระหว่างนั้น มีทั้งความเพียร มีทั้งสัมปชัญญะ แล้วก็มีสติ “สัมปชัญญะ” เป็นชื่อหนึ่งของปัญญา อยู่ใน “อธิปัญญาสิกขา” “ความเพียร” เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกจิต ในการฝึกจิต.. “สติ” ก็เป็นเรื่องของการฝึกจิต ทั้งความเพียรและสติ อยู่ใน “อธิจิตตสิกขา” ผลสุดท้ายของการฝึก คือเมื่อมีความเพียร มีสัมปชัญญะ และสติ สุดท้ายก็จะเกิดมีปัญญาแจ่มแจ้งขึ้นมา ‘เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา’ ถ้าเห็นอย่างนี้ก็เรียกว่า.. “ทั้งความเพียร สัมปชัญญะ และสติ ส่งผลให้เกิดปัญญาบรรลุมรรคผล” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=NRoUyw0xYZY (นาทีที่ 2.01-2.06.08) Shortlink: August 5, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #เรื่องของกรรม ?? #ถาม : เรื่องโควิด (COVID-19) ทุกวันนี้ จะทุกข์ใจกังวล มีหลักคิดอย่างไรดี? แต่แอบคิดว่า ‘ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมอะไรไว้ บ่วงคงไม่เกิด’ #ตอบ : หมายความว่า “ถ้าไม่ทำกรรมอะไรไว้ คงไม่ติดโควิด” ใช่ไหม? คืออย่าคิดว่า การติดโควิด เป็นผลจาก “กรรมอดีต” เฉยๆ นะ จะติดโควิดมันก็เรื่อง “กรรมปัจจุบัน” ด้วย อย่าคิดว่า ‘เอ้อ! เราคงไม่มีกรรมในอดีต’ แล้วเราก็เลยลั้ลลา(ประมาท).. ไม่ได้นะ! “ลั้ลลา”(ประมาท) นั่นคือ “กรรมปัจจุบัน” นึกออกไหม? การระวังอยู่โดยไม่ประมาท เป็นกรรมปัจจุบัน ซึ่งจะพาให้ไม่ติดโควิด แต่ถ้าประมาทในปัจจุบัน ไอ้กรรมปัจจุบัน ที่กำลังประมาทอยู่นี้ จะพาให้ไปติดโควิด เพราะฉะนั้น อย่ามองเพียงแค่ว่า ‘เราคงไม่ติด เพราะเราคงไม่ได้ทำกรรมอันพาให้ติด’ หมายถึงไม่ได้ทำกรรม ตั้งแต่ในอดีต..อดีตชาติ อะไรอย่างนี้ แต่ถ้ากรรมปัจจุบัน “ประมาท” …! ไอ้ประมาทปัจจุบันนี้ล่ะ จะพาให้ติดโควิด อย่าชะล่าใจ! คิดไว้ก่อนว่า ถ้าเป็นเรื่อง “กรรม” แล้ว ต้องลงมาถึง “ปัจจุบัน” ซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันด้วยนะ อย่างนี้จึงจะใช้ได้ แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่อง “กรรม” แล้วมองเพียงแค่ “อดีต” อย่างนี้ใช้ไม่ได้ คือมองว่า ‘เป็นเรื่องกรรม’ อันนี้ยังรับร้อยเปอร์เซนต์ไม่ได้ คือคนไทย บางทีพูดถึงเรื่องกรรมนะ มักจะมองในแง่เดียว คือมองแง่อดีต แต่ถ้ากรรมที่แท้จริง ที่สำคัญมากก็คือ “กรรมปัจจุบัน” กรรมปัจจุบันนั่นล่ะ ที่เราจะทำได้ด้วย กรรมในอดีต แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนะ มันทำแล้ว ใช่ไหม? แก้ไขอะไรไม่ได้ คล้ายๆ กับว่า ‘เออ..` ถ้าเราทำกรรมไม่ดีในอดีต เราจะคงต้องรับวิบาก คือคงติดโควิด’ แล้วก็เลยนอนรอรับโควิด อย่างนี้ไม่ได้! อย่างนี้เรียกว่า.. – ทำกรรมอันเป็นความประมาทในปัจจุบัน – ทำความงมงายในมิจฉาทิฏฐิ เชื่อแต่เรื่องของอดีต เชื่อเรื่องของอดีต เป็นมิจฉาทิฏฐินะ ถ้ามันไม่ลงถึงในปัจจุบัน ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ อะไรๆ ก็..อดีต อะไรๆ ก็..กรรมในอดีต อันนี้เป็น “มิจฉาทิฏฐิ” แล้วนะ ต้องระวังให้ดี! มันมีมิจฉาทิฏฐิ อยู่หัวข้อหนึ่ง เป็นลัทธิที่ผิด ชื่อว่า “ปุพเพกตวาท” ปุพเพกตวาท แปลว่า “ลัทธิกรรมเก่า” คือเชื่อว่าสุขทุกข์ทั้งปวงที่เราประสบอยู่นี้ ในปัจจุบันนี้ เป็นเพราะกรรมที่ทำมาแต่อดีตทั้งนั้น ล้วนมาแต่อดีตกรรม อย่างนี้นะ มันคล้ายกับคำสอนพุทธศาสนามากเลย คือมันเหมือนเป็นเรื่อง “หลักกรรม” ใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้ว มันกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิทันที! ถ้ามันไม่ลงมาสู่การกระทำในปัจจุบัน คือถ้าเชื่อเรื่องลัทธิกรรมเก่า ก็ไม่ต้องทำอะไร คล้ายๆ กับว่า “ยอม” มันจะเป็นอย่างไรก็ยอม แล้วแต่กรรมที่ทำมาตั้งแต่อดีต มันเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” ตรงที่ว่า มันไม่ส่งเสริม ให้เกิดการกระทำอย่างไม่ประมาทในปัจจุบัน ..มันกลายเป็น “ยอมแพ้” “แล้วแต่เวรแต่กรรม” นี่คำไทยๆ มันจะเป็นอย่างนี้นะ “แล้วแต่เวรแต่กรรม” มันก็เลย กำลังทำกรรมปัจจุบัน ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือประมาทไปแล้ว มันขัดกันกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่สอนเรื่องกรรม เพื่อให้คนหวังผลสำเร็จด้วยการลงมือทำด้วยความเพียรอย่างมีสติปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าคำพูดที่โยมพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ลองประเมินกันเองนะ ผู้ถามประเมินตัวเองก็แล้วกันว่า “ที่พูดมาในคำถามนั้น มันหมายถึงอดีตอย่างเดียว หรือลงปัจจุบันด้วย?” ถ้าอดีตอย่างเดียว ยังใช้ไม่ได้!! แต่ถ้ามันลงปัจจุบันในแง่ว่า มันแล้วแต่กรรมที่เราจะทำในปัจจุบัน ว่าเราประมาท หรือไม่ประมาท? เราระวังตัวเองอย่างดีแค่ไหน? มีโอกาสฉีดวัคซีน(vaccine) แล้วไม่ฉีดหรือเปล่า? หรือเราเลือกที่จะรออีก ๔ เดือนข้างหน้า ๔ เดือนข้างหน้า คือ ๔ เดือนจากนี้ไป เรารับความเสี่ยงได้ไหม? ก็ดูว่า ที่เราจะตัดสินใจทำในปัจจุบันนี้ มันก็ส่งผลในอนาคตอยู่ด้วย และก็ปัจจุบันนี้ เป็นการกระทำที่เราเลือกได้ ทำได้จริงๆ สิ่งที่ทำมาแล้วในอดีต ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมในอดีต เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่กรรมที่เราจะทำอยู่ทุกๆ ขณะในปัจจุบันนี้ เราเลือกได้..ว่าจะทำอะไร? เพราะฉะนั้น ถ้ามันออกแนวประมาท ต้องรู้ทัน! ต้องรู้ทัน! เราจะต้องไม่ประมาท ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ทีมงานที่มาช่วยอาตมานะ เสียสละมากนะ เข้มงวดกับตัวเองมากเลย ไม่ไปไหน ไม่ออกนอกหมู่บ้านเลย ไม่ออกไปรับความเสี่ยงที่ไหนเลย เอาง่ายๆ คือ work from home ร้อยเปอร์เซนต์ เพื่อที่ทำตัวเองให้ปลอดภัย แล้วจะได้มาช่วยงานที่วัดได้ โดยที่ไม่ต้องมาระแวงระวังเรื่องการติดเชื้อ อย่างนี้นะ นี่คือทำด้วยความไม่ประมาท นึกออกไหม? ไม่ใช่ว่า ‘ไม่เป็นไร ฉันฉีดวัคซีนแล้ว ฉันออกไปไหนก็ได้’ อย่างนี้คือประมาท ในกรณีที่สามารถทำตัวเองให้ปลอดภัยได้ ก็ให้ทำ แต่มันไม่ได้หมายความว่า ห้ามทุกคนออกไปข้างนอก.. ไม่ใช่อย่างนั้น ใครจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ก็ออก แต่ออกไปด้วยความระมัดระวัง แล้วกลับมาก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ด้วยการที่ว่าไม่ทำตัวเสี่ยง ก็คือกลับมาบ้าน แล้วก็รีบอาบน้ำ ซักผ้า ก็แยกที่ซัก ประมาณอย่างนี้นะ ..ถ้าอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว หรือคนที่บ้าน เรียกว่าระวังซึ่งกันและกัน ระวังแบบให้เกียรติกัน.. ไม่ได้รังเกียจนะ ให้เกียรติกัน อย่างนี้คือการให้เกียรติกัน ก็มีคำแนะนำเท่านี้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=KqHbrOZ4G3Y (นาทีที่ 35.07-41.55) Shortlink: July 31, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #เหตุให้มีสุขภาพดี ?? #ถาม : อยากทราบว่าเหตุที่ทำให้มีสุขภาพดี พระพุทธเจ้าสอนไว้ มีบ้างหรือไม่? #ตอบ : เหตุให้มีสุขภาพดี ส่วนใหญ่แล้วเนี่ย จะทำบุญในแง่ว่า “ถวายยารักษาโรค” ..ที่จะเป็นผลแบบชัดๆ เลยนะ อันนี้อ้างอิงมาจากชีวประวัติของท่านพากุละ “ท่านพากุละ” เป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุสาวก”ผู้ไม่มีโรค” ท่านบวชเมื่ออายุ ๘๐ ปี..ตลอดเวลาเป็นฆราวาสนะ ท่านไม่มีโรคเลย บวชอายุ ๘๐..ถ้าเป็นเราในยุคนี้ก็ชรามากแล้วนะ แต่ท่านบวชอายุ ๘๐ พระอุปัชฌาย์ดูแล้ว เห็นว่า ‘ยังแข็งแรง’..ก็อนุญาตให้บวช และท่านก็บวชเป็นพระภิกษุอยู่ถึง ๘๐ พรรษา..หมายความว่าอย่างไร? ท่านมรณภาพในตอนอายุ ๑๖๐ ปี แล้วตอนที่เป็นพระตลอด ๘๐ พรรษา..ไม่ป่วยเลย!! เราอายุประมาณเท่านี้นะ (ตากล้องอายุเท่าไหร่?) อาตมาเองอายุเท่านี้นะ ก็ป่วยไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะ นี่แสดงว่า ไม่ค่อยได้ทำบุญในแง่ของ “ยารักษาโรค” หรือว่าไม่ได้ไป “สงเคราะห์คนป่วย คนเจ็บไข้” แต่ท่านพระพากุละเนี่ยทำบุญ..แล้วในอดีตชาตินะ เมื่ออสงไขยกับอีกแสนกัปที่ผ่านมา ท่านบวชเป็นฤาษี เป็นฤาษีที่ได้อภิญญา ๕ และมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร ทีนี้ ชาตินั้นเกิดร่วมยุคกับพระพุทธเจ้าพระนามว่า “อโนมทัสสี” ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประชวรพระนาภี(ปวดท้อง) พอฤาษีนั้นทราบ ท่านก็ไปหาสมุนไพร มาทำยาถวาย อย่างนี้..ได้เนื้อนาบุญที่ดี ด้วยจิตใจที่ทำ ‘ต้องการจะสงเคราะห์พระพุทธเจ้า’ ให้พระองค์หายจากอาพาธ นี่..ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ชาติเดียวด้วย.. ..อีกชาติหนึ่ง ยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า “วิปัสสี” เมื่อ ๙๑ กัปที่แล้ว ท่านก็ออกบวชเป็นฤาษีอีก อาศัยอยู่เชิงเขา ทราบข่าว.. คราวนี้พระพุทธเจ้าไม่อาพาธ แต่ภิกษุทั้งหลายอาพาธ เป็นไข้ป่า ฤาษีนั้นท่านก็ไปปรุงยา.. แล้วปรุงยาเป็นจำนวนมากเลย เพื่อจะถวายแก่หมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์สมัยนั้นก็ไม่ใช่ว่ามีแค่สิบ-ยี่สิบนะ แต่มีเป็นพันเป็นหมื่นนะ จำนวนเยอะมาก ท่านก็อุตส่าห์ไปหาสมุนไพร แต่จะว่าไป ตอนนั้นท่านก็ทำอภิญญาได้แล้วนะ ท่านก็คงเหาะไปหาพวกสมุนไพรต่างๆ จนได้ครบ ครบ..เขาเรียกว่า ครบตำหรับยา แล้วก็ยังมีปริมาณมากพอ ที่จะทำเผื่อแผ่ให้กับหมู่สงฆ์ด้วย ถือว่าเป็นงานใหญ่มากเลย แต่ท่านก็ทำจนสำเร็จ เรียกว่า มีการทำบุญในแง่ของ “การถวายยารักษาโรค” ..อีกชาติหนึ่ง ในกัปนี้ ยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า “กัสสปะ” ชาตินี้ท่านเป็นฆราวาส ได้บูรณะวัดเก่า สร้างเสนาสนะให้เป็นวัดที่เหมาะสมกับการอยู่ภาวนา มีพระภิกษุสงฆ์มาอยู่จำพรรษา ท่านก็ปรุงยาถวายพระสงฆ์ในวัดนั้น สร้างกุศลตลอดชีวิต ยุคนี้เราก็ทำได้!! ยุคนี้เราก็ทำได้ คนกำลังป่วยอยู่เนี่ย กำลังมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเนี่ยนะ ..เราก็ไปทำบุญ ทำบุญด้วยอะไรบ้าง? ทำบุญด้วยรวบรวมทุนมาซื้อเครื่องมือแพทย์ หรือว่า รวบรวมทุนมาซื้อยารักษาโรค หรือว่า อุปกรณ์ต่างๆ ให้กับแพทย์ในการป้องกันโรค หรือให้กับผู้ป่วย..สามารถทำได้ อันนี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่มีอานิสงส์ “ทำให้เราพ้นจากภัยต่างๆ” เวลามีคนป่วย มีคนบาดเจ็บ คนไข้ อะไรอย่างนี้นะ เราก็เข้าไปดูแล เจอคนได้รับอุบัติเหตุตามท้องถนน ถ้าเราเจอ เราจะทำอย่างไร? เมินหน้าหนี หรือ ‘โอ้..ไม่ใช่ธุระของฉัน’ ‘เดี๋ยวปอเต็กตึ๊งมา หรือว่ามูลนิธิฯก็มาจัดการเองแหละ’ ..อย่างนี้ แสดงว่าให้คนอื่นเขาทำความดี แต่เราไม่สนใจจะทำด้วยเลย เราก็พลาดโอกาส!! ในที่จะสร้างบารมี หรือสร้างบุญกุศล พลาดโอกาสสร้างเหตุในการที่จะให้มีอานิสงส์ให้เราป่วยน้อยลง หรือป่วยแล้วหายง่ายขึ้น หรือไม่ป่วยไปเลย อย่างท่านพระพากุละอย่างนี้ ตลอดชีวิต ๑๖๐ ปี ไม่มีป่วยเลย!! พอถึงเวลา ท่านก็มรณภาพแบบไปง่ายๆ ไม่มีการป่วย ไม่มีวิบากในแง่ของสังขาร ที่จะมาเกิดความเจ็บป่วยเลย ลองดูว่าถ้าเราถือเอาปฏิปทาของท่านผู้เป็น “เอตทัคคะ” คือ “ผู้เป็นเลิศในด้านไม่เจ็บป่วย” เราก็ลองดูว่า ถ้าเรามีโอกาสที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพทย์ หรือจะเป็นฝ่ายผู้ป่วย อย่างนี้นะ เราก็ทำหน้าที่ของเรา ทำตามฐานะ ถ้าเราทำหน้าที่เป็นหมอ เป็นพยาบาล หรือเป็นคนคอยดูแลผู้ป่วย เราก็ดูแลอย่างดี ทำหน้าที่นั้นอย่างดี ปรารถนาให้เขาพ้นจากภาวะแห่งการความเจ็บไข้นี้ ทำด้วยใจกรุณา พอทำอย่างนี้ มันก็มีอานิสงส์เหมือนกัน เรียกว่าอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวเนื่องกับการที่จะทำให้คนที่เจ็บไข้ได้ ป่วยหายจากโรคนั้น หรือมีสุขภาวะ คือสุขภาพดีขึ้น ก็ทำสิ่งนั้นด้วยใจกรุณา แล้วก็ทำด้วยความซื่อตรงซื่อสัตย์ ก็ถือว่า โอกาสที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย มีอานิสงค์ในแง่ดีที่ว่า.. ถ้าเราจะป่วย ก็จะหายง่าย หมอหาสาเหตุในการรักษาได้รวดเร็ว หรือบางทีถ้ามากกว่านั้นก็คือ มันก็ทำให้ไม่ป่วยไปเลย มีสุขภาพดี หมดเหตุปัจจัย หรือหมดวิบาก ที่จะทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้นมา นี่ก็เป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้ แล้วก็มีประวัติของ “ท่านพระพากุละ” เป็นเครื่องยืนยันว่า “มีคนที่เกิดมา แล้วไม่เจ็บไข้ได้ป่วยกับเขาเลย” มีอยู่นะ..มีอยู่! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://m.facebook.com/nimmalo/videos/436068614159926/ (นาทีที่ 23.46-30.34) Shortlink: July 21, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ราคะ ?? #ถาม : ถ้าเห็นตัวเองสวย เป็นราคะไหมคะ? #ตอบ : ถ้าเห็นสวยเนี่ยนะ “เห็นตัวเองสวย” มันพอใจ! ผู้ชายก็ตามนะ “เห็นตัวเองหล่อ” มันก็คือมี “ราคะ” นะ มันพอใจ! มัน “พอใจ” ในรูปของตัวเอง ก็เป็น “ราคะ” เห็นรูปของตัวเอง.. แล้วมีราคะ มีความพอใจ ส่องกระจกนะ.. ส่องกระจก เห็นรูปของตัวเอง แล้ว ‘พอใจ’ นี่ก็มี ‘ราคะ’ เกิดขึ้น ราคะเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องของเพศตรงข้ามอย่างเดียว มองเห็นเงาตัวเองในกระจก.. แล้ว ‘พอใจ’ ก็เป็น ‘ราคะ’ ได้ อย่าว่าแต่เห็นรูปตัวเองเลยนะ เห็นอาหาร ..แล้วอยากกิน นี่ก็ราคะนะ เห็นอาหาร.. ได้ยินเสียง ..แล้วอยากฟังอีก ดมกลิ่นหอมๆ ..แล้วอยากดมอีก นี่ก็เป็นราคะ ..พอใจ! มันพอใจ! ความพอใจนี้ก็จะ.. พอใจในสิ่งไหน ก็อยากให้สิ่งนั้น เป็นอย่างนั้นนานๆ หรือว่าอยู่กับเรานานๆ ..อะไรอย่างนี้ มันก็คือเป็น “ราคะ” แต่ชัดๆ เลย คือว่าเห็นเพศตรงข้ามเนี่ยมันชัดเจน ราคะ แปลว่า ความติดใคร่ในอารมณ์ ลักษณะของราคะ คือ มีการยึดมั่นซึ่งอารมณ์�ราคะมีหน้าที่ คือ ทำให้มีการติดในอารมณ์ เห็นตัวเอง มีความ “พอใจ” เป็น “ราคะ” เพราะฉะนั้น คนที่ชอบแต่งหน้า ชอบแต่งตัว เราจึงเรียกคนพวกนี้ว่า เป็นพวก “ราคะจริต” เวลาจะมาทำกรรมฐาน ที่จะให้เห็นโทษของราคะ หรือให้มันเหมาะกับจริตนั้น ถ้าทำ “สมถะ” ก็จะให้ทำ.. – อสุภกรรมฐาน – เจริญกายคตาสติ อะไรอย่างนี้เป็นต้น คือ เห็นกายนี้ไม่สวยไม่งาม เพื่อจะได้ ระงับยับยั้ง ไม่ให้ราคะนี้มันเจริญ เมื่อราคะสงบเพราะสมถะ..เวลาจะเจริญ “วิปัสสนากรรมฐาน” ก็จะทำได้ง่ายขึ้น ในกรณีที่ว่า เมื่อราคะมันสงบระงับไปแล้ว ..พอเห็นอีก ..เกิดราคะอีก มันจะเห็นเลยว่า ‘เมื่อกี้ไม่มี ตอนนี้มี’ หรือว่า เห็นราคะ – แล้วรู้ทันราคะ – แล้วราคะดับไป ก็กลายเป็นว่า ‘เมื่อกี้มี แล้วตอนนี้ไม่มี’ เหมือนกัน ก็คือเห็นมันเกิด-ดับ ก็อาศัยว่า มันเคยไม่มี แล้วพอ มันมีขึ้นมา ก็จะเห็นว่า มันเกิดราคะขึ้นมา เห็นราคะแสดงความไม่เที่ยง ก็ขึ้นวิปัสสนา เรียกว่า ทั้งสมถะและวิปัสสนา จะเอื้อกัน หนุนกัน ไม่ใช่ว่าเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งนะ ทำสมถะอย่างเดียว ก็ไม่ถึงมรรคผล ทำวิปัสสนาอย่างเดียว ก็เหนื่อย ก็ต้องมีทั้งสมถะ และวิปัสสนาควบคู่กับไป เห็นตัวเองสวย เป็นราคะไหม? ก็เป็นนะ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้เกิดการผิดศีลอะไร มันก็มี “ความพอใจเกิดขึ้นในใจ” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=NRoUyw0xYZY (นาทีที่ 1.42.24-1.45.33) Shortlink: July 16, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #เคยทำแท้ง ?? #ถาม : เคยทำแท้ง ขณะตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือน รู้สึกบาป แต่จำเป็นต้องทำ เพราะว่าสามีไม่เคยเอาใจใส่ต่อครอบครัวเลย อยากทราบว่า บาปที่ทำนี้ มีวิธีทางใดที่จะชดใช้ได้บ้าง? #ตอบ : ก็คือ ทำบุญอุทิศให้ “ลูกของเรา” มีคนเคยแนะนำว่า “ถ้าจะให้ดี..ตั้งชื่อลูกด้วย” เวลาเราทำบุญเนี่ยนะ เรารู้ของเราเอง ‘ลูกชื่ออะไร?’ การตั้งชื่อให้ลูก ก็คล้ายๆ กับว่า ยอมรับว่าเขาเป็นลูก ยอมรับด้วยว่า ‘เขาเป็นลูก’ ไม่ใช่ว่า ‘ใครก็ไม่รู้?’ เมื่อตั้งชื่อไปแล้ว ก็เริ่มมีความคุ้นเคย มีความสนิทสนมกันง่ายขึ้น ยิ่งเมื่อทำบุญไปให้บ่อยๆ ความผูกพันนั้น เป็นการผูกพันในแง่ดี เป็นลูกเป็นแม่ที่ห่วงใยกัน แล้วก็ขออภัยเขา ยอมรับว่าเราผิด แต่อย่าไปหาเหตุผลอ้างว่า “เพราะพ่ออย่างนั้น เพราะอย่างนี้” ไม่ต้องไปให้เหตุผล ยอมรับซื่อๆว่า ‘เราผิด’ ในกรณีนี้นะ ไม่ต้องไปอ้างว่า.. “คนโน้นก็ผิด คนนี้ก็ผิด” ไม่ต้องไปอ้าง! การยิ่งอ้างเนี่ยนะ มันคล้ายๆ กับว่า..เหมือนเถียง เวลาใครทำอะไรไม่ดี ทำให้เราโกรธเนี่ยนะ ถ้าเขามาขอโทษ..แบบมีข้อแม้ ขอโทษไป ขอโทษมา ฟังไป..ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ผิด อย่างนี้นะ เราก็รู้สึกว่าคล้ายๆ ‘มึงไม่ยอมรับ!!’ เคยเป็นไหม? เคยเจอคนแบบนี้ไหม? เหมือนจะขอโทษนะ แต่คำพูดที่ออกมาเนี่ย เหมือนไม่รับรู้ว่าตัวเองผิด คล้ายๆ ว่า มาตะแบงไปเรื่อยๆ ..การให้อภัยก็ยาก เวลาเราจะขอโทษนะ ให้ขอโทษว่า ‘เราผิดจริงๆ’ “ขอโทษจากใจ” ว่าเราพลาดไปแล้วในเรื่องนี้ แล้วก็ “ทำบุญ” อุทิศให้ลูก ทำบุญให้ครบนะ – ให้ทาน – รักษาศีล – เจริญภาวนา” ..ทำให้ครบ มีความรู้สึกว่ามีบุญขึ้นมาทีไร ก็เรียกเขามารับรู้ แล้วก็อุทิศให้เขา ตอนที่เรียกเขาให้มารับรู้เนี่ยนะ การตั้งชื่อให้ลูกมันจะมีประโยชน์ตรงนี้ล่ะ สมมติว่า ตั้งชื่อให้ลูกว่า “เอ” (สมมตินะ) แล้วเราจะทำบุญด้วยการภาวนา .. “เอ มา! มานี่! มาอยู่กับแม่นี่ เดี๋ยวแม่จะนั่งสมาธินะ มานั่งด้วยกันนะ” นั่งสมาธิเสร็จ… “โอ้! วันนี้ปลื้มใจมากเลย ขออุทิศบุญทั้งหมดนี้ให้เอนะ” (สมมติว่าลูกชื่อ เอ) เมื่อจะทำบุญด้วยการให้ทาน.. วันนี้จะตักบาตร..“เอ มา! ลูกมา!” เรียกด้วย..เรียก.. “มา มาใส่บาตรด้วยกัน” ใส่บาตรด้วยกัน ใส่บาตรเสร็จแล้ว มีบุญ ปลื้มใจ “บุญที่แม่ได้ทำครั้งนี้ ยกให้ลูก” ..นึกออกไหม? คล้ายๆ กับว่าทำความสนิมสนมคุ้นเคย เราทำด้วยใจที่แบบว่า ‘เหมือนอย่างเป็นแม่เป็นลูกกัน’ อย่างนี้นะ ความหงุดหงิด ขุ่นเคือง โกรธแค้น ที่เขาเคยคิดว่า ‘ทำกับเขาเหมือนกับไม่ใช่แม่ ไม่ใช่ลูกกัน’ ‘ทำไมทำกับเขาอย่างนี้?’ ทำไมไม่ยอมให้เขาเกิด? เหมือน..ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นลูกเลยหรือ? ความรู้สึกอย่างนี้ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป ก็ลองไปทำดูนะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจาก ตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=S27fJ-VajXQ (นาทีที่ 1.59 – 2.02.40 ) Shortlink: July 3, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ