#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ ตอนที่ ๑๘ #ขันธ์ ๕ ถาม : “ตัวรู้” ที่เราฝึกกัน ให้เรารู้ในการฝึกสติ ใช่เป็นนามในขันธ์ ๕ หรือเปล่าครับ? ตอบ : ใช่ “ตัวรู้” ที่เราฝึกในขั้นเจริญสติ ก็เป็นนามธรรม ซึ่งถ้าเทียบในขันธ์ ๕ ก็จัดอยู่ใน “สังขารขันธ์” เพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น จะแสดงคำอธิบาย “ขันธ์ ๕” ในทีนี้ไปด้วย [นำมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)*] ขันธ์ ๕ คือ กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกัน เข้าเป็นหน่วยรวม ซึ่งบัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา–เขา เป็นต้น, ส่วนประกอบห้าอย่างที่รวมเข้าเป็นชีวิต) ๑. รูปขันธ์ (กองรูป, ส่วนที่เป็นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด, สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ) ๒. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา, ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์, ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ) ๓. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา, ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้ จำอารมณ์นั้นๆ ได้, ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ ๖ เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น) ๔. สังขารขันธ์ (กองสังขาร, ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง, สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ, คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศลอัพยากฤต) ๕. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนที่เป็นความรู้แจ้ง อารมณ์, ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง ๖ มีการเห็น การได้ยินเป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ ๖) ขันธ์ ๕ นี้ ย่อลงมาเป็น ๒ คือ นาม และ รูป; รูปขันธ์จัดเป็นรูป, ๔ ขันธ์นอกนั้นเป็นนาม อีกอย่างหนึ่ง จัดเข้าในปรมัตถธรรม ๔: วิญญาณ ขันธ์เป็น จิต, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็น เจตสิก, รูปขันธ์ เป็น รูป, ส่วน นิพพาน เป็นขันธวินิมุต คือ พ้นจากขันธ์ ๕ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ Shortlink: January 25, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ บทที่ ๑๖ #หลักการตรัสของพระพุทธเจ้า ?? ถาม : การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth) หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะเพื่อประโยชน์ตัวเอง หรือ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นนั้น เป็นการล่วงศีลข้อมุสาวาท หรือไม่ครับ? ตัวอย่างเช่น พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน) ตำรวจจะมาจับไปนะ!” หรือเพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือนเกือบแสนน่ะ” (นี้เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน ๑๒) หรือเพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอก กับที่ประชุม อาสา กับประธานว่า จะทำโครงการนั้นโครงการนี้มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่างๆ ก็ไม่ได้ทำ จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ. ก็ดีใจประประกาศ ความสำเร็จ ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง จึงไม่แน่ใจว่าใน ตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เป็นการล่วงศีลในข้อมุสาวาท หรือไม่ อย่างไรครับ ขอความเมตตาพระอาจารย์ชี้แนะครับ ตอบ : องค์ของศีลข้อมุสาวาท มีดังนี้ ๑. เรื่องไม่จริง ๒. จิตคิดจะกล่าวคำไม่จริงนั้น ๓. พยายามกล่าวคำไม่จริงนั้น ๔. ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้น คือแค่เข้าใจ แม้ไม่เชื่อ ผู้พูดก็ศีลขาดแล้ว การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth) หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะผิดและมีโทษเพียงใด ก็อยู่ที่เจตนา และผลเสียที่เกิดขึ้นจากการพูดนั้น ผลเสียมาก ก็มีโทษมาก กรณีที่ ๑ พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน) ตำรวจจะมาจับไปนะ!” – ถ้าคนแปลกหน้าที่ถูกชี้นั้นไม่ใช่ตำรวจ ก็ผิดศีล – ถ้าเป็นตำรวจจริงๆ แต่การนั่งของลูก (ที่ว่าไม่เรียบร้อยน่ะ) เป็นเหตุให้ตำรวจจับจริงหรือไม่ ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ แล้วพูดไป ก็ผิดศีล – แม้ว่าพ่อแม่จะมีเจตนาเพียงจะสั่งสอนลูก แต่ถ้านำคำไม่จริงมาสอน ก็มีผลเสีย เช่น ทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าคนนั้นเป็นตำรวจ เข้าใจว่าเพียงนั่งไม่เรียบร้อยก็เป็นให้ถูกจับ สร้างภาพในใจว่าตำรวจดุร้าย น่ากลัว เป็นต้น ซึ่งก็จะส่งผลถึงทัศนคติ บุคลิกภาพ และการใช้ชีวิตต่อไป นี่ยังดีนะ.. อาตมาเคยเดินผ่านโยมแม่-ลูก ลูกทำอะไรไม่ทันสังเกต ได้ยินแต่เสียงแม่ดุลูกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพระตี!” โถ…มาใส่ร้ายพระ! คงจะคิดผลักภาระให้พ้นตัว แต่ก็กลายเป็นกล่าววจีทุจริต เลยต้องเลี้ยวไปปรับทัศนคติสักหน่อย ตัวอย่างคำที่ควรพูดในกรณีที่ ๑ : “นั่งให้เรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวถ้าจำเป็นต้องเบรค ลูกจะได้ไม่ล้มคะมำ จะได้ไม่เจ็บตัว” “นั่งให้เรียบร้อยหน่อยนะจ๊ะ พ่อจะได้มีสมาธิขับรถ ถ้าต้องมาดูลูกบ้าง ดูถนนบ้าง เดี๋ยวมันจะเกิดอุบัติเหตุนะ” เป็นต้น คือ หันมาใช้คำพูดในเชิงแนะนำด้วยเมตตา ไม่ใช่พูดสั่งห้ามที่ระคนด้วยความโกรธ หรือพูดเอาง่ายด้วยการโกหกหลอกเด็ก กรณีที่ ๒ เพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือนเกือบแสนน่ะ” (นี้เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน ๑๒) – ถ้าเพื่อนตั้งใจอวดรวย แล้วพูดเพื่อให้เราเข้าใจว่า’เขามีรายได้มากกว่าที่เป็นจริง’ เพื่อนก็ผิดศีล ข้อมุสาวาท – ถ้าเพื่อนพูดอำเราเล่นๆ ก็เป็นพูดหยอกล้อ โทษก็เบากว่า คือต้องดูที่เจตนา กรณีที่ ๓ เพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอกกับทีประชุม อาสากับประธานว่า จะทำโครงการนั้น โครงการนี้ มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่างๆ ก็ไม่ได้ทำ จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ. ก็ดีใจประประกาศความสำเร็จ ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง กรณีนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า นาย ฮ. กล่าวมุสาวาท นาย ฮ. อาจจะได้รับคำชมจากประธาน แต่เพื่อนร่วมงานก็จะรังเกียจ และคาดว่า อีกไม่นาน..ความจริงก็จะปรากฏ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกตํ่าแบบไม่มีใครเห็นใจ! ขอยกหลักการตรัสของพระพุทธเจ้า มาแสดงประกอบ เพื่อความเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้นว่า เวลาเราจะพูดอะไรกับใคร ควรพูดหรือไม่ จะพูดอย่างไร พูดเมื่อไร หลักนั้นมีดังนี้ :- ๑. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส ๒. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส ๓. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส ๔. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส ๕. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส ๖. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส ขอแถมอีกชุด คือ องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต ได้แก่ ๑. กล่าวถูกต้องตามกาล ๒. กล่าวคำจริง ๓. กล่าวคำอ่อนหวาน ๔. กล่าวด้วยจิตเมตตา สรุปคือ – เว้นมุสาวาท – กล่าววาจาสุภาษิต – เลือกเวลาที่เหมาะสม แล้วจึงพูดเฉพาะคำพูดที่จริง ถูกต้องเป็นประโยชน์ ส่วนผู้ฟังจะชอบใจหรือไม่ เราบังคับเขาไม่ได้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ Shortlink: January 17, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ธรรมะสว่างใจ #เอาความตายเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ประมาท #ชีวิตสมสีสี ?? #ถาม : ตายแบบไหนจึงจะไปเกิดในที่ดี ๆ ดูรูปพระพุทธรูปที่บ้านได้ไหม แล้วตายแบบไหนที่จะไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแก ? #ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่าเวลาเรานึกถึงพระแล้วนึกด้วยใจแบบไหน ? เวลานึกถึงพระพุทธรูป นึกแบบไหน ? ถ้าเห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกเลยไปหาพระพุทธเจ้า.. “พระพุทธเจ้ามีพระคุณอย่างนี้ อย่างนี้.. อิติปิโส ภะคะวาติ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.” เห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกให้ถึงพระพุทธเจ้า.. อย่างนี้ได้ เห็นพระพุทธรูปแล้วศรัทธา มีความเลื่อมใส นึกไม่ต้องมากก็ได้ แค่ว่า ‘พุทโธ.. พุทโธ.. พุทโธ..’ ก็ยังได้ แต่ถ้านึกเห็นภาพพระพุทธรูปที่บ้านเรา.. ‘องค์นี้แพงมาก เช่ามาตั้ง ๓ ล้าน’ คิดอย่างนี้ แล้วตายไป..ไม่ไปเป็นเทวดา ‘เสียดาย ! เสียดายพระพุทธรูปองค์นี้’ ! เคยมีเรื่องหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯ เคยทรงเล่าเอาไว้.. คน ๆ หนึ่งตายไป เพื่อนก็รู้ว่า เพื่อนคนนี้ที่ตายไปสะสมพระพุทธรูปไว้เยอะ ก็อยากจะดู ห้องพระของเขาใหญ่มาก ห้องพระใหญ่ สะสมพระไว้เยอะ พระรุ่นนั้น รุ่นนี้ สมัยนั้น สมัยนี้ .. ปรากฏว่าระหว่างที่ชมพระพุทธรูปอยู่นั้น มีงูเห่า ไม่รู้มาอย่างไร อยู่ในห้องพระนั้น ! ชูหัวขึ้นมา แผ่แม่เบี้ยด้วย !! พระราคาแพง ๆ ทั้งนั้นเลย เพื่อนก็ไหวตัวทัน รู้เลยว่า ..’เพื่อนเราน่ะ.. คงจะหวง’ ก็เลยพูดกับงูว่า “เพื่อน.. เรามาขอชมบารมีเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะเอาพระพุทธรูปองค์ไหนเลย มาขอชมบารมี.. ขอดูสิว่าเพื่อนสะสมอะไรไว้บ้าง โอ้โห ! พระดี ๆ ทั้งนั้นเลย พระมีคุณค่าทางศิลปะ มีคุณค่า มีความงาม มีคุณค่าในแง่ของความเก่าแก่ โอ้! ดี ๆ ทั้งนั้นเลย.. มาขอชมบารมีเท่านั้น ! ไม่ต้องห่วง เราจะไม่แตะไม่ขยับพระองค์ไหนเลยสักองค์หนึ่ง” พอพูดกับเพื่อนไปอย่างนั้นนะ งูตัวนั้นจากแผ่แม่เบี้ย ก็หด มุดหายไปตรงไหนก็ไม่รู้ ตัวอย่างอันนี้ก็เรียกว่า แม้นึกถึงพระ..แล้วก็ยังไม่แน่ ! นึกถึงพระแล้ว อาจจะไม่ใช่จิ้งจกก็ได้ อาจจะเป็น “งูเห่าหวงทรัพย์” อยู่ในนั้นก็ได้ แต่ถ้านึกเพียงแค่ว่า ‘บ้านเราเป็นอย่างไรหนอ ?’ “ห่วงบ้าน” ‘บ้านเราจะมีใครเฝ้าไหมหนอ ?’ คิดอย่างนี้นะ ก็อาจจะไปเป็นจิ้งจกเกาะตามฝาผนังบ้าน ก็แล้วแต่.. เลือกได้นะ เราจะเลือกไปเป็นอะไร ? จะไปเป็นงูเห่า? จะไปเป็นจิ้งจก? หรือจะไปเป็นเทวดา? หรือจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอริยะ? แค่นึกถึงพระพุทธรูป แต่นึกถึงด้วยลักษณะต่างกัน ผลก็ไม่เหมือนกันนะ นึกถึงพระพุทธรูปแบบระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ก็แบบหนึ่ง นึกถึงพระพุทธรูปด้วยความหวงแหน ก็จะไปเป็นอีกแบบหนึ่ง นึกแล้วจิตเป็นอย่างไร ? จิตมีความหวงแหน ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วระลึกถึงคำสอนของพระองค์ว่า “พระองค์สอนอะไร ?” แล้วตอนนี้สิ่งที่กำลังปรากฏกับชีวิตนี้ กำลังเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ! ร่างกายเป็นทุกข์บีบคั้นขนาดนี้ มันบีบคั้นจริง !! ใกล้ตายแล้ว..มันก็มีความบีบคั้นจริง เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าแสดง จิตเกิด-ดับ รวดเร็วจริง เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนั้น เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนี้ เดี๋ยวจิตก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง เห็นจริง !! นึกถึงพระพุทธเจ้า และนึกถึงคำสั่งสอนด้วย ก็เอาน้อมมาเห็นจริงในสิ่งที่มันปรากฏจริง ๆ ในจิตขณะนี้ด้วย อย่างนี้มีประโยชน์มาก แล้วบางทีก็จะสามารถบรรลุมรรผลก่อนตาย การบรรลุมรรคผลก่อนที่จะมีจิตสุดท้ายเกิดขึ้น เขาเรียกว่า “ชีวิตสมสีสี” เป็นผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วก็ดับจิตพอดี อันนี้ก็เป็นไปได้ บางท่านอาจจะไม่ถึงกับเป็นพระอรหันต์ บางทีก็จะบรรลุมรรคผลในตอนที่ใกล้ตายนั่นเอง *** มีโยมคนหนึ่งไปดูแลพระอาพาธ พระอาพาธนี้ก็อาพาธหนัก แรก ๆ ก็ดูว่าเป็นพระที่ภาวนาไม่ได้เข้าตากรรมการ ประมาณว่าดูไม่โดดเด่นอะไร แต่พอมีอาพาธใกล้ตายขึ้นมา แล้วพอวันท้าย ๆ ครูบาอาจารย์ก็ไปเตือนว่า “ตายแน่ ๆ” ครูบาอาจารย์ไปเตือน… ท่านไม่ได้ไปปลอบโยนว่า “เดี๋ยวก็หาย” เพราะเป็นหลอกลวงกัน และทำให้พระรูปนั้นประมาท ถ้าปลอบว่า “เดี๋ยวก็หาย” ก็อาจจะประมาทต่อ ทีนี้ที่ครูบาอาจารย์ไปเนี่ย ท่านไปชี้ว่า.. “คราวนี้ตายแน่นะ อย่าคิดว่ามันจะหายนะ ! ตายแน่ ! ให้ทำใจไว้เลยว่าตายแน่ ทำอย่างไร..จะตายแล้วให้ดี ? ทำอย่างไร..จะเตรียมพร้อมก่อนจะตาย ? นับจากนี้ ไปถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทำอย่างไรที่เราจะเห็นความจริงของชีวิตนี้ให้ได้ ?” ท่านก็เอาจริงเลยคราวนี้.. เปลี่ยนเลย ! จากพระที่ภาวนาที่แบบว่าไม่เข้าตากรรมการ กลายเป็นว่าเริ่มจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา สู้ขึ้นมาเลย เวทนาอะไรเกิดขึ้นมาก็รู้ทัน บางทีก็เผลอโอดโอยบ้าง เดี๋ยวบางทีก็ฮึดขึ้นมาสู้ ดูใหม่ ดูเวทนาไป ด้วยความที่โรคนั้นก็ร้ายแรงพอที่จะตัดชีวิตท่านได้นะ แต่ใจท่านก็มีเรี่ยวแรง มีวิริยบารมีเกิดขึ้นมาด้วย ปรากฏว่าความที่ท่านตั้งใจที่จะพัฒนาจิตใจของท่านให้ได้ ตั้งใจที่จะรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์สั่งสอนให้ได้ พยายามจะทำธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้ปรากฏกับจิตท่านให้ได้ พระพุทธองค์สอนว่า“รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูรูปกายของท่านเนี่ย มันกำลังแสดงความจริงอันนี้อยู่ สอนว่า “นามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูความจริงของนามอันนี้อยู่ ดูจิตที่มันเปลี่ยนแปลง ดูกายที่กำลังบีบคั้น ปรากฏว่าตอนใกล้ตาย บอกกับโยมที่มาช่วยดูแลว่า “ช่วยประคองหน่อย ขอประคองตัวให้นั่งหน่อย” โยมคนนั้นก็ไปประคองตัวให้นั่ง พอนั้งปุ๊บเนี่ยนะ ด้วยโรคมันบีบคั้น ร่างกายท่านก็กระตุก ๆ ๆ ๆ แล้วก็มรณภาพ แต่คนที่ประคองสัมผัสได้ทางใจเลยว่า รู้สึกเย็นวาบ ความเย็นวาบนั้นไม่ใช่เย็นแบบน่ากลัว ไม่ใช่เย็นเหมือนคนเข้าป่าช้านะ ไม่ใช่เย็นอย่างนั้น มันเย็นแบบฉ่ำใจ !! เขาก็เอาเรื่องนี้ไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกว่า “อ้อ.. อันนี้โยมสัมผัสได้ถึงจิตของท่าน จิตของท่านตอนตาย น่าจะอยู่ชั้นดุสิต” ท่านเทียบเคียงเอาตามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ว่า เทวดาชั้นดุสิตสภาพจะเย็นฉ่ำ เวลาโยมคนนี้ไปบรรยายให้ครูบาอาจารย์ฟัง ครูบาอาจารย์ก็บอกว่า อย่างนี้ก็น่าจะตายไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต แล้วก็น่าจะได้ดี เห็นความจริง ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เห็นความจริงว่ากายนี้มันควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่เรา จิตนี้ก็ควบคุมไม่ได้ไม่ใช่เรา น่าจะได้ดีระดับนี้ด้วย *** เอาเวลาที่เหลืออยู่ เอาให้มันเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้มาก เอาความตายมาเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาเป็น” นึกถึง ความตายแล้วภาวนา ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายแล้วห่อเหี่ยว ‘กูจะตายเสียแล้ว.. กลัว !’ อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาไม่เป็น” ต้องปรับทัศนคติใหม่ ระลึกถึงความตายแล้ว ให้ความตายนั้นมาเตือนใจให้ไม่ประมาท *** พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/859025491513513 (นาทีที่ 1.39.40-1049.17 ) Shortlink: January 15, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ธรรมะสว่างใจ #เอาความตายเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ประมาท #ชีวิตสมสีสี ?? #ถาม : ตายแบบไหนจึงจะไปเกิดในที่ดี ๆ ดูรูปพระพุทธรูปที่บ้านได้ไหม แล้วตายแบบไหนที่จะไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแก ? #ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่าเวลาเรานึกถึงพระแล้วนึกด้วยใจแบบไหน ? เวลานึกถึงพระพุทธรูป นึกแบบไหน ? ถ้าเห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกเลยไปหาพระพุทธเจ้า.. “พระพุทธเจ้ามีพระคุณอย่างนี้ อย่างนี้.. อิติปิโส ภะคะวาติ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.” เห็นพระพุทธรูปแล้ว..นึกให้ถึงพระพุทธเจ้า.. อย่างนี้ได้ เห็นพระพุทธรูปแล้วศรัทธา มีความเลื่อมใส นึกไม่ต้องมากก็ได้ แค่ว่า ‘พุทโธ.. พุทโธ.. พุทโธ..’ ก็ยังได้ แต่ถ้านึกเห็นภาพพระพุทธรูปที่บ้านเรา.. ‘องค์นี้แพงมาก เช่ามาตั้ง ๓ ล้าน’ คิดอย่างนี้ แล้วตายไป..ไม่ไปเป็นเทวดา ‘เสียดาย ! เสียดายพระพุทธรูปองค์นี้’ ! เคยมีเรื่องหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯ เคยทรงเล่าเอาไว้.. คน ๆ หนึ่งตายไป เพื่อนก็รู้ว่า เพื่อนคนนี้ที่ตายไปสะสมพระพุทธรูปไว้เยอะ ก็อยากจะดู ห้องพระของเขาใหญ่มาก ห้องพระใหญ่ สะสมพระไว้เยอะ พระรุ่นนั้น รุ่นนี้ สมัยนั้น สมัยนี้ .. ปรากฏว่าระหว่างที่ชมพระพุทธรูปอยู่นั้น มีงูเห่า ไม่รู้มาอย่างไร อยู่ในห้องพระนั้น ! ชูหัวขึ้นมา แผ่แม่เบี้ยด้วย !! พระราคาแพง ๆ ทั้งนั้นเลย เพื่อนก็ไหวตัวทัน รู้เลยว่า ..’เพื่อนเราน่ะ.. คงจะหวง’ ก็เลยพูดกับงูว่า “เพื่อน.. เรามาขอชมบารมีเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะเอาพระพุทธรูปองค์ไหนเลย มาขอชมบารมี.. ขอดูสิว่าเพื่อนสะสมอะไรไว้บ้าง โอ้โห ! พระดี ๆ ทั้งนั้นเลย พระมีคุณค่าทางศิลปะ มีคุณค่า มีความงาม มีคุณค่าในแง่ของความเก่าแก่ โอ้! ดี ๆ ทั้งนั้นเลย.. มาขอชมบารมีเท่านั้น ! ไม่ต้องห่วง เราจะไม่แตะไม่ขยับพระองค์ไหนเลยสักองค์หนึ่ง” พอพูดกับเพื่อนไปอย่างนั้นนะ งูตัวนั้นจากแผ่แม่เบี้ย ก็หด มุดหายไปตรงไหนก็ไม่รู้ ตัวอย่างอันนี้ก็เรียกว่า แม้นึกถึงพระ..แล้วก็ยังไม่แน่ ! นึกถึงพระแล้ว อาจจะไม่ใช่จิ้งจกก็ได้ อาจจะเป็น “งูเห่าหวงทรัพย์” อยู่ในนั้นก็ได้ แต่ถ้านึกเพียงแค่ว่า ‘บ้านเราเป็นอย่างไรหนอ ?’ “ห่วงบ้าน” ‘บ้านเราจะมีใครเฝ้าไหมหนอ ?’ คิดอย่างนี้นะ ก็อาจจะไปเป็นจิ้งจกเกาะตามฝาผนังบ้าน ก็แล้วแต่.. เลือกได้นะ เราจะเลือกไปเป็นอะไร ? จะไปเป็นงูเห่า? จะไปเป็นจิ้งจก? หรือจะไปเป็นเทวดา? หรือจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอริยะ? แค่นึกถึงพระพุทธรูป แต่นึกถึงด้วยลักษณะต่างกัน ผลก็ไม่เหมือนกันนะ นึกถึงพระพุทธรูปแบบระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ก็แบบหนึ่ง นึกถึงพระพุทธรูปด้วยความหวงแหน ก็จะไปเป็นอีกแบบหนึ่ง นึกแล้วจิตเป็นอย่างไร ? จิตมีความหวงแหน ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ก็เป็นแบบหนึ่ง นึกแล้วระลึกถึงคำสอนของพระองค์ว่า “พระองค์สอนอะไร ?” แล้วตอนนี้สิ่งที่กำลังปรากฏกับชีวิตนี้ กำลังเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ! ร่างกายเป็นทุกข์บีบคั้นขนาดนี้ มันบีบคั้นจริง !! ใกล้ตายแล้ว..มันก็มีความบีบคั้นจริง เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าแสดง จิตเกิด-ดับ รวดเร็วจริง เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนั้น เดี๋ยวก็กังวลถึงคนนี้ เดี๋ยวจิตก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง เห็นจริง !! นึกถึงพระพุทธเจ้า และนึกถึงคำสั่งสอนด้วย ก็เอาน้อมมาเห็นจริงในสิ่งที่มันปรากฏจริง ๆ ในจิตขณะนี้ด้วย อย่างนี้มีประโยชน์มาก แล้วบางทีก็จะสามารถบรรลุมรรผลก่อนตาย การบรรลุมรรคผลก่อนที่จะมีจิตสุดท้ายเกิดขึ้น เขาเรียกว่า “ชีวิตสมสีสี” เป็นผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วก็ดับจิตพอดี อันนี้ก็เป็นไปได้ บางท่านอาจจะไม่ถึงกับเป็นพระอรหันต์ บางทีก็จะบรรลุมรรคผลในตอนที่ใกล้ตายนั่นเอง *** มีโยมคนหนึ่งไปดูแลพระอาพาธ พระอาพาธนี้ก็อาพาธหนัก แรก ๆ ก็ดูว่าเป็นพระที่ภาวนาไม่ได้เข้าตากรรมการ ประมาณว่าดูไม่โดดเด่นอะไร แต่พอมีอาพาธใกล้ตายขึ้นมา แล้วพอวันท้าย ๆ ครูบาอาจารย์ก็ไปเตือนว่า “ตายแน่ ๆ” ครูบาอาจารย์ไปเตือน… ท่านไม่ได้ไปปลอบโยนว่า “เดี๋ยวก็หาย” เพราะเป็นหลอกลวงกัน และทำให้พระรูปนั้นประมาท ถ้าปลอบว่า “เดี๋ยวก็หาย” ก็อาจจะประมาทต่อ ทีนี้ที่ครูบาอาจารย์ไปเนี่ย ท่านไปชี้ว่า.. “คราวนี้ตายแน่นะ อย่าคิดว่ามันจะหายนะ ! ตายแน่ ! ให้ทำใจไว้เลยว่าตายแน่ ทำอย่างไร..จะตายแล้วให้ดี ? ทำอย่างไร..จะเตรียมพร้อมก่อนจะตาย ? นับจากนี้ ไปถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทำอย่างไรที่เราจะเห็นความจริงของชีวิตนี้ให้ได้ ?” ท่านก็เอาจริงเลยคราวนี้.. เปลี่ยนเลย ! จากพระที่ภาวนาที่แบบว่าไม่เข้าตากรรมการ กลายเป็นว่าเริ่มจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา สู้ขึ้นมาเลย เวทนาอะไรเกิดขึ้นมาก็รู้ทัน บางทีก็เผลอโอดโอยบ้าง เดี๋ยวบางทีก็ฮึดขึ้นมาสู้ ดูใหม่ ดูเวทนาไป ด้วยความที่โรคนั้นก็ร้ายแรงพอที่จะตัดชีวิตท่านได้นะ แต่ใจท่านก็มีเรี่ยวแรง มีวิริยบารมีเกิดขึ้นมาด้วย ปรากฏว่าความที่ท่านตั้งใจที่จะพัฒนาจิตใจของท่านให้ได้ ตั้งใจที่จะรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์สั่งสอนให้ได้ พยายามจะทำธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้ปรากฏกับจิตท่านให้ได้ พระพุทธองค์สอนว่า“รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูรูปกายของท่านเนี่ย มันกำลังแสดงความจริงอันนี้อยู่ สอนว่า “นามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” ท่านก็จะดูความจริงของนามอันนี้อยู่ ดูจิตที่มันเปลี่ยนแปลง ดูกายที่กำลังบีบคั้น ปรากฏว่าตอนใกล้ตาย บอกกับโยมที่มาช่วยดูแลว่า “ช่วยประคองหน่อย ขอประคองตัวให้นั่งหน่อย” โยมคนนั้นก็ไปประคองตัวให้นั่ง พอนั้งปุ๊บเนี่ยนะ ด้วยโรคมันบีบคั้น ร่างกายท่านก็กระตุก ๆ ๆ ๆ แล้วก็มรณภาพ แต่คนที่ประคองสัมผัสได้ทางใจเลยว่า รู้สึกเย็นวาบ ความเย็นวาบนั้นไม่ใช่เย็นแบบน่ากลัว ไม่ใช่เย็นเหมือนคนเข้าป่าช้านะ ไม่ใช่เย็นอย่างนั้น มันเย็นแบบฉ่ำใจ !! เขาก็เอาเรื่องนี้ไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกว่า “อ้อ.. อันนี้โยมสัมผัสได้ถึงจิตของท่าน จิตของท่านตอนตาย น่าจะอยู่ชั้นดุสิต” ท่านเทียบเคียงเอาตามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ว่า เทวดาชั้นดุสิตสภาพจะเย็นฉ่ำ เวลาโยมคนนี้ไปบรรยายให้ครูบาอาจารย์ฟัง ครูบาอาจารย์ก็บอกว่า อย่างนี้ก็น่าจะตายไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต แล้วก็น่าจะได้ดี เห็นความจริง ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เห็นความจริงว่ากายนี้มันควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่เรา จิตนี้ก็ควบคุมไม่ได้ไม่ใช่เรา น่าจะได้ดีระดับนี้ด้วย *** เอาเวลาที่เหลืออยู่ เอาให้มันเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้มาก เอาความตายมาเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาเป็น” นึกถึง ความตายแล้วภาวนา ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายแล้วห่อเหี่ยว ‘กูจะตายเสียแล้ว.. กลัว !’ อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนาไม่เป็น” ต้องปรับทัศนคติใหม่ ระลึกถึงความตายแล้ว ให้ความตายนั้นมาเตือนใจให้ไม่ประมาท *** พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/859025491513513 (นาทีที่ 1.39.40-1049.17 ) Shortlink: January 15, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔ เล่ม ๑ #รู้จักโมหะหรือยัง ☘️☘️☘️ ถาม : “โมหะ” นี่คืออะไรคะ แล้วมันเกี่ยวกับ “ความหลง” ยังไงคะ? ตอบ : “โมหะ” มีลักษณะ มีการทำ งาน มีผลปรากฏ และมีเหตุใกล้ให้เกิด ที่เราจะสามารถสังเกตได้ ดังนี้ :- – มีลักษณะ คือ ไม่รู้ความจริงของสภาวธรรม – งานของมัน คือ ทำ ให้มีการปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์ – ผลที่ปรากฏ คือ ความมืดมน – มีความใส่ใจในอารมณ์โดยไม่แยบคาย เป็นเหตุใกล้ให้เกิด ฉะนั้น สภาวะที่เรียกว่า หลง เผลอ เหม่อ ซึม ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ ใจลอย อย่างนี้จัดเข้าใน “โมหะ”ทั้งหมด แต่ทันทีที่รู้ว่าเมื่อกี้นี้ หลง เผลอ เหม่อ ซึม ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ ใจลอย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขณะที่รู้นั้นโมหะก็ดับ กลายเป็นสติขึ้นมา เราก็มาใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตเมื่อกี้นี้บ่อยๆ ก็จะสามารถเปลี่ยน “หลง” เป็น “รู้” ได้ หลงบ้าง รู้บ้าง อย่างนี้บ่อยๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นลำดับ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ Shortlink: January 5, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ฆ่าสุนัขบ้า #ปาณาติบาต ??? #ถาม : สุนัขบ้า แมวบ้า ถ้าจะ “ฆ่า” จะบาปไหม? #ตอบ : สุนัขบ้า แมวบ้า ถ้าเราจะฆ่า มันก็เข้าองค์ปาณาติบาต คือเกณฑ์ที่จะตัดสินว่าผิดศีลข้อที่ ๑ ได้แก่ – สัตว์นั้นมีชีวิต – เรารู้อยู่ว่าเขามีชีวิต – เรามีจิตคิดจะฆ่า – แล้วก็เราจะทำการลงมือฆ่า – เขาเสียชีวิตไป จากการกระทำของเรา คือที่เขาสิ้นชีวิตไปเนี่ย ก็คือเราไปฆ่าเขา เรารู้อยู่ว่า เขามีชีวิต-ฆ่าเขา ก็เป็นการทำ “ปาณาติบาต” ทีนี้การทำปาณาติบาตเนี่ย อย่างไรเสียมันก็บาป แต่จะบาปมากหรือบาปน้อย มันขึ้นอยู่กับว่า .. “เรามีวัตถุประสงค์ในการฆ่านั้นแบบไหน?” ถ้าเห็นว่าสุนัข หรือแมวนั้นจะเป็นโทษ เป็นภัย คืออาจจะทำให้คนติดเชื้อสุนัขบ้า อะไรอย่างนี้นะ เราจำเป็นต้องกำจัด ในความรู้สึกของเรา ก็ให้คิดว่า “จะช่วยป้องกันคนอื่น ๆ ไม่ให้ได้รับเชื้อจากสุนัขบ้า หรือแมวบ้านั้น” อย่างน้อย ๆ คิดอย่างนี้ มันทำด้วยจิตที่เป็นกุศล คือคิดสงเคราะห์ หรือช่วยเหลือคนอื่น แต่ว่ามันก็มีมลทินหมอง ๆ อยู่หน่อย ตรงที่ว่า เราไปทำการฆ่าเขา แต่ถ้าเทียบกับว่า ฆ่าเล่น, ฆ่าด้วยความโกรธ, ฆ่าด้วยความสะใจ เหล่านี้มันทำด้วยอกุศลล้วน ๆ อันนี้ก็ต้องเลือกเอาระหว่างที่ว่า จะปล่อยให้มันมีแมวบ้า หมาบ้า อยู่ในหมู่บ้านเรา แล้วก็เสี่ยงที่เด็กเราจะถูกกัด แล้วก็กลายเป็นโดนพิษสุนัขบ้า หรือพิษแมวบ้า กับ การฆ่าเขา หรือว่า “จับเขาโดยที่ไม่ต้องฆ่า” ได้หรือไม่? จับเขาไว้เฉย ๆ เนี่ยแหละ ให้อาหารให้น้ำไป เดี๋ยวเขาก็จะตายเองอยู่แล้วจากโรคที่เขาเป็นอยู่ ถ้าเรามีทางเลือกอย่างนี้ แล้วเรามีปัญญาว่า อย่างไรเสีย เดี๋ยวเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว เราอาจจะไม่ต้องฆ่าก็ได้ เพียงแต่หาที่จำกัดที่ของเขา ไม่ให้ไปทำร้ายคนอื่น อย่างนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น การฆ่าเนี่ย..อย่างไรก็บาป แต่ถ้าเราจำกัดที่อยู่ไม่ให้ไปทำร้ายใคร แล้วเขาตายด้วยโรคของเขาเองอยู่แล้ว อย่างนี้ไม่บาป แต่ในระหว่างนั้นเราก็ให้อาหารเขานะ เขาอาจจะกินไม่ได้ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราให้โอกาสที่จะให้อาหารเขาแล้ว เราลองเลือกทางนี้ดู ก็น่าจะทำให้ไม่ต้องไปเศร้าหมองว่าเราไปฆ่าสัตว์ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการคนตัวเบา ep.95 ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=grX3EjX7G1g Shortlink: January 3, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ #เห็นจิตไหลจิตจะตั้งหมั่น ??? #ถาม : ขออนุญาตค่ะ มีคำถามว่า การที่พระอาจารย์หรือพระ หลายองค์ สอนให้โยมทั้งหลาย ปฏิบัติโดยดูการเคลื่อนไหวของจิต เช่น ดูจิตไหล วัตถุประสงค์จริงๆ แล้ว… การดูจิตไหล กับการที่ ทำให้จิตสะอาดหมดจดนี่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ดิฉันไม่เข้าใจว่า เราดูจิตไหลเพื่ออะไร? เราได้อะไรจากการที่เห็นจิตไหลหรือคะ? #ตอบ : จิตสะอาดสดใสหมดจด..นี่เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่จะสะอาด หมดจดได้นี่ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ คุณภาพที่เราต้องการ คือจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นนี่ คนที่ไม่เคยทำก็จะทำไม่เป็น ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเป็นกันอยู่ นี่คือ มันเคลื่อนไป ไหลไปหาอารมณ์ต่างๆ นี่ทำเป็น ทำง่าย แต่ทำแล้วนี่ เช่นสมมติว่าจะดูดอกไม้ ก็ไหลไปหาดอกไม้ได้ง่าย จะดูพระพุทธรูป ก็ไหลไปหาพระพุทธรูปง่าย แต่สิ่งนั้นไม่เอื้อต่อการให้เกิดปัญญา ไม่เอื้อต่อการให้จิตบริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา เพราะว่าจิตจะบริสุทธิ์มีปัญญาอย่างนั้นได้อ่ะ ต้องเป็นจิตที่มีคุณภาพประกอบ ด้วยกุศลธรรม ๓ ประการสำคัญๆ คือ สติ สมาธิ และปัญญา สติ จะมีได้จากการที่เราเห็นสภาวะ เช่น กิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจ เห็นราคะ เห็นโทสะ เห็นโมหะ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เห็นคนโน้น คนนี้ สมาธิ มี ๒ แบบ คือ สมาธิที่ไหลไปเพ่งอารมณ์ กับ สมาธิที่จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น หมายความว่ามันไม่ไหลไปหาอารมณ์ ที่ทำเป็นกันส่วนใหญ่ ก็คือ ทำจิตให้ไหลไปหาอารมณ์หนึ่งที่เราชอบ ถ้าทำได้ก็ได้สมถะ เป็นเรื่องดี เป็นกุศล แต่ไม่พอ! ยังไม่เป็นจิตที่มีคุณภาพพอที่จะให้เกิดปัญญา ระดับที่ทำให้เกิดความเข้าใจและจิตบริสุทธิ์ เพราะว่าจิตจะเข้าใจเกิดปัญญา และเกิดความบริสุทธิ์ได้ ต้องเป็นปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อจิตไหลไปอยู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มันจะเห็นว่าอารมณ์นั้นเที่ยง แล้วถ้ามีกิเลสขึ้นมา แล้วไม่ยอมใช้สติ ดู แต่หาอะไรก็ตามไปกลบให้กิเลสตัวนั้นดับไป เช่น มีความโกรธแล้ว เจริญเมตตาให้โกรธดับ หรือว่าเห็นคุณความดีของคนนั้นให้โกรธดับ อย่างนี้เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้กิเลสนั้นดับไป มีการกระทำเกิดขึ้น การกระทำอย่างนั้นเป็นลักษณะของการแทรกแซง และไม่เป็นกลาง เป็นได้เพียงการทำสมถกรรมฐาน หลักของสมถกรรมฐาน คือ เมื่อเกิดกิเลสขึ้นมา ก็หาทางสงบกิเลส ด้วยการกระทำของเรา อย่างนี้เราจะไม่เห็นความจริงของกิเลส คือ ไม่เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกิเลส เราจะรู้สึกว่า กิเลสเกิดขึ้นมา เราสามารถทำให้กิเลสนั้นดับไปได้ หมายความว่า มันดับเพราะ “เราทำ” มันไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นดับเอง ไม่สามารถที่จะเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของความปรุงแต่งที่ไม่ดี เมื่อกี้ที่เกิดขึ้นได้ กลับกลายเป็นว่า “กูเก่ง” ด้วยซํ้าไป อนัตตาไม่เห็น มีแต่อัตตาที่ใหญ่ขึ้น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่เห็น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นตรงนี้นะ ที่ว่า..กูเก่ง กูเก่งนี่ก็ไม่เห็น (“อัตตา” ในที่นี้เป็นสำนวนพูด ที่ถูกควร ใช้คำว่า “มานะ”) เพราะฉะนั้น ถ้าทำสมถะเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถเข้าใจหรือเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้ จึงต้องมีการทำสมาธิอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน คือจิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต แต่วิธีนี้บอกกันแล้วให้ทำ นะ! เราก็ทำกันไม่เป็น ทำยาก เหมือนให้นึกหน้าแม่ของประธานาธิบดี ประเทศวานูอาตู ไม่รู้จัก ให้นึก นึกตอนนี้ นึกไม่ได้เพราะว่าจิตไม่ คุ้นเคย เพราะฉะนั้นเอาสิ่งที่จิตมันคุ้นเคยมาทำ จิตมันเคยทำอะไร? จิตมันเคยไหล พอรู้ว่าจิตไหล จิตก็ตั้งมั่น สมมติว่านิ้ว เป็นจุดหมายที่จิตจะไหลไป พอความรับรู้มันไหลไปหา นิ้วแทนที่จะไปดูนิ้ว เห็นความไหลของจิต ตอนนี้เห็นจิตพอดี อยู่กับ จิตพอดี เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นความไหลของจิต มันจึงไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันอยู่กับจิตพอดี ตอนอยู่กับจิตพอดีนี่เรียกว่า…‘จิตตั้งมั่น’ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบหนึ่งที่เราต้องการ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิ แบบลักขณูปนิชฌาน มันไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันตั้งมั่นอยู่กับจิต แล้วมันจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตนี่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. มันจะเห็นความไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งต่างๆ ที่ปรุงแต่งได้ ซึ่งตอนที่จิตเพ่งอยู่กับ อารมณ์ นิ่งๆ สงบๆ อย่างนั้นจะมาดูให้เห็นไตรลักษณ์อย่างนี้ไม่ได้ จิตที่นิ่งที่สงบเป็นจิตที่ดีก็จริง แต่ว่าดีแบบโลกๆ ยังเป็นโลกียะ เป็น สมาธิที่อยู่ในโลก แต่จะให้พ้นโลกไป ต้องใช้สมาธิที่เห็นความจริงของ โลก ไม่ใช่เห็นว่าโลกดี ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้สงบ ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข สุข สงบ ดี กลายเป็นตัวล่อให้เราอยากอยู่ในโลกนี้ต่อ เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆ ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้แต่ตัวจิตเอง ตัวจิตเองก็เกิดดับ เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป.. เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป.. เพราะฉะนั้นเห็นว่ามัน ตั้งมั่นแว็บนึงนี่ดีมาก!! สำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า จิตที่ตั้งมั่นก็เสื่อมได้ มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ! จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา เข้าใจที่ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เป็นการเข้าใจระดับปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้นจะไม่เกิดมรรคผล เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึกอย่าพอใจ เพียงแค่สงบ เพ่งอารมณ์อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แล้วสงบพอใจ แค่นั้น ได้กุศลก็จริง แต่ไม่พอ แล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคนแล้ว พบพระพุทธศาสนาแล้ว ทำได้แค่ที่ฤๅษีเค้าทำกัน อย่างที่พระสารีบุตร บอกว่า.. ท่านเคยเป็นฤๅษีมา ๕๐๐ ชาติ ชำนาญวิธีนี้มามาก แล้วไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผล ถ้าเกิดมรรคผลได้ท่านสำเร็จตั้งแต่ ชาติแรกที่ทำได้แล้ว แต่ในที่สุด ท่านก็ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า เพื่อมาเรียน ลักขณูปนิชฌาน.. พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘ Shortlink: December 28, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กาลิก #มะม่วงกวนคลุกพริกกะเกลือ ??? ถาม : มะม่วงกวนคลุกพริกกะเกลือถือเป็นกาลิกหรือไม่ ถ้าเป็นเป็นแบบไหนเจ้าคะ? ตอบ : คำว่า “กาลิก” เป็นคำกลางๆ แปลว่า เนื่องด้วยกาล ขึ้นกับกาล ในทางพระวินัย หมายถึง ของอันจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไป ซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้และฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกเป็น ๔ อย่าง ได้แก่ ๑. ยาวกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของวันนั้น เช่น ข้าว ปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ ขนมต่างๆ ๒. ยามกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือก่อนอรุณของวันใหม่ ได้แก่ ปานะ คือ น้ำคั้นผลไม้ที่ทรงอนุญาต ๓. สัตตาหกาลิก รับประเคนไว้แล้วฉันได้ภายในเวลา ๗ วัน ได้แก่ เภสัชทั้ง ๕ (เนยใส, เนยข้น, น้ำมัน, น้ำผึ้ง, น้ำอ้อย) ๔. ยาวชีวิก รับประเคนแล้ว ฉันได้ตลอดไปไม่จำกัดเวลา เก็บไว้ฉันได้ตลอดอายุของยานั้น ได้แก่ ของที่ใช้ปรุงเป็นยา ที่ทำจากรากไม้ เปลือกไม้ ใบไม้ เป็นต้น นอกจากกาลิก ๓ ข้อต้น มะม่วงกวน จัดเข้าใน ยาวกาลิก พริก จัดเข้าใน ยาวชีวิก เกลือ จัดเข้าใน ยาวชีวิก แต่พริกกะเกลือ ถ้ามีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย จัดเข้าใน สัตตาหกาลิก คือถ้ามีของหลายกาลิกปนกัน ให้นับตามกาลิกที่อายุสั้นกว่า พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ตอบโจทย์ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ Shortlink: December 26, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๙ (เล่ม ๑ หน้า ๓๒-๓๓) ถาม : ผมอยากไปเที่ยวภพภูมิทั้ง ๓๑ ชั้น ควรจะทำอย่างไรครับ? ตอบ : จะไปทำไมให้ครบทั้ง ๓๑ ชั้น? – ไม่คิดบ้างหรือว่า… การจะไปดูให้ครบทุกชั้นนั้น จะต้องไปชั้นที่เป็น ‘อบาย’ ด้วยนะ อยากไปนรกหรือ? อยากไปเป็นเปรตหรือ? อยากไปเป็นอสุรกายหรือ? อยากไปเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือ? – ไม่คิดบ้างหรือว่า… เราก็เคยไปมาเกือบครบแล้ว จะไม่เคยไป ก็เพียงสุทธาวาส ๕ ชั้น เท่านั้น เพราะที่นั่นเป็นที่เกิดของพระอนาคามี เราไม่ได้เป็นพระอนาคามี ยังไงๆ ก็ไปเกิดไปดูชั้น‘สุทธาวาส’ นี้ไม่ได้ – ไม่คิดบ้างหรือว่า… บางทีเราก็คิด ‘อยากเที่ยว’ อย่างนี้มาหลายชาติแล้ว แต่ไปเกิดใหม่ทีไร ก็ลืมชาติก่อนทุกที แล้วก็คิดว่า “ทำอย่างไรจึงจะได้เที่ยวดูให้ทั่ว?” ทุกที กลายเป็นความอยากที่ค้างคาใจไปตลอดสังสารวัฏ – ไม่คิดบ้างหรือว่า… แท้จริงแล้ว คุณภาพของจิตนี้นี่แหละที่เป็นเหตุพาให้ไปเกิดในภูมิทั้งหลาย ถ้าขณะใดโกรธ…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์นรก ถ้าขณะใดโลภ…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเปรต ถ้าขณะใดหลง…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าขณะใดมีศีล…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของมนุษย์ ถ้าขณะใดมีหิริโอตตัปปะ…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเทวดา ถ้าขณะใดเข้ารูปฌาน…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของรูปพรหม ถ้าขณะใดเข้าอรูปฌาน…จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของอรูปพรหม ถ้าเราเจริญสติดูจิต เราก็จะได้เที่ยวไปในภูมิทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตาย-เกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน และหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ Shortlink: December 23, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ศีล5ข้อไหนบาปที่สุด #ระวังการกระทำ #ระวังวาจา ??? #ถาม: ศีล ๕ ทำผิดข้อไหนบาปที่สุด? #ตอบ: ถามอย่างนี้ คือถามในแง่ความเห็น เพราะว่าถ้าจะตอบให้ตรงจริง ๆ ถ้าจะอ้างพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าไม่ได้ตอบเอาไว้ มีแต่ชี้โทษของ ๕ ข้อ เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะตัดสินว่าข้อนั้นถูก ข้อนี้มีโทษมากที่สุด ให้วงเล็บไว้ด้วยว่า.. เป็นความเห็นส่วนตัว ส่วนใหญ่จะบอกว่าข้อ ๕ เพราะว่า พอเมาแล้วจะไปผิดข้ออื่น ๆ ได้หมดเลย บางทีก็มีคนแย้ง เช่น ทำผิดข้อ ๑ คือไปฆ่าเขา ก็สามารถจะไปผิดข้ออื่นได้ด้วย ฆ่าแล้วเขามาถามว่า “ฆ่ารึเปล่า?”.. “ไม่ได้ฆ่า” โกหก.. ก็ผิดอีกข้อหนึ่งแล้ว ไหน ๆ ฆ่าแล้วก็เอาทรัพย์สินของเขาไปด้วย อำพรางคดี อย่างนี้ก็ได้ ใช่ไหม? แล้วก็ผิดลูกผิดเมียของเขาด้วยต่อไป เพียงผิดข้อหนึ่งก็ไปผิดข้ออื่น ๆ ต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าจะอ้างว่าผิดข้อ ๕ แล้วทำให้ผิดข้ออื่นได้ มันก็จริงอยู่ แต่บางคนก็แย้งว่า ผิดข้อ ๕ เช่น ดื่มเหล้าไม่ได้ผิดกฏหมาย แต่ฆ่าคนผิดกฏหมาย เพราะฉะนั้น ศีลทั้ง ๕ ข้อ คงไม่ต้องไปเถียงหรอกว่า ข้อไหนผิดมากกว่าข้อไหน? หรือว่าทำข้อไหนแล้วมันจะเลวร้ายกว่าข้อไหน? คือมันเลวทุกข้อ ถ้าจะประเมิน… การทำผิดศีลข้อ ๑ ทำให้ชีวิตของผู้ถูกกระทำขาดหายไปเลย ดูในแง่นี้แล้ว ข้อ ๑ น่าจะผิดมากกว่า ผิดในแง่ของข้อมุสาวาท (ข้อ ๔) ก็มีพุทธพจน์ที่สอนพระราหุล.. ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าสอนพระราหุล ด้วยการคว่ำภาชนะน้ำ ถามพระราหุลว่า “น้ำในภาชนะนี้ยังเหลืออยู่ไหม?” พระราหุลตอบว่า “ถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่เหลือแล้ว ถ้าจะเหลือก็คือ “เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ” ถ้าโดยโวหาร คือ “หมดแล้ว” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “นั่นล่ะ คนที่โกหกทั้ง ๆ ที่รู้ จะไม่มีบาปอกุศลอะไรเลยที่เขาจะไม่ทำ”.. ถ้าพวกเรามองในแง่นี้ ข้อ ๔ ก็ดูจะร้ายแรง เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้ว ไม่ควรจะทำผิดศีลสักข้อ ถ้าทำข้อที่ ๑ ก็ดูความรุนแรง ในการผิดของแต่ละข้อว่า มันรุนแรงแค่ไหน? มันร้ายกาจแต่ไหน? มันเจือด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหน? ส่งพลังในการกระทำ ในการพยายามวางแผนซับซ้อนแค่ไหน? มีเจือด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหน? ก็ดูไปตามกระทำเป็นกรณี ๆ ไป ข้อ ๑ ก็รุนแรงในแง่ที่ว่า ตัดชีวิตเขาไปเลย ข้อ ๒ ก็สร้างความแค้น สร้างเวรให้กับผู้ที่ได้รับกระทำ คือเขาถูกลักขโมย หรือทำให้ทรัพย์ของเขาเสียหายไป เขาก็มีเวลาที่จะมาล้างแค้นเราอยู่ ก็เสียหายในแง่ที่ว่า..เขาอาจจะมาล้างแค้นเราได้ อาจจะทำให้ชีวิตเราเองเสียไปในอนาคต ก็ดูเสียหายเหมือนกัน ผิดลูกผิดเมีย (ข้อ ๓) รู้สึกว่า เจ็บแค้นมาก ของรักของหวงของใครเนี่ยนะ “ฆ่าซะดีกว่า” บางคนคิดอย่างนี้ ฆ่าให้ตายยังดีกว่ามาทำให้เจ็บแค้น ด้วยการทำลายของรักหรือคนรัก ก็ดูน่าเดือดร้อนใจไม่แพ้กัน แต่ถ้ายึดตามพุทธพจน์แล้วคือ ถ้าใครโกหกทั้ง ๆ ที่รู้ แม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อโกหกนี้แหละรู้สึกว่า.. จะเป็นตัวยืนยันว่าคนนั้นเลวจริง โกหกทั้ง ๆ ที่รู้ มันจะสามารถ ทำให้ทำผิดอกุศลอะไรก็ได้ ถ้ายึดตามอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมจะมีแต่เรื่องที่ว่า “ฆ่า” ก็ดูจะเป็นข้อ ๑ มีการฆ่าพระอรหันต์ มีการทำร้ายพระพุทธเจ้าให้พระโลหิตห้อ เป็นเรื่องของข้อ ๑ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ อะไรอย่างนี้นะ ก็เป็นเรื่องของข้อ ๑ การฆ่าก็เป็นเหตุให้เกิดอนันตริยกรรม ถ้าโกหก (ข้อ ๔) โกหกก็เป็นการพูด รวมถึงพูดส่อเสียดให้แตกแยก พูดให้ร้ายกัน ทำให้ฝั่งนี้เกลียดฝั่งนี้ แตกสามัคคีกัน การทำให้สงฆ์แตกสามัคคี ก็เป็นอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้น พูดไม่ดีก็ทำอนันตริยกรรมให้กับตัวเองได้ ก็ดูเหมือนว่าสองข้อนี้ (ข้อ ๑ และข้อ ๔) จะเป็นสองข้อที่น่าระวังเอาไว้ให้มาก เพราะเป็นเหตุให้เกิดอกุศล และเกิดโทษให้กับตนเองได้มาก รวมแล้วก็คือ.. “ระวังการกระทำ และระวังวาจา” ***มรรคมีองค์ ๘ ในหมวดของศีล จะขึ้นด้วยสัมมาวาจาก่อน แล้วสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ รวมแล้วก็คือว่า..ต้องระวังทุกข้อ!! สัมมาสติเป็นตัวแทนของการรักษาสติเอาไว้ ก็คืออย่าไปเสพสิ่งมึนเมาให้ขาดสติ รวมแล้วก็คือว่า ระวังทุกข้อ!*** พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการคนตัวเบา EP.72 ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=DG-Ruj8NHNQ (นาทีที่ 7.50-13.34) Shortlink: December 20, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ทั้งคนพาลและบัณทิตพบได้ในใจตน #คนพาล #บัณฑิต #มงคลชีวิต ??? #ถาม : คนแบบไหนเรียกว่า “คนพาล”? #ตอบ : วิธีสังเกต “คนพาล” ก็คือ “คนที่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น” ไม่สร้างประโยชน์ให้กับตนเอง.. ก็เช่นว่า :- ขี้เกียจ, เกียจคร้านการงาน ถ้าเป็นเด็ก ก็ขี้เกียจเรียนหนังสือ ตื่นนอนสาย ไม่ทำการบ้าน ก็เป็นเด็กพาล แค่อย่างเดียว แค่ข้อแรกนะ! เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนพาล ก็คือ เกียจคร้านการงาน ถ้าเป็นคนอายุมากแล้ว วัยทำงานแล้ว ก็คือ เกียจคร้านในการหาทรัพย์ ไม่แสวงหาทรัพย์ใหม่ นี่คือลักษณะที่ ๑ ของคนพาลนะ ลักษณะที่ ๒ คือ ทรัพย์เดิม ๆ ที่มีอยู่ก็ไม่รักษา สินทรัพย์ที่ตัวเองที่มีอยู่ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่รักษาให้ดี ไม่ใช้จ่ายตามที่จำเป็น ใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย ของใหม่ก็ไม่หา ของเก่าก็ไม่รักษา นี่คือลักษณะคนพาลในแง่ของการครองเรือน ถ้าในแง่ของทั่ว ๆ ไป คนพาลก็คือ คนที่ไม่ทำบุญ ไม่เสริมสิ่งดีงามให้กับชีวิตของตัวเอง ไม่แสวงหาวิธีที่จะสร้างบุญกุศล ไม่แสวงหาวิธีที่จะรักษากายวาจาที่จะให้มีศีล ไม่แสวงหาวิธีที่จะสร้างบารมีด้วยการให้ทานบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ช่วยเหลือผู้คนที่เกี่ยวข้องในสังคม คือเราอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ผูกจิตใจกัน ไม่ให้ของซึ่งกันและกัน ก็ไม่สร้างมิตร สร้างแต่ศัตรู ไม่สร้างมิตร ก็เป็นคนพาลอย่างหนึ่งแล้วนะ ไปสร้างศัตรูอีก ก็เป็นคนพาลอีกแบบหนึ่ง สรุปง่าย ๆ ก็คือว่า คนพาลแบบฆราวาส ก็คือไม่รักษาทรัพย์ และไม่แสวงหาทรัพย์ คนพาลแบบทั่ว ๆ ไป ก็คือว่า ทำบาป และไม่ทำบุญ บุญก็ไม่ทำ แล้วยังทำบาปอีก ! บุญไม่ทำ .. นี่ก็แย่อย่างหนึ่งแล้ว คือไม่พัฒนาตนเองในการให้ทาน รักษาศีล เจริญปัญญา แถมยังทำตัวเองให้ตกต่ำมากขึ้น ด้วยการไปทำบาป เอาเวลาที่ไม่ทำบุญนั้นไปทำบาป ! ถ้าอยู่นิ่ง ๆ เสีย..ก็ยังนับว่าเสียเวลา คนอย่างนี้ก็ยังเรียกว่าเสียเวลานะ ไม่ทำบุญเลย แต่ไม่ทำบาป เกิดมาเสียเวลา ก็ไม่ถูกยกย่องว่าเป็นบัณฑิต “บัณฑิต” ก็คือ ผู้ที่ใช้เวลาในชีวิตนี้ทำบุญและละบาป จริง ๆ ละบาปก่อน ! พระพุทธเจ้าสอนให้ละบาปก่อน แล้วค่อยทำบุญ ถ้าเป็นบัณฑิตชั้นเลิศเลย ก็คือว่า ยังทำจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสต่าง ๆ ด้วย “คนพาล” จะตรงข้ามกับ “บัณฑิตทั้งหลาย” ตรงที่ว่า แทนที่จะเอาเวลาไปทำบุญ กลับไปทำบาป ไม่ทำบุญแล้วยังสั่งสมบาปไปเรื่อย ๆ แถมยังทำจิตใจให้เศร้าหมองมากขึ้น ๆ ด้วยการมีกิเลสสะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่เห็นโทษของกิเลสนั้น นอกจากนี้ยังรู้สึกว่า ‘ฉันยิ่งใหญ่ ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันทำแล้วไม่มีใครกล้าขัดขวาง’ สั่งสมกิเลสและลำพองในความมีกิเลสของตัว นี่คือ “คนพาลที่มืดบอด” “คนพาลที่มืดบอด” จะมีคำศัพท์เฉพาะเจาะจงว่า “อันธพาล” อันธ แปลว่า มืด ทึบ ถ้าเป็นป่าก็เรียกว่า อันธวัน แปลว่า ป่ามืดทึบ คนพาลที่มืดบอด มืดบอดอย่างนี้นะ บางทีพระพุทธเจ้ามาสอนก็ยังไม่เชื่อ เป็นคนพาลแบบนี้ควรเลี่ยง *** พระพุทธเจ้าสอนในมงคล ๓๘ ก่อนที่จะไปคบบัณฑิต เลี่ยงคนพาลให้ได้ก่อน มองให้ออกก่อนว่าคนพาลมีลักษณะเป็นอย่างนี้ ก็อย่าไปคบ แล้วจึงจะมองออกว่าบัณฑิตมีลักษณะเป็นอย่างไร จึงค่อยไปคบหา แล้วจะเริ่มมองออกมากขึ้นว่า คนไหนควรเลี่ยง? คนไหนควรคบ? *** ถ้าได้เริ่มศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะสามารถแยกแยะได้ว่า คนไหนเป็นคนพาล? คนไหนเป็นบัณฑิต? และที่สำคัญที่สุด .. มองตัวเองให้ออกว่า บางขณะตนเองก็เป็นพาล บางขณะก็เป็นบัณฑิต บางขณะที่เป็นพาล ก็ไม่เอากับมัน จิตใจที่เป็นพาลในตัวของเรา ถ้ามันเกิดขึ้นมา เห็นแล้วไม่เอา เราไม่คบกับพาลที่อยู่ในใจตนเองด้วย เวลามีบัณฑิต ก็คือมีความคิดดี ปรารถนาดีอะไรขึ้นมา .. คบมันไว้ บัณฑิตในใจต้องคบให้มาก และหาให้บ่อย ๆ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการคนตัวเบา EP.74 ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=eXTa7_If2vA&t=24s (นาทีที่ 6.40-11.20 ) Shortlink: December 16, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #พัฒนาสมาธิให้เจริญปัญญา #เจริญสมาธิแบบจิตตั้งมั่น ถาม : จะพัฒนา สมาธิ ให้เจริญปัญญาต่อได้อย่างไรคะ ตอบ : ทำสมาธิแบบไม่หวังสงบนะ แต่ทำเพื่อให้เห็นการทำงานของจิต เช่นเห็นว่า จิตเผลอ จิตฟุ้งซ่าน ฯลฯ ตอนนี้เรียกว่า เจริญสติ เห็นบ่อยๆ บางทีจะเห็นว่า ความเผลอเป็นส่วนหนึ่ง ตัวรู้เป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นผู้รู้ผู้ดู ตอนนี้เรียกว่า เจริญสมาธิแบบจิตตั้งมั่น คือฝึกให้มีจิตผู้รู้ ตอนที่มีจิตผู้รู้ ก็เริ่มเกิดปัญญาขั้นต้น คือเริ่มเห็นชีวิตแยกเป็นส่วนๆ เช่น เห็นกายเป็นส่วนหนึ่ง มีผู้รู้อยู่ต่างหาก เห็นกิเลสเป็นส่วนหนึ่ง มีผู้รู้อยู่ต่างหาก เป็นต้น ปัญญาขั้นต่อไป ก็จะเห็นว่า สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายมีลักษณะเหมือนๆกันอยู่ว่า มันไม่มี..แล้วก็มี มันมี..แล้วก็ดับไป หายไป ตอนที่ปรากฏอยู่..ก็ถูกบีบคั้นให้คงอยู่ต่อไปไม่ได้ ปรากฏการณ์ทั้งหลาย..เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีบุคคลตัวตนใดๆมาควบคุมบงการ ปัญญาขั้นนี้ เรียกรวมๆว่า เห็นไตรลักษณ์ เห็นไตรลักษณ์เมื่อไหร่ ก็เรียกว่าเจริญวิปัสสนาเมื่อนั้น ปัญญาขั้นต่อไป ก็จะเป็นปัญญาระดับบรรลุมรรคผลนะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ตอบโจทย์ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ Shortlink: December 11, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ #อกหัก #รักแบบราคะ #รักแบบมีเมตตา #ความรักทำให้เกิดทุกข์ ถาม : อกหัก ผิดหวังจากความรัก ควรทำอย่างไรดี? ตอบ : ต้องมาสำรวจตัวเองดูก่อนนะ เวลาเราอกหักเนี่ยเราคิดอะไร? เราคิดว่าเขาไม่ดี เขาเลว หรือว่าเราคิดว่าเราเลว เราไม่ดี เราเอาอารมณ์ที่ผิดหวังอันนี้นะ วางไว้ก่อน เรามาลองประเมินตัวเอง แบบใจสบายๆ ใจเป็นกลาง ดูสิว่าเราบกพร่องอะไร? หรือว่าเขาเอง ไม่ดี หาคำตอบดูว่า ความไม่ดีมันอยู่ที่ใหน? ถ้าความไม่ดีอยู่ที่เขา แสดงว่า เป็นบุญของเราแล้วที่เขาไป แต่ถ้าความไม่ดีอยู่ที่เรา ก็เป็นโอกาส ที่เราจะมาสำรวจตัวเองว่า ความไม่ดีอันนั้นคืออะไร? และควรจะ ปรับปรุงอย่างไร? พอเราปรับปรุงตัวเองแล้ว ดีไม่ดีคนนั้นถ้าเขาเก่งจริง เห็นเราปรับปรุงตัวแล้วเนี่ย เขาอาจจะกลับมาก็ได้ หรือคนนั้นเขา ไปแล้วไปเลย มีคนใหม่ที่สายตาดีเห็นความดีของเรา กลับเข้ามาใน ชีวิตเราได้ แต่ถ้าเรามัวแต่มองคนอื่นว่า เขาไม่ดี ไม่ยอมมาดูตัวเองว่า แล้วเราล่ะเป็นยังไง ทำไมเขาถึงไม่ยอมอยู่กับเราต่อ อย่างนี้ก็เท่ากับว่า ใช้โอกาสตอนที่อกหัก สร้างโทสะ ทำร้ายตัวเอง การอกหักเป็นเครื่องยืนยันว่า “ความรักทำให้เกิดทุกข์” ตอนรักแรกๆ ก็มีสุขดี แต่พอสูญเสียสิ่งที่รักไป เกิดทุกข์เสมอ แสดงว่า ‘รัก’ ที่เรารัก อยู่เนี่ย มันเป็นรักที่พร้อมจะเกิดทุกข์ มันไม่ใช่ ‘รัก’ ที่ พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ ‘รัก’ ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญเป็นอย่างไร? ความรักมีสองแบบ คือ ‘รักแบบเมตตา’ กับ ‘รักแบบราคะ’ สำรวจตัวเองว่า เรารักเขา เนี่ย ‘รักแบบเมตตา’ หรือ ‘รักแบบมีราคะ’ ‘รักแบบมีเมตตา’ คือปรารถนาให้เขามีความสุข เมตตากับคนไหน เรา ก็ต้องการให้คนนั้นมีความสุข ถ้าเป็นแม่กับลูก แม่ก็ปรารถนาให้ลูก มีความสุข เป็นเพื่อนกับเพื่อน เพื่อนก็ปรารถนาให้เพื่อนมีความสุข คือปรารถนาให้บุคคลที่เราเมตตาด้วยเนี่ย..มีความสุข ถ้าราคะ คือปรารถนาให้เขามาทำให้เรามีความสุข ต้องมีเขาอยู่ด้วย ต้องมีเขานั่งตรงนี้ ต้องมีเขามาคุย ต้องมีเขามาอยู่ในชีวิต ฉันจึงจะ มีความสุข อย่างนี้เรียกว่า…มี ‘ราคะ’ ฉะนั้นให้พัฒนาตัวเอง เราจะพัฒนาให้ตัวเองมีความรักมากขึ้นโดย การ ‘รักแบบมีเมตตา’ ถ้าเขามีความสุขกับคนอื่น..ยินดีด้วย ถ้าเรา มีความรักตั้งต้นที่ดี คือมีเมตตา มันจะมีกุศลธรรมอย่างอื่นติดตามมา มากมายเลย เช่นว่า มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา ติดตามมา ไม่ใช่จม อยู่กับความรักแบบเดียว คือราคะ ถ้ามีความรักแบบราคะอย่างเดียว มันเป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์อยู่เสมอ ฉะนั้นพัฒนาจิตใจตนเองนะ! ให้มีความรักแบบมีเมตตา เมตตาให้ครบ ก็ต้องเมตตาตนเองด้วย พัฒนาตัวเองให้ดูดี ไปออกกำลังกายบ้าง พัฒนาสติด้วยการฝึกรู้ทันใจที่เผลอไปคิดถึงเขา เผลอทีไรก็ทุกข์ทุกที แต่รู้ทันทีไรทุกข์นั้นก็ดับทุกที รู้บ่อยๆ ไม่นานก็จะเห็นว่า อกหักก็ ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พร้อมกันนั้นก็เข้าใจโลกมากขึ้น พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ในรายการทีวี ธรรมปทีป WBTV วัดยานนาวา Shortlink: December 7, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ขอกับอธิษฐานแยกแยะให้ออก #ถาม : “การอธิษฐาน” ต่างจาก “การขอ” อย่างไร? #ตอบ : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดปนเปกัน เวลาเราไปสถานที่ที่เราเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนสักที่หนึ่ง เราก็จะไปอธิษฐาน..ไปขอ ขอได้ก็จะมาแก้บน ประมาณอย่างนี้นะ อันนี้ผสมปนเปกันไป *** คำว่า “อธิษฐาน” จริง ๆ แล้วในทางพระศาสนา แปลว่า “ตั้งใจมั่น” ตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะทำ แต่การ “ขอ” เนี่ย..ไม่สื่อถึงการ “ทำ”! การ “ขอ” เป็นการบอกความต้องการของตน แล้วให้คนอื่นทำให้ *** เช่นว่า เชื่อว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาผู้มีศักดาใหญ่ ๆ เราก็ไป “ขอ” กับเทวดาที่นั่น ให้ท่านทำให้ แล้วเราก็รอ.. รอเสร็จแล้ว ถ้าได้สมประสงค์ ก็จะมาแก้บน ถ้าไม่สมประสงค์ ก็แสดงว่าไอ้ที่เราบนไว้เนี่ย น่าจะไม่ถูกใจท่าน ก็ไปหาสิ่งอื่น ที่บนแล้วน่าจะถูกใจเทวดาองค์นี้ การ “ขอ” ก็เรียกว่า ผู้ขอต้องคอยพะเน้าพะนอผู้ที่เราไปขอ แต่ไม่ทำเหตุให้ถึงสิ่งที่เราต้องการจะได้ !! นึกออกไหม? แต่เป็นการเอาอกเอาใจผู้ที่เราไปขอ ประมาณว่าให้ท่านดลบันดาลให้ แต่เราไม่ทำ !! การ “ขอ” ไม่สื่อถึง “ทำ” แต่..การ “อธิษฐาน” ในทางพระศาสนา หมายถึง “ทำ” เช่น พระอธิษฐานจำพรรษา การอธิษฐานจำพรรษา คือ จะอยู่ ณ อาวาสใดอาวาสหนึ่งตลอด ๓ เดือน – จะทำ ในที่นี้คือ จะทำการอยู่ประจำที่ หรือตอนที่พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ พระองค์อธิษฐานว่า “จะนั่งทำความเพียรอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่บรรลุ ไม่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะไม่ลุกไปไหน แม้ร่างกายเลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที ก็จะไม่หยุดความเพียร ไม่ลุกไปไหน” นี่เป็นการอธิษฐานเพื่อ “ทำ” ทำอะไร? “ทำกรรมฐาน” ณ ตรงนี้ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ อธิษฐานเพื่อทำ! เพราะฉะนั้น การอธิษฐานเนี่ย ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการตั้งใจเด็ดเดี่ยว หรือ อีกอย่างหนึ่งก็คือ มีเป้าหมายแน่วแน่ ชัดเจน..ว่าจะทำอะไร? อธิษฐานแล้วมันมีประโยชน์ตรงที่ว่า.. เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ถ้ามีอะไรมารบกวน จะไม่ใส่ใจในสิ่งรบกวนนั้น หรือ อาจจะใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ไม่ไปเสียเวลากับสิ่งรบกวนนั้นนาน เหมือนกับเรามุ่งเดินทางไป แล้วมีหมาเห่า มีสุนัขเห่าอยู่ข้างทาง เราก็แค่ “เออ.. สุนัขเห่า” แต่เป้าหมายเราอยู่ตรงนี้ เราก็ไม่ใส่ใจที่จะไปทะเลาะกับหมา ไม่ไปทะเลาะกับสุนัข แล้วก็มุ่งหน้าจะเดินทางไปสู่เป้าหมายข้างหน้า การมีเป้าหมายก็คือ มีการอธิษฐาน..ตั้งใจมั่นว่าจะทำอะไร ? เหมือนอย่างพระโพธิสัตว์ตั้งเป้าหมายว่า “จะสั่งสมบารมี เพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต” การอธิษฐานก็เป็นหนึ่งในบารมี ที่พระองค์ตั้งเอาไว้ว่า จะต้องทำการตั้งใจมั่นว่า “ไม่ว่าจะสร้างบารมีอะไร..ก็เพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ” การตั้งใจมั่นอย่างนี้ ถ้าท่านมีอธิษฐานบารมี ท่านก็มีความเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมี แม้จะยากลำบาก ต้องสละชีวิต สละเลือดเนื้อ สละดวงตา สละบุตรภรรยา สละราชสมบัติ ..อะไรก็แล้วแต่ ก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำ มีกำลังใจที่จะทำ เพราะมองเห็นประโยชน์ มองเห็นเป้าหมายที่จะทำ มีความมุ่งมั่น มีเจตนาที่เป็นกุศล “อธิษฐาน คือ เจตนาที่เป็นกุศล” แล้วมันจะพาให้ถึงการกระทำ เพื่อไปสู่จุดหมาย คือ ตรงตามเจตนานั้น ที่กำกับไว้ว่าต้องเป็น “กุศล” เพราะว่า บางทีมีบางคนเหมือนจะมีเป้าหมายที่แน่วแน่ แต่เป็น “อกุศล” อย่างนี้ “ไม่จัดว่าเป็นอธิษฐาน” เช่น “แค้นนัก ต้องแก้แค้นให้ได้!” ไอ้อย่างนี้ไม่ใช่อธิษฐาน อย่างนี้เรียกว่า “ผูกโกรธ” ต้องแยกให้ออกว่า “อธิษฐาน คือ เป็นการตั้งใจมั่น ในทางที่จะทำประโยชน์ หรือทำกุศล” แต่ถ้าไปทำอกุศล – ไปทำบาป – ไปจองเวรกัน..อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าอธิษฐาน!! ต้องแยกแยะให้ออกด้วย สรุปแล้วคือ “อธิษฐาน” เนี่ย..ตั้งใจที่จะทำ แต่การ “ขอ”..ตั้งใจที่จะไม่ทำ แต่ให้คนอื่นทำให้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการคนตัวเบา EP.139 ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=Tt5omh2pyGs&feature=youtu.be (นาทีที่ 6.05-10.50) Shortlink: December 6, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ