All posts by gade

ทำบุญเพื่อเข้าตัว..หรือทำเพื่อสละออก

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๒

ทำบุญเพื่อเข้าตัว..หรือทำเพื่อสละออก

ถ้าคิดที่จะทำเพื่อตัวเองเนี่ยนะ!
อาการเดียวกัน..”ให้”เหมือนกัน
แต่คิดที่จะให้..เพื่อตัวเองได้บุญ
กับ
ให้เขาไป..เพื่อสงเคราะห์เขา
ความคิดตรงนี้ไม่เหมือนกัน
อาการเหมือนกัน..แต่บุญไม่เท่ากัน

พูดคำเดียวกัน..
พูดแบบตั้งใจจะเสียดสี
กับ
พูดหยอกล้อ
..ไม่เหมือนกัน
คำพูดแบบเดียวกัน..ผลไม่เหมือนกัน
ขึ้นอยู่ที่เจตนาในใจ!

คนจะสร้างบารมี คิดเอาบารมีใส่ตัว
ทำอันนี้แหละ..คิดว่าบารมีเยอะดี!
เช่น มีอยู่คนหนึ่งช่วยงานครูบาอาจารย์
ไปถ่ายวีดีโอ ไปเก็บภาพ ติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ที่ท่านไปแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ
คิดอยู่แค่ว่า..
‘สิ่งที่ท่านบรรยาย..น่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น’
เสียดายว่า..’ถ้าท่านพูดไปแล้วรู้เฉพาะคนตรงนี้’
ก็อุตส่าห์ไปเก็บภาพ ไปเก็บเสียง ออกทุนทำเองด้วย
ทำไปๆ ครูบาอาจารย์ทัก
“อืม..บารมีเยอะนะเนี่ย!”
ก็ตอบแบบงงๆ “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ”
ครูบาอาจารย์ก็ชี้ให้เห็นว่า
“เนี่ย! ที่ติดตามไปทำอย่างนี้นะ บารมีเยอะนะ
ทำอย่างนี้บุญเยอะ คือตั้งใจให้คนอื่น”
คือเขาตั้งใจที่จะเก็บธรรมะเผื่อแผ่คนอื่น
ไอ้คนนั้นก็ดีใจว่า..
งานที่ตัวเองทำเนี่ย..ได้บารมีเยอะ!
ทีนี้ หลังจากนั้น..
ตอนจะไปไหนติดตามครูบาอาจารย์แต่ละที ก็จะคิดว่า..
‘วันนี้เราจะได้บุญบารมีเท่าไหร่?’
คิดว่า ‘เราจะได้บุญ เราจะได้บารมี’
ทำคราวนี้ไม่ได้ทำเพื่อเผยแผ่พระธรรมแล้ว
ทำเพื่อ..”กูจะได้บารมี”
อาการเดียวกันเลย..ติดตามครูบาอาจารย์ไป
ไปถ่ายรูป ไปถ่ายวีดีโอ เอามาตัดต่อ เผยแผ่
ทำแบบเดียวกันเลย แต่คิดไม่เหมือนกัน
คิดทีแรกไม่ได้คิดว่า ‘กูจะได้บารมี’
คิดแต่ว่า..เดี๋ยวจะเก็บธรรมมะไปเผื่อแผ่คนอื่น
การกระทำเหมือนกัน ก็เป็นบุญนะ!
แค่จะให้ตัวเองมีบารมี..ก็เป็นบุญเหมือนกัน
..แต่บุญนิดเดียว !!
เทียบกับตอนที่ไม่คิดเอาเข้าตัวเนี่ย! ทำแบบบริสุทธิ์ใจ เขาเรียกว่าส่วนผสมไม่เหมือนเดิม
เคมีไม่เหมือนเดิม ผลออกมาไม่เท่ากัน
ไปปล่อยปลา อยากจะได้อายุยืนๆ นะ!
กับ
ปล่อยปลาเพื่อให้ปลามีชีวิตรอด
ความคิดไม่เท่ากัน..ไม่เหมือนกัน
แต่อาการเดียวกัน..คือปล่อยปลา
ไปไถ่ชีวิตวัว เพื่อให้ฉันมีอายุยืน หรือหายเจ็บหายป่วย
คิดอย่างนี้ก็ได้บุญนะ! แต่นิดนึง!
กับ
คิดที่จะให้วัวนั้นพ้นทุกข์ไป
อย่างนี้..คิดไม่ได้เอาเข้าตัว
อาการเดียวกัน..เสียเงินเท่ากัน..แต่บุญไม่เท่ากัน
เวลาอยู่กับโลก..ถ้าคิดจะเอาโลกมาเสริมตัวเองนะ
ก็เท่ากับว่ายังอยู่กับโลกอีกนาน
แต่ถ้าจะอยู่กับโลก แล้วก็คิดสงเคราะห์คนอื่นไปเรื่อยๆ
ไม่ได้คิดจะเอาเข้าตัวนะ!
แต่มันอดไม่ได้หรอกมันต้องเอาเข้าตัวบ้าง
แต่คิดที่จะสงเคราะห์เขามากกว่าที่จะเอาเข้าตัว มันก็จะเห็นผลของบารมีที่เสริมขึ้นมา
ความแตกต่างของอาการ..ดูภายนอกเนี่ยดูไม่ออก
แต่ในใจเรานี่ จะรู้เองว่า
คิดที่จะไม่เอาเข้าตัวนี่มันเบา
มันสบายแล้วก็ไม่เป็นภาระ ไม่ห่วง ไม่กังวล
มีความยินดีที่จะทำให้มากกว่านั้นด้วยซ้ำไป
เหมือนที่พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์
พระองค์ตรัสเปรียบเทียบไว้ว่า
ถ้าเส้นทางปลายทางถึงจุดหมายคือ..เป็นสัมมาสัมพุทธะ ถ้าระหว่างทางเป็นถ่านเพลิง แล้วเขาบังคับให้เดินลุยถ่านเพลิงที่เป็นถ่านแดงๆเนี่ยนะ! ท่านก็เต็มใจไป
ถ้าปลายทางเป็นสัมมาสัมพุทธะ
คือ..คิดที่จะช่วยคนอื่น
ไม่ได้เป็นสัมมาสัมพุทธะเพื่อที่จะข่มคนอื่น
แต่คิดที่จะช่วยเหลือคนอื่น
ท่านจึงบอกว่า
คนที่คิดจะเป็นสัมมาสัมพุทธะ ถ้าไม่มี”มหากรุณา”นะ.. ไปไม่รอด!
ต้องคิดที่จะช่วยเหลือคนอื่น
อยู่ในสังคมก็จะมีการกระทบกระทั่งกัน
ถ้ามีการกระทบกระทั่งกัน แล้วเราก็คิดเอาเข้าตัวเนี่ยนะ!
คราวนี้ยุ่งเลย..ต่างคนก็จะคิดที่จะเอาเข้าตัว
แต่ถ้าคิดเพื่อที่จะสงเคราะห์คนอื่น
มันจะมีความอ่อนโยน มีความอะลุ่มอล่วย
มีความเมตตาให้แก่กัน
เวลามองปัญหา
ก็จะไม่มองแบบคิดแก้ไขปัญหาแบบฉาบฉวยรุนแรงเพื่อป้องกันตนเอง แต่จะมองด้วยความรอบคอบ มีความใจเย็น ในการมองปัญหา
ที่คิดแก้ปัญหาอะไร ต่างๆ ก็จะรอบคอบ
ถ้าเราคิดที่จะป้องกันตนเองนะ! จะคิดอีกแบบหนึ่ง วิธีแก้ปัญหาจะเป็นอีกแบบหนึ่ง
ถ้าคิดที่จะสงเคราะห์คนอื่น วิธีแก้ปัญหาจะเป็นอีกแบบหนึ่ง
คนเราก็เคยผิดพลาด
เวลาเรามองว่า..ตัวเองเคยผิดพลาดนะ!
ก็จะเห็นใจคนอื่นว่า.. ‘เขาคงคล้ายๆเราเมื่อก่อนนี้แหละ!’ อย่างนี้นะ!
พอคิดอย่างนี้..มันจะมีวิธีแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น
จะเห็นใจคนอื่น..

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากงานทำบุญบ้านโยม
๓ ตุลาคม ๒๕๕๘

มารคาถา..ตอน กิเลสมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๑

มารคาถา..ตอน กิเลสมาร

มารตัวสุดท้าย..ที่จะกล่าวในที่นี้
ถ้าเรามีมุมมองในการที่จะ”เรียนรู้”มันนี่นะ
จะไม่รู้สึกว่า..มันเป็นมาร
เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมา เรารู้มันไปตรงๆ ว่า กิเลสเกิด
ก็จะ “อ๋อ!”
มันแสดงตัวให้รู้ว่า..#จิตมันทำงานอย่างนี้!
แต่ถ้าเราต้องการจะสงบ อยากจะดี
จะรู้สึกว่า..กิเลสมันเป็นตัวขัดขวาง
แล้วจะรู้สึกว่า..มันเป็นมารจริงๆ
แล้วพอมันเป็นมารนะ..เราโกรธมันนะ..เสร็จมัน!
แล้วเราก็พอกกิเลส กลายเป็นกิเลสมาร
ทำเราพินาศทุกที
มารไม่ได้มาจากไหนเลย
เราสร้างเอง … แปลกมั้ย?
มารทั้งหลายนี่นะ.. สร้างเอง!
กิเลสมาร..มาจากไหน? .. จากใจ!
ใจคนอื่นเป็นกิเลสมารของเราไหม?..ไม่ใช่!
คนโน้นมีกิเลส เราจะมีกิเลสด้วยได้ไหม?
ก็ได้นะ!
เขามีกิเลสแล้วเรามีกิเลสตอบ
แต่นี่คือ..เราสร้างเอง
คนทั่วโลกมีกิเลสหมด
พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส
จะไปใส่กิเลสให้พระพุทธเจ้าได้ไหม?..ไม่ได้
กิเลสก็อยู่ที่จิตคนนั้น
ฉะนั้น กิเลสมารตัวนี้..ใจนี้สร้างเอง
ขันธมาร..ใครสร้าง?
..ก็ไอ้จิตเรานี่แหละ!
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใครสร้าง?
ไม่มีใครสร้าง..
มันมาจากจิตโง่ๆ
อภิสังขารมาร..ใครสร้าง?
ก็ไอ้จิตนี้อีกแหละ
เทวปุตตมารล่ะ..ใครเป็น?
เราก็เป็นพญามารบ้าง นางมารร้ายบ้าง
ธิดามารบ้าง คอยขัดคอยขวางไม่ให้คนอื่นได้ดี
พวกเรานี่เป็นมารกันได้ทั้งนั้นแหละ!
มัจจุมาร..มารคือความตาย
แล้วไอ้ที่จะตายนี่ล่ะ..ใครตาย?
เราตาย!
เราเกิดมา..แล้วเรารอที่จะตาย..
ก็ ‘เรา’ นี่แหละ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจาก..ซีดี บ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา…ตอน กิเลสมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๐

มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร

..มารอีกตัวหนึ่งนะ!..เห็นยาก..คือ “อภิสังขารมาร”
อภิสังขาร เป็นความปรุงแต่งแห่งการกระทำ
อภิสังขารมาร..เป็นมารเพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม
ย้อนไปที่บอกว่า ขันธมารนี่..ดูยาก
ขันธ์ ๕ นี่นะ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ..ถ้าดูยาก
ท่านก็หยิบเอามาตัวหนึ่ง
คือตัวหลักๆ เลย ที่ว่าเป็นตัวทำให้มีปัญหามากๆ ก็คือ..สังขาร
แล้วท่านก็ใส่ยศให้มันอีกหน่อยหนึ่ง เป็น “อภิสังขาร”
อภิสังขารที่เป็นมารในที่นี้ คือ ปรุงแต่งเป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง หรือปรุงแต่งแบบที่ทำให้เกิดฌาน
ก็เป็นปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร
พอฟังคำศัพท์แล้วยากมั้ย ?
“ปุญญาภิสังขาร” คือ สภาพปรุงแต่งที่เป็นบุญ เวลาเราคิดจะทำบุญ จะมีตัวปรุงแต่งขึ้นมาในใจก่อน
“อปุญญาภิสังขาร” คือ ปรุงที่ไม่เป็นบุญ
ปรุงแบบบาป คิดจะทำร้ายเขา คิดจะเบียดเบียนเขา คิดจะโกหก คิดจะขโมย นี่คือคิดเป็นบาป เป็นอปุญญาภิสังขาร
ส่วนคนที่จะทำฌาน ทำสมาธิ
มันปรุงเหนือจากบุญทั่วๆ ไป
บุญทั่วๆ ไปยังหวังที่จะได้กาม
ได้ความสุขจากการเห็น จากการฟัง
จากการดม จากการกิน จากการสัมผัส แต่คนบางกลุ่มเบื่อ!..เห็นว่าสิ่งเหล่านี้
มันต้องแย่งกัน
ได้มาแล้วก็สุขนิดเดียว มีภาระมาก
แต่งงานแล้วก็สุขนิดเดียว เดี๋ยวก็โดนซ้อมแล้ว มีภาระ แล้วก็มีทุกข์ด้วย
มีรถแล้วก็ถูกเอาไป โอ้..ลำบาก! เลยไม่สนใจเรื่องกาม
มาสนใจเรื่องการทำสมาธิ ทำฌาน หมายเอาภาวะที่จิตมั่นคงแน่วแน่ของฌานที่สี
ถ้าทำได้ก็เป็นการปรุงแต่งอีกแบบหนึ่ง เขาเรียกว่า “อเนญชาภิสังขาร”
อภิสังขาร คือสภาพที่ปรุงแต่ง #มีเจตนาเป็นประธาน
พูดย่อๆ ก็คือ ปรุงเป็นบุญ ปรุงเป็นบาป และปรุงเป็นฌาน ทำฌานที่สี่
ทำไมจึงเป็นมาร?
รู้มั้ย? บอกได้มั้ย?
ช่วยกันเสนอหน่อย ทำไมจึงเป็นมาร?
คำตอบคือ
#เพราะทุกครั้งที่ทำอะไรก็ตาม ใน ๓ อย่างนี้นะ #เป็นการทำกรรมทั้งสิ้น!
ทำกรรมก็คือสร้างภพ
ดีมั้ย..สร้างภพดีมั้ย?
พอสร้างภพแล้วคือต้องไปเกิด
ไอ้ตัวนี้..อภิสังขารนี่..จึงเป็นตัวขวางไม่ให้ไปนิพพาน
บรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้ เพราะมัววุ่นอยู่กับการคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง
คิดบังคับเอาไว้อยู่กับที่บ้าง ที่เราทำสมาธิกันทั่วๆ ไป
คนทั่วไปที่ไม่เคยฟังธรรมนี่นะ! พอคิดจะทำสมาธิ..ก็ทำแบบบังคับเอาไว้
ทำอเนญชาภิสังขาร ก็ไม่พ้นจากภพ คือต้องไปเกิด
เกิดที่ไหนล่ะ? เกิดเป็นพรหมบ้าง อรูปพรหมบ้าง ไม่พ้นจริง
ตัวปรุงแต่งต่างๆ จึงเป็นตัวขวาง เป็นมาร..!
โอ้..ลำบากมั้ย?
แล้วจะพ้นได้ยังไง?
รู้มัน.. #รู้จักมัน!
คิดดี..ก็รู้
คิดไม่ดี..ก็รู้
คิดบังคับมันให้นิ่งๆ..ก็รู้
พอคิดบังคับนิ่งๆ เนี่ยนะ!
มันเป็นบุญก็จริง แต่ยังต้องไปเกิดอีก ถ้าพอใจแค่ว่าทำสมาธิสำเร็จ คือสงบ
“วันนี้ฉันนั่งสงบมา ๑ ชั่วโมง”.. ดีใจ ออกจากสมาธิมา..มีกิเลสต่อ
พระพุทธเจ้า..ตอนที่พระองค์เป็นนักบวช
ก่อนจะมาตรัสรู้นี่นะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้วนะ!
ไปเรียนกับอาฬารดาบส กับ อุททกดาบส ไปเรียนทำฌาน
พระองค์ทำฌานจนได้ฌานที่ ๗ และฌานที่ ๘ ตามลำดับ
ก็คือไปเรียนทำอเนญชาภิสังขาร แล้วท่านก็ออกจากฌานมา..ก็ดู
ออกจากสมาธิแล้วก็ยังมีการปรุงแต่ง ยังมีกิเลสอยู่
ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้จริง…ยังเกิด!
นี่ความละเอียดของพระองค์นะ
ถ้าเป็นเราละก็..โอ๋ย..พอใจ! ได้แค่นั้นก็เจ๋งมากแล้วนะ
แต่พระองค์เห็นว่า..มันยังเกิดอยู่ ที่พระองค์ออกมาบวช เพราะว่าไปเห็นคนแก่
คนเจ็บ คนตาย แล้วก็นักบวช ตอนเห็นคนแก่คนเจ็บคนตายเนี่ย พระองค์ดำริว่า..
“ทำอย่างไรเราจะพ้นจากแก่เจ็บและตาย แล้วก็จะพาคนอื่นพ้นด้วย”
แต่ถ้าไปทำฌานนะ ตายมั้ย? .. ตาย! ตายแล้วเกิดมั้ย? .. เกิด!
ไม่พ้น
ถ้าเกิดแล้วยังต้องตายอีก แสดงว่าทางนี้ไม่ใช่! ทางที่ไปทำฌานยังไม่ใช่
เอ๊ะ! ทำยังไงต่อ?
สมัยนั้นก็นิยมที่จะทรมานตัวเอง และเชื่อว่าถ้าทรมานร่างกายจนถึงระดับหนึ่ง..ตัณหาจะหมด
อ้าว! ถ้าตัณหาหมดไม่เกิดแน่..
พระองค์ก็ไปลองทรมานตัวเอง ทรมานไปจนถึงที่สุดแล้วเนี่ย!
ไม่มีใครอื่นจะทรมานตนได้ขนาดนั้นแล้ว
พระองค์ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะหมดกิเลสยังไงเลย ได้แต่ลำบาก
แล้วก็จิตใจพอ..จิตใจกับกายนี่มันยังสัมพันธ์กันอยู่
พอกายหมดแรง จิตก็ชักจะหมดแรงไปด้วย
พระองค์ก็พิจารณาเห็นว่า..
อดอาหารจนกระทั่งลูบท้องไป ไปโดนกระดูกสันหลังนี่นะ..
(อาตมาลูบแล้วไม่เจอซักที เจอแต่ไขมัน!)
พระองค์อดอาหารจนลูบหน้าท้องแล้วจะไปเจอกระดูกสันหลังเลย ลูบแขนแล้วขนจะหลุดไปเลย
ไม่มีใครจะอดอาหารแล้วทนได้..และมีชีวิตอยู่ขนาดนี้
ส่วนใหญ่อดอาหารแล้วก็ตาย หรือว่าทนไม่ได้ต้องมา..กลับมากิน
แต่พระองค์อดจนขนาดนั้นนะ ก็ไม่เห็นตัณหามันจะหายไปไหน
ตัณหามี ๓ อย่าง กามตัณหา..อยากได้กาม
ภวตัณหา..อยากเป็น อยากให้คงอยู่ แล้วก็
วิภวตัณหา..ไม่อยากเป็น อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ
ก็ยังมีตัณหา ๓ อย่างนี้อยู่
อดอาหารจนจะแห้ง จะสิ้นชีวิตอยู่แล้วนี่นะ
ตัณหาเหล่านี้ก็ยังมีอยู่
พระองค์เห็นว่าไม่ใช่ทาง
เพราะฉะนั้น นั้นร่างกายต้องมีความสมบูรณ์พอสมควร
จิตใจจึงจะมีความพร้อมพอที่จะเกิดปัญญาได้
พระองค์ก็ตัดสินใจกลับมาบริโภคอาหาร บริโภคอาหารแล้ว ถึงวันตรัสรู้..
พระองค์ก็มานึกถึงตอนที่เป็นเด็ก ตอนนั้นทำสมาธิอย่างหนึ่ง
ที่ไม่เหมือนกันกับอาฬารดาบส และอุททกดาบส ทำให้ตัดสินใจว่า เดี๋ยวจะทำอย่างนั้น

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากซีดีบ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

มารคาถา…ตอน มัจจุมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๓๙

มารคาถา…ตอน มัจจุมาร

คนที่คิดว่าตัวเองมีเวลาน้อย
จะเห็นคุณค่าของเวลา..แม้ที่มีนิดหน่อย
เช่น คนที่กำลังจะตาย จะเห็นว่า..ตนมีเวลาเหลือน้อย
จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ตรงนี้
เอามาเป็นประโยชน์ต่อการภาวนา
แต่คนคิดว่า ‘ยังไม่ตายหรอก..อีกนาน!’ ก็จะลั้นลาไปเรื่อยๆ
แล้วคนก็เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก!
เวลาท่านให้นึกถึงความตาย
ท่านจึงให้ดู..เพื่อไม่ให้ประมาท
ไม่ใช่ขู่ให้กลัว!
ฉะนั้น ในแง่ของ ‘ขันธมาร’ ท่านให้เห็นว่า..
ชีวิตคือขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ถูกความเจ็บไข้บีบคั้นเบียดเบียน ขัดขวางการเจริญกุศล ..เป็นเครื่องเตือนใจ
แล้ว ‘มัจจุมาร’ ก็เป็นเครื่องเตือนใจซ้ำ ย้ำไปอีกครั้งว่า
เวลาแห่งชีวิตหรือขันธ์ชุดนี้ก็มีน้อย
ที่ต้องย้ำ เพราะบางที ‘ขันธมาร’เนี่ย.. เราจะรู้ได้ยาก
ต้องใช้ ‘มัจจุมาร’ มาเตือน!
จริงๆ แล้ว มารทั้งห้านี่นะ!
ถ้ามองในแง่เป็นตัวขัดขวางเป็นอุปสรรค
ก็เป็นอุปสรรคจริงๆ..ถ้าเราประมาท!!
ชีวิตนี้ถ้าเกิดมาเป็นคน
แล้วไม่ได้พัฒนาตนเองเลย..แล้วตายไป
ไอ้ตอนตาย..ความตายนี้แหละเป็น ‘มัจจุมาร’
ความตายนี้เป็นตัวขัดขวาง เพราะตัดโอกาสที่จะทำความดี
ทำให้ชีวิตนี้เกิดมาแล้ว หมดเวลาพัฒนา
ตายไป..ก็ไม่แน่จะเกิดมาเป็นคนอีกหรือไม่
บุญพอหรือเปล่า..ก็ยังไม่รู้?
แต่ที่แน่ๆเลย คือ..หมดสิทธิ์แล้ว!
ชีวิตนี้หมดสิทธิ์ไปแล้ว..หมดเวลา!
‘มัจจุมาร’ จึงเป็นตัวขัดขวาง..
ทำให้เวลามีจำกัด
เวลาของเรา..มีจำกัด
เกิดขึ้นมาแล้ว ต้องตายทุกคน
ถูกตัดสินประหารชีวิตไว้แล้วทุกคน ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่ปฏิสนธิ
จริงๆ ไม่เฉพาะพวกเราหรอก
ทั้งเทวดา ทั้งสัตว์ทั้งหลาย ทั้งหมดเลย
ที่เกิดอยู่ในสามโลก
ทั้งที่อยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
เกิดแล้วต้องตายทุกที่
แต่ถ้าเห็นว่า..ความตายเป็นเครื่องเตือนใจได้
‘มัจจุมาร’ ก็กลายเป็น ‘มัจจุมิตร’
อธิบายอย่างนี้รู้สึกว่า..
มารไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่เนอะ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากซีดี บ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา .. ตอน มัจจุมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

มารคาถา…ตอน ขันธมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๓๘

มารคาถา…ตอน ขันธมาร

มารตัวที่ ๒ “ขันธมาร”
นึกแล้วก็ลำบาก
“จะทำยังไงล่ะ?..ขันธมาร!”
ขันธ์มี ๕ ขันธ์
มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งก็คือชีวิตเรานี่แหละ!

เราเกิดมาก็มีขันธ์ ๕
ถ้าขันธ์มันเป็นมารซะแล้ว..เราจะหลบยังไง? เราจะพ้นมารตัวนี้ได้ยังไง?
ฆ่าตัวตายเหรอ..พ้นมั้ย?.. ไม่พ้นนะ
เพราะฆ่าตัวตาย.. ฆ่าได้แต่รูป
แต่นามยังมีอยู่นะ!
นามเกิด-ดับ เกิด-ดับ ก็จริงอยู่นะ
แต่มันเกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดอีกนะ
มันไม่ได้ดับสนิทไปตามร่างกายที่ตาย
ถ้านามมันยังโง่อยู่ มันก็จะไปเกิดใหม่ ไปสร้างรูปใหม่ได้

เหมือนเอาเม็ดมะม่วงไปเพาะที่แผ่นดิน
มันก็จะเกิดเป็นต้นมะม่วงขึ้นมาอีก
นามตัวนี้ที่ยังโง่อยู่ ก็จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความโง่ สร้างรูปมาสนองความโง่นั้นต่อไป
น่ากลัวมั้ย ??
ถ้าเราผิดหวังก็ไปฆ่าตัวตาย ตอนคิดจะฆ่าตัวตาย
ก็เพิ่มความโง่เข้าไปในจิตอีก
ไม่ใช่โง่ธรรมดา โง่ใหญ่ๆ เลย
ฉะนั้น คนที่ตายไปด้วยความโง่ จะโง่และเศร้า ก่อนจะตาย..จิตก็ต้องท้อถอยหดหู่อย่างมาก
จิตก็สะสมความหดหู่ ความเศร้าหมอง ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทนไม่ได้
พอตัดสินใจว่า จะฆ่าตัวตาย
เพิ่มความโง่ไปอีกตัว
ความโง่ที่มีมากอยู่แล้ว..ก็เติมความโง่ทับถมเข้าไปอีก
สมมุติว่าความโง่เคยหนาอยู่เมตรหนึ่ง ก็เพิ่มเป็นเมตรครึ่ง
เพิ่มมาเยอะเลย กลายเป็น..โง่ดักดาน
น่าสงสารนะ
คิดผิดกันว่า ฆ่าตัวตายแล้วจะพ้นจากความทุกข์อันนั้นได้
แต่พอตายจริงนี่นะ มันจะจมอยู่กับความทุกข์อันนั้นเป็นเวลายาวนาน
ฉะนั้น เวลาผิดหวังในชีวิต..อย่าไปคิดสั้น เพราะถ้าคิดสั้นแล้วทุกข์จะยาว
ตอนเป็นผีนี่อายุยืนนะ! ตอนเป็นคนอายุประมาณร้อยปี
แต่ตอนเป็นผีนี่อายุยาวนานกว่า เพราะว่าเป็นกายทิพย์
แต่เป็นกายทิพย์ที่ทุกข์
ขันธ์นี้เวลาปกติ..มันก็มีภาวะที่ขัดแย้งอยู่เสมอ
ขันธมารในแง่รูปกาย.. กายนี่จะมีภาวะแห่งความขัดแย้ง
กายนี้จะอยู่นิ่งไม่ได้จริง จะมีทุกข์มาบีบคั้นให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
ชีวิตจะมีการหมุนเวียนเกิดดับของร่างกายอยู่เสมอ
และมีความพร่องความไม่พอดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
กลายเป็นความเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา
เซลล์ต่างๆ ก็ผลัดเปลี่ยน ร่างกายของเราตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนแรกเกิด
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เซลล์ที่แข็งแรงที่สุดคือ กระดูก
กระดูกก็มีอายุอยู่แค่ ๙ ปี ตอนนี้เรา ๙ ปีมากี่รอบแล้ว?
กายเราเปลี่ยนมาหมดแล้วนะ! อากาศก็ถ่ายเทออกซิเจน หายใจเข้าไปก็ถ่ายเท เลือดก็ถ่ายเท
เส้นผม..ก็ไม่ใช่เส้นเดิมเมื่อตอนแรกเกิด
ผิวหนังเราอาบน้ำถูขี้ไคลแต่ละที ก็เอาหนังกำพร้านี้ออกไป
หนังที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่ใช่หนังเดิมแล้วนะ
บางคนยังเข้าใจว่าเป็นตัวเราเหมือนเดิม
แต่จริงๆ แล้ว ดูในแง่รูปธรรมก็ไม่มีเซลล์เดิมเลย
อิริยาบถต่างๆ ก็ต้องคอยเปลี่ยน
ขันธมารในแง่ของนามขันธ์ เป็นส่วนที่พวกเรายังเห็นไม่ชัดแจ้ง
เรายังรู้สึกว่าขันธ์นี้เหมือนเป็นที่ให้ความสุข
ที่เรายังอยากเกิดอยู่ อยากเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า .. เพราะว่าเรายังอยากได้ขันธ์ที่ดีกว่านี้
อยากได้กายทิพย์ เพื่อไปเสพอาหารทิพย์ ไปดูสวนทิพย์ ไปดูวิมานทิพย์
คืออยากอยู่ในที่สบาย อยากเห็นอะไรสวยงาม อยากกินอะไรอร่อยๆ กว่านี้
ยังไม่เห็นว่าขันธ์ทั้ง ๕ นี้ จะเป็นมารขัดขวางอะไร
คนที่จะเห็นว่าเป็นมารขัดขวางจริงๆ ก็ต้องระดับพระอรหันต์
หรือผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์
ท่านจะเห็นขันธ์ทั้ง ๕ นี่เป็นมารขัดขวาง แต่พวกเราจะเห็นแค่รูปขันธ์เป็นมาร
มีความเจ็บป่วยทำให้ภาวนาไม่ดี
จริงๆ ภาวนาตอนเจ็บป่วยนี่ดีนะ! เพราะตอนไม่ป่วยจะเหลิง
ความเจ็บไข้ไม่สบายจะเป็นเครื่องเตือนว่า ชีวิตของเราจะอยู่อีกไม่นานนะ!
หรือว่า ชีวิตของเราเป็นทุกข์จริงๆ นะ!
กายเป็นทุกข์ เป็นเครื่องเตือนจริงๆ
กลายเป็นว่า ถ้ามันป่วยขึ้นมา คนปกติจะรู้สึกว่าเป็นมาร
แต่ถ้ามองในแง่มุมของนักภาวนา จะเห็นว่ามันเป็นมิตรที่ดี
เพราะมาคอยเตือนให้เราไม่ประมาท
เวลาเรามีความทุกข์ทางใจ ก็จะเห็นเลยว่า
จริงๆ แล้ว..โลกนี้ไม่น่าอภิรมย์
เพราะจะต้องมาเกิด..แล้วมามีทุกข์อย่างนี้อีกบ่อยๆ
เวลาเจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาล มันจะรู้สึกว่า
ร่างกายนี้จริงๆ แล้วไม่คงทน ถ้าเห็นว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจ
ขันธมารอันนี้กลายเป็นขันธมิตร
ถ้าดู..ดูให้ดีนะ!
คนที่เจ็บป่วยจะรู้สึกว่า ชีวิตของเราเหลือน้อย คนที่แก่จะเห็นว่าชีวิตของเราเหลือน้อย
คนที่เห็นว่าชีวิตเหลือน้อย แล้วเคยฟังธรรมะมานี่นะ! เขาจะเริ่มเห็นความน่ากลัว
เห็นอันตรายแห่งชีวิต
เห็นว่า..ชีวิตเหลือน้อย เขาจะเร่งภาวนาด้วยความไม่ประมาท
คนที่ทำงานหนัก แล้วมีเวลาน้อย ก็เห็นว่าตัวเองมีเวลาในการภาวนาน้อย
เขาจะใช้เวลาว่างที่มีอยู่แม้นิดหน่อยนั้นให้มีค่า
ส่วนคนที่ลั้นลา..นี่นะ
จะไม่ได้ทำชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์อะไร
คิดอยู่แต่ว่า ทำอย่างไร..ฉันที่จะมีมากกว่านี้
มีอะไรมาดูบ่อยๆ มีอะไรมาฟังบ่อยๆ
มีอะไรมากินบ่อยๆ เสพสุขไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดว่าจะต้องมาพัฒนาในเรื่องจิตใจอะไร
แต่คนที่ตัดสินใจว่าจะต้องพัฒนาจิตใจตน
มักปรากฏว่าเป็นคนเวลามีน้อย
กลายเป็นว่า..
เวลาที่ว่างแม้นิดหน่อย จะเอามาภาวนาทันที
เหมือนอย่างในหลวง พระองค์ทรงงานเยอะ
แต่พระองค์ก็ภาวนาเก่ง
พระองค์เอาเวลามาจากไหน?
ก็เอาเวลาขณะที่ประทับนั่งบนรถบ้าง ประทับนั่งบนเครื่องบินบ้าง
เวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ ๕ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง พระองค์ก็ภาวนาได้
แต่เรามีเวลา ๕ นาที เราจะทำอะไร?
..เหม่อลอย ..เอาไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
คิดว่า เดี๋ยวจะทำอะไร?
ส่วนเรื่องภาวนา คืนนี้ค่อยทำ!
ลืมคิดว่า ไอ้ ๕ นาทีตรงนี้ จะเอามาเป็นประโยชน์ได้แค่ไหน?
จิตเป็นอย่างไรในขณะนี้..แค่หันมาดู ก็ได้ภาวนาแล้ว
แต่ลืมไป..!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม บ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา..ตอนขันธมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

มารที่น่ากลัวถ้ารู้จักมันแล้ว มารเป็นตัวฝึก .. ทำให้เรามีสติ

วรรคทอง..วรรคธรรม #๓๗

มารที่น่ากลัวถ้ารู้จักมันแล้ว มารเป็นตัวฝึก .. ทำให้เรามีสติ

มารคาถา..ตอน เทวบุตรมาร

มารจะมาทำหน้าที่ของมันสำเร็จ
เมื่อเราเห็นมันแล้วเราตกใจ! .. กลัว!
เวลาตกใจกลัวนี่น่ะ มารมันทำงานสำเร็จ
แต่ถ้าเห็นแล้วไม่กลัว รู้เฉยๆว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เดี๋ยวมันก็ไปเอง
มารมีลักษณะอย่างหนึ่งที่น่ารักมากเลย คือ..#ขี้อาย
เราบางคนอาจไม่มีลักษณะอย่างนี้ใช่มั๊ย?
เราบางคนถูกทักแล้วยังไม่อายเลย
แต่มารนะ! ถูกทักแล้วอาย ม้วนเลย
พระโมคคัลลาน์ เป็นพระอรหันต์นะ
มีฤทธิ์มากด้วย ถูกเทวบุตรมารเข้ามาในท้อง
ปกติเทวดานะ จะเหม็นมนุษย์มาก
แต่มารนี่คิดจะแกล้ง
พอเข้ามาในท้อง
ทีแรกเลยเนี่ย! พระโมคคัลลาน์ยังไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น
‘เอ๊ะ! ท้องทำไมหนักๆ
แสดงว่า..อาหารจะเป็นพิษหรือเปล่า?’
ท่านก็หยุดดู เข้ามานั่งในกุฏินะ แล้วก็ดู
อ้าว..อาหารไม่มีปัญหาอะไร
มันมีจิต พอไปดูแล้ว..เป็นพญามาร
ก็เลยทัก “มาร..เราเห็นท่านแล้ว”
ทักอย่างนี้นะ
พญามารก็คิดว่า..
‘จริงหรือเปล่าเนี่ย ไม่น่าจะเห็นเร็วอย่างนี้
เรามาอย่างเนียนมากเลยนะ ไม่น่าจะเห็นเร็วอย่างนี้’
ก็เข้าใจว่าพระโมคคัลลาน์ จริงๆน่ะคงไม่เห็นหรอก..แต่ทักมั่ว
เราอาจจะเคยทักคนมั่วๆ ก็มีใช่มั๊ย?
มารก็ว่า ‘ไม่น่าเห็นหรอก พระพุทธเจ้ายังไม่ทักเราเร็วขนาดนี้เลย’
คิดอย่างนี้เลยนะ..’พระพุทธเจ้ายังไม่ทักเราเร็วขนาดนี้เลย
พระโมคคัลลาน์ จะมาอะไรเห็นเร็วอะไรขนาดนี้’
ก็ยังไม่ไปไหน ยังอยู่ตรงนั้นแหละ
พระโมคคัลลาน์ ท่านก็เลยบอกว่า..
‘มาร! ท่านคิดว่า เราเห็นเร็วไปหรือ? เราเห็นท่านจริงๆนะ
แล้วที่ท่านคิดว่าพระพุทธเจ้าทักช้า คิดว่าพระองค์ไม่เห็นหรือ?
พระองค์มีความกรุณาต่อท่านต่างหาก
แต่ตอนนี้เราเห็นท่านแล้ว รู้จักท่านแล้ว
มาร..เรารู้จักท่านจริงๆนะ’
ไม่ได้ไล่ด้วยนะ แค่ทักว่ารู้จักแล้ว
มารตกใจ รีบออกจากท้อง ไม่รู้ออกมาทางช่องไหนนะ
ก็ไปหลบอยู่ข้างประตู กะว่าพระโมคคัลลาน์ไม่เห็น
ท่านก็ทักอีก.. “มาร! ท่านหลบอยู่ข้างประตู เราก็รู้นะ!”
โอ้! คราวนี้ไม่อยู่เลย..ไปเลย
นี่คือลักษณะที่น่ารักของมาร
บางทีเราไม่เห็นนะ แกล้งทักซ้ำๆก็ได้นะ
เผื่อมารไม่เชื่อ ก็ทักสักสามสี่ทีก็ได้…

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม บ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา..ตอนเทวบุตรมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗