All posts by admin

#คลิปแสดงธรรม #นิทานนิมฺมโล เรื่อง #ทำอย่างไรให้ผู้หญิงเดินตาม โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? …

#คลิปแสดงธรรม
#นิทานนิมฺมโล เรื่อง #ทำอย่างไรให้ผู้หญิงเดินตาม
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
คลิปนี้พระอาจารย์เล่านิทานสมัยพุทธกาลให้เด็กๆ ฟัง
มีพระรูปหนึ่งเห็นพระอีกรูปหนึ่งมีผู้หญิงเดินตามเข้าไปในกุฏิ
เถียงกันไปมา จนเรื่องไปถึงพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาคดีในเรื่องนี้เช่นไร?
พระรูปไหนผิด?

ฟังจบแล้วพระอาจารย์ฝากข้อคิดไว้ตอนนึงว่า..
“เวลามีเรื่องกัน เขาว่าเรามานะ!
ให้ใจเย็นไว้ก่อนอย่าหาเรื่องอีก
แสดงว่าที่เราถูกหาเรื่องเรามีเหตุ(กรรมเก่า)มาก่อน
ถ้าเราอาศัยความโกรธโต้ตอบกลับ เราจะสร้างเหตุ(กรรม)ใหม่”

ยังมีนิทานอีก 2-3 เรื่อง จากคอรส์ครอบครัวอบอุ่น
รับฟังได้ที่ลิงค์ 146.620623 https://bit.ly/2YzlB4K


อ่านบน Facebook

วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ☘️☘️☘️ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๐ #ภาวนากลมกลืนกับชีวิต…

วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
☘️☘️☘️
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๒๐

#ภาวนากลมกลืนกับชีวิต

ชีวิตประจำวันนะ!
ให้มันกลมกลืนไปกับการปฏิบัติธรรม ไม่แยก!
ไม่ใช่รีบทำงานอะไรแล้วก็เพื่อที่จะให้งานเสร็จ(เร็วๆ) แล้วจะได้ไปภาวนา
อย่างนี้เรียกว่าเป็นการแยกกันระหว่างการทำงานกับการภาวนา
อย่างนี้ไม่ได้กิน!
มันจะกลายเป็นว่า จะมีเวลาสักกี่นาทีในการภาวนา?
แต่ถ้าเรากลืมกลืนไปกับชีวิตไปเลย เราได้ภาวนาหลายชั่วโมง!

(การภาวนา)ไม่ใช่ไปแบ่งแยกต้องอยู่คนเดียวเท่านั้น จึงจะภาวนาได้..
ต้องไปป่าเท่านั้น จึงจะภาวนาได้..
หรือต้องมาวัดเท่านั้น จึงจะภาวนาได้..
อย่างนี้เรียกว่า แบ่งชีวิตออกมาเป็นสองส่วน
อย่างนี้มันไม่ได้กลมกลืน

แล้วถ้าหวังเพียงแค่นั้นนะ!
จะไม่มีเวลาภาวนา.. จะหาโอกาสภาวนายาก!
มาถึงวัดแล้วก็ไม่ได้ภาวนานะ!!
‘ต้องให้ได้เวลาทำวัตรเย็นเท่านั้น’ จึงจะได้ภาวนา
อย่างนี้..ยาก!
มันต้องกลมกลืนไปกับชีวิต!
ชีวิตอยู่กับที่ทำงาน
ชีวิตอยู่ระหว่างการเดินทาง
กลับมาถึงบ้านใจคอเป็นยังไง?
ผ่านการทำงานมาทั้งวันแล้วเนี่ย..ร่างกายเหนื่อยอ่อน จิตใจเป็นยังไง?
บางคนร่างกายเหนื่อยอ่อน จิตใจเหนื่อยอ่อนไปด้วย
บางคนร่างกายเหนื่อยอ่อน แต่จิตใจยังสดชื่นอยู่
ก็รู้ทัน!

(การภาวนา)ไม่แบ่งเวลาเป็นสองส่วนอย่างนั้น
แต่ให้กลมกลืน

ต้องภาวนาไปกับการทำงานด้วย ให้มันกลมกลืนไป
ไม่ว่าจะป็นพระ ไม่ว่าจะเป็นโยม (ภาวนาให้กลมกลืนอย่างนี้)มันจึงจะเจริญก้าวหน้า
เพราะว่าการภาวนาในชีวิตประจำวันมันทำได้ตลอดเวลา
แล้วก็ถ้ารวมเวลาในการภาวนาแล้วก็จะได้มากหลายชั่วโมง
ที่จะหวังผลจากการภาวนาถึงขั้นมรรคผลนิพพานจึงจะเกิดขึ้นได้

ถ้าเอาแค่ทำวัตรแล้วค่อยภาวนาอย่างนี้ยาก!
เพราะว่า(จะมี)เวลาน้อย (เวลา)เหลือน้อย
แล้วระหว่างวันก็ไม่ได้ภาวนาแล้ว
พอในเวลาทำวัตรนั่งสมาธิก็จะกลายเป็นว่า..
กว่าจะสงบขึ้นมาได้
กว่าจะรู้จิตขึ้นมาได้นี่.. ฟุ้งซ่านไปตั้งนานแล้ว
เพราะว่ามันเก็บความฟุ้งมาตลอดเกือบ ๒๔ ชั่วโมง

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
☘️☘️☘️

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมในรายการ”ธรรมะสว่างใจ”
เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ไฟล์วิดีโอhttps://nimmalo.com/video/dhammasawangjai/s14/
(ระหว่างเวลา ๕๑.๐๒ – ๕๕.๓๐ )


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๘ ?? #ถาม : การปฏิบัติธรรมที่บ้านกับที่วัด​ ต่างกันอย่างไร? #ตอบ : ไม่แตกต่าง​กัน​เท่าไหร่​หรอก​นะ​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๘
??
#ถาม : การปฏิบัติธรรมที่บ้านกับที่วัด​ ต่างกันอย่างไร?

#ตอบ : ไม่แตกต่าง​กัน​เท่าไหร่​หรอก​นะ​

ถ้าอยู่ที่บ้าน​แล้ว​สามารถ​ปฏิบัติ​ธรรม​ได้.. อยู่ที่บ้านก็ดี​นะ​
การ​มาอยู่ที่วัด.. บางทีพอมาเจอคนมากๆ​ เราอาจจะฟุ้งซ่านก็ได้

อย่างไรก็ตาม​ การอยู่ที่วัดก็ดีในแง่ที่ว่า​
ถ้าวัดนั้นมีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอนคอยแนะนำตักเตือน เราไปก็จะได้อยู่ในสายตาของท่าน เวลาเราทำอะไรผิด​ ท่านก็จะได้มาตักเตือน
เรา​จะ​ได้​ไม่​ทำ​ผิด​นาน

ฉะนั้น​ ถ้า​จะบอกว่า​ปฏิบัติ​ธรรม​ที่วัดดีกว่า​ที่​บ้าน หรือที่บ้านดีกว่าวัด จะ​ให้บอกฟันธงทีเดียวไปเลย​ไม่ได้​นะ
ก็ดูว่า​ ถ้าเราไม่มีเวลาว่างมาก​พอ​ ก็ใช้​ที่บ้าน​เป็น สถานที่​ปฏิบัติ​ธรรม​ของ​เรา​ได้
เหมือน​ที่​ครูบาอาจารย์​ท่าน​สอน​ว่า​ “ทำบ้านให้เป็นวัด” นั่นแหละ

แต่ไม่ได้หมายความว่า อย่ามาวัด​นะ!
มาวัดได้.. แต่​ก็​ควร​ที่จะ​เลือกวัดสักหน่อย
เลือกวัดที่ตรงจริตกับเรา
วัดที่มีครูบาอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนตักเตือนเราได้.. โดยเฉพาะในเรื่องของการทำกรรมฐาน ต้องให้มีผู้ที่รู้​ และแม่นหลักสักหน่อย
เวลาตักเตือนเราหรือแนะนำเราจะได้ไม่พาเราหลงทาง
ไม่ใช่ว่าเราทำดีอยู่แล้ว​ แล้วกลับมาทักเราให้เราเขว​ อย่างนี้เสียหายเลยนะ​

เช่น​ สมมุติว่า เราฟุ้งซ่าน​ แล้วเห็นว่าฟุ้งซ่านอยู่ เจอ​ผู้​ที่​ไม่เข้าใจ​ มาบอกว่า “โอ้ย! ฟุ้งซ่านไม่ดี​บังคับจิตให้มันอยู่กับที่ดีกว่า” อะไรอย่างนี้นะ
ถ้าเรา​เชื่อ​และ​ทำตาม​ ก็กลายเป็นว่าไปทำการบังคับจิตให้มันอยู่นิ่งๆ​ ก็เสียหายใหญ่เลย
พอ​รู้สึก​ว่า​บังคับจิต​ได้เนี่ย..แก้ยาก มัน​จะ​ภูมิใจ​ว่า​กู​เก่ง​นะ​ แล้ว​ไม่ค่อย​จะ​ฟัง​ใคร

ดูจิตที่มันแสดง​สภาวะตามความจริงออกมา​
​จนเข้าใจจิตว่า​ ไม่ว่า​จะ​เป็น​แบบ​ไหน​ มัน​ก็​มีลักษณะ​เหมือน​ๆ​ กัน​
คือ​ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
มัน​ก็​เจริญวิปัสสนา​ เกิดปัญญา​เข้าใจ​กาย​ใจ​ตาม​ที่​มัน​เป็น
อย่างนี้เข้าใกล้มรรคผลนิพพานมากว่า

ฉะนั้น​ อย่าว่าแต่เป็นพระเลย​นะ​
คนที่วัดที่เขาไม่แม่นหลัก​ หรือเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน มาได้ยินเราพูดถึงสภาวะของตัวเอง แล้วเขาก็แนะนำเรา​ แล้วเราเขวเนี่ยนะ มาอยู่กับ​คน​หมู่มากบางทีก็เสียหาย

ถ้าเรามีพื้นฐานดี​ มีหลักการปฏิบัติของเราดี​อยู่แล้ว ก็ปฏิบัติปฏิบัติ​ธรรม​เองที่บ้านด็ได้
แต่ก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่ามาวัด​นะ
พอเข้าใจตรงนี้นะ ไม่ใช่ว่าสุดโต่ง​นะ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมะ
ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
(ระหว่างเวลา ๑.๒๙.๕๗ – ๑.๓๒.๔๗ )
ไฟล์วิดีโอhttps://nimmalo.com/video/dhammasawangjai/s14/


อ่านบน Facebook

วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๙ #รู้ทันเผลอ…

วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๘
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๙

#รู้ทันเผลอ

ถ้าเราเริ่มต้น(ภาวนา)ด้วยการเพ่ง
ก็คือการเผลอรวบ แล้วไม่เห็นว่าเผลอ

มันมี “เผลอเพ่ง” กับ “เผลอเพลิน”
มี พ.พาน สองตัว
เพ่งไว้​ นี้ก็คือเผลอ​อย่าง​หนึ่ง​ เรียก​ว่า​ “เผลอ​เพ่ง”
ไม่เพ่ง แต่เผลอยาวออกไปข้างนอก เรียกว่า “เผลอเพลิน”

เผลอสองแบบ ให้รู้ทัน!
ไม่แก้ไข ไม่รักษา ให้รู้ทัน!

ทั้งเผลอ ทั้งเพลิน…
ทั้งเครียด ทั้งเคลิ้ม… ให้รู้หมดเลย
แล้วสิ่งที่รู้เหล่านี้จะเกิด-ดับ
เกิดขึ้นมา​ แล้วดับไป
พอรู้ทัน แล้วก็ดับไป

แต่เพ่งส่วนใหญ่มันจะไม่​เห็น​ว่า​ดับ​นะ
ต้องกลับที่อยู่​ แบบที่ว่า คือเห็นกายหายใจ ใจเป็นคนดู อย่างนี้นะ!

ถ้าเพ่งรู้ว่าเพ่ง​ มันจะไม่ดับ มันจะเพ่งอยู่นั่นแหละ
แต่เผลอเห็นปุ๊บ! ดับเลย
เพราะ”เผลอ” กับ “รู้’ มันตรงข้ามกัน
คือตรงกันข้ามในแง่ของความเป็นกุศลกับอกุศล

ไอ้เพ่งที่เราทำเนี่ยนะ! มักจะอยู่ฝ่ายกุศล
ไอ้เพ่ง​ กับ​ รู้ว่าเพ่ง มันเป็นกุศลด้วยกัน
ไอ้เพ่งบางทีมันก็เลยไม่ดับ​ให้​เห็น
ไอ้เพ่งเลยแก้ยาก!

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง
“เรื่องที่นักภาวนาควรใส่ใจ”
ณ บ้ายขนมนัทวัน เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ลิงค์เสียงธรรม https://bit.ly/2Ya9XNw
(นาทีที่ ๑.๑๐.๐๐-๑.๑๒.๓๔)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๗ ?? #ถาม : คนที่มีสติ​ ทำบาปได้ไหม? #ตอบ : ก็แล้วแต่​ว่า​ ที่​ว่า​ “มี​สติ”…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๗
??
#ถาม : คนที่มีสติ​ ทำบาปได้ไหม?

#ตอบ : ก็แล้วแต่​ว่า​ ที่​ว่า​ “มี​สติ” นั้น​ จะกินความครอบคลุมแค่ไหนนะ

ถ้าเป็น​ “สติแบบทั่ว​ ๆ​ ไป”
คนมีสติ​แบบนี้่มาตบเราได้ไหม?
ตบได้นะ! ต้องมีสติจึงตบถูก..ใช่ไหม?
คนมีสติ​แบบ​ทั่วไป​ ก็​เช่น​ คนไม่หลับ ไม่สลบ… คนมี​สติ​แบบนั้ฆ่าคนได้

ถ้าคนบ้า..ไม่มีสติ ก็​สามารถทำให้คนตาย​ได้​ ถ​้​า​พิสูจน์​ได้​ว่า​บ้า​จริง​ กฎหมายยกเว้น​โทษ​ให้​ด้วย รู้สึกไหม?
คนไม่มีสติ กลับไม่ผิด! คนมีสติ​ กลับผิด
นี่​คือสติแบบทั่ว​ ๆ ไป

เรื่อง​การ​เว้น​โทษ​ให้คน​บ​้​า​เนี่ย​ ไม่ใช่เฉพาะในกฎหมาย​นะ
ในพระวินัย​ของ​พระภิกษุ​ ก็ยังมี​ระบุ​ว่า​ พระ​ภิกษุที่่ไม่​ต้องอาบัติในทุกกรณี​ คือ​ ภิกษุ​วิกลจริต​
แปล​อีกที​ก็​คือ​ พระบ้า!

พระบ้าได้ไหม?
ต้องได้แน่​ ๆ เลยเพราะมีปรากฏ​คำ​นี้ในพระวินัย
ถ้ามีพระบ้า​ แล้ว​พระ​รูป​นั้น​ไปทำอาบัติอะไรสักอย่างหนึ่งนะ หาก​มี​คนมาโจทก์​ แล้วปรากฏว่า ดูไปดูมา.. ท่านบ้า!
บ้าชั่วขณะ ก่อนบวชไม่ได้บ้า​นะ​ แต่มาบวชแล้วบ้า เป็นไปได้​นะ​ เช่น​ ทำกรรมฐานผิด​ เป็นต้น

พระบ้านี่คือไม่มีสติแบบทั่วๆ ไป​ พระ​พุทธ​องค์​ทรง​ยกเว้น​ให้​ ไม่​ต้อง​อาบัติ

พระกระสับกระส่ายด้วยทุกขเวทนาก็ไม่มีสติ​นะ เช่น​มีทุกขเวทนามาก
เวลา​ที่​ท่านกระสับกระส่าย​ อาจจะดิ้น.. ดิ้นแรงพลาดไปชกพระที่ดูแล​ อย่างงี้นะ ไม่ถือว่าทำร้ายพระที่ดูแล​นั้น

ตอนนั้นทำด้วยขาดสติ ไม่มีเจตนาเจือปน

คน​ทั่วไปก็เหมือนกัน​นะ​
ในกฎหมายบ้านเมืองเนี่ย ถ้าคนนั้น​เขาพิสูจน์แล้วว่าบ้า หรือขาดสติ เขา​ก็​เว้น​โทษ​ให้​นะ

ที่​ว่า​ ขาดสติ​ ก็ในบางแง่นะ
ถ้าขาดสติ​เพราะเมา​ อย่างนี้​ต้อง​รับ​โทษ​นะ
เพราะก่อนเมามีสติ​ แล้วไปทำตัวเองให้เมา
อย่างนี้..ไม่ได้! ไม่พ้น!
เช่น​ เมาแล้วขับรถ​ นี่โดนหนัก
จะบอกว่า​ “ตอนนั้นผมเมา​ ไม่ได้มีสติ
เลยขับไปชน” อย่างนี้ไม่ได้! อ้างไม่ได้ ..

ฉะนั้น​ ถ้าสติทั่วไป มีสติทำผิด ทำบาปได้
ไม่มีสติ​ กลับไม่เป็นความผิด

แต่​ถ้า​มีสติปัฏฐาน…
สติปัฏฐานเนี่ย ขอบเขตของ​สติมันอยู่แค่รู้กาย เวทนา จิต ธรรม
ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มีการทำผิด ไม่มีการทำบาป
คนมีสติทั่วๆ ไป มันแค่ตื่นขึ้นมาเอากายตื่น​ จิต​ยัง​ไม่​ตื่น​ ยัง​ไม่มี​สติ​ปั​ฏ​ฐาน​ ก็ยังทำบาปได้ ทำผิดได้ ..

ฉะนั้น​ สติทั่วๆ ไปยังไม่พอ
ขอบเขตของสติที่จะทำให้ป้องกันตนเองได้จริงน่ะ​ ก็คือ​ สติปัฏฐาน
เพราะแค่คิดที่จะทำบาป มันมีความปรุงแต่งทางจิต ก็รู้ว่ามีจิตคิดไม่ดี​ คิด​เป็น​บาป คิดที่จะทำบาป
พอ​รู้​ทัน​ มัน​ก็​ดับ
ไม่ว่าจิตขณะนั้นมีโลภ มีโกรธ มีหลง กิเลสอะไรเกิดขึ้นมา เมื่อรู้ทันจิต​แล้ว​ อย่างนี้​ก็​ไม่เป็นไปในทางที่จะไปทำบาป

แล้วในการเจริญสติปัฏฐานนี้​ มันไม่ได้มีแค่สติ​นะ
ในสติปัฏฐานเนี่ย มีข้อความระบุถึงคุณธรรมหลายข้อ
เช่นในข้อความ​บาลีว่า “อาตาปี สัมปชาโน สติมา”
อาตาปี​ ก็คือ​ มีความเพียร ได้แก่​มี​ สัมมา​วายามะ
สัมปชาโน​ คือ​ มีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะนี้เป็น​ปัญญา​ เป็นความ​รู้เข้าใจ​ ว่าทำอะไร เพื่ออะไร​ ควร​ปฏิบัติ​ต่อ​มัน​อย่างไร ก็เป็นปัญญา เทียบ​ได้​กับ​ สัมมาทิฏฐิ​
สติมา​ แปลว่า​ มีสติ​ ซึ่ง​ก็​เป็น​ สัมมาสติ​

มี​ข้อความ​ต่อ​ท้าย​ใน​ทุก​ข้อ​อีก​ว่า
“ปลอด​ไร้​อภิชฌาและ​โทมนัส​ใน​โลก”
คือ​ มี​จิต​ที่​เป็น​กลาง

“มอง​เห็น​ความ​เกิด​ขึ้น​และ​ความ​เสื่อม​สิ้น​ไป” (ใน​กาย, เวทนา, จิต, ธรรม)
คือ​ มี​ปัญญา​เข้าใจ​ตาม​หลัก​ไตรลักษณ์

ดังนั้น​ ในสติปัฏฐานเนี่ย​ ไม่ได้มีแค่สติอย่างเดียว
ยังมีความเพียร มีปัญญา แล้วก็มีสติ
และ​ยังมีสมาธิแฝงอยู่​ด้วย
สมาธิเนี่ย ไม่ได้บอกชื่อตรงๆ เหมือนอาตาปี สัมปชาโน สติมา
แต่แฝงอยู่ใน..ในข้อความที่บอกว่า
“เห็นกายในกาย, เห็นเวทนาในเวทนา, เห็นจิตในจิต, เห็นธรรมในธรรม”
เพราะ​จะ​เห็น​อย่างนี้​ได้​ ก็​ต้อง​มี​สมาธิ​ที่​ถูก​ด้วย
เช่น​ เห็น​กาย​ตรง​ตาม​สภาวะ​ คือ​เป็น​ที่​ประชุม​ของ​ธาตุ​ ๔​ ดิน​ น้ำ​ ลม​ ไฟ
ไม่ใช่​เห็น​ “กู”

๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#คลิปแสดงธรรม #สรุปหลักการปฏิบัติ โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? การภาวนาเป็นการศึกษาการเข้าใจผิด…

#คลิปแสดงธรรม #สรุปหลักการปฏิบัติ
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
การภาวนาเป็นการศึกษาการเข้าใจผิด
คือศึกษาชีวิตนี้ที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา
ขอบเขตการศึกษา จึงมีแค่เรื่องกาย กับเรื่องใจ

คลิปนี้พระอาจารย์จึงปูพื้นนักภาวนา ให้เข้าใจในเรื่องนี้

รับฟังคลิปแสดงธรรม “สรุปหลักการปฏิบัติ”
ที่ลิงค์ https://bit.ly/2SktUzU
148-620628 01.สรุปหลักการปฏิบัติ-คอร์สกองบุญสร้างอริยะ
เมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#คลิปแสดงธรรม #สวดมนต์ให้สมประสงค์ โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? “การสวดมนต์ เป็นการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า”…

#คลิปแสดงธรรม #สวดมนต์ให้สมประสงค์
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
“การสวดมนต์ เป็นการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า”

แล้วจะสวด​อย่างไร​ เพื่อเดินตามพระอริยะและให้ได้ประโยชน์ตน?

พระอาจารย์ยังให้เทคนิคการออกเสียง
ทั้งยังจำแนก​คำ​ในบทสวด​ เพื่อให้เข้าใจความหมายด้วย

รับฟังเทคนิคการสวดอิติปิโส​ แบบเว้นวรรค
ที่ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/2SkXJAp
นาทีที่ 1.07.12-1.21.13
148-620628 02.สวดมนต์ให้สมประสงค์-คอร์สกองบุญสร้างอริยะ
เมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๔ ?? #ถาม​ : เคย​ได้ยิน​เขา​พูด​กัน​ว่า​ ใน​ยุค​นี้​ มี​คน​ดี​ ๓๐% มี​คน​ชั่ว​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๔
??
#ถาม​ : เคย​ได้ยิน​เขา​พูด​กัน​ว่า​ ใน​ยุค​นี้​ มี​คน​ดี​ ๓๐% มี​คน​ชั่ว​ ๗๐% อันนี้​จริง​ไหม​ครับ? มี​ตำรา​ไหน​ยืนยัน​ไหม​ครับ?

#ตอบ​ : เอ… จะ​มี​ตำรา​ไหน​บอก​หรือ​ป​ล่าว​ ก็​ไม่ทราบ​เหมือนกัน​นะ​ ถึง​จะ​มี​หรือ​ไม่มี​ อาตมา​ก็​ว่า​ไม่​สำคัญ​เท่า​ไหร่หรอก

ที่​สำคัญ​คือ​ กิเลส​ในใจ​เรา​ตอน​นี้​มี​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? มี​กุศล​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? ​ มี​อกุศล​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? อันนี้​สำคัญ​กว่า

คนอื่น​เขา​จะ​ชั่ว​มาก​แค่​ไหน​ ความชั่วของ​เขา​ก็​ไม่​ทำให้​เรา​ตก​นรก​ได้
ถ้า​เรา​จะ​ตก​นรก​ ก็​เป็น​เพราะ​ความ​ชั่ว​ที่​เรา​ทำ​เอง

คน​อื่น​เขา​จะ​ดี​มากแค่​ไหน​ ความ​ดี​ของ​เขา​ก็​ไม่​ทำให้​เรา​ขึ้น​สวรรค์​ได้
ถ้า​เรา​จะ​ขึ้น​สวรรค์​ ก็​เป็น​เพราะ​ความ​ดี​ที่​เรา​ทำ​เอง

คน​อื่น​เขา​จะ​ปฏิบัติ​ดี​ปฏิบัติ​ชอบ​มาก​แค่​ไหน​ ก็​ไม่​ทำให้​เรา​บรรลุ​ธรรม​ได้
ถ้า​เรา​จะ​บรรลุ​ธรรม​ ก็​เป็น​เพราะ​เรา​ได้​ปฏิบัติ​ดี​ปฏิบัติ​ชอบ​เอง

โลก​นี้​จะ​มี​คน​ดี​คน​ชั่ว​กี่​เปอร์เซ็นต์​ ไม่​สำคัญ​เท่า​ใจ​ของ​เรา​ว่า​มี​ดี​มี​ชั่ว​อยู่​เท่าไร​

แล้ว​เรา​รู้​หรือ​ไม่?

จะ​รู้​ได้​ ด้วย​การ​เจริญ​สติ​ดู​จิต​ลง​ใน​ปัจจุบันนี่แหละ!

บางที​ดู​แล้วอาจจะ​ตกใจ.. ว่า​อกุศล​ในใจ​เรา​มัน​เยอะ​จัง!
ไม่​ต้อง​ตกใจ..
เพราะ​ทันที​ที่​รู้​ กุศล​ก็​เกิด​แล้ว
ได้​เพิ่ม​กุศล​ขึ้น​มา​อีก​หนึ่ง​ขณะ​แล้ว

๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๗ #กระบวนธรรม…

วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘
วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๗

#กระบวนธรรม

เพราะ​ “นิพพิทา” เกิดขึ้นมา จึงมีวิราคะ
“วิราคะ” คือคลายจากความยึด ความติด
อาการราคะคือ มีความ​ยึดเหนี่ยว​ติด​อยู่ระหว่างจิตกับอารมณ์​
พอหน่ายขึ้นมา ความดึงดูดระหว่างจิตกับอารมณ์ก็คลายออก
พอคลายออกก็หลุดพ้น
หลุดพ้น ภาษาบาลี เรียกว่า “วิมุตติ​”

เพราะมีวิราคะ จึงมีวิมุตติ​
วิมุตติ​ ก็คือ​หลุดพ้น
พอหลุดพ้นแล้ว ก็มีการย้อนมาดู
ตรงนี้เรียกว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ”
มีปัญญารู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

มันเริ่มมาจากมีสมาธิที่ถูกต้อง
ภาษา​บาลีเรียกว่า “สมาหิตัง” ​(แปล​ว่า​ ตั้งมั่น)​
เมื่อมีสมาธิที่ถูกต้อง​ ก็จะเกิด​” ยถาภูตญาณทัสสนะ”
มี​ ยถาภูตญาณทัสสนะ ก็เกิดมี​ “นิพพิทา”
พอนิพพิทาแล้ว​ ก็เกิด​ “วิราคะ”
พอวิราคะ ก็เกิด” วิมุตติญาณทัสสนะ”
กระบวนธรรมมันเป็นอย่างนี้

ทีนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสมาธิที่ผิด
เราก็มาดูกระบวนธรรมก่อนจะเกิดจิตตั้งมั่น (สมาหิตัง)
ก่อนจะเกิดสมาธิที่ถูกต้อง มันก็มีกระบวนธรรม

กระบวนธรรมของต้นเหตุมาสู่ผล คือสมาธิที่ถูกต้อง
ก็จะมีเริ่มต้นด้วย​ “ปราโมทย์”
ปราโมทย์ แปลว่า ใจเบิกบาน
ใจเบิกบาน มีปราโมทย์ เป็นเหตุให้เกิด​ “ปีติ”
ปีติ คือความอิ่มใจ
ปีติเป็นเหตุให้เกิด​ “ปัสสัทธิ”
ปัสสัทธิ คือความไม่เครียด เบากาย เบาจิต
มีปัสสัทธิ แล้วเกิด​ “สุข”
สุขแล้วเกิด​ “สมาธิ”
สมาธิเป็นสมาธิที่ถูกต้อง คือจิตตั้งมั่น
ฉะนั้น​ กระบวนธรรมให้เกิดสมาธิ เริ่ม​ที่ทำจิตให้ปราโมทย์
ครูบาอาจารย์ให้ทำง่าย ๆ ให้ยิ้มหวานๆ

ลองยิ้มสิ! …..

ฉะนั้น​ จุดสำคัญคือทำจิตให้ถูก แล้วกระบวนธรรมมันจะง่าย
ถ้าจิตไม่ถูก.. กระบวนธรรมที่ทำให้เกิดมรรคผลต่อไป..มันจะยาก

ถ้าทำผิดมันจะได้​ “ค.ควาย​” สองตัว
ควายตัวแรก​คือ​ เครียด
ควายตัวที่สองคือ เคลิ้ม

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง ค.ควายสองตัว
ณ วัดอินทาราม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ลิงค์เสียงธรรม https://bit.ly/2JSlXzH
(ระหว่างนาทีที่ 50.20-01.50)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๕ ?? #ถาม​ : ดิฉัน​นึกถึง​พระ​พุทธเจ้า​ นึก​ถึง​ตอน​ที่​พระ​องค์​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๕
??
#ถาม​ : ดิฉัน​นึกถึง​พระ​พุทธเจ้า​ นึก​ถึง​ตอน​ที่​พระ​องค์​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​ นึก​แล้ว​ก็​สงสาร​ท่าน​มาก​เลย​ค่ะ​ ต้อง​มา​ทุกข์​เพื่อ​ช่วย​สัตว์​โลก​ ทำไม​จึง​เป็น​อย่างนี้​คะ?

#ตอบ​ : จิต​มัน​ไป​อิน​ (in) มาก​ไป​นะ​ หมายถึง​จิต​มัน​ไป​จม​อยู่ใน​ความคิด​มาก​ไปนะ

พระองค์​กว่า​จะ​ตรัสรู้​ได้​ ต้อง​ผ่าน​การ​สร้าง​บารมี​มา​นับ​ชาติ​ไม่ถ้วน​ ถ้า​นับ​ตั้งแต่​ได้​รับ​พยากรณ์​จาก​พระ​พุทธเจ้า​พระนาม​ว่า​ทีปัง​กร​ ก็​เป็น​เวลา​ ๔​ อสงไขย​ กับ​อีก​แสน​กัป​ มาถึง​ชาติ​สุดท้าย​ก็​ยัง​ต้อง​มา​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​อีก​ถึง​ ๖​ ปี​ กว่า​จะ​ตรัสรู้

แต่ถ้า​จะ​สงสาร​พระ​พุทธเจ้า​ อาตมา​ว่า​ให้​มา​สงสาร​ตนเอง​ดีกว่า

ถ้า​สงสาร​พระองค์​จริง​ๆ​ ก็​ควร​เห็น​คุณค่า​ของ​ความ​ตรัสรู้​ของ​พระ​องค์​ แล้ว​ทรง​แสดง​ธรรม​ที่​ได้​จาก​การ​ตรัสรู้​นั้น​อย่างไร​ เรา​ก็​เรียนรู้​ธรรม​นั้น​ และ​นำ​มา​ปฏิบัติ​ให้​เห็น​จริง​ตาม​ที่​พระองค์​ทรง​สั่งสอน

การ​ตรัสรู้​ที่​ได้​มา​โดย​ยาก​ของ​พระองค์​ จะ​ได้​ไม่​ไร้​ประโยชน์​สำหรับ​เรา

พระองค์​ตรัสรู้​แล้ว​ พ้น​ทุกข์​แล้ว
แต่​เรา​ยัง​มี​ทุกข์​ท่วม​ใจ​อยู่

ถ้า​เรา​ไม่ได้​รับ​ประโยชน์​จาก​การ​ตรัสรู้​ของ​พระ​องค์​ ไม่​สามารถ​พัฒนา​จิตใจ​ตาม​คำ​สอน​ของ​พระ​องค์​ได้​เลย​ นี่​สิ! จึง​จะ​เรียก​ได้​ว่า​ เรา​เป็น​ผู้​น่า​สงสาร​ที่​แท้จริง!

๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

เข้าพรรษานี้ ไม่ว่าจะอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีอะไร ก็ควรมุ่งผลไปที่สันติ คือพระนิพพาน ??? …

เข้าพรรษานี้
ไม่ว่าจะอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีอะไร
ก็ควรมุ่งผลไปที่สันติ คือพระนิพพาน
???
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒

พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๘


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๖ ?? #ถาม : เข้าพรรษาปีนี้ พระอาจารย์มีสิ่งใดแนะนำ เพื่อนำไปขัดเกลาตนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไปบ้างคะ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๖
??
#ถาม : เข้าพรรษาปีนี้ พระอาจารย์มีสิ่งใดแนะนำ
เพื่อนำไปขัดเกลาตนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไปบ้างคะ ?

#ตอบ : เทศกาลเข้าพรรษา
เป็นเทศกาลที่ชาวพุทธมักจะใช้อธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดี
และจะเว้นชั่ว/ทำความดีนั้นตลอด ๓ เดือน

ปีนี้ขอแนะเรื่องเป้าหมาย
คือที่เราอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีนั้น เพื่ออะไร ? หรือหวังอะไร ?

ขอเล่านิทานประกอบ ซึ่งเคยเล่าในการบรรยายหลายที่

ครั้งหนึ่ง พระพรหมท่านหนึ่ง มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กล่าวคาถาว่า
“ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย
เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน
บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะ
พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้”

เล่าถึงตรงนี้ อาตมามักจะหยุดถามผู้ฟังว่า

“เห็นด้วยกับคาถานี้มั้ย ?”

ผู้ฟังส่วนใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีใครแย้งเลย
แล้วอาตมาก็เฉลย ด้วยพุทธพจน์ ที่พระองค์ตอบพระพรหมนั้น

พระองค์ตรัสว่า

“ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย
เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน
บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะ
พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด”

พระองค์เห็นด้วยกับ ๓ บรรทัดแรก

แต่บรรทัดสุดท้าย พระองค์เห็นว่าไม่เหมาะสม
เพราะเป็นถ้อยคำที่ชวนให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ

ถ้าเราอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีต่าง ๆ แล้วหวังเพียงได้บุญ
หรือเพื่อมีความสุข หรือไปสุคติ
ก็เท่ากับหวังแบบเดียวกับพระพรหมองค์นี้ คือปรารถนาวนอยู่ในวัฏฏะ
ซึ่งไม่ตรงกับพุทธประสงค์
เพราะเกิดทีไรก็ทุกข์ทุกที

ชีวิตทุกชาติก็ถูกชราต้อนไป อายุมีน้อยทุกชาติ
ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้วไม่มีอะไรจะต้านทานได้ทุกชาติ
มีมรณภัยนี้อยู่ทุกชาติ

การที่จะหวังบุญแบบให้ไปสุคติ จึงไม่พอ
ควรมุ่งสันติ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงหมายถึงสันติอันยั่งยืน
กล่าวคือ พระนิพพาน

เข้าพรรษานี้ ไม่ว่าจะอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีอะไร
ก็ควรมุ่งผลไปที่สันติ คือพระนิพพานนี้

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

วันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ⏳⏳⏳ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๖ #แค่เสี้ยววินาที…

วันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗
⏳⏳⏳
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๑๖

#แค่เสี้ยววินาที

คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทุกเสี้ยววินาทีผ่านไป เพื่อสะสมอนุสัย
ไม่ได้ใช้เสี้ยววินาทีเหล่านั้นสะสมบารมี
ไม่ได้สะสมข้อมูล..
ถ้าในแง่ของการสะสมสติปัฏฐาน
ก็​จะสะสมข้อมูลเอาไว้​ ให้จิตประมวลเป็นความรู้ขึ้นมา
แต่ละวินาทีที่เรามีสติรู้ทันกาย เวทนา จิต หรือธรรม นี่นะ!
เราเป็นการสะสมข้อมูลทีละแว้บ ๆ
แล้วควรจะเป็นทีละแว้บ ช่วงเสี้ยววินาทีนั้น

ไม่ใช่ว่าฉันมีสติมาตลอดหนึ่งวัน.. อันนี้น่ากลัว!
ฉันมีสติมาตลอด ไม่เคยหลงเลย.. อันนี้น่ากลัวมาก!
เพราะว่าสติที่เราพูดถึงเนี่ย! … ไม่ใช่สติแบบโลก ๆ
สติแบบที่เราพูดถึง คือสติปัฏฐาน
รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม
…..

สติปัฏฐาน มันจะรู้กาย เวทนา จิต ธรรม
ส่วนใหญ่จะรู้กันทีละแว้บ ๆ

ตอนรู้กายเนี่ย! ถ้าจะรู้นานนะ ต้องเพ่ง!
ถ้าเพ่งไปนั้น ก็เป็นการใช้สติปัณฐาน
ประกอบด้วยสมาธิอีกแบบนึง ซึ่งไม่ใช่สมาธิที่ถูกต้อง​ (คือ​ไม่ใช่​จิต​ตั้งมั่น)​

เวลารู้จิต​ ถ้าให้รู้ได้นาน ๆ ก็เพ่ง
ตอนเพ่งจิตก็เป็นสมาธิที่ไม่ถูกต้องอีก

เวลาเห็นจิตนาน ๆ จะรู้สึกว่า​ “ฉันมีความรู้สึกตัวอยู่นาน”
ไม่เห็นเป็นแว้บ ๆ
อย่างนี้นะ มันจะไม่เห็นจิตแสดงความจริง ไม่เห็นว่าจิตเกิด-ดับ
แต่ถ้าเห็นเป็นแว้บ ๆ นะ! จะเห็นความจริงว่า​ จิตเกิด-ดับ

ฉะนั้น​ เวลาเห็นเนี่ย​ ถ้ามันเห็นช่วงเสี้ยววินาที..ดีมาก!
เพราะการเห็นอย่างนั้น​ มันจะแสดงความจริงว่า
สิ่งนี้เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป ๆ

เอาแค่ช่วงเสี้ยววินาที
ความรู้สึกตัวช่วงเสี้ยววินาที..ดีมาก
ดีมากตรงไหน..ดีมากตรงที่มันจะไม่รู้สึกว่า
ไอ้ความรู้สึกตัวนั้น..ไม่เป็นเราด้วย

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

???
เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “แค่เสี้ยวนาที”
ณ ศูนย์ทันตกรรมสมุทรปราการ เมื่อ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ลิงค์แสดงธรรม https://bit.ly/31A2IBg
(ระหว่างนาทีที่ ๒๙.๒๖-๓๒.๒๑)


อ่านบน Facebook