Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๗ ?? #ถาม​ : ใน​หนังสือ​”นิมฺมโล​ตอบโจทย์” ข้อ ๑๘ หน้า ๙๑ ท่านตอบว่า “ผู้รู้”…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๗
??

#ถาม​ : ใน​หนังสือ​”นิมฺมโล​ตอบโจทย์” ข้อ ๑๘ หน้า ๙๑ ท่านตอบว่า “ผู้รู้” จัดอยู่ใน สังขารขันธ์”! ควรจะเป็น “วิญญาณขันธ์”นะคะ

#ตอบ​ : ดู​แล้ว​นะ​ โจทย์​นั้น​ถาม​มา​ว่า​
“ตัว​รู้” ที่​เรา​ฝึก​กัน​ ให้​เรา​รู้​ใน​การ​ฝึก​สติ​ ใช่​เป็น​นาม​ใน​ขันธ์​ ๕​ หรือ​เปล่า​ครับ?

ที่​อาตมาตอบ​ว่า​เป็น​นาม​ธรรม​ จัด​อยู่​ในสังขาร​ขันธ์​ เพราะ​หมาย​เอา​”ตัว​รู้”ตาม​โจทย์​ที่​บอก​มา​ว่า​ “ที่​เรา​ฝึก​กัน​ ให้​เรา​รู้​ใน​การ​ฝึก​สติ” ไม่​ใช่​”จิต​ผู้​รู้”

“ตัว​รู้” ที่​ว่า​นั้น ก็​ระบุ​ไว้​ว่า​ใน​ขั้น​เจริญ​สติ​ เช่น​ รู้​ว่า​เมื่อ​กี้​โกรธ​ เป็นต้น​ อย่างนี้​เป็น​สติ​รู้​จิต​ จึงจัด​อยู่​ใน​สังขาร​ขันธ์

ถ้า​เป็น​”จิต​ผู้​รู้” ที่​ปรากฏ​เมื่อ​มี​จิต​ตั้งมั่น​แล้ว​ อย่างนี้​จึง​จะจัด​เป็น​วิญญาณ​ขันธ์

คือ​คำ​ว่า”รู้” ใน​ภาษา​ไทย​เนี่ย​ ฟัง​ดู​บางที​ก็กำกวม
ยัง​มี”รู้​”อย่าง​อื่น​อีก​นะ

“รู้​เท่าทัน” “รู้​เข้าใจ” “รู้​ไตรลักษณ์” เป็น​ปัญญา​ จัด​อยู่​ใน​สังขาร​ขันธ์

“รู้สึก” ว่า​สุข​ ว่า​ทุกข์​ จัด​เป็น​เวทนา​ขันธ์

“รู้​จำ” “หมาย​รู้” ก็​เป็น​สัญญา​ ก็​อยู่​ใน​สัญญา​ขันธ์

ใน​โจทย์​นั้น​ อาตมา​ก็​ตอบ​สั้น​ไป​หน่อย​ ต้อง​ขอ​ขอบคุณ​โยมมาก​นะ​ ที่​ได้​กรุณา​ทักท้วง​ ต่อไป​จะ​พยายาม​ให้​รัดกุม​มาก​ขึ้น

อนุโมทนา​กับ​โยม​ด้วย​นะ

๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๖ (ต่อเนื่องจากนิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๕) ?? #ถาม : ถ้ากลัวเก็บกดจากการอดทน ถ้ากับคนเดิมเรื่องคล้ายๆเดิม…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๖
(ต่อเนื่องจากนิมฺมโลตอบโจทย์
๑๒๕)
??

#ถาม : ถ้ากลัวเก็บกดจากการอดทน ถ้ากับคนเดิมเรื่องคล้ายๆเดิม เรื่องที่คนอื่นกระทำกับเราโดยไม่มีเหตุผล เราก็โต้ตอบพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผล น่าจะได้นะคะ แต่น้ำเสียงหรืออารมณ์ ต้องควบคุมให้ได้ค่ะ แล้วพิจารณาผลที่ตามมาประกอบด้วย แต่ถ้าเจอกันครั้งเดียว อะไรทนได้ก็ทนค่ะ แล้วก็เจริญเมตตาช่วยให้ความโกธรน้อยลง ค่อยดูความโกธรน่าจะได้นะคะ

#ตอบ : ทำแบบที่ว่านี้ก็ได้นะ

ใน สีติสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน?
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมข่มจิต​ ในสมัยที่ควรข่ม
๒. ย่อมประคองจิต​ ในสมัยที่ควรประคอง
๓. ย่อมยังจิตให้ร่าเริง​ ในสมัยที่ควรให้ร่าเริง
๔. ย่อมวางเฉยจิต​ ในสมัยที่ควรวางเฉย
๕. เป็นผู้น้อมไปในธรรมประณีต
๖. เป็นผู้ยินดียิ่งในนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรกระทำให้ แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ฯ”

ธรรมดาจิตควรข่มไว้ด้วยสมาธิ ในเวลาที่ฟุ้งซ่าน
ค​วรประคอง​ด้วยความเพียร ในเวลาที่จิตตกไปตามความเกียจคร้าน
ควรให้ร่าเริงด้วยกุศล เช่น ปราโมทย์ ปีติ ในเวลาที่จิตขาดความแช่มชื่น

๓ ข้อแรกนี้ เรียกว่าทำสมถะก่อน แต่ก็อย่าลืมเจริญวิปัสสนาด้วยนะ
สังเกตคำว่า “ในสมัยที่ควร” คือทำได้ แต่ไม่ใช่ทำทุกสมัย หรือทุกเวลา ทุกโอกาส

เพราะข้อต่อมา พระองค์แนะว่าควรวางเฉยด้วยอุเบกขาบ้าง อันหมายถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์
คือในเวลาที่ภาวนาอบรมจิตมาสม่ำเสมอแล้ว ก็อย่าไปแทรกแซงสภาวะที่เห็นนั้นเสียทุกครั้ง ให้มีใจเป็นกลางบ้าง เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญญาเห็นตามความเป็นจริง เห็นสภาวะแสดงไตรลักษณ์

สองข้อท้าย เป็นการตั้งเป้าหมายให้ตรง
เช่น ทำสมถะได้แล้ว ก็ไม่หยุดเพียงนี้ เพราะยังมีธรรมที่ประณีตยิ่งกว่า คือวิปัสสนา
และไม่ได้ภาวนาเพื่อหลบปัญหาไปเป็นคราวๆ แต่ภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา ให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์
ซึ่งก็คือ เป็นผู้ยินดียิ่งในนิพพานนั่นเอง

๙ สิงหาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๕ ?? #ถาม​ : การฝึก”รู้” ในขณะที่เรามีความโกรธ แต่ความโกรธก็ไม่ยอมดับไป ดังนั้นควรทำอย่างไรดีคะ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๕
??

#ถาม​ : การฝึก”รู้” ในขณะที่เรามีความโกรธ แต่ความโกรธก็ไม่ยอมดับไป ดังนั้นควรทำอย่างไรดีคะ
1.เราควรจะดูความโกรธไปสักระยะ จนมันดับไป(แบบนี้มีข้อควรระวังอะไรบ้างคะ)
หรือ
2.ทิ้งความโกรธไปเลย โดยใช้วิธีอื่นๆ เช่น นึกบริกรรมว่า พุทโธ หรือพยายามเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นๆแทน (ถ้าใช้วิธีนี้ ความโกรธมันจะกลายไปเป็นความเก็บกดในจิตใต้สำนึกหรือไม่คะ และจะกระทบต่ออนุสัยจิตหรือไม่คะ)?

#ตอบ​ : ที่​รู้​โกรธ​ แล้ว​โกรธ​ไม่​ดับ​ มี​ทาง​เป็นไปได้​ว่า

๑.​ โกรธ​ตัวเอง​ที่​ไป​เผลอ​โกรธ​เมื่อกี้นี้​ กลาย​เป็น​โกรธ​ตัว​ใหม่​ แต่​รู้​ไม่​ทัน​ว่า​เป็น​ตัว​ใหม่​ เห็น​ว่า​โกรธ​เหมือนกัน​ ก็​นึก​ว่า​โกรธ​ตัว​เดิม​ ที่จริง​เปลี่ยน​อารมณ์​ไป​แล้ว
(อารมณ์​ ในที่นี้​หมายถึง​ สิ่ง​ที่​ถูก​จิต​รู้​ หรือ​สิ่ง​ที่​ถูก​รับรู้)​

๒.​ จิต​ถลำ​ไปดู​ไป​จ้อง​ความ​โกรธ!

คือ​เวลา​ฝึก​ดู​จิต​ ที​แรก​ก็​เห็น​กิเลส​เป็น​ตัว​ๆ​ เช่น​ใน​กรณี​นี้​ก็​เห็น​ว่า​ความ​โกรธ​มัน​เป็น​อย่างนี้​ๆ​ คือ​เห็น​ลักษณะ​เฉพาะ​ตัว​ของ​สภาวะ(​ในที่นี้คือ​ความโกรธ)​ เรียก​อีก​อย่าง​ว่า​ เห็น​”วิเสส​ลักษณะ”

วิเสส​ลักษณะ​ เป็น​ลักษณะ​พิเศษ​เฉพาะ​ตัว​ของ​สภา​ว​ธรรม​นั้น​ๆ ที่​แตกต่าง​กัน​ไป​ใน​แต่ละ​สภาวะ​ ทำให้​แยก​ได้​บอกถูก​ ว่า​นี่​คือ​ความ​โลภ​ นี่​คือ​ความ​โกรธ​ เป็น​ต้น

ที่​ว่า​มี​ลักษณะ​พิเศษ​เฉพาะ​ตัว​นั้น​ ถ้า​ว่า​โดย​ละเอียด​ ก็​จะ​มี​จุด​ให้​ดู​ความแตกต่าง​กัน​อยู่​ ๔​ ประการ​ คือ

๑.​ ลักษณะ​ คือ​ สภาพ​เฉพาะตัว​ที่​มี​อยู่​ใน​สภา​วธรรม​นั้น​ๆ​ เช่น​ใน​กรณี​ของ​ความ​โกรธ​ ก็​มี​ ความ​หยาบ​กระด้าง เป็น​ลักษณะ

๒.​ รสะ​ คือ​ หน้าที่​ของ​สภา​ว​ธรรม​นั้น​ๆ​ เช่น​ แสง​มี​หน้าที่​ให้​ความ​สว่าง​ ใน​กรณี​ของ​ความ​โกรธ​ ก็​มี​ การ​ทำให้​จิต​ตน​และ​ผู้อื่น​หม่น​ไหม้​ เป็น​รสะ​ คือ​ทำหน้าที่​เผาลน​จิตใจ​นั่นเอง

๓.​ ปัจจุปัฏ​ฐาน​ คือ​ การ​ปรากฏ​ หมายถึง​ผล​ที่​เกิดขึ้น​จาก​การ​ทำ​หน้าที่​ของ​สภา​ว​ธรรม​นั้น​ๆ​ เช่น​ใน​กรณี​ของ​ความ​โกรธ​ ก็​มี​ การ​ประทุษร้าย​ การ​ทำลาย​ เป็น​ปัจจุปัฏ​ฐาน​ คือ​นอกจาก​จะ​ทำลาย​จิต​เอง​แล้ว​ ยัง​จะ​ไป​ทำลาย​อารมณ์​ที่​รับรู้​นั้น​ด้วย

๔.​ ปทัฏฐาน​ คือ​ เหตุ​ใกล้​ให้​เกิด​ หมายถึง​ปัจจัย​โดยตรง​ที่​เป็น​ตัวการ​ให้​เกิด​สภาว​ธรรม​นั้น​ๆ​ ใน​กรณี​ของ​ความ​โกรธ​ ก็​มี​ อาฆาต​วัตถุ​ เป็น​เหตุ​ใกล้​ให้​เกิด

อาฆาต​วัตถุ​ ได้แก่​ :-
– อาฆาต​เขา​ เพราะ​คิดว่า​เขา​ ได้​เคย​ทำ​ความ​เสื่อมเสีย​ให้​แก่​เรา​ หรือ​กำลัง​ทำ​ หรือ​แม้​จะ​ทำ​ใน​อนาคต​ด้วย
– อาฆาต​เขา​ เพราะ​คิดว่า​เขา​ ได้​เคย​ทำ​ความ​เสื่อมเสีย​ให้​แก่​ผู้​ที่เรา​รัก หรือ​กำลัง​ทำ​ หรือ​แม้​จะ​ทำ​ใน​อนาคต​ด้วย
– อาฆาต​เขา​ เพราะ​คิดว่า​เขา​ ได้​เคย​ทำ​คุณ​ประโยชน์ให้​แก่​ผู้​ที่เรา​เกลียด หรือ​กำลัง​ทำ​ หรือ​แม้​จะ​ทำ​ใน​อนาคต​ด้วย
– ความอาฆาต​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ฐานะ​อัน​ไม่สมควร​ เช่น​ เดิน​ชน​ประตู​ สะดุด​พื้น​ทางเดิน​ที่​ขรุขระ​ เป็นต้น

พูดถึง​วิเสส​ลักษณะ​เสีย​ยาว​ ที่จริง​ก็​ไม่​จำเป็นต้อง​เห็น​ละเอียด​อย่าง​ที่​บรรยาย​มา​นี้​ก็ได้​นะ​ อันนี้​ถือ​ว่า​เป็น​วิชาการ

เห็น​วิเสส​ลักษณะ​แล้ว ส่วนมาก​ก็ยัง​ไม่​เห็น “สามัญ​ญ​ลักษณะ” คือ​ไม่​เห็น​อารมณ์​นั้นเกิด​ดับ​ เพราะ​จิต​ไป​ถลำจม​แช่​กับ​อารมณ์​ คือ​ไป​ดู​ไป​จ้อง​ความ​โกรธ

สามัญ​ญ​ลักษณะ​ คือ​ ลักษณะ​ธรรมดา​ที่​สภาว​ธรรม​ทั้งหลาย​มี​เหมือน​ๆ​กัน​ เป็น​ลักษณะ​ร่วม​ของ​ทุก​สภาวะ​ที่​จะ​ต้อง​เป็นไป​ มี​ ๓​ อย่าง​ ได้แก่​ ลักษณะ​ที่​ไม่​เที่ยง​ เป็น​ทุกข์​ และ​เป็น​อนัตตา​ ซึ่ง​รวม​เรียกว่า​”ไตรลักษณ์”

จะ​เห็น​ไตรลักษณ์​ได้​ ใจก็​ต้อง​ถอย​มา​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู

เช่น​ ถ้า​เรา​โกรธ​ แล้ว​จิต​ก็​ไหล​ไป​อยู่​กับ​ความ​โกรธ​ จ้อง​อยู่​ที่​ความ​โกรธ​ พอ​จ้อง.. จิต​ก็​ถลำ​ไป​ดู​ จะ​ไม่​เห็น​ความ​โกรธ​แสดง​ไตรลักษณ์

แต่ถ้า​จิต​ตั้งมั่น​ จิต​จะถอย​ออกมา​จาก​อารมณ์​คือ​สภาวะ​ความ​โกรธ​นั้น ก็​จะ​เห็น​ว่า​ความ​โกรธ​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ จิต​ที่​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู​ก็​เป็น​อีก​ส่วน​หนึ่ง​ อย่างนี้.. ความ​โกรธ​จะ​แสดง​ไตรลักษณ์​ให้​ดู

อย่า​ให้​จิต​เข้า​ไป​คลุก​กับ​อารมณ์​ตลอดเวลา​ ให้​มัน​แยก​ออกมา​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู​บ้าง​ ก็​จะ​เห็น​ไตรลักษณ์​ได้​ง่าย

เวลา​เห็น​ไตรลักษณ์​ มัน​ก็​ไม่​พูด​เป็น​ภาษา​ออก​มา​หรอก​นะ​ ไม่ต้อง​ไป​บรรยาย​ในใจ​ว่า​ ‘โกรธ​เกิด​ขึ้น​ โกรธ​ตั้งอยู่​ โกรธ​ดับ​ไป​แล้ว’ ไม่ต้อง​นะ​ มัน​เป็น​ปัญญา​เข้า​ใจ​อยู่​ข้างใน​

สรุป​คือ​ ลอง​ไป​ดู​จิต​ที่​ไหล​ไป​จม​แช่​อยู่​ใน​อารมณ์​นะ

ดู​บ่อย​ๆ​
ถึง​เวลา​เข้าใจ.. มัน​ก็​จะ​เข้าใจ​ของ​จิต​เอง

๘ สิงหาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๔ ?? #ถาม​ : การ​เจริญ​วิปัสสนา​ แล้ว​ใช้​ความคิด​ คิด​เอา​ว่า​ ‘กาย​ใจ​นี้​ไม่ใช่​เรา’​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๔
??

#ถาม​ : การ​เจริญ​วิปัสสนา​ แล้ว​ใช้​ความคิด​ คิด​เอา​ว่า​ ‘กาย​ใจ​นี้​ไม่ใช่​เรา’​ มัน​จะ​กลับเข้า​สู่​อวิชชา​ หรือ​ไม่?

#ตอบ​ : การ​คิด​เอา​ว่า​ ‘กาย​ใจ​นี้​ไม่ใช่​เรา’​ อย่างนี้​ยัง​ไม่ใช่​การ​เจริญ​วิปัสสนา​นะ​ และ​ยัง​ไม่​ได้​ละ​อวิชชา

วิปัสสนา​ แปล​ว่า​ ความ​เห็น​แจ้ง​ คือ​เห็น​ตรง​ต่อ​ความเป็นจริง​ของ​สภาวธรรม

คือ​มี​สติ​เห็น​กาย​-ใจ​ ด้วย​ใจ​ที่​ตั้งมั่น​-เป็น​กลาง​ เห็น​กาย​-ใจ​แสดง​ความจริง​แง่​ใด​แง่​หนึ่ง​ คือ​ ไม่​เที่ยง​ เป็น​ทุกข์​ เป็น​อนัตตา​ อย่างนี้​จึง​จะ​นับ​ว่า​เป็น​ขั้น​เจริญ​วิปัสสนา

คำ​สำคัญ​คือ​ “เห็น” ไม่ใช่​คิด
ซึ่งไม่ใช่​เห็น​ด้วย​ตา​เนื้อ​ แต่​เป็นการ​เห็น​ด้วย​สติ​ ที่​ประกอบ​ด้วย​สมาธิ​คือ​จิต​ตั้งมั่น​ และ​มี​ปัญญา​เห็น​ตาม​ที่​เป็น​จริง

การ​คิด​ดังกล่าว​ เป็น​ได้​อย่าง​มาก​ก็​เป็น​ปัญญา​ใน​ขั้น​”สัมม​สน​ญาณ”

ใน​ญาณ​ ๑๖​ เป็น​การ​แสดง​รายละเอียด​ของ​ญาณ​(ความ​หยั่ง​รู้)​ ที่​เกิด​กับ​ผู้​เจริญ​วิปัสสนา​เป็น​ลำดับ​ มี​ตั้งแต่​ญาณก่อน​เจริญ​วิปัสสนา, ญาณขณะ​เจริญ​วิปัสสนา​ และ​ญาณ​อัน​เป็น​ผล​ คือ​เกิด​ขึ้น​หลังจากที่​ได้​เจริญ​วิปัสสนา​แล้ว​ ดังนี้

๑.​ นาม​รูป​ปริจเฉท​ญาณ​ ญาณ​กำหนด​รู้จำแนกรู้​นาม​และรูป
๒.​ ปัจจย​ปริคคหญาณ​ ญาณ​กำหนด​รู้​ปัจจัย​ของ​นาม​และ​รูป
๓.​ สัมมสนญาณ​ ญาณ​กำหนด​รู้​ด้วย​พิจารณา​เห็น​นาม​และ​รูป​โดย​ไตรลักษณ์

๓​ ข้อ​แรกนี้​ เป็น​ญาณ​ก่อน​เจริญ​วิปัสสนา

๔.​ อุทยัพพยานุปัสสนา​ญาณ​ ญาณ​อัน​ตาม​เห็น​ความ​เกิด​และ​ความ​ดับ​ของ​รูป​และ​นาม
๕.​ ภังคานุ​ปัสสนา​ญาณ​ ญาณ​อัน​ตาม​เห็น​ความ​สลาย​ คือ​เห็น​เด่นชัด​ใน​ส่วน​ของ​ความ​ดับ
๖.​ ภยตู​ปัฏ​ฐาน​ญาณ​ ญาณ​เห็น​สังขาร​ปรากฏ​เป็น​ของ​น่ากลัว​ คือ​เห็น​สังขาร​ทั้งปวง​ต้อง​สลาย​ตาม​ข้อ​ ๕​ แล้ว​ ก็​ปรากฏ​ความ​ไม่​ปลอดภัย​
๗.​ อาทีนวานุ​ปัสสนา​ญาณ​ ญาณ​อัน​คำนึง​เห็น​โทษ​ คือ​เห็น​ตาม​ข้อ​ ๕​ และ​ ๖​ แล้ว​ ก็​เห็น​ว่า​สังขาร​ทั้งปวง​ล้วน​มี​ความ​บกพร่อง​ เต็มไปด้วย​ทุกข์
๘.​ นิพพิทานุ​ปัสสนา​ญาณ​ ญาณ​อัน​เห็น​ที่​ประกอบ​ไป​ด้วย​ความ​หน่าย​ ไม่​เพลิดเพลิน​ติดใจ​ เพราะ​เห็น​โทษ​มา​ตั้งแต่​ข้อ​ ๗
๙.​ มุญจิตุกัมยตาญาณ​ ญาณ​อัน​ใคร่​จะ​พ้น​ไป​เสีย​ คือ​ปรารถนา​จะ​พ้น​จาก​สังขาร​เหล่านั้น
๑๐.​ ปฏิสังขานุ​ปัสสนา​ญาณ​ ญาณ​พิจารณา​หา​ทาง​ คือ​มา​ทบทวน​เห็น​ไตรลักษณ์​ เพื่อ​เจริญ​ปัญญา​อัน​เป็น​ทาง​พ้น​ทุกข์
๑๑.​ สังขาร​ุเปกขา​ญาณ​ ญาณ​อัน​เป็นไป​โดย​ความ​เป็น​กลาง​ต่อ​สังขาร​ คือ​ดิ้นรน​ขวนขวาย​ตาม​ข้อ​ ๙​ และ​ ๑๐​ แล้ว​ ก็​ย่อม​รู้เห็น​ตาม​เป็น​จริง​ ว่า​สังขาร​ทั้งหลาย​มี​ความ​เป็น​อยู่​เป็นไป​ของ​มัน​อย่างนั้น​เป็น​ธรรมดา​ ไม่ใช่เ​รา​ ไม่ใช่​ของ​เรา​ บังคับ​ไม่ได้​ ก็​วาง​ใจ​เป็น​กลาง
๑๒.​ สัจจานุโลมิกญาณ​ ญาณ​อัน​ป็น​ไป​โดย​อนุโลม​แก่​การ​หยั่งรู้​อริยสัจ​ พร้อม​แล่น​ตรง​สู่​พระ​นิพพาน

ข้อ​ ๔​ – ๑๒​ นี้​ รวม​เรียกว่า​ วิปัสสนา​ญาณ​ ๙
ฉะนั้น​ ต้อง​ขึ้น​มา​ถึง​ข้อ​ ๔​ – ๑๒​ นี้​ จึง​จะ​เรียก​ได้​ว่า​ เจริญ​วิปัสสนา

ต่อไป​ก็​เป็น​ญาณ​อัน​เป็น​ผล​จาก​การ​เจริญ​วิปัสสนา​ คือ
๑๓.​ โคตร​ภู​ญาณ​ ญาณ​ครอบ​โคตร​ เป็น​ความ​หยั่งรู้​ที่​เป็น​หัว​ต่อ​แห่ง​การ​ข้าม​พ้น​จาก​ภาวะ​ปุถุชน​เข้า​สู่​ภาวะ​อริยบุคคล​
๑๔.​ มัคคญาณ​ ญาณ​ใน​อริยมรรค​
๑๕.​ ผล​ญาณ​ ญาณ​ใน​อริยผล
๑๖.​ ปัจจเวกข​ณ​ญาณ​ ญาณ​พิจารณา​ทบทวน​ สำรวจ​รู้​มรรค​ผล​ กิเลส​ที่​ละ​แล้ว​ กิเลส​ที่​ยัง​เหลือ​ (ถ้า​ถึง​อรหัตตผล​แล้ว​ ก็​ไม่มี​กิเลส​เหลือ​อยู่​อีก)​

ข้อ​ ๑๔​ และ​ ๑๕​ เป็น​ โลกุตตร​ญาณ
ต้อง​ภาวนา​ให้เกิด​”โลกุตตร​ญาณ” ครบ​ ๔​ ครั้ง​ จึง​จะ​ละ​อวิชชา​ได้​หมด

๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๓ ?? #ถาม​ : เวลานั่งสมาธิ​ แล้วเหมือนกับกายใจหายไปหมดครับ ไม่มีสติรู้ตัวอยู่…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๓
??
#ถาม​ : เวลานั่งสมาธิ​ แล้วเหมือนกับกายใจหายไปหมดครับ ไม่มีสติรู้ตัวอยู่ บางครั้งแค่นั่งภาวนาไม่กี่คำก็หายไปเลย จะผ่านจุดนี้อย่างไรครับ?

#ตอบ​ : อย่า​ไป​พอใจ​สภาวะ​อย่างนั้น​
ถ้า​ทั้ง​กาย​และ​ใจ​หาย​ไป​แบบ​ที่​ทำ​มา​ ทำ​อย่างไร​ก็​ไม่​ได้ผล​นะ
ขณะ​ที่​เกิด​มรรค​ ก็​มี​จิต​นะ​ เรียก​ว่า​ มรรค​จิต
ขณะ​ที่​เกิด​ผล​ ก็​มี​จิต​นะ​ เรียก​ว่า​ ผล​จิต
ไม่ใช่​หลง​ เผลอ​ เคลิ้ม​ หรือ​หาย​ไป​แบบ​นั้น​

ฉะนั้น​ ให้​รู้ว่า​ทำ​อย่างนั้น​มัน​ไม่ใช่​ทาง​ที่​ถูกต้อง​นะ

ให้​ทำ​ความ​รู้สึกตัว​
พอ​รู้สึก​ว่า​ความ​รับรู้มัน​จะ​เคลื่อน​หาย​ไป​ ก็​ลอง​หายใจ​แรง​ขึ้น​อีก​นิด​หนึ่ง​ เพื่อ​รู้สึกตัว​ขึ้นมา​ใหม่​

ถ้า​สังเกตเห็น​จิต​ที่​เคลื่อน​ไป​ได้​ ก็​ยิ่ง​ดี​นะ เพราะ​จะ​เป็น​สภาวะ​ที่​รู้เนื้อรู้ตัว​พอดี
และ​จะ​ได้​สมาธิ​ที่​ถูก​ต้อง​พอดี​ด้วย

๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๒ ?? #ถาม​ : การได้รับข้อความหรือภาพในเชิงล้อเลียน เสียดสี แนวๆ สะท้อนภาวะสังคม…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๒
??

#ถาม​ : การได้รับข้อความหรือภาพในเชิงล้อเลียน เสียดสี แนวๆ สะท้อนภาวะสังคม มีโทษ​หรือ​ไม่​คะ? และในกรณีส่งต่อภาพ หรือข้อความดังกล่าวต่อๆ กันไป จะมีโทษภัยหรือเป็นวิบากต่อการภาวนาอย่างไรได้บ้างไหมคะ?

#ตอบ​ : กรณี​ที่​เป็น​เพียง​ผู้​รับ​ หน้าที่​เรา​ก็​คือ​ เห็น​ภาพ​หรือ​ข้อความ​นั้น​ แล้ว​มี​ปฏิกิริยา​อะไร​เกิดขึ้นในใจ​ ก็​ให้รู้​ทัน

ส่วน​ใน​กรณี​ส่ง​ต่อ​ ก็​ต้อง​พิจารณา​ดู​ว่า​ ภาพ​หรือ​ข้อความ​ดังกล่าว​เป็น​แนว​ไหน? สมควร​ส่ง​ต่อ​หรือ​ไม่? เพราะ​เรา​ต้อง​รับผิดชอบ​ต่อ​การ​ส่ง​สาร​ของ​เรา​ด้วย

– ถ้า​เป็นแบบ​ให้​ข้อคิด​ที่​เป็น​ประโยชน์​ ก็​ไม่มี​โทษ​อะไร​ เพราะ​เป็น​การ​สะกิด​เตือนใจ​กัน
– ถ้า​เพียงขำ​ๆ​ ก็​แค่​คลายเครียด
– ถ้า​ไร้​สาระ​ ก็​เริ่ม​มี​โทษ​บ้างแล้ว​ เพราะทำให้​คนอื่น​เขา​เสีย​เวลา​ เปรียบ​ได้​กับ​การ​พูด​เพ้อเจ้อ​ เป็น​วจี​ทุจริต
– ถ้า​ทำ​ให้​คน​โกรธ​เกลียด​กัน​ แบ่ง​ฝัก​แบ่ง​ฝ่าย​ แตก​ความ​สามัคคี​ เปรียบ​ได้​กับ​การ​พูด​ส่อเสียด​ เป็น​วจี​ทุจริต​ มี​โทษ​มาก
– ถ้า​พาดพิงถึง​บุคคล​อื่น​ แม้​ไม่​บอก​ตรง​ๆ​ แต่​พอ​รู้​ได้​ว่า​หมายถึง​ใคร​ ก็​ต้อง​ระวัง​ว่า​จะ​ทำ​ให้​ผู้​ที่​ถูก​พาดพิง​นั้น​เสียหาย​หรือ​ไม่​ มิฉะนั้น​ เรา​อาจจะ​ถูก​ฟ้อง​ข้อหา​หมิ่นประมาท​ ก็​มี​โทษ​มาก
– ถ้า​เป็น​ข้อมูล​เท็จ​ด้วย​ เรา​ส่ง​ต่อ​ก็​เท่ากับ​เรา​ร่วม​โกหก​ด้วย​ นอกจาก​จะ​ผิด​ข้อ​มุสา​วาท​แล้ว​ ยัง​อาจจะ​ถูก​ดำเนิน​คดี​ตาม​ พ.ร.บ.​ คอมพิวเตอร์​ฯ​ ด้วย​ โทษ​มาก​นะ​

การ​ส่ง​ต่อ​ข้อมูล​ต่าง​ๆ​ ก็​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ของ​วจี​กรรม​ ถ้า​ไม่​ระวัง​ ก็​สร้าง​อกุศล​กรรม​ได้​ง่าย​ๆ​ สร้าง​กรรม​แล้ว​ก็​ย่อม​ได้​รับ​วิบาก
ถ้า​จำเป็นต้อง​เกี่ยวข้อง​ ก็​ต้อง​ใช้​สติปัญญา​ให้​มาก
ถ้า​เป็น​นัก​ภาวนา​ ก็​จะ​ไม่​เสีย​เวลา​กับ​มัน​นาน

๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๒๑ ??? #ถาม : หากว่าเราเคยได้พลาดพลั้งตำหนิติเตียน หรือพูดไม่ดีถึงพระอริยสงฆ์…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๒๐
???

#ถาม : หากว่าเราเคยได้พลาดพลั้งตำหนิติเตียน หรือพูดไม่ดีถึงพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ด้วยความโฉดเขลา จะมีผลอย่างไร? และเราควรทำเช่นไรเจ้าคะ?

#ตอบ : พระอริยะในที่นี้ ก็นับตั้งแต่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลาย โดยที่สุด แม้พระโสดาบันที่เป็นคฤหัสถ์
ผู้ใดมีเจตนาไม่ดี เป็นอกุศล แล้วว่าร้าย, พูดตำหนิติเตียน, กล่าวตู่ในเรื่องที่ไม่เป็นจริง อันเป็นเหตุกำจัดคุณความดีของพระอริยะ ท่านจัดเป็นวจีทุจริตที่มีโทษมาก มีชื่อเฉพาะว่า “อริยุปวาท”

พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสไว้ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก”
พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่า อริยุปวาทมีโทษมากเท่ากับอนันตริยกรรม
น่ากลัวทีเดียว !

หากพลาดพลั้งไปแล้ว …
– ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรหาโอกาสไปขอขมาท่าน
– ถ้าท่านจาริกไป ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ก็ไปหาพระภิกษุที่เป็นบัณฑิตสักรูปหนึ่ง ปรึกษาท่านว่า “กระผม/ดิฉัน ได้กล่าวติเตียนท่าน…(ระบุชื่อ) แล้วเกิดความไม่สบายใจ กระผม/ดิฉันควรทำอย่างไรดี ครับ/คะ?”
พระภิกษุผู้เป็นบัณฑิตนั้นก็จะตอบในทำนองว่า “คุณอย่าคิดมากไปเลย พระเถระ/พระอริยะ/ครูบาอาจารย์ ท่านย่อมอดโทษให้แก่คุณ คุณจงทำจิตให้ระงับจากความเดือดร้อนใจนั้นเถิด”
จากนั้น ก็พึงหันหน้าไปทิศทางที่สมมุติว่าเป็นทางที่พระอริยะท่านนั้นไป แล้วประนมมือ กล่าวคำขอขมา
– ถ้าพระอริยะนั้นปรินิพพาน หรือสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ไปสู่ที่ที่ท่านปรินิพพาน หรือสิ้นชีวิต, หรือสถานที่ที่ท่านได้เคยอยู่อาศัย, หรือสถูปเจดีย์ที่บรรจุอัฐิธาตุ หรือบริขาร, หรือที่ฝังศพ เพื่อกล่าวคำขอขมา
– ถ้าไม่สามารถทำตาม ๓ ข้อต้นนั้นได้ ก็สามารถขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปก็ได้

คำขอขมา ที่นิยมใช้กัน มีหลายแบบ ขอยกมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
รัตตะนัตตะเย ปะมาเทนะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต (กราบ 3 ครั้ง)
(ถ้าขอพร้อมกันหลายคน เปลี่ยน ขะมะถะ เม เป็น ขะมะตุ โน)

ที่สำคัญคือ ผู้ขอขมามีใจสำนึกในความผิดของตน เป็นผู้เห็นโทษในอกุศลที่ได้ทำไป รู้สึกละอายใจและเสียใจต่อการกระทำนั้น แล้วมีใจนอบน้อม เคารพในพระรัตนตรัย รวมทั้งพระอริยะที่เราเคยล่วงเกินนั้นด้วย

ทีนี้เราก็ไม่ทราบว่าใครบ้างที่เป็นพระอริยะ ก็เป็นไปได้ที่เราอาจจะพลาดไปล่วงเกินท่าน นักปราชญ์ตั้งแต่ครั้งโบราณจึงให้ขอขมาบ่อยๆ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกใจให้ไม่ประมาท และระมัดระวังการแสดงออกทางกายวาจาใจอยู่เสมอ ดังปรากฏในคำสวดทำวัตรเย็น ดังนี้ว่า

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา – ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง – กรรมน่าติเตียนอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระพุทธเจ้า
พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง – ขอพระพุทธเจ้าจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ – เพื่อสำรวมระวังในพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป.

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา – ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง – กรรมน่าติเตียนอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระธรรม
ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง – ขอพระธรรมจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม – เพื่อสำรวมระวังในพระธรรมในกาลต่อไป.

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา – ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง – กรรมน่าติเตียนอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระสงฆ์
สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง – ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ – เพื่อสำรวมระวังในพระสงฆ์ในกาลต่อไป.

สวดอย่างนี้ทุกวัน ก็ได้มีโอกาสขอขมาทุกวัน
โทษถ้าแม้มี ก็ได้รับการปลดเปลื้องไปโดยไม่ทันข้ามวัน

๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๐ ?? #ถาม​ : “ฆราวาส”ที่​เป็นพระโสดาบัน จะยังมีโอกาสฆ่าแมลงเล็กๆ เช่น​ แมงมุม…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๙
??

#ถาม​ : “ฆราวาส”ที่​เป็นพระโสดาบัน จะยังมีโอกาสฆ่าแมลงเล็กๆ เช่น​ แมงมุม มด เป็นต้น​ ได้อยู่หรือไม่คะ?

#ตอบ​ : คุณสมบัติ​ของ​พระ​โสดาบัน​ (ทั้ง​ที่​เป็น​ฆราวาส​และ​บรรพชิต)​ นอกจาก​จะ​ละ​สังโยชน์​ ๓​ ข้อ​แรก​ได้​(สักกาย​ทิฏ​ฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส)​แล้ว​ ท่าน​ยัง​มี​คุณ​ธรรม​สำคัญ​อีก​ ๕​ ประการ​ คือ​ ศรัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ​ และ​ปัญญา

เฉพาะ​เรื่อง​ศีล​ ท่าน​จะ​มี​ความ​ประพฤติ​ที่​ถูกต้อง​ตาม​หลัก​ศีล​ ๕​ รวม​ทั้ง​มี​การ​เลี้ยงชีพ​ที่​สุจริต​ด้วย
คำ​ที่​ใช้​แสดง​ลักษณะ​ศีล​ของ​พระ​โสดาบัน​ มี​อยู่​ ๒​ คำ​ คือ
๑.​ อริยกันต​ศีล​ แปล​ว่า​ ศีล​ที่​พระ​อริยะ​ชื่นชม​ คือ​เป็น​ที่​ยอมรับ​ของ​อริยชน​
๒.​ อปรามัฏฐศีล​ แปลว่า​ ศีล​ที่​ไม่​ถูก​ถือ​มั่น​ หรือ​ศีล​ที่​ไม่ต้อง​ยึดมั่น​ หมายความ​ว่า​ เป็น​ศีล​ที่​เกิด​จาก​คุณ​ธรรม​ภายใน​ จึง​เป็นไป​เอง​อย่าง​ปกติ​ธรรมดา​ เป็น​ผู้​บริบูรณ์​ด้วย​ศีล​โดย​ไม่ต้อง​คอย​ยึดถือ​ไว้

การ​ฆ่า​ เป็น​อาการ​ที่​ส่อ​ว่า​มี​เจตนา​ให้​ตาย​ พระ​โสดาบัน​ย่อม​ไม่มี​เจตนา​อย่าง​นั้น​

การ​ตาย​ของ​สัตว์​อื่น​ก็​อาจจะ​มี​ได้​ ปัด​ กวาด​ เช็ด​ ถู​ ฯลฯ​ แล้ว​ทำให้​สัตว์​เล็ก​สัตว์​น้อย​ตาย​ เป็นต้น​ แต่​การ​ตาย​นั้นน่ะไม่ได้​เกิด​จาก​การกระทำ​ที่​มี​เจตนา​ของ​ท่าน​เลย

๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๙ ?? #ถาม​ : ปกติครอบครัวผมจะทำบุญกระดูกให้บรรพบุรุษที่วัด… ทุกๆปี แต่มาช่วงหลังจะนิมนต์พระยากมาก​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๘
??
#ถาม​ : ปกติครอบครัวผมจะทำบุญกระดูกให้บรรพบุรุษที่วัด… ทุกๆปี
แต่มาช่วงหลังจะนิมนต์พระยากมาก​ เนื่องจากกิจมาก ประกอบกับญาติผู้ใหญ่ก็เจ็บป่วยตามอายุ​ เดินทางไกลไม่สะดวก ถ้าย้ายมาทำที่วัดใกล้บ้านโดยไม่ย้ายกระดูกมาจะได้ไหมครับ?

#ตอบ​ : การ​ทำบุญ​อุทิศ​ให้​ผู้​ที่​ล่วงลับ​ไป​แล้ว​ ไม่​จำเป็น​ต้อง​มี​กระดูก​ของ​ท่าน​เหล่านั้น​มา​อยู่​ใน​พิธี​ก็ได้

พระ​เจ้า​พิมพิสาร​ทำ​บุญ​อุทิศ​ให้​ญาติ​ที่​ตายเมื่อ​ ๔​ พุทธันดร​ที่​แล้ว​(ซึ่ง​ไม่มี​กระดูก​ปรากฏ​แล้ว)​ ก็​ยัง​ทำได้​ การ​อุทิศ​ส่วนกุศล​ให้​ก็​ได้​ผล​ด้วย

ทั้งนี้​ ขึ้น​อยู่​กับ​ญาติ​ใน​ปัจจุบัน​มี​เจตนา​อัน​เป็น​กุศล​ ทำ​บุญ​ใน​เนื้อ​นา​บุญ​ที่​ดี​ แล้ว​ตั้งใจ​อุทิศ​ญาติ​ผู้​ล่วงลับ
ถ้า​ญาติ​ผู้​ล่วงลับ​อนุโมทนา​กับ​บุญ​ที่​เรา​ทำ​ เขา​ก็​ได้​รับ​ส่วน​แห่ง​บุญ​นั้น​

๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์#๑๑๘ ??? ถาม : อ่านที่พระอาจารย์ตอบโจทย์ อ่านไปซ้ำ ๆ ก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่เหมือนจะตายตอนจบ ตรง “มีที่อยู่ให้จิต” น่ะค่ะ โยมยังหาไม่เจอค่ะ

นิมฺมโลตอบโจทย์#๑๑๘

ถาม : อ่านที่พระอาจารย์ตอบโจทย์ อ่านไปซ้ำ ๆ ก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่เหมือนจะตายตอนจบ ตรง “มีที่อยู่ให้จิต” น่ะค่ะ โยมยังหาไม่เจอค่ะ

ตอบ : คำว่า “มีที่อยู่ให้จิต” ในที่นี้ ก็มีความหมายเดียวกับคำว่า “ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง”
คือ อะไรก็ได้ มีข้อแม้เพียงว่า ที่อยู่นั้น หรือกรรมฐานนั้น ต้องไม่ยั่วกิเลส และอยู่กับที่อยู่นั้นด้วยจิตสบาย ๆ

จะเริ่มที่ “สวดมนต์” ก็ได้ ท่อง “พุทโธ” ก็ได้ หรือ “หายใจ” ก็ได้ หรือ “กายที่เคลื่อนไหว” ก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น ใช้ “สวดมนต์” เป็นที่อยู่
๑. จิตรับรู้อยู่ที่บทสวดมนต์ ก็เรียกว่า จิตอยู่กับที่อยู่

๒. ถ้าจิตไปรับรู้เรื่องอื่น ที่นอกจากบทสวดมนต์ ก็เรียกว่า จิตเผลอ (จะเผลอไปมีราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ ในที่นี้รวมเรียกว่า ‘เผลอ’ ทั้งหมด คือเผลอจากที่อยู่)

๓. ถ้าจิตเผลอ แล้วรู้สึกได้ว่าเมื่อกี้เผลอ ก็เรียกว่า มีสติเห็นจิตที่เผลอ

๔. มีสติเห็นจิตที่เผลอแล้ว จิตก็ได้เรียนรู้แล้วว่า ‘สภาวะเผลอ’ เป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรกับความเผลอนั้น การเรียนรู้สภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว

จิตจำสภาวะได้ครั้งหนึ่งแล้ว เรียนรู้ความไม่เที่ยงของสภาวะไปครั้งหนึ่งด้วย

แล้วก็กลับไปทำข้อ ๑. ใหม่ เพื่อเรียนรู้อีก

๕. ถ้าเห็นว่าเผลอ แล้วไม่ชอบใจ ไม่อยากเผลอ แล้วรีบดึงจิตกลับมา หรือบังคับให้จิตนิ่ง ๆ หรือเพ่งเอาไว้..ฯลฯ.. ก็เรียกว่า มีการแทรกแซงจิต
แล้วก็กลับไปทำข้อ ๑ ใหม่ เพื่อเรียนรู้อีก

๖. ถ้ามีการแทรกแซงแบบบังคับจิต แล้วไม่รู้ว่าบังคับจิตอยู่ จิตก็จะเครียด แข็ง กระด้าง ตรงนี้เรียกว่า เป็นผลจากการแทรกแซง ก็ให้รู้ทัน โดยไม่ต้องไปแก้มัน ถ้าอยากแก้ ให้รู้ว่าอยาก คือมีตัณหาแล้ว !
แล้วก็กลับไปทำข้อ ๑ ใหม่ เพื่อเรียนรู้อีก

๗. ถ้ามีการแทรกแซงแบบโน้มน้อมให้จิตเคลิ้ม จิตก็จะซึม ๆ ทื่อ ๆ บางทีอาจจะรู้สึกไปเองว่า ‘จิตนิ่งดีจัง !’ ตรงนี้ก็เรียกว่า เป็นผลจากการแทรกแซง ก็ให้รู้ทัน เช่นเดียวกับข้อ ๖

ถ้านั่งอยู่ ก็ใช้ “กายนั่งหายใจ” เป็นที่อยู่
ถ้าเดินอยู่ ก็ใช้ “กายเคลื่อนไหวในท่าเดิน” เป็นที่อยู่

ถ้าทำงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น ทำงานอะไรก็ใช้ “กายที่เคลื่อนไหวทำงานนั้น ๆ” เป็นที่อยู่

มีที่อยู่แล้ว.. ก็ดูจิตที่ออกจากที่อยู่
เผลอ.. แล้วรู้
เพ่ง.. แล้ว

ที่ว่า “ยังหา (ที่อยู่) ไม่เจอ” น่าจะเป็นเพราะโยมคิดว่า ‘ได้ที่อยู่แล้วต้องสงบ ต้องนิ่งได้นาน’ อย่างนั้นคิดผิดนะ

ที่จริงคือ
มีที่อยู่ เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ที่เกิดกับจิต
สภาวะนั้น.. จะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้

จะอาศัยที่อยู่.. เพื่อให้เห็นสภาวะเหล่านั้นง่ายขึ้น
เพื่อเรียนรู้ว่า มีสภาวะเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง ๆ

หน้าที่เราคือเรียนรู้นะ
เรียนจากของจริง ดูจากของจริง ดูสภาวะจริง ๆ
จิตมันเผลอก็รู้ จิตมันแทรกแซงก็รู้

รู้เพื่อให้เกิดปัญญา
ปัญญาเข้าใจในแง่ที่ว่า จิตไม่เที่ยง เกิดดับเร็ว
จิตไม่ใช่เรา เป็นไปตามเหตุปัจจัย บังคับไม่ได้

๔ มิถุนายน ๒๕๖๑

อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๗ ?? #ถาม​ : ผม​สับสน​ความหมายระหว่าง​ “ตั้ง​สัจจะ” กับ​ “อธิษฐาน” ว่าแตกต่าง​กัน​อย่างไรครับ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๗
??

#ถาม​ : ผม​สับสน​ความหมายระหว่าง​ “ตั้ง​สัจจะ” กับ​ “อธิษฐาน” ว่าแตกต่าง​กัน​อย่างไรครับ?
เช่น​ ตั้ง​สัจจะ​ว่า​จะ​บวช​ ๑​ เดือน​ที่​วัด​แห่ง​หนึ่ง แล้ว​อยู่​ได้​แค่​สัปดาห์​เดียว​ก็​พบ​ว่า​วัดนั้น​ไม่​เหมาะ​ จะ​สึกหรือ​ไป​อยู่​ที่​อื่น​ อย่างนี้​จะ​เสีย​สัจจะ​หรือ​เสีย​อธิษฐาน​ไหม​ครับ?

#ตอบ​ : ดู​ศัพท์​ก่อน​นะ

อธิษฐาน​ มา​จาก​คำ​ภาษา​บาลี​ว่า​ อธิฏฺฐาน​ แปล​ว่า​ ความ​ตั้งใจ​มั่น

ใน​ทาง​พระวินัย​ จะ​หมาย​ถึง​ ความ​ตั้งใจ​ให้แน่นอน​ลง​ไป
เช่น​ อธิษฐาน​พรรษา​ ก็​คือ​ตั้งใจ​ว่า​จะ​อยู่​จำ​พรรษา​ที่​อาวาส​นี้​ตลอด​ ๓​ เดือน​ ด้วย​คำ​ว่า​ “อิมัสฺมิง​ อาวาเส​ อิมัง​ เต​มาสัง​ วัสสัง​ อุเปมิ”

อธิษฐาน​บริขาร​เครื่องใช้​ เช่น​ ตั้งใจจะ​ใช้​ผ้า​ผืน​นี้​เป็น​ผ้า​สังฆาฏิ​ ก็​นำ​ผ้า​นั้น​มา​อธิษฐาน​ว่า​ “อิมัง​ สังฆาฏิง​ อธิฏฐามิ” เป็นต้น

ใน​ทาง​ธรรม​ จะ​หมายถึง​ การ​ตัดสินใจ​เด็ดเดี่ยว​ ตั้งใจ​มั่น​แน่ว​ที่​จะ​ทำ​การ​ให้​สำเร็จ​บรรลุ​เป้าหมาย​
ถ้า​เป็น​ความ​ตั้งใจ​มั่น​ ไม่​หวั่นไหว​ เพื่อ​บรรลุ​พระ​โพธิญาณ​ แม้​จะ​ต้อง​สละ​ทรัพย์สิน​ หรือ​อวัยวะ​ หรือ​แม้แต่​ชีวิต​ ก็จัด​เป็น​บารมี​อย่าง​หนึ่ง​ เรียก​ว่า​ อธิษฐาน​บารมี​

ตัวอย่าง​ที่​พระ​โพธิสัตว์​บำเพ็ญ​อธิษฐาน​บารมี​ที่​เด่น​ชัด​ คือ​ใน​คราว​ที่​เสวย​พระ​ชาติ​เป็น​พระ​เตมีย์​ ยอม​สละ​ชีวิต​อธิษฐาน​วัตร​ ให้​คน​ทั้งหลาย​เข้าใจ​ว่า​เป็น​ใบ้​และ​เป็น​คน​ง่อยเปลี้ย​ โดย​พระ​องค์​ตรัสว่า​
“มารดา​บิดา​มิ​ได้​เป็น​ที่​เกลียดชัง​ของ​เรา​ ทั้ง​ยศ​ใหญ่​เรา​ก็​มิได้​เกลียดชัง​ แต่​พระ​สัพพัญญุต​ญาณ​เป็น​ที่รัก​ของ​เรา​ เพราะฉะนั้น​เรา​จึง​อธิษฐาน​วัตร”
(และ​การ​อธิษฐาน​นี้​ จัด​เป็น​ปรมัตถบารมี​ด้วย)​
ท่าน​กล่าว​ว่า​ บารมี​ทั้ง​ ๑๐​ ข้อ​ ย่อม​บริสุทธิ์​ ไม่​กำเริบ​ ก็​ด้วย​อำนาจ​ของ​อธิษฐาน​นี้

สัจจะ​ แปล​ว่า​ ความ​จริง

ใน​แง่​การ​สร้าง​สัจจบารมี​ จะ​หมาย​ถึง​ การ​ไม่​กล่าว​คำ​เท็จ​เพราะ​เหตุ​แห่ง​ทรัพย์​สิน​ เงิน​ทอง​ ยศ​ตำแหน่ง​ หรือ​เพราะ​เหตุ​แห่ง​สุขภาพ​ร่างกาย​ ในที่สุด​แม้​แต่​เหตุ​แห่งชีวิต​
หมายความ​ว่า​ ไม่มี​แรงจูงใจ​ใด​ๆ​ ที่​จะ​ทำให้​กล่าว​คำ​เท็จ​ได้​เลย

ตัวอย่าง​ที่​พระ​โพธิสัตว์​บำเพ็ญ​สัจจบารมี​ที่​เด่น​ชัด​ คือ​ใน​คราว​ที่​เสวย​พระ​ชาติ​เป็น​พระ​เจ้า​สุตโสม​ ถูก​พระ​เจ้า​โปริสาท​จับไป​ได้​ เพื่อ​ประหาร​เป็น​พลีกรรม​ต่อ​เทวดา เมื่อ​พระเจ้า​สุต​โสม​ระลึก​ถึง​คำ​ปฏิญญา​ที่​ก็​ไว้​กับ​พราหมณ์​ จึง​ขอ​เข้า​ไป​ใน​กรุง​อินทปัต​เพื่อ​เปลื้อง​คำ​ปฏิญญา​นั้น​ เมื่อ​เสร็จ​ธุระแล้ว​ พระองค์​ก็​รักษา​สัจจ​วาจา​ ยอม​สละ​ชีวิต​เข้าไป​หา​พระเจ้า​โปริสาท​

ส่วน​คำ​ว่า​ “ตั้ง​สัจจะ” ใน​ความรู้สึก​ของ​คน​ไทย​ทั่วไป​ เช่น​ที่​ปรากฏ​อยู่​ใน​คำ​ถาม​นี้ น่าจะ​มี​ความหมาย​ไป​ใน​ทำนอง​”ตั้ง​สัตย์​ปฏิญาณ” คือ​เป็น​การ​ให้​คำ​มั่น​สัญญา​ด้วย​ความ​สัตย์​ ถ้า​ทำ​ไม่ได้​ตาม​นั้น​ ก็​จะ
– เสีย​สัจจะ​ คือ​ สัจจะ​ต่อ​วาจา​ (ใน​กรณี​ที่​เคยมี​การ​กล่าว​วาจา​ไว้)​
– เสีย​อธิษฐาน​ (ในกรณีที่​เคย​ตั้งใจ​ว่า​จะ​อยู่​ให้​ถึง​ ๑​ เดือน)​

กรณี​นี้​จึง​เป็น​บทเรียน​ว่า​ ก่อน​จะ​ตั้ง​สัจจะ​แบบนี้ ควร​จะ​ไป​ศึกษา​ดู​สถานที่, บุคคล, ข้อ​วัตร, บรรยากาศ, ฯลฯ​ ให้​ดี​เสีย​ก่อน​ มิฉะนั้น​จะ​ลำบาก​ใจ​ใน​ภายหลัง

๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๖ ?? #ถาม​ : เวลาที่เราไหว้พระ ควรจะอธิษฐาน​ขอ​พร​หรือขอสิ่งต่างๆไหมครับ? ถ้าควร…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๖
??

#ถาม​ : เวลาที่เราไหว้พระ ควรจะอธิษฐาน​ขอ​พร​หรือขอสิ่งต่างๆไหมครับ? ถ้าควร ควรจะอธิษฐาน​ขอ​พร​ใด​หรือสิ่งใดครับ​ เพื่อไม่เป็นไปเพื่อกิเลส?

#ตอบ​ : “อธิษฐาน” แปล​ว่า​ ความ​ตั้งใจ​มั่น

“พร”​
– โดย​ทั่วไป​ แปล​ว่า​ สิ่ง​ประเสริฐ​ สิ่ง​ดี​เยี่ยม
– ใน​ทาง​พุทธศาสนา​ มี​อีกความ​หมาย​ว่า​ สิ่ง​ที่​อนุญาต​หรือ​ให้​ตาม​ที่​ขอ

“ให้พร”
– โดยทั่วไป​ หมายถึง​ คำ​แสดง​ความ​ปรารถนาดี​ ปรารถนา​ให้​ประสบ​สิ่ง​ที่​เป็น​สิริมงคล​
– ใน​ทาง​พุทธศาสนา​ หมาย​ถึง​ การ​อนุญาต​หรือ​ให้​โอกาส​ที่​จะ​ขอ​ ยอม​ที่​จะ​ให้​ หน่อ​เอื้อ​อำนวย​ให้​เป็น​ข้อ​อนุญาต​พิเศษ​ เป็น​รางวัล​

“ขอ​พร​”
– โดย​ทั่วไป​ กลับ​รู้สึก​ไป​ใน​ทาง​ขอ​อำนาจ​สิ่ง​ศักดิ์สิทธิ์​ดลบันดาล
– ใน​ทาง​พุทธศาสนา​ หมายถึง​ การ​ขอ​อนุญาต​เลือก​เอา​ตาม​ประสงค์

เช่น
นาง​วิสาขา​ อาศัย​เหตุ​ที่พระ​ภิกษุ​ทั้งหลาย​ไม่มี​ผ้า​อาบน้ำ​ฝน​ ต้อง​เปลือยกาย​อาบน้ำ​ใน​คราว​ฝนตก​ จึง​กราบ​ทูล​ขอ​พร​ ๘​ ประการ​ กับ​พระ​พุทธ​เจ้า
พร​เหล่านั้น​ได้​แก่​
๑. ขอ​อนุญาต​ถวาย​ผ้า​อาบน้ำ​ฝน
๒. อาหาร​สำหรับ​ภิกษุ​อาคันตุกะ
๓. อาหาร​สำหรับ​ภิกษุ​ผู้​เตรียม​จะ​เดินทาง
๔. อาหาร​สำหรับ​ภิกษุ​ไข้
๕. อาการ​สำหรับ​ภิกษุ​ผู้​พยาบาล​ภิกษุ​ไข้
๖. เภสัช​สำหรับ​ภิกษุ​ไข้
๗.​ ขอ​อนุญาต​ถวายข้าวต้ม​ยาคู​เป็น​ประจำ​
๘.​ ​ขอ​ถวาย​ผ้า​อาบน้ำ​แก่​ภิกษุณี​สงฆ์​จน​ตลอดชีวิต

พระพุทธเจ้า​ตรัส​ถามว่า​นาง​เห็น​อำนาจ​ประโยชน์​อะไร​ และ​เห็น​อานิสงส์​อะไร​ จึง​ขอ​พร​เหล่านั้น​ เมื่อ​นาง​ตอบ​แล้ว​ พระองค์​ก็​ทรง​อนุญาต

อย่างนี้​ ขอ​พร​ ก็​ชัด​ว่า​เป็น​การ​ขอ​อนุญาต​หรือ​ขอ​โอกาส​ที่​จะ​ทำ​บุญ

พระ​อานนท์​ ก่อน​ที่จะ​รับ​หน้าที่​เป็น​พุทธ​อุปัฏฐาก​ ท่าน​ก็​ได้​ทูล​ขอ​พร​ ๘​ ประการ​ คือ
๑.​ ขอ​อย่า​ประทาน​จีวร​อัน​ประณีต​แก่​ข้าพระ​องค์
๒.​ ขอ​อย่า​ประทาน​บิณฑบาต​อัน​ประณีต​แก่​ข้าพระ​องค์
๓.​ ขอ​ได้​โปรด​อย่า​ให้​ข้า​พระองค์​อยู่​ใน​ที่​ประทับ​ของ​พระองค์
๔.​ ขอ​ได้​โปรด​อย่า​พาข้า​พระองค์​ไป​ใน​ที่​นิมนต์
๕.​ ขอ​พระองค์​จง​เสด็จ​ไป​สู่​ที่​นิมนต์​ที่​ข้า​พระองค์​รับ​ไว้
๖.​ ขอ​ให้​ข้า​พระ​องค์​พาบริษัท​ที่​มา​จาก​แดน​ไกล​เข้า​เป้า​พระองค์​ได้​ในขณะที่​มาถึง​แล้ว​
๗.​ ถ้า​ข้า​พระองค์​เกิด​ความ​สงสัย​ขึ้น​เมื่อใด​ ขอ​ให้​ข้า​พระองค์​เข้า​เฝ้า​ทูล​ถาม​ความ​สงสัย​ได้​เมื่อ​นั้น​
๘.​ ถ้า​พระองค์​แสดง​พระ​ธรรม​เทศนา​เรื่อง​ใด​ใน​ที่​ลับหลัง​ข้า​พระองค์​ ขอ​ได้​โปรด​ตรัส​พระ​ธรรม​เทศนา​เรื่อง​นั้น​แก่​ข้า​พระองค์​อีก​ครั้ง

พระพุทธเจ้า​ตรัส​ถาม​ว่า​เห็น​คุณ​และ​โทษ​อย่างไร​ จึง​ขอ​อย่างนั้น​
พระ​อานนท์​ทูล​ตอบ​ว่า​
ข้อ​ ๑​ – ๔​ ขอ​เพื่อ​ป้องกัน​คำ​ครหา​ ว่ามาทำ​หน้าที่​เพราะป๋า​ลาภ​สักการะ
ข้อ​ ๕​ -​ ๗​ ขอ​เพื่อ​ป้องกัน​คำ​ครหา​ ว่าต่าง​ทำ​หน้าที่​นี้​ไป​ทำไม​ เรื่อง​เพียง​เท่านี้​พระ​พุทธ​องค์​ก็​ไม่​ทรง​อนุเคราะห์
ข้อ​ ๘​ ขอ​เพราะ​ หาก​เมื่อ​มี​ผู้​มา​ถาม​ว่า​ ธรรม​ขอ​นี้​พระ​ทรง​แสดง​ที่ไหน​ ถ้า​ไม่​ทราบ​ ก็​จะ​ถูก​ตำหนิ​ได้​ว่า​ พระ​อานนท์​ติดตาม​พระ​ศาสดา​ไป​ทุก​แห่ง​ แต่​เหตุ​ไฉ​น​จึง​ไม่รู้​แม้​แต่​เรื่อง​เพียง​เท่านี้
แล้ว​พระองค์​ก็​ทรง​อนุญาต​

นี่​เป็น​ตัวอย่าง​ที่ดี​สำหรับ​พุทธบริษัท​ เพราะ​เป็น​พัน​ที่​ขอ​โดย​พระ​เสข​บุคคล​ พรที่​ขอ​ ก็เพื่อ​แสดง​ความ​ประสงค์​ หรือ​ขอ​อนุญาต​ทำ​ความ​ดี​ ทำ​เรื่อง​ที่​ดี​ ไม่มี​เรื่อง​สนอง​กิเลส​ตัณหา​เลย

มี​ข้อ​สังเกต​ว่า​ ใน​ภาษา​ไทย​ การ​ขอ​พร​จะ​หวัง​ให้​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ เทพ​ผู้​มี​ฤทธิ์​มี​อำนาจ​ บันดาล​ให้​ ผู้​ขอ​ไม่ต้อง​ทำ​ แต่​พระ​อริย​สาวก​ขอ​พร​ เพื่อ​ขอ​โอกาสที่จะ​ทำ​ และ​สิ่ง​ที่​จะ​ทำ​นั้น​เป็น​สิ่ง​ที่​ดี

ฉะนั้น​ ถ้า​จะ​ไหว้​พระ​ขอ​พร​ ก็​ควร​จะ​ถือโอกาส​ขอ​นำ​ธรรม​มา​ปฏิบัติ​

หาก​ยัง​ปรารถนา​ “พร” ใน​ลักษณะ​ที่​บันดาล​ให้​อายุ​ยืน​ ผิวพรรณ​งาม​ผ่องใส​ มี​ทรัพย์​สิน​เหลือ​ใช้​ มี​สุขภาพ​แข็งแรง​ดี​ เป็นต้น​อย่างนี้​ ก็​ขอ​แนะนำ​ธรรม​ชุด​หนึ่ง​ไป​ปฏิบัติ

ครั้ง​หนึ่ง​ พระพุทธเจ้า​ตรัส​ว่า​
“ภิกษุ​ทั้งหลาย​ เธอ​ทั้งหลาย​จง​เที่ยว​ไป​ใน​โคจร​ ซึ่ง​เป็น​วิสัย​อัน​สืบ​มา​จาก​บิดา​ตน​
ภิกษุ​ทั้งหลาย​ เมื่อ​เธอ​ทั้งหลาย​เที่ยว​ไป​ใน​โคจร​ ซึ่ง​เป็น​วิสัย​อัน​สืบ​มา​จาก​บิดา​ตน​ จัก​เจริญ​ทั้ง​ด้วย​อายุ​ จัก​เจริญ​ทั้ง​ด้วย​วรรณะ​ จัก​เจริญ​ทั้ง​ด้วย​สุข​ จัก​เจริญ​ทั้ง​ด้วย​โภคะ​ จัก​เจริญ​ทั้ง​ด้วย​พละ​ ฯ”

คำ​ว่า​” โคจร​ ซึ่ง​เป็น​วิสัย​อัน​สืบ​มา​จาก​บิดา​ตน​” ก็​คือ​ สติปัฏฐาน​ ๔​ นั่นเอง

กล่าว​อย่าง​ง่าย​ก็​คือ​ ฝึก​หัด​ปฏิบัติ​ไป​ตามคำ​ของ​ครูบาอาจาร​ย์ที่​ว่า​
“มี​สติ​ รู้​กาย​ รู้​ใจ​ ตาม​ความ​เป็น​จริง​ ด้วย​จิต​ที่​ตั้งมั่น​และ​เป็นกลาง​”

แล้ว​จะ​ได้​ “เบญจ​พิธ​พร​” คือ​พร​ ๕​ ประการ​ ดัง​กล่าว
ซึ่ง​ได้​มา​จาก​”พร”ที่​เรา​มี​ จาก​การ”​ทำ”ของ​เรา​เอง

๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๕ ??? #ถาม​ : เมื่อเรารู้สึกตัวว่า​ ..กำลังรู้สึกชุ่มชื่นใจในผลของกุศลกรรมอยู่…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๕
???

#ถาม​ : เมื่อเรารู้สึกตัวว่า​ ..กำลังรู้สึกชุ่มชื่นใจในผลของกุศลกรรมอยู่ แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ดับลงไป.. อย่างนี้จะถูกต้อง​ไหมคะ? เพราะเคยทราบมาว่า​ ถ้าเราทำกุศลกรรมก็ควรนึกถึงบ่อยๆ แล้วอย่างนี้จะขัดกัน​ไหมคะ?

#ตอบ​ : การ​รู้​ทัน​กุศล​ (รวม​ทั้ง​ผล​ของ​กุศล)​ ก็​เพื่อ​เห็น​ว่า​มัน​ไม่เที่ยง​นะ

ดู​จิต​ที่​เป็น​กุศล​บ้าง​ อกุศล​บ้าง​ ก็​เพื่อ​เห็น​ว่า​มัน​เกิด​ดับ

และ​เพราะ​มัน​ไม่​เที่ยง​นี่แหละ​ เมื่อ​ประสงค์​จะ​ให้​จิต​ชุ่มชื่น​ใน​ผล​ของ​กุศลกรรม​ ก็​ต้อง​ปรุง​มัน​ขึ้น​มา​บ่อย​ๆ​

วิธี​ง่าย​ๆ​ ก็​คือ​ นึก​ถึง​กุศล​กรรม​ที่​เคย​ทำ​แล้ว​ชุ่มชื่น​ใจ​ นึก​อีก​ก็​เป็น​กุศล​อีก​ ก็ชุ่มชื่น​ขึ้น​มา​อีก​
เรียก​ว่า​เป็น​การ​ทำ​”สีลานุสติ”บ้าง​ “จาคา​นุ​สติ”บ้าง​ สุด​แต่​กุศลกรรม​นั้น​จะ​เข้า​เกณฑ์​ไหน​ ไม่​ขัด​กัน​หรอก​นะ

ดู​ไป​อีก.. สุข-ทุกข์, กุศล​-อกุศล​ ก็​เกิด​ดับ​ทั้ง​หมด

ดู​ไป​อีก.. ดู​ถึงปฏิกิริยา​ของ​จิต​ สุข​เกิด​ขึ้น​ก็​ยินดี​ ทุกข์​เกิด​ขึ้น​ก็​ยิน​ร้าย​ รู้​ทัน​ยินดี​-ยินร้าย​ไป​อีก​ชั้น​หนึ่ง

รู้​ทัน​ยินดี​-ยิน​ร้าย.. ยินดี​-ยิน​ร้าย​ก็​ดับ​ ปรากฏ​เป็น​ความ​เป็น​กลาง​
แรก​ๆ​ จะ​เป็น​ความ​เป็น​กลาง​จาก​”สติ”

ดู​ไป​อีก.. ปัญญา​ก็​แก่กล้า​ขึ้น​ จะ​เห็น​ว่า​ สุข​ก็​ชั่วคราว​ ทุกข์​ก็​ชั่วคราว​ กุศล​ก็​ชั่วคราว​ อกุศล​ก็​ชั่วคราว​ คราว​นี้​มัน​จะ​เป็น​กลาง​ด้วย​”ปัญญา”

ดู​ไป​อีก​นะ

๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๔ ??? #ถาม​ : นิมิตก่อนตาย.. หากนึกถึงบุญกุศลที่เคยไถ่ชีวิตโค-กระบือ จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในท้องโค-กระบือ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๔
???

#ถาม​ : นิมิตก่อนตาย.. หากนึกถึงบุญกุศลที่เคยไถ่ชีวิตโค-กระบือ จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในท้องโค-กระบือ หรือไม่คะ?

#ตอบ​ : การ​ไถ่​ชีวิต​โค​-กระบือ​ เป็น​การ​ให้​ชีวิต​กับ​สัตว์​ ทำให้​เขา​ได้​รอด​พ้น​จาก​ความตาย​ พ้น​จาก​ความทุกข์​ความ​เดือดร้อน​ใจ​เมื่อ​ต้อง​เผชิญ​กับ​ภัย​แห่ง​ชีวิต​ นับ​เป็น​บุญ

บุญ​ เป็น​ชื่อ​ของ​ความ​ดี​ เป็น​เครื่อง​ชำระ​สันดาน​ของ​ผู้​กระทำ​ให้​สะอาด​ ทำ​แล้ว​มี​ความสุข

พระ​พุทธเจ้า​ตรัส​ว่า​ “ภิกษุ​ทั้งหลาย​ เธอ​ทั้งหลาย​อย่า​ได้​กลัว​ต่อ​บุญ​เลย​ เพราะ​คำ​ว่า​บุญ​นี้​ เป็น​ชื่อ​ของ​ความสุข”

เมื่อ​นึก​ถึง​เหตุการณ์​ที่​ได้​เคย​ไป​ไถ่​ชีวิต​สัตว์​ ใจ​ก็​จะ​เป็น​บุญ​ ประกอบ​ด้วย​เมตตา​กรุณา​ ปรารถนา​ให้​สัตว์​นั้น​มี​ความสุข​และ​พ้น​จาก​ทุกข์​ ก็​ย่อม​เกิด​กุศลจิต​ขึ้น​มา​อีก
หาก​จะ​ตาย​ใน​ขณะ​นั้น​ ก็​ย่อม​เสวย​กุศล​วิบาก​ มี​สุคติ​เป็น​ที่​ไป

การ​นึกถึงบุญกุศลที่เคยไถ่ชีวิตโค-กระบือ จึง​ไม่เป็นเหตุให้ไปเกิดในท้องโค-กระบือ​
อย่า​กังวล​ไป​เลย​!

๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook