Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๓ ??? #ถาม​ : การ​ที่​เรา​แกล้ง​ทำ​เป็น​ไม่รู้​ หรือ​ไม่​ตอบ​คำ​ถาม​ธรรมะ​กับ​ผู้​ที่​เข้า​มา​ถาม​นั้น​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๓
???

#ถาม​ : การ​ที่​เรา​แกล้ง​ทำ​เป็น​ไม่รู้​ หรือ​ไม่​ตอบ​คำ​ถาม​ธรรมะ​กับ​ผู้​ที่​เข้า​มา​ถาม​นั้น​ ด้วย​ความ​รู้สึก​ว่า​ผู้​ถาม​ไม่ได้​มี​เจตนา​ที่​อยาก​รู้​ใน​สิ่ง​ที่​ถาม​จริง​ๆ​ ถือ​ว่า​เรา​ทำ​ผิด​หรือ​ไม่​ครับ? อยาก​ได้​คำ​แนะนำ​ใน​การ​วางตัว​ใน​สถานการณ์​แบบ​นี้​ครับ

#ตอบ​ : ที่​ว่า​ “รู้สึก​ว่า​ผู้​ถาม​ไม่ได้​มี​เจตนา​ที่​อยาก​รู้​ใน​สิ่ง​ที่​ถาม​จริง​ๆ​” นั้น​ มัน​เป็น​อย่างนั้น​จริง​หรือ?
ลองประเมิน​ตนเอง​สัก​นิด​ว่า​มี​อคติ​บ้าง​หรือ​ไม่​
ถ้า​มี​ ก็อย่า​เพิ่ง​ด่วน​ตัดสิน​ผู้อื่น​ด้วย​อคติ​นั้น

เป็นไปได้​ไหมว่า​ ที่​ว่า​ “รู้สึก​ว่า​ผู้​ถาม​ไม่ได้​มี​เจตนา​ที่​อยาก​รู้​ใน​สิ่ง​ที่​ถาม​จริง​ๆ​” นั้น​ เป็นแค่​ไม่​ชอบใจ​คำถาม​หรือ​คน​ถาม​นั้น?
และ​หาก​เป็น​เช่นนั้น​ ก็ควร​รู้​ทัน​ความ​ไม่​ชอบใจ​นั้น​ก่อน
ให้​ความ​ไม่​ชอบใจ​ดับ​ไป​ แล้ว​จึง​ตัดสินใจ​ว่า​จะ​ตอบ​หรือ​ไม่​ และ​อย่างไร​

สมมุติ​ว่า​ เขาไม่ได้​มี​เจตนา​ที่​อยาก​รู้​ใน​สิ่ง​ที่​ถาม​จริง​ๆ​ และ​เรา​ก็​รู้​ด้วย​ เมื่อ​ปราศจาก​อคติ​และ​ความ​ขัด​ใจ​ใน​ขณะนั้น​แล้ว ก็เลือก​ว่า​จะ..

๑.​ ไม่​ตอบ​อะไร​
แต่​การเงียบ​ไป​เช่นนี้​ ก็​อาจจะ​ทำให้​ผู้​ถาม​ไม่พอใจ และ​อาจจะ​เป็น​การ​สร้าง​ศัตรู​ด้วย​ เพราะ​เหมือน​เป็น​การ​ไม่​สนทนา​ด้วย​ ซึ่งอาจจะ​ถูก​มอง​ได้​ว่า​ไม่สน​ใจ​และ​ไม่​ให้​เกียรติ​ผู้​ถาม

๒.​ ไม่​ตอบ​คำถาม​นั้น​ แต่​สอน​ให้​เขา​เห็น​ความจริงที่​เป็น​อยู่​
เหมือน​ตอบ​ไม่ตรงคำถาม​ แต่​มุ่ง​สอน​ให้​เกิด​สติ​ปัญญา​
ซึ่ง​การที่จะ​ทำ​อย่างนี้​ได้​ ผู้​สอน​ก็​ต้อง​รู้​จริงเห็น​จริง​ และ​ผู้​ถาม​นั้น​ก็​ควร​มี​ศรัทธา​กับ​ผู้​สอน​เป็น​พื้นฐาน​อยู่​บ้าง

๓.​ ตอบ​ทำนองว่า​ “รู้​ไม่มาก​พอ​ที่​จะ​ตอบ”
โปรด​สังเกต​ว่า​ไม่​ใช่​”แกล้ง”ทำ​เป็น​ไม่รู้​ เพราะ​จะ​กลาย​เป็น​พูด​เท็จ​
ขอ​ให้​ศึกษา​การ​ตอบ​ของ​พระ​อัสสชิ​ เมื่อ​ครั้ง​อุปติสสะ​ปริพาชก​ถามว่า​ “พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?”
พระ​อัสสชิ​ทั้ง​ๆที่​บรรลุ​ธรรม​ขึ้น​สูงสุด​แล้ว​ ก็ตอบว่า​ ​”เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ”
อย่างนี้​ท่าน​ไม่ได้​โกหก​ เพราะ​ท่าน​ก็​เพิ่ง​บวช​จริง​ๆ​ คือ​บวช​ยัง​ไม่ถึง​ปี
และ​เมื่อ​เทียบ​กับ​พระพุทธเจ้า​แล้ว​ ท่าน​ก็​ไม่​อาจ​แสดง​ธรรม​ได้​กว้างขวาง​เท่า​ เพราะ​ท่าน​เป็น​เพียง​สาวก​ ย่อมรู้​ไม่​ทั่วถึง​อย่าง​ที่​พระพุทธ​เจ้า​ทรง​รู้​แน่นอน

๔.​ ตอบ​คำถาม​ไป​ เท่าที่​จะ​ตอบ​ได้​ ด้วย​ใจ​เมตตา​และ​กรุณา​
อย่างน้อย​คำตอบ​นั้น​อาจจะ​เป็น​ประโยชน์​กับ​คนอื่น​ที่​ร่วม​ฟัง​อยู่​ด้วย​
หลวง​พ่อ​ปราโมทย์​เคย​เล่า​ว่า​ สมัย​ที่​ยัง​เป็น​ฆราวาส​ ท่าน​มี​โอกาส​ได้​ไป​เรียน​ธรรมะ​กับ​หลวง​ปู่​เทสก์​บ่อยๆ​ ครั้ง​หนึ่ง​ เห็น​หลวง​ปู่​ตอบ​คำถาม​โยม​คน​หนึ่ง​เป็น​เวลา​นาน​ ใจ​ก็​สงสาร​หลวง​ปู่​ว่า​ต้อง​มา​เหนื่อย​กับ​การ​ตอบ​นั้น​
พอ​เห็น​ว่า​หลวง​ปู่​ไม่​หยุด​ตอบ​สัก​ที​ ใจ​ก็​พลิก​มา​ต่อว่า​หลวง​ปู่​ โดย​พูด​ในใจ​ว่า​ ‘หลวง​ปู่​ไป​ตอบ​มัน​ทำไม​ มัน​ไม่ได้​ตั้งใจ​ถาม​เพราะ​อยาก​รู้​หรอก​ มัน​ชวน​คุย​ไป​เรื่อย​ๆ​ เท่านั้นเอง​ เสียเวลา​เปล่า​ๆ’​
แต่​หลวง​ปู่​ก็​ตอบ​ไป​ จน​เขา​พอใจ​ และลา​กลับ​ไป
พอ​คน​นั้น​คล้อย​หลัง​ หลวง​ปู่​เทสก์​ก็​หัน​มา​พูด​กับ​ท่าน​ว่า​ “ต้อง​ตอบ​คำถาม​เขา​หน่อย​นะ​ ไม่​อย่างนั้น​เดี๋ยว​เขา​จะ​โกรธ​ เดี๋ยว​จะ​ตก​นรก”

ฯลฯ​

ที่​ใส่​ ฯลฯ​ ไว้​ด้วย​ เพราะ​ใน​โจทย์​ระบุ​ว่า​ “คำถาม​ธรรมะ​” ฉะนั้น​ผู้​ที่​จะตอบ​โจทย์​นี้​ได้​ดี​ก็​ควร​เป็น​ผู้​รู้​ธรรมะ​ แต่​อาตมา​ยัง​ต้อง​เรียน​ธรรมะ​อีก​มาก​ เชื่อ​ว่า​วิธี​รับมือ​กับ​สถานการณ์​อย่างนี้​น่าจะ​ไม่​จำกัด​อยู่​เพียง​เท่านี้​ จึง​เผื่อ​ไว้​ด้วย​หวังว่าผู้​รู้​ทั้ง​หลาย​จะมา​ช่วย​เติม​ หรือ​จะ​ช่วย​ตอบ​ใหม่​เลย​ ก็​จะ​เป็น​พระคุณ​ยิ่ง

๒๕ เมษายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๒ ??? #ถาม​ : จิต​คือ​ใคร? ผู้​รู้​คือ​ใคร? ความ​คิด​คือ​ใคร? ใคร​ทำ​หน้าที่?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๒
???
#ถาม​ : จิต​คือ​ใคร? ผู้​รู้​คือ​ใคร? ความ​คิด​คือ​ใคร? ใคร​ทำ​หน้าที่? งงค่ะ​ท่าน​อาจารย์​ ขอ​ความ​กรุณา​อธิบาย​ให้​คน​ปัญญา​น้อย​ด้วย​ค่ะ

#ตอบ​ : จิต.. ไม่ใช่​ใคร​
จิต คือ​ ธรรมชาติ​ที่​รู้​อารมณ์​ เป็น​ตัว​รับ​รู้

อารมณ์​ คือ​ ​สิ่ง​ที่​ถูก​รู้​หรือ​ถูก​รับรู้​ เช่น แสง​ สี​ เสียง​ กลิ่น​ รส​ สัมผัส​เย็น​-ร้อน​ อ่อน​-แข็ง​ ความคิด​ เป็นต้น

ความ​คิด.. ก็​ไม่ใช่​ใคร
เป็น​เพียง​ความ​ปรุงแต่ง​เรื่องราว​ในใจ​ต่างๆ​นานา

ผู้​รู้.. ก็​ไม่ใช่​ใคร​
คำ​ว่า​ ผู้​รู้​ เป็น​คำ​ที่​ครูบาอาจาร​ย์​ใช้​เรียก​จิต​ที่​รู้สึกตัว​ ตั้ง​มั่น​ ไม่​เผลอ​รวม​ไป​ใน​อารมณ์​ คือ​แยก​จิต​กับ​อารมณ์​ออก​จาก​กัน
บางที​ก็​เรียก​อีก​คำ​หนึ่ง​ว่า​ “ผู้​รู้​ผู้​ดู​”
เป็น​ขณะ​ที่​จิต​ประกอบด้วย​สติ, สมาธิ​ และ​ปัญญา​ ​จึง​มี​คุณภาพ​มาก​ เป็น “มหา​กุศล​จิต”
และ​จิต​ผู้​รู้​ที่​ดี​ จะ​เกิด​ขึ้น​เอง​โดย​ไม่มี​เจตนา

ใน​ทาง​ปฏิบัติ​ ขณะ​ที่​มี​จิต​ผู้​รู้​ ขณะนั้น​จะ​รู้สึก​ว่า​มี​สภาวะ​หนึ่ง​ถูก​รู้​

สมมุติ​ว่า​ เดิน​ไป​ตลาด​ ผ่าน​แผง​สลาก​กินแบ่ง​รัฐบาล​ สนใจ​แวะ​ดู​ เห็น​ชุด​หนึ่ง..เลข​สวย​ อยาก​ซื้อ​ คิด​ว่า​”เมื่อ​คืน​ฝัน​เห็น… งวด​นี้​ต้อง​ออก​เลข​นี้​แน่​เลย​ เตรียม​รวย​ได้​เลย”
– ขณะ​เห็น​สลากกินแบ่งรัฐบาล​ รู้​ว่า​มี​แผง​หวย​ ขณะ​นั้น​ยังไม่ใช่​จิต​ผู้​รู้​ เพราะ​จิต​ขณะนั้น​มี​สลาก​เป็น​อารมณ์​ จิต​ไหล​ไป​หา​สลาก​ ไม่​รู้​กาย​ ไม่​รู้​ใจ
– ขณะ​ที่​กำลัง​เลือก​เลข​ รู้​ว่า​มี​เลข​มากมาย​ ขณะ​นั้น​ยังไม่ใช่​จิต​ผู้​รู้​ เพราะ​จิต​ขณะนั้น​มี​เลขเป็น​อารมณ์​ จิต​ถลำ​ไถล​ส่าย​หา​ ไม่​รู้​กาย​ ไม่​รู้​ใจ
– ขณะ​ที่​พบ​เลขที่​ถูกใจ​ อยาก​ซื้อ​ ไม่​เห็น​ความ​อยาก​ที่​เกิด​ขึ้น​ในใจ​ ก็​ยัง​ไม่​มี​สติ​ จิต​นั้น​มี​หวย​เป็น​อารมณ์​ ไม่​เห็น​กาย​ ไม่​เห็น​ใจ
– ขณะ​ที่​คิด​ว่า​ “เมื่อ​คืน​ฝัน​เห็น… ” ขณะ​นั้น​กำลัง​คิด​ถึง​เรื่องราว​ใน​อดีต​ คิด​แล้ว​ก็​จิตรู้​เรื่อง​ที่​คิด​ แต่​ไม่​รู้​กาย​ที่​กำลัง​ยืน​ ไม่รู้​ใจ​ที่​​คิด​ ก็​ยัง​ไม่มี​สติ​ ไม่ใช่​จิต​ผู้​รู้​
– ขณะที่​คิดว่า​ “งวด​นี้​ต้อง​ออก​เลข​นี้​แน่​เลย​ เตรียม​รวย​ได้​เลย” ขณะนั้น​กำลัง​คิด​ถึง​อนาคต​ วาด​ฝัน​ปรุงแต่ง​ไป​ จิต​ก็​รู้​เรื่อง​ที่​วาด​ฝัน​นั้น​ ไม่ใช่​จิต​ผู้​รู้​ ไม่มี​สติ

– ถ้า​เดิน​เจริญ​สติ​มา​ เดิน​ด้วย​ความ​รู้สึก​ตัว​ แล้ว​ขณะ​ที่​รู้สึก​ตัว​อยู่​นั้น​ มี​ความ​รู้สึก​ว่า​กาย​นี้​ถูก​รู้​ถูก​ดู​ ขณะ​ก็​มี​จิต​ผู้​รู้​ จะ​รู้สึก​ว่า​กาย​ที่​ถูก​รู้​อยู่​ส่วน​หนึ่ง​ จิต​ที่​เป็น​ผู้รู้​ก็​อยู่​อีก​ส่วน​หนึ่ง​ต่างหาก​
– ถ้ามี​กาย​ที่​เคลื่อนไหว​ใน​ท่า​เดิน​เป็น​ที่อยู่​ของ​จิต​ ผ่าน​แผง​สลาก​กินแบ่ง​รัฐบาล​ สนใจ​สลาก​ เห็น​ว่า​จิต​เผลอ​ ขณะนั้น​มี​สติ​รู้​จิต
– ถ้า​เห็น​ว่า​ความ​เผลอ​ถูก​รู้​ถูก​เห็น​ ขณะนั้น​จึง​จะ​เป็น​จิตผู้​รู้​ผู้​ดู

เมื่อ​มี​จิต​ผู้​รู้​ขึ้นมา​ กาย​ก็​ถูก​รู้​ถูก​ดู​ จิต​ก็ถูก​รู้​ถูก​ดู​ ขันธ์​ ๕​ ที่​เคย​รวม​กัน​เป็น​ตัวเรา​ ก็​แยก​ออก​มา​เป็น​ส่วน​ๆ​ ส่วนหนึ่ง​ถูก​รู้​ ส่วนหนึ่ง​เป็น​ผู้รู้​ ตัวเรา​จริง​ๆ​ไม่มี​ ขันธ์​แต่ละ​ส่วน​ก็​ทำงาน​ของ​มัน​เอง​ ไม่มี​ตัวตน​อะไร​มา​เป็น​เจ้าของ​หรือ​คอย​บงการ

วิธี​ฝึก​ให้​เกิด​จิต​ผู้รู้​ ก็​ฝึก​สติรู้สึก​ตัว​นี่แหละ​ รู้​กาย​บ้าง​ รู้​ใจ​บ้าง​ เผลอ​บ้าง​ รู้​ว่า​เผลอ​บ้าง​ หา​ที่​อยู่​ให้​จิต​ไว้​สัก​ที่​หนึ่ง​ แล้ว​คอย​รู้​ทัน​จิต​ที่​เผลอไป​คิด​ เผลอไป​ดู​ เผลอไป​ฟัง​ แต่​เผลอ​คิด​นี่​จะ​มาก​ที่สุด
ทันที​ที่​รู้​ทัน​จิต​ที่​เผลอ​คิด​ จิต​จะ​หยุด​คิด​ทันที​ทันใด​นั้น​เลย​ จิต​ผู้รู้​ก็​เกิด​ตรงนั้น​เลย

แต่​จิต​ผู้รู้​ที่​ฝึก​นี้ก็​ยังเกิด​ดับ​นะ​ เดี๋ยว​ก็​เผลอ​อีก​ ก็​ต้อง​ฝึก​บ่อย​ๆ​นะ​ มี​ที่อยู่​ไว้​ เผลอ​ปุ๊บ! รู้.. มี​ที่อยู่​ไว้​ เผลอ​ปุ๊บ! รู้​ อย่างนี้​นะ

๑๘ เมษายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๑ ??? #ถาม​ : เคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์จะไม่หัวเราะเสียงดังหรือยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๑
???
#ถาม​ : เคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์จะไม่หัวเราะเสียงดังหรือยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน อันนี้จริงไหมครับ?

#ตอบ​ : ​ ขึ้นอยู่กับ “วาสนา” ของแต่ละท่านนะ
​“วาสนา” ในพุทธศาสนามีความหมายว่า ..
อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็ว หรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น
ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศล ก็มี เป็นอกุศล ก็มี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็มี
ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ
แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้
จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา
[จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)]
ในคัมภีร์อรรถกถา มักบรรยายถึงการแย้มยิ้มของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นเหตุให้ทรงแสดงธรรม เช่น ในอรรถกถาฆฏิการสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินไปโดยมหามรรคา ทรงตรวจดูภูมิประเทศแห่งหนึ่ง แล้วทรงรำพึงว่า
“เมื่อเราประพฤติจริยาอยู่ เคยอยู่ในที่นี้บ้างหรือหนอ” ดังนี้
ทรงเห็นว่า “เมื่อศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้า ที่นี้เป็นนิคมชื่อว่า เวภัลลิคะ ในกาลนั้น เราเป็นมาณพชื่อ โชติปาละ เรามีสหายเป็นช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ เรากับนายฆฏิการะนั้นได้กระทำเหตุอันดีไว้อย่างหนึ่งในที่นี้ ความดีนั้นยังปกปิดอยู่ ยังไม่ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์ เอาเถิด เราจะกระทำเรื่องนั้นให้ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์” ทรงดำริดังนี้แล้ว ทรงหลีกออกจากทางประทับยืนอยู่ ณ ประเทศหนึ่งเทียว ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์.

พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้องหัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้.
ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น.
…..
อนึ่ง ความแย้มนี้นั้น ถึงมีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ ก็ได้ปรากฏแก่พระเถระ.
ถามว่า ปรากฏอย่างไร?
ตอบว่า ธรรมดาในกาลเช่นนั้น เกลียวรัศมีมีประมาณเท่าต้นตาลใหญ่ รุ่งเรืองแปลบปลาบประดุจสายฟ้ามีช่อตั้ง ๑๐๐ จากพระโอษฐ์ ประหนึ่งมหาเมฆที่จะยังฝนให้ตกในทวิปทั้ง ๔ ตั้งขึ้นจาก
พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ กระทำประทักษิณพระเศียรอันประเสริฐ ๓ รอบ แล้วก็อันตรธานหายไป ณ ปลายพระเขี้ยวแก้วนั่นแล.
เพราะเหตุนั้นท่านพระอานนท์ถึงจะเดินตามไปข้างพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทราบถึงความแย้มพระโอษฐ์ด้วยสัญญานั้น.
…..
การยิ้มแย้มและการหัวเราะนั้น ในคัมภีร์อลังการ ได้จำแนกไว้ ๖ ระดับ คือ
๑. สิตะ ยิ้มอยู่ในหน้า ไม่เห็นไรฟัน
๒. หสิตะ ยิ้มแย้มพอเห็นไรฟัน
๓. วิหสิตะ หัวเราะเบาๆ
๔. อุปหสิตะ หัวเราะจนกายไหว
๕. อปหสิตะ หัวเราะจนน้ำตาไหล
๖. อติหสิตะ หัวเราะจนสั่นพลิ้วและโยกโคลงไปทั้งตัว
แล้วระบุว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จะยิ้มแย้มอยู่เพียงระดับ ๑ กับ ๒ เท่านั้น
พระเสขบุคคลจะยิ้มแย้มและหัวเราะได้ถึงระดับ ๔
ระดับ ๕ และ ๖ เฉพาะของปุถุชน
อันนี้ว่าตามคัมภีร์

แต่ครูบาอาจารย์ท่านชี้แจงว่า มัน​อยู่​ที่​วาสนา​ของพระอรหันต์แต่ละท่านนะ
พระอรหันต์จะยิ้มด้วยกิริยาจิต ​บางท่าน​ก็​ไม่​ยิ้ม​อะไร​มาก บางท่านก็ยิ้มน้อยๆ ยิ้ม​งาม​ บางท่านก็​ยิ้มกว้าง​ เป็น​วาสนาของ​แต่ละท่านนะ​ เพราะท่าน​ไม่มี​มารยา​ว่า​จะ​ทำ​อย่างไร​ให้​ดู​ดี​หรือให้​คน​นับถือ​ แต่​มัน​เป็น​กริยา​ที่​แสดง​ออก​ไป​เพื่อ​สื่อสาร​เท่านั้นเอง​
ที่​ว่า​ พระ​อรหันต์​ยิ้ม​ไม่ได้​ ถ้ายิ้ม​แล้วแสดงว่า​จิต​มี​โลภะ​ หน้า​บึ้ง​ก็​ไม่ได้​ ถ้าหน้า​บึ้ง​ก็แสดงว่าจิต​มี​โทสะ​ อันนี้น่าจะเป็นเพราะเอามาเทียบกับมาตรฐานของจิตปุถุชน
บางที ปุถุชนก็ยิ้มด้วยจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ที่เป็นกามาวจรกุศลจิตก็ได้ เช่น เบิกบานในกุศลที่กำลังทำอยู่ หรือ ฟังธรรมด้วยความซาบซึ้งผ่องใส เป็นต้น
บางที ปุถุชนก็ยิ้มด้วยจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ที่เป็นอกุศลจิต เป็นโลภมูลจิตก็ได้ เช่น เพลิดเพลินไปกับการแสดงที่สนุกสนาน หรือ ดีใจที่มีคนชม เป็นต้น
เวลาพระอรหันต์​ท่าน​ยิ้มด้วยกิริยาจิต ซึ่งจะเป็นอย่างไรแน่ ก็ดูจะเป็นเรื่องไกลเกินไปที่จะทำความเข้าใจ
สำหรับปุถุชนแบบเราๆ หรือผู้ฝึกภาวนาทั้งหลาย มาหัดเจริญสติทำความรู้สึกตัวกันดีกว่า ว่าในแต่ละครั้งที่เรายิ้มหรือหัวเราะนั้น เรายิ้มหรือหัวเราะด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล
ถ้าแยกไม่ออก งง..ก็รู้ว่า งง !
หรือจะดูกายที่มันขยับไหวในขณะที่ยิ้มหรือหัวเราะก็ได้
หรือจะให้ง่ายกว่านั้น มาหัดเจริญสติดูโสมนัสเวทนา คือความสุขใจ ที่เกิดในขณะที่ยิ้มหรือหัวเราะนั้นก็ได้
ดูไป.. ทั้งกายที่ยิ้ม ที่เคลื่อนไหว ทั้งจิตที่สุข ทั้งปรุงกุศลหรืออกุศลนั้น ก็แสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

สุดท้ายของคำตอบนี้ ขอฝากภาพพระเถระที่ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง มาเป็นสังฆานุสสติ

๑๐ เมษายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๙ ??? #ถาม : เท่าที่ฟังธรรมมาหลายครั้ง ก็จะมีแต่ให้ “ละโลภ โกรธ หลง” น่าจะให้ความสำคัญกับเรื่อง…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๙
???
#ถาม : เท่าที่ฟังธรรมมาหลายครั้ง ก็จะมีแต่ให้ “ละโลภ โกรธ หลง”
น่าจะให้ความสำคัญกับเรื่อง “อย่าทำให้ผู้อื่นโลภ โกรธ หลง” ด้วยนะคะ

#ตอบ : น่าสนใจนะ
ทีนี้เราลองมาดูกันว่า การทำให้ผู้อื่นโลภ โกรธ หลง หรือพูดสั้นๆ ว่า ทำให้ผู้อื่นเกิดมีกิเลสขึ้นมานั้น มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

๑. ตนเองมีกิเลส แล้วไม่มีสติ จึงไปสร้างกายกรรม-วจีกรรม ที่ยั่วกิเลสผู้อื่น
โดยทั่วๆไป ก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้ใช่ไหม?
กรณีอย่างนี้ การสอนให้ฝึกเจริญสติ รู้สึกตัวถึงกิเลสที่ปรากฏในใจของตน ก็ช่วยแก้ปัญหาการทำให้ผู้อื่นเกิดกิเลสได้ไปด้วยในตัว

๒. ขณะนั้นไม่ได้มีกิเลสอะไร หรือพูดให้ชัดขึ้นคือ ขณะนั้นไม่ได้มีเจตนายั่วกิเลสใคร แต่คนที่มาพบเห็น หรือได้ยินได้ฟัง หรือได้สัมผัสในแง่ต่างๆ เขาเกิดกิเลสไปเอง
กรณีอย่างนี้ ถ้าเกิดกับพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ใช้วิธีวางอุเบกขา
แต่กับพวกเราที่ยังเป็นปุถุชน ก็ต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป ว่าเราทำอย่างนี้ แม้เจตนาดี แต่มีผลเสียอย่างนี้
เมื่อเรียนรู้แล้ว ก็ควรแก้ไขปรับปรุงวิธีพูด-วิธีแสดงออกของตน ให้เหมาะสมยิ่งๆขึ้นไป
ถ้าขอโทษ-ขอขมากับคู่กรณีได้ ก็ควรทำ
บางทีดูเหมือนว่าเราไม่มีกิเลส แต่จริงๆมี เป็นเพราะความเขลา คือเราไม่รู้
พระพุทธเจ้าจึงให้มีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือน ด้วยคำว่า
“ข้าพเจ้าขอปวารณากับท่าน จะด้วยได้เห็นก็ตาม ด้วยได้ยินก็ตาม หรือด้วยน่าระแวงสงสัยก็ตาม ว่าข้าพเจ้ามีความผิด ขอให้ท่านกรุณาว่ากล่าวตักเตือน เมื่อข้าพเจ้าเห็นความผิดนั้น จะได้ปรับปรุงแก้ไขตนเองต่อไป”

๓. ตั้งใจยั่วกิเลส เพื่อสอน
ตัวอย่างเช่น

๓.๑ โยมคนหนึ่ง เข้าใจว่าตนปฏิบัติธรรมได้ถึงขั้นอนาคามีแล้ว ไปกราบเรียนพระเถระว่า
“ท่านเจ้าคะ ดิฉันไม่มีความโกรธแล้ว”
พระเถระหันขวับมาพูดว่า “อีตอแหล!”
โยมคนนั้นโกรธทันที ลุกพรวด “พระปากจัด ไม่นับถือแล้ว” เดินกระทืบเท้าตึงตังออกไป
พอถึงหน้าวัดจึงรู้ตัวว่าโกรธ ไม่ใช่พระอนาคามีเสียแล้ว

๓.๒ ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ท่านหนึ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่บนเขาพนมรุ้ง สำคัญผิดว่าตนบรรลุอรหัตผล อุตส่าห์เดินทางดั้นด้นมาวัดบูรพาราม ตะโกนถามหาหลวงปู่ดูลย์แบบไม่เคารพว่า “หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว”
หลวงปู่ดูลย์เห็นว่าอาการรุนแรงมาก ก็ให้เณรพาไปพักที่โบสถ์ก่อน
แต่พอถึงโบสถ์ แทนที่จะพัก กลับเที่ยวไปเรียกพระเณรในวัดให้มาฟังธรรมของตนตลอดทั้งคืน
หลวงปู่พยายามแก้ไขด้วยอุบายต่างๆ เป็นเวลา ๓ วัน ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายท่านก็ใช้วิธีพูดให้โกรธ ด้วยการด่าว่า
“เออ ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้”
ได้ผล ลูกศิษย์ท่านนั้นโกรธจนมือไม้สั่น หยิบของผิดๆ ถูกๆ คว้าเอาไต้สำหรับจุดไฟไปดุ้นหนึ่ง คงนึกว่าเป็นกลด เปล่งวาจาออกมาอย่างน่าขำว่า “เออ ! กูจะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู”
กว่าจะรู้สึกตัว ก็เดนไปถึงวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๓-๔ กิโลเมตร
และในที่สุดก็กลับมาขอขมา

๓.๓ พระธัมมทินนะ เป็นพระอรหันต์ผู้มีปัญญาแตกฉานในปฏิสัมภิทา นั่งพักในที่พักในเวลากลางวัน นึกถึงอาจารย์ของท่าน คือพระมหานาคเถระ ว่า “กิจแห่งสมณะอาจารย์ของเราถึงที่สุดแล้ว หรือไม่หนอ?”
ก็ทราบว่าอาจารย์ของตนนั้นยังเป็นปุถุชน และทราบอีกว่า ถ้าท่านไม่ไปช่วย อาจารย์ของท่านก็จะเป็นปุถุชนจนมรณภาพ
ท่านจึงเหาะไปหาพระมหานาคเถระ ซึ่งขณะนั้นกำลังนั่งพักอยู่ ก็เข้าไปกราบไหว้
อาจารย์ถามว่า “ดูก่อนธัมมทินนะ เพราะเหตุไรเธอจึงมาในเวลาอันไม่สมควรอย่างนี้”
ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ กระผมมาเพื่อจะถามปัญหาขอรับ”
พระธัมมทินนะถามปัญหาประมาณ ๑,๐๐๐ ข้อ อาจารย์ก็ตอบได้ทุกข้อ
ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ ญาณของท่านคมยิ่งนัก ท่านบรรลุธรรมนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ?”
อาจารย์ตอบว่า “บรรลุมา ๖๐ พรรษาแล้ว”
พระธัมมทินนะถามว่า “ท่านอาจารย์ยังใช้อิทธิฤทธิ์ได้อยู่หรือไม่ครับ?”
อาจารย์ตอบว่า “เรื่องนี้ ไม่หนักใจเลย”
พระธัมมทินนะจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ขอท่านอาจารย์ช่วยนิรมิตช้างให้ดูสักเชือกหนึ่ง ได้ไหมครับ?”
ท่านก็เนรมิตช้างเผือกมาให้ดู
พระธัมมทินนะก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ให้ช้างนี้มีหูกางออกแล้ว มีหางเหยียดออกแล้ว เอางวงใส่ในปาก แล้วส่งเสียงร้องให้ดังลั่น วิ่งมาหาท่านอาจารย์ ได้ไหมครับ?”
อาจารย์ก็เนรมิตขึ้นมาได้อย่างนั้น ครั้นเห็นอาการกิริยาและเสียงร้องของช้างนิรมิตอย่างนั้นแล้ว อาจารย์ก็ขยับลุกขึ้นเพื่อจะหนีไป พระธัมมทินนะจึงเหยียดมือออกไปจับชายจีวรของพระอาจารย์แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ ความกลัวย่อมมีแก่พระอรหันต์ด้วยหรือครับ?”
พระอาจารย์จึงรู้ทันทีว่าตนยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงกล่าวว่า “ดูก่อนธัมมทินนะผู้มีอายุ ท่านจงเป็นที่พึ่งแก่กระผมด้วยเถิด”
พระธัมมทินนะเถระกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ กระผมมาด้วยประสงค์ว่าจะเป็นที่พึ่งแก่ท่านนี่แหละครับ ขอท่านอาจารย์อย่าได้วิตกเลยครับ” แล้วบอกกรรมฐาน
พระเถระผู้อาจารย์เรียนกรรมฐานแล้ว ก็ก้าวขึ้นสู่ที่จงกรม ในก้าวที่สาม ท่านก็บรรลุพระอรหัตผล
…………

ฉะนั้น สรุปได้ว่า
๑. ถ้าตนเองมีกิเลส แล้วไปสร้างกายกรรม-วจีกรรม ที่ยั่วกิเลสผู้อื่น ก็ควรฝึกสติ เพื่อประโยชนตนและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง
๒. ถ้าตนเองไม่ได้มีเจตนายั่วกิเลส แต่ทำให้ผู้อื่นเกิดกิเลส ก็ควรเรียนรู้ข้อผิดพลาดในการแสดงออกนั้น และหลีกเลี่ยงเสีย
๓. ถ้าจะยั่วกิเลสเพื่อสอนผู้อื่น ตนเองก็ต้องซื่อตรงต่อธรรมด้วย อย่าให้กลายไปเป็นว่า ตนเองก็มีกิเลส แล้วอ้างว่า “ฉันทำไปเพื่อสอนเขา” มิฉะนั้นจะกลับไปเข้าเกณฑ์ข้อ ๑ ไป
…………

อีกอย่างหนึ่ง ที่บอกว่า เท่าที่ฟังธรรมมาหลายครั้ง ก็จะมีแต่ให้ “ละโลภ โกรธ หลง” นั้น
อันที่จริงก็ไม่ได้ให้ทำอย่างนั้นนะ !
แต่ให้พยายามฝึกให้มีสติ กิเลสอะไรเกิดขึ้น.. รู้ทัน
กิเลสเกิดขึ้น.. รู้ทัน
ไม่ต้องไปหาทางละหรือดับกิเลสนะ
เพราะเราฝึกสติรู้ทันกิเลส กิเลสจะดับไปเองโดยอัตโนมัติ
สิ่งที่ละไปคือ มันจะค่อยๆ ละความเคยชินที่จะตามใจกิเลสนะ

๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๗ ??? #ถาม : เราสามารถที่จะรู้ใจรู้กายไปในขณะเดียวกับที่เราฟังธรรมได้ไหมคะ? …

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๗
???

#ถาม : เราสามารถที่จะรู้ใจรู้กายไปในขณะเดียวกับที่เราฟังธรรมได้ไหมคะ?

#ตอบ : ได้

แต่ว่าแรกๆเนี่ย ตอนฟังธรรม เราจะฟังเพื่อเอาความเข้าใจรู้เรื่องราว ฉะนั้นตอนรู้เรื่องราวเนี่ยจะมารู้กายรู้ใจไม่ได้ ก็ต้องมารู้ว่าท่านสอนอะไร หลักการปฏิบัติเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ท่านยกตัวอย่างหรือเล่านิทานประกอบว่าอย่างไรบ้าง คือมารู้เรื่องราว อย่างนี้ในขณะที่ฟังนั้นยังไม่ต้องรู้กายรู้ใจ ไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานตลอดเวลาในขณะที่ฟังธรรม เพราะขณะนั้นเรามีจุดมุ่งหมายคือจะฟังเพื่อให้รู้เรื่องราว ตอนรู้เรื่องราวเนี่ยไม่ได้ดูกาย ไม่ได้ดูเวทนา ไม่ได้ดูจิต ไม่ได้ดูธรรมนะ
แต่ฟังไป..เรียนไปเนี่ยนะ ในเรื่องราวที่เราเรียนอยู่เนี่ยมันเป็นความรู้ในชุดที่ว่ามาสอนเราให้เจริญสติ ความรู้ชุดนี้เนี่ยนะในระหว่างที่เราฟังไปเนี่ย เราเองก็อาจจะมีสักแว้บหนึ่ง..มาเห็นกายบ้าง เห็นใจบ้างก็ได้ แต่ไม่ได้เห็นตลอด เวลาส่วนใหญ่คือส่งออกมาเพื่อจะฟังเรื่องราว เพื่อทำความเข้าใจ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการฟังธรรมเพื่อเอาความเข้าใจ เพื่อให้ได้หลักในการปฏิบัติกลับไป
แต่ในระหว่างที่ฟังนั้นก็มีบางแว้บที่มารู้สึกตัวได้บ้าง
มันไม่เหมือนไปดูหนังดูละคร ดูหนังดูละครเนี่ยไม่มีดาราคนไหนชี้กลับมาหาคนดูหรอกว่า “รู้สึกตัว” ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นเราจะดูแล้วก็เพลินไปในจอ เพลินไปในเรื่องราว มันอิน(in)ไปในเรื่องราว มันขาดสติตลอดเวลา ๒ ชั่วโมงที่เราดูอยู่
แต่ฟังธรรมไปเนี่ย ถ้าเป็นฟังธรรมในแง่ของการปฏิบัติ ผู้แสดงจะแสดงไป แล้วก็บอกแง่การปฏิบัติ คนฟังนี้ก็จะเก็บเอาบางคำเนี่ยมารู้สึกตัวทีละแว้บ ทีละแว้บ ไม่ใช่รู้สึกตัวตลอด ๒ ชั่วโมงในการฟังนะ แต่ว่าฟังไปแล้วก็เก็บเนื้อหาทำความเข้าใจ แล้วก็นำมาปฏิบัติ บางทีก็ปฏิบัติในขณะที่ฟังนั้นเลย..เป็นบางขณะ เป็นแว้บๆ แล้วพอได้ความเข้าใจแล้วเนี่ย จากตรงนี้พอท่านเสร็จจากการบรรยายตรงนี้แล้วก็เจริญสติต่อไปได้เลย เอาความรู้ที่ได้เรียนเมื่อกี้นี้มาฝึกเลย
บางทีถ้าเป็นนักฟังที่ดีขึ้นมาอีก ก็ปฏิบัติตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้เลย ครูบาอาจารย์ยังไม่ออกมา หรือออกมาแล้วแต่ยังไม่เริ่มพูด เรากำลังนั่งรออยู่ ก็รู้สึกตัวได้เลย ภาวนารอท่านไปเลย ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนแบบจากจิตสู่จิต คำสอนก็จะพอดีกับจิตเราเลย ต่อยอดหรือตอบปัญหาเราพอดีเลย เข้าใจไหม?
พอฟังธรรมเสร็จแล้ว แยกย้ายกันไป โยมก็เดินด้วยความรู้สึกตัว
สมมุติว่าฟังธรรมแล้วอิ่มใจ ก็เห็นความอิ่มใจ, ปลื้มใจ..ก็เห็นความปลื้มใจ ความปลื้มใจถ้าเราไม่รู้นะ ก็อิน(in)ไปกับความปลื้ม ก็ขาดสติเหมือนกัน
เราเผลอ..บางทีก็ไม่ใช่เผลอไปกับในสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียว เผลอไปในสิ่งที่ดีก็มี
ครั้งหนึ่งมีโยมไปฟังธรรมหลวงปู่สิม พุทธาจาโร แล้วก็คิดถึงลูกที่อเมริกา คิดในใจนะคิดในใจว่า ‘โห.. หลวงปู่สิมแสดงธรรมครั้งนี้เนี่ยดีมากเลย เสียดายที่ลูกไม่มาด้วย’ คิดแค่นี้เท่านั้นเอง แว้บเดียวเท่านั้นเองนะ หลวงปู่สิมชี้หน้าดุเลย “ตัวอยู่ที่วัด ใจไปอยู่อเมริกา ไม่ได้เรื่อง!”
โยมคนนั้นตกใจเลยนะ แต่แทนที่จะรู้สึกตัวมีสติขึ้นมา กลับตกใจ ‘หลวงปู่รู้ได้ไง?’ คิดไปในแง่นี้อีก
จริงๆ คือแม้จะเป็นเรื่องดีนะ เช่น ฟังธรรมอยู่แล้วปลื้มใจว่าหลวงปู่สอนดี แล้วคิดถึงลูก จะว่ามีกรุณากับลูกก็ได้นะ อยากให้ลูกได้มาฟังบ้าง เทียบแล้วกับคนทั่วๆไปเหมือนคิดดีอยู่ แต่จริงๆถ้าในแง่ของสติปัฏฐาน..ขณะนี้กำลังลืมตัวใช่มั้ย? ใจกำลังเผลอไปหาลูก..ไม่รู้ว่าเผลอ กายกำลังนั่งฟังอยู่นั่ง..ก็ไม่รู้ว่ากายกำลังนั่งอยู่ ในกาย-ในใจนี้ไม่รู้อะไรเลย! รู้แต่ว่า.. “ลูกอยู่อเมริกา น่าจะมาฟังธรรมดีๆอย่างนี้” อย่างนี้นี่นะ ในแง่สติปัฏฐาน..ใช้ไม่ได้เลย
ตอนที่หลวงปู่สิมยังชี้ว่าอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าเราเป็นนักภาวนาที่ดี ก็แค่รู้ว่า..เมื่อกี้นี้เผลอไป หรือว่าหลวงปู่ทักแล้วตกใจ..ก็รู้ว่าตกใจ อย่างนี้ใช้ได้เลย เจริญสติเลย

๖ มีนาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๖ ??? #ถาม​ : ที่เราเล่นเฟสบุ๊คในสมัยนี้ ทำให้เราออกนอกเส้นทางการปฏิบัติไหมคะ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๖
???
#ถาม​ : ที่เราเล่นเฟสบุ๊คในสมัยนี้ ทำให้เราออกนอกเส้นทางการปฏิบัติไหมคะ? พระอาจารย์ช่วยเมตตาแนะนำด้วยค่ะ บางทีโยมอยากเลิกดู เลิกโพสต์​เหมือนกัน บางทีก็อยากเล่นอีก

#ตอบ​ : พูด​รวม​ไป​ถึง​เครือข่าย​สังคม​ออนไลน์​ (Social Network) ทั่วไป​ก็แล้วกัน​นะ
คือ​มัน​ก็​มี​ทั้ง​ข้อดี​และข้อ​เสีย

ข้อดี​คือ​ มัน​เป็น​ตัวเชื่อมต่อที่ช่วยให้​เรา​เข้าถึงข้อมูล ข่าวสารรวดเร็วมากยิ่งขึ้น​ สื่อสารกันได้สะดวก ง่ายดาย และประหยัดเวลา นอกจากนี้​ยัง​ทำให้หลายคนต่างก็มีสังคมที่กว้างขึ้น รู้จักกันเพิ่มมากขึ้น
บางคนยัง​นำมา​ทำ​ธุรกิจได้อีก​ด้วย

ส่วน​ข้อเสีย​ก็​มี​มาก​ กล่าว​เฉพาะ​พวก​เรา​นัก​ภาวนา​ ก็คือ​
๑.​ เรา​ใช้​เวลา​กับ​มัน​นาน
๒.​ เก็บ​ข้อมูล​มา​ฟุ้งซ่าน
(นี่​ยัง​ไม่​นับ​พวก​ที่​ใช้​เพื่อ​ยั่ว/เสริม​กิเลส​หยาบ​ๆ​ นะ)​
๓.​ ลืม​กาย​ลืม​ใจ

เพราะ​มัน​สะดวก​ แค่​คลิ๊ก​ก็​ไป​ ที​แรก​ก็​เจอ​เรื่อง​ที่​เรา​อยาก​รู้​เรื่อง​หนึ่ง​ แล้ว​มัน​ก็​ชวน​ให้​อยาก​รู้​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ ต่อเนื่อง​ไป​เรื่อยๆ​ จน​หมดเวลา​ไป​กับ​มัน​หลาย​ชั่วโมง
แล้ว​เรื่องราว​ที่​เรา​อุตส่าห์​เสีย​เวลา​ให้​ ส่วนมาก​ก็​เป็น​ข้อมูล​รก​สมอง​

มี​นัก​ภาวนา​ท่าน​หนึ่ง​ นั่ง​สนทนา​กับ​ทีมงาน​ที่​ช่วยกัน​ทำ​คอร์ส​ปฏิบัติ​ธรรม​ ระหว่าง​ที่​ทีมงาน​คุย​ถึง​เรื่อง​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​สังคม​ปัจจุบัน​ นัก​ภาวนา​ท่าน​นี้​นำ​ข้อมูล​ที่​ตน​ได้รับ​ใน​ไลน์​กลุ่ม​มา​พูดเสริม​ ซึ่ง​ก็​มี​หลาย​เรื่อง​ เพราะ​เพื่อน​ส่ง​มา​เยอะ​ อาจารย์​ประสาน​นั่ง​ฟัง​อยู่​ด้วย​ก็​พูด​ขึ้น​มา​ว่า​ “โอ้.. พี่​รู้​เยอะ​จัง!”

คำ​ทัก​ของ​อาจารย์​ประสาน​ ทำให้​นัก​ภาวนา​ท่าน​นั้น​สะเทือน​เข้าไป​ถึง​ใจ​ จน​น้ำตา​ไหล​ออกมา​ เพราะ​มัน​พูด​ในใจ​ต่อ​ไป​ว่า​
“รู้​เยอะ​แล้ว​ยังไง?
รู้​แต่​เรื่อง​ของ​คนอื่น​ แต่​ไม่รู้​เรื่อง​กาย​ใจ​ตัวเอง​เลย​ จะ​มี​ประโยชน์​อะไร
ที่​รู้​มาก​มาย​ มัน​ใช่​สาระ​ของ​ชีวิต​แล้ว​หรือ?”

ค่ำวันนั้น​ นัก​ภาวนา​ท่าน​นั้น​ก็​หยิบ​โทรศัพท์มือถือ​มา​เปิด​ไลน์​ เพื่อ​จะ​ออก​จาก​ไลน์​กลุ่ม​ต่างๆ​ มี​อยู่​หลาย​กลุ่ม​มาก​ (เว้นไว้​แต่​กลุ่ม​ที่​ทำงาน​จริง​ๆ)​ พอ​จะ​กด​ออก.. ก็​คิด​เกรงใจ​คน​ใน​กลุ่ม​ เพราะว่า​พวก​เขา​ต้อง​ทราบ​ และ​อาจจะ​มอง​เรา​ใน​แง่​ไม่ดี​ พอ​ถึง​ตอน​นี้​ ท่าน​ก็​มี​สติ​เห็น​”ความ​รัก​ตัว​ตน”ขึ้นมา

ท่าน​ก็​ถาม​ใจ​ตัวเอง​ต่อ​เลย​ว่า​ “จะ​เสียดาย​กิเลส​ จะ​รัก​กิเลส​ หรือ​จะ​รัก​ธรรมะ​ รัก​พระพุทธเจ้า?”

คำตอบ​ก็​ออก​มา​ว่า​ “รัก​ธรรมะ​ รัก​พระพุทธเจ้า!”

ท่าน​ก็​ตัดสินใจ​ใช้​นิ้ว​คลิ๊ก​ปุ่ม​เพื่อ​ออกจาก​กลุ่ม​ ท่าน​เล่า​ว่า​ พอ​คลิ๊ก​ปุ๊บ! จิต​มันโล่ง​ขึ้นมา​ทันที!

จากนั้น​ไม่นาน​ ท่าน​ก็​ได้รับ​ผล​การ​ปฏิบัติ​เป็น​ที่​น่าพอใจ​ และ​ครูบาอาจาร​ย์​มอบหมาย​เป็น​ผู้ช่วย​สอน​กรรมฐาน​เมื่อ​เร็วๆ​นี้

เรื่อง​ของ​นัก​ภาวนา​ท่าน​นี้​ ก็​น่าจะ​เป็น​ตัวอย่าง​ที่​ดี​สำหรับ​ผู้​ถาม​ รวมทั้ง​พวก​เรา​ทุก​คน

ก็​ต้อง​ยอมรับ​ว่า​โลก​ปัจจุบัน​มัน​มี​สิ่ง​นี้​ และ​เรา​ก็​กำลัง​อยู่​กับ​มัน​ ถ้า​เรา​แยกแยะ​ได้​ว่า​
– อะไร​เป็น​ประโยชน์​-อะไร​ไม่​เป็น​ประโยชน์
– อันนี้​เรื่อง​งาน​-อันนี้​เรื่อง​ฟุ้งซ่าน
– เรื่อง​นี้​จำเป็น​-เรื่อง​นี้​ไม่​จำเป็น
ก็​ยัง​พอ​ใช้​มัน​ต่อไป​ได้​ โดย​เลือก​ใช้​ใน​ส่วน​ที่​ดี​ให้​มากๆ​หน่อย

อย่างน้อย​ๆ​ การ​ถาม​-ตอบ​ปัญหา​นี้​ ก็​อาศัยส่วน​ดี​ของ​มัน​มา​ใช้​ด้วย​เหมือนกัน

เพียง​แต่​อย่า​เสีย​เวลา​ไป​กับ​มัน​ จน​ทำให้​ไม่ได้​ภาวนา
เพราะ​ใน​สายตา​ของ​ท่าน​ผู้รู้​ งาน​พัฒนา​จิตใจ​เป็น​เรื่อง​ที่​สำคัญ​ที่สุด​ เรา​ก็​ต้อง​จัดสรร​เวลา​ใน​ชีวิต​เพื่อน​สิ่ง​ที่​สำคัญ​ที่สุด​นี้​ให้​มาก​ที่สุด​ด้วย

เรื่อง​การ​จัดสรร​เวลา​ของ​ชีวิต​นี้​ อาตมา​ชอบ​เรื่อง​เล่า​เรื่อง​หนึ่ง

มี​อาจารย์​ท่าน​หนึ่ง​เดินเข้าห้องเรียนพร้อมด้วยของสองสามอย่างในกระเป๋า
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบเหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม​ แล้ว​ถาม​นัก​ศึกษาว่า
“พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?”
นักศึกษาแต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหน​ ก่อนจะตอบพร้อมกัน “เต็มแล้ว…”

อาจารย์ยิ้มไม่พูดอะไรต่อ​ หันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ​ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเทกรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ​ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
“เหยือกเต็มหรือยัง?”
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่ง​ แล้วตอบว่า “เต็มแล้ว…”

อาจารย์ยังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก​ เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง “เหยือกเต็มหรือยัง?”

นักศึกษาเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดิน​ออกมาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
“คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์”

“แน่ใจนะ”
“มัน​ใส่​อะไร​ไม่ได้​อีกแล้วครับ”

คราวนี้​อาจารย์หยิบน้ำ​สอง​ขวดออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ น้ำก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่

– เหยือกใบนี้​ ก็เหมือนชีวิตคนเรา
– ลูกเทนนิส​ เปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดใน​ชีวิต​คือ​การ​เจริญ​กุศล​ธรรม​ที่​จำเป็น​ต่อ​การ​พ้น​ทุกข์ เป็นเรื่องที่ต้องสนใจจริงจัง เช่น​ สติปัฏฐาน​ วิปัสสนา​กรรมฐาน
– เม็ดกรวด​ เหมือน​กุศลสำคัญรองลงมา เช่น ธรรม​ใน​หมวด​คิหิปฏิบัติ​
– ทราย​ ก็คือเรื่อง​ธุระ​การงาน​อื่นๆ รวม​ทั้ง​การ​ศึกษา​เล่าเรียน
– น้ำ​ เป็น​สิ่ง​ที่​น่า​เพลิดเพลิน​ จิปาถะ​ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของ​เรา ถ้า​เรา​ใส่​น้ำลงไปก่อน มัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิต​ก็เต็มแล้ว… เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน’

ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า

มัน​เป็น​เรื่อง​ของ​การ​จัดสรร​เวลา​ใน​ชีวิต​ของ​เรา​น่ะ
รวม​ทั้ง​การ​รู้​แยกแยะ​ได้​ว่า..
อะไร​เป็น​สาระ​ อะไร​ไม่ใช่​สาระ
อะไร​เป็น​ประโยชน์​ อะไร​ไม่ใช่​ประโยชน์
แล้ว​เลือก​ใช้​เวลา​ใน​ชีวิต​ไป​กับ​เรื่อง​ที่​เป็น​สาระและ​เป็น​ประโยชน์​

๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๕ ??? #ถาม : การบรรยายธรรมของพระอาจารย์กฤช จะมีทั้งเรื่องเล่า นิทาน เรื่องทาน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๕
???

#ถาม : การบรรยายธรรมของพระอาจารย์กฤช จะมีทั้งเรื่องเล่า นิทาน เรื่องทาน ศีล สมาธิ รวมทั้งภาวนารวมอยู่ด้วย อยากถามว่าเรามีแนวทางในการฟังธรรมอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติ?

#ตอบ : ถามแบบนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง ในธรรมบท

ครั้งหนึ่ง อุบาสก ๕ คนไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ที่วัดเชตวัน
คนที่ ๑ นั่งหลับ
คนที่ ๒ นั่งเอานิ้วมือขีดเขียนแผ่นดิน
คนที่ ๓ นั่งเขย่าต้นไม้
คนที่ ๔ นั่งแหงนหน้าดูท้องฟ้า
คนที่ ๕ นั่งฟังธรรมโดยเคารพ

พระอานนท์ได้เห็นพฤติกรรมของอุบาสกทั้ง ๕ คนนั้นแล้ว จึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่อุบาสกเหล่านี้ ดุจหยาดฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่อุบาสกเหล่านั้น กลับแสดงพฤติกรรมประหลาดๆ อย่างนี้”

พระศาสดาตรัสว่า “อานนท์ เธอไม่รู้จักอุบาสกเหล่านั้น
อุบาสกคนที่นั่งหลับอยู่นั้น ได้เกิดในกำเนิดแห่งงู คือเป็นงูบ้างนาคบ้าง มา ๕๐๐ ชาติ โดยลำดับ ชอบพาดหัวไว้บนขนดแล้วหลับ ยังไม่อิ่มในความหลับ จึงยังไม่ยอมตื่นมารับฟังธรรมจากเรา

อุบาสกคนที่ชอบเอานิ้วมือขีดเขียนแผ่นดินนั้น ได้เกิดเป็นไส้เดือนในอดีตชาติมาแล้ว ๕๐๐ ชาติ โดยลำดับ จึงได้ติดนิสัยชอบคุ้ยแผ่นดินมาจนถึงปัจจุบันชาติ ไม่สนใจฟังเสียงเรา

อุบาสกคนที่ชอบเอามือเขย่าต้นไม้นั้น ได้เกิดเป็นลิงมาแล้ว ๕๐๐ ชาติ โดยลำดับ จึงติดนิสัยชอบเขย่าต้นไม้มาจนถึงปัจจุบันชาติ ไม่สนใจฟังเสียงเรา

อุบาสกคนที่ชอบแหงนหน้าดูท้องฟ้า ได้เกิดเป็นหมอดูผู้บอกฤกษ์มาแล้ว ๕๐๐ ชาติ โดยลำดับ จึงติดนิสัยชอบแหงนหน้าดูท้องฟ้าเพื่อดูดาวมาจนถึงปัจจุบันชาติ ไม่สนใจฟังเสียงเรา

ส่วนอุบาสกคนที่นั่งฟังธรรมโดยคารพนั้น เคยเกิดเป็นพราหมณ์ผู้ชอบท่องมนต์มาแล้ว ๕๐๐ชาติ โดยลำดับ จึงติดนิสัยชอบฟังธรรมเพื่อนำไปเทียบเคียงกับมนต์ที่ตนเคยท่องมา แม้ปัจจุบันก็ฟังธรรมโดยเคารพ”

พระอานนท์กราบทูลถามต่อไปว่า “พระธรรมของพระองค์ เหมือนดังแทรกผิวข้าพระพุทธเจ้าไปจนถึงเยื่อในกระดูก ทำไมคนเหล่านี้กลับไม่ฟังโดยเคารพ พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า
“อานนท์ เธอคิดว่าธรรมของเรานี้ บุคคลจะฟังโดยง่ายหรือ?”
พระอานนทเถระกราบทูลว่า “ธรรมของพระองค์ บุคคลฟังโดยยากหรือ พระเจ้าข้า?”
“ถูกแล้ว อานนท์”
“เพราะเหตุใด พระเจ้าข้า?”
พระศาสดาตรัสว่า “อานนท์ เพราะในแสนกัลป์ที่ผ่านมา เขาเหล่านั้นไม่เคยได้ยินแม้คำว่า ‘พุทโธ’ หรือ ‘ธัมโม’ หรือ ‘สังโฆ’ มาก่อนเลย ได้ยินได้ฟังแต่ดิรัจฉานกถามีประการต่าง ๆ แล้วเที่ยวฟ้อนรำขับร้องอยู่ในที่ทั้งหลาย มีโรงดื่มสุราและสนามเป็นที่เล่นเป็นต้น . จึงไม่สามารถจะฟังธรรมโดยเคารพได้”
แล้วพระองค์ก็แสดงธรรมต่อไปว่า เพราะ ราคะ โทสะ โมหะ และตัณหา นั่นแหละ เป็นตัวกั้นขวาง ทำให้ไม่สามารถฟังธรรมโดยเคารพได้

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสกผู้ฟังธรรมอยู่โดยเคารพนั้น บรรลุโสดาปัตติผล
(ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๗ มลวรรควรรณา เรื่องที่ ๙ เรื่องอุบาสก ๕ คน)

ถ้าแบ่งคนฟังธรรมตามเกณฑ์ของพระพุทธองค์ ก็น่าจะแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ฟังโดยไม่เคารพ
๒. ฟังโดยเคารพ
ผู้ฟังธรรมโดยเคารพเท่านั้น จึงจะได้รับประโยชน์จากการฟังธรรม

ประโยชน์จากการฟังธรรมก็มีหลายประการ เช่น
๑. รู้เป้าหมายของชีวิตที่ควรเข้าถึง ว่าคือภาวะที่ไม่มีทุกข์ มีระดับขั้นตอนที่จะเข้าถึงได้ตั้งแต่ละความเห็นผิดว่ามีตัวตนเป็นต้น รู้ว่าเป้าหมายดังกล่าวนี้ควรประจักษ์แจ้ง ควรได้ควรถึง ควรบรรลุ
๒. รู้จักสภาวธรรมที่กำลังเป็นอยู่ รู้ว่าชีวิตคืออะไร แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนเป็นรูปเป็นนาม แยกได้ระหว่างกายกับใจ ยิ่งฟังยิ่งเห็นตาม และยอมรับว่าชีวิตก็เป็นเพียงความประกอบกันของสภาวะต่างๆ เป็นต้น รู้ว่าสภาวธรรมดังกล่าวนี้ควรรู้ ควรทำความเข้าใจ
๓. รู้จักต้นเหตุของปัญหา รู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไร มีปกติธรรมดาเป็นไปอย่าง ทำไมจึงทุกข์ ที่มาของทุกข์คืออะไร รู้กระบวนการของธรรมชาติที่ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น เชื่อในเรื่องของกรรมและวิบาก รู้ว่าทุกสิ่งที่ประสบเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อรู้เหตุของทุกข์อย่างนี้แล้ว ก็รู้ว่าควรละเหตุเหล่านั้นเสียด้วย
๔. รู้วิธีปฏิบัติที่จะนำพาชีวิตให้บรรลุเป้าหมาย รู้ว่าชีวิตควรเป็นอยู่อย่างไร มีวิธีที่จะฝึกฝนอบรมตนอย่างไร เพื่อจะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ได้จริง และรู้ว่าต้องลงมือปฏิบัติเองจริงๆ

รวมแล้วก็คือ รู้อริยสัจ ๔ นั่นเอง คือ รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ และรู้มรรค รวมทั้งรู้กิจในอริยสัจด้วย เพียงแต่ในที่นี้เรียงสลับข้อไปบ้าง
ในการฟังแต่ละครั้ง ผู้ฟังอาจได้รับประโยชน์ทั้ง ๔ นี้ มากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ
– ความสามารถของผู้แสดงธรรม
– ความพร้อมของผู้ฟังธรรม
– สภาพแวดล้อมของสถานที่

เนื้อหาที่แสดง มักจะอยู่ในข้อที่ ๔ คือวิธีปฏิบัติ เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก มีหลายหมวด เช่น บุญกิริยาวัตถุ, ไตรสิกขา, สติปัฏฐาน ๔, มรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น แต่ผู้ฟังสามารถเลือกปฏิบัติเฉพาะที่ตรงจริตของตนก็พอ

ส่วนที่มีการเล่านิทานบ้างนั้น เป็นเพียงวิธีการนำเสนอ หรือที่เรียกกันว่า สำนวนโวหาร ซึ่งมีอยู่ ๕ อย่าง คือ
๑. บรรยายโวหาร คือ อธิบายไปเรื่อยๆ ตามลำดับ มุ่งความชัดเจนในสาระ
๒. พรรณนาโวหาร คือ แสดงรายละเอียดด้วยสำนวนไพเราะน่าฟัง มุ่งความซาบซึ้งเพลิดเพลิน
๓. เทศนาโวหาร คือ แสดงให้แจ่มแจ้ง จนผู้ฟังยอมรับ
๔. สาธกโวหาร คือ ยกเรื่องตัวอย่าง เพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การเล่านิทานก็อยู่ในข้อนี้
๕. อุปมาโวหาร คือ ยกตัวอย่างในแง่เปรียบเทียบ เป็นอีกวิธีที่ช่วยเสริมความเข้าใจ
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของผู้แสดงด้วย

แต่สิ่งที่ผู้แสดงธรรมควรใส่ใจ คือ พุทธลีลาในการสอน ซึ่งในการสอนแต่ละครั้ง การสอนของพระองค์นั้นจะมีองค์ประกอบที่เป็นคุณลักษณะ ๔ ประการ ขอยกคำอธิบายในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ “ป. อ. ปยุตฺโต” มาบางส่วน ดังนี้
๑. สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นชัด คือ จะสอนอะไร ก็ชี้แจงจำแนกแยกแยะอธิบายและแสดงเหตุผลให้ชัดเจน จนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง เห็นจริงเห็นจัง ดังจูงมือไปดูเห็นกับตา
๒. สมาทปนา ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ คือ สิ่งใดควรปฏิบัติหรือหัดทำ ก็แนะนำหรือบรรยายให้ซาบซึ้งในคุณค่า มองเห็นความสำคัญที่จะต้องฝึกฝนบำเพ็ญ จนใจยอมรับ อยากลงมือทำ หรือนำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า คือ ปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความอุตสาหะ มีกำลังใจแข็งขัน มั่นใจที่จะทำให้สำเร็จจงได้ สู้งาน ไม่หวั่นระย่อไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวยาก
๔. สัมปหังสนา ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง คือ บำรุงจิตให้แช่มชื่นเบิกบาน โดยชี้ให้เห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ที่จะได้รับและทางที่จะก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้นไป ทำให้ผู้ฟังมีความหวังและร่าเริงเบิกบานใจ
ข้อ ๑ ปลดเปลื้องความเขลาหรือความมืดมัว
ข้อ ๒ ปลดเปลื้องความประมาท
ข้อ ๓ ปลดเปลื้องความอืดคร้าน
ข้อ ๔ สัมฤทธิ์ การปฏิบัติ
จำสั้นๆ ว่า “แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้า ร่าเริง”

๑๙ มกราคม ๒๕๖๐


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๕ #ถาม​ : เวลา​ฟัง​ธรรม​ที่​พระ​อาจารย์​บรรยาย​ บางที​ได้ยิน​เสียง​คน​ฟัง​ขำ​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๕

#ถาม​ : เวลา​ฟัง​ธรรม​ที่​พระ​อาจารย์​บรรยาย​ บางที​ได้ยิน​เสียง​คน​ฟัง​ขำ​ แต่​โยม​เฉย​ๆ​ อันนี้​เป็น​เพราะ​โยม​กด​เอาไว้​หรือ​ไม่​คะ?

#ตอบ​ : ก็​ไม่​จำเป็นต้อง​หัวเราะ​ด้วย​ทุก​ครั้ง​นะ​ บางที​ก็​มุก​แป้ก​!

จะ​ดู​ว่าก​ด​หรือ​ไม่​ ให้​สังเกต​ว่า​
– เรา​มี​ความ​ระวัง​ตัว​ที่​จะ​ไม่​แสดง​ออก​อยู่​หรืือ​ปล่าว
– ใจ​มัน​ทื่อ​ๆ​ แข็ง​ๆ​ หนัก​ๆ​ แน่น​ๆ​ หรือ​ปล่าว
ถ้า​มี​อาการ​ที่​กล่าว​มา​แม้​เพียง​อย่าง​เดียว​ ก็​ถือว่า​มี​การ​กด​ใจ​ไว้​แล้ว

#ถาม​ : โยม​สามารถ​นั่ง​นิ่ง​ ไม่​แสดงออก​ใด​ๆ​ได้​ เวลา​ไม่​คุ้น​กับ​คน​หรือ​สถานที่​ อย่างนี้​ควร​ทำ​อย่างไร​ดี​คะ?

#ตอบ​ : ธรรมดา​นะ​ เวลา​ไป​ที่​ที่​ไม่​คุ้นเคย​ก็​เป็น​อย่างนี้​ เรียก​ว่า​มี​ความ​สำรวม​ จะ​ไป​ลั้นลา​กับ​คน​ที่​เพิ่ง​เจอ​กัน​ก็​ดู​แปลก​ๆ​นะ​ จะ​มี​กด​อยู่​บ้าง​ก็​ยังไม่เป็นไร

อันนี้​ไม่​เหมือน​ข้อแรก​นะ​
ใน​ข้อ​แรกอยู่​ลำพัง​คน​เดียว​ หรือ​แม้อยู่​กับ​คน​คุ้นเคย​ น่าจะ​ขำแต่​พยายาม​สงวน​ท่าที​การ​แสดงออก​ การ​กด​อย่างนี้​ควร​รู้​ให้ทัน​ เพราะ​มัน​เป็น​การ​แกล้ง​ให้ผิด​จาก​ความจริง​ กด​ไว้​ก็​ดู​เรียบร้อย​ดี​นะ​ แต่​จะ​เครียด​ และ​ไม่​เกิด​ปัญญา​ ดี​ไม่ดี​มัน​จะ​ไป​จับ​ผิด​คน​อื่น​เอา​ด้วย​สิ

๕ มกราคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๔ ??? #ถาม​ : มา​ฟัง​ธรรม​ แล้วแอบ​มี​กิเลส​ในใจ​เกิดขึ้น​ และ​ไม่​ศรัทธา​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๔
???

#ถาม​ : มา​ฟัง​ธรรม​ แล้วแอบ​มี​กิเลส​ในใจ​เกิดขึ้น​
และ​ไม่​ศรัทธา​ เมื่อ​เห็น​คน​ที่​ปฏิบัติ​ แล้ว​ยัง​ทำ​ไม่ดี​ พูด​ไม่ดี​ ควร​ทำ​ไง​ดี?

#ตอบ​ : ดี​มาก​ที่​เห็น​กิเลส​ตัว​นี้​ ไม่ได้​เห็น​กัน​ง่าย​ๆ​นะ​

แต่​เห็น​แล้ว​ก็​ต้อง​สอน​ใจ​ตัวเอง​ไป​ว่า​
แต่ละคน​ก็​ยัง​ไม่ใช่​มนุษย์​ที่​ดี​เลิศ​ไร้​ตำหนิ​
คน​อื่น​มี​กิเลส​ก็​เรื่อง​ของ​เขา​
ส่วนเรา​ฟัง​ธรรม​ก็เพื่อให้​รู้​หลัก​การ​ปฏิบัติ

แต่ละคน​จะ​ไป​ดี​ไป​ร้าย​ จะ​ตก​นรก​จะ​ขึ้น​สวรรค์​
หรือจะ​ไป​นิพพาน​ ก็​อยู่​ที่​กรรม​ของ​แต่ละคน​
เขา​ทำ​ไม่ดี​ เขา​พูด​ไม่ดี​ ก็​เป็น​กรรม​ไม่ดี​ของเขา​
เรา​เห็น​แล้ว​ไม่​ชอบใจ​ ก็​เป็น​โทสะ​ของ​เรา​ ก็​ดู​โทสะ​ไป​
บางที​อาจจะ​มี​ความ​ถือตัว​ด้วย​ ก็​ดู​ไป

เคย​เห็น​บทกลอน​ของ​ท่าน​พุทธ​ทาส​ไหม?
เป็น​ข้อ​เตือนใจ​ได้​ดี​นะ
ท่าน​เขียน​ไว้​ว่า

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วน​ที่​ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่า​เลย​
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ

ใคร​จะ​ดี​จะ​เลว​ยังไงก็​ไม่​สำคัญ​เท่า
แต่​เรา​ต้อง​ไม่​เลว​ และ​พัฒนา

นัก​ปฏิบัติ​ส่วน​มาก​ก็​ยัง​เป็น​เพียง​ผู้​ที่​กำลัง​ฝึก
ยัง​มี​สิ่ง​ที่​ยัง​ต้อง​ศึกษา​และ​พัฒนา​อีก​มาก
ยัง​มี​กิเลส​และ​เล่ห์เหลี่ยม​ในใจ​อีก​เยอะแยะ​ที่​ต้อง​เรียนรู้
และ​เป็น​ธรรม​ดา​เหลือเกิน​ที่​บางครั้ง​อาจจะ​ไม่รู้​เท่าทัน​กิเลส​ของ​ตน
แต่​กิเลส​ของ​คนอื่น​กลับ​เห็น​ง่าย​กว่า
เมื่อ​รู้​อย่างนี้​ก็​จะ​เห็นใจ​กัน​และให้​อภัย​กัน​

กิเลสของ​คน​อื่น​แม้​จะ​ใหญ่โต​เท่า​ภูเขา​ ก็​ไม่​ทำให้​เรา​ตก​นรก​ได้เลย
แต่​กิเลส​ของ​เรา​นี่แหละไม่​ต้อง​มาก​ มัน​ก็​ลาก​เรา​ตก​นรก​ได้

คน​ที่​กำลัง​ปฏิบัติ​ก็​ยก​เอา​ไว้​ก่อน​ ที่​น่า​ดู​กว่า​คือ​ผู้​สอน​และ​คำ​สอน​
ถ้า​สอน​ผิด​ก็​เลิก​กัน​
ถ้า​สอน​ถูก​ แต่​ผู้​สอน​ไม่​น่า​ศรัทธา​ ก็​เก็บ​เอา​มา​เฉพาะ​คำสอน
ถ้า​คำ​สอน​ก็​ถูก​ตรง​ดี​ ผู้​สอน​ก็​ปฏิบัติ​ดี​ น่า​ศรัทธา​
ก็​ควร​หมั่น​ไป​หา​ เข้า​ใกล้​ ฟัง​ท่านบ่อย​ๆ​
ฝึกฝน​ตน​ตาม​ที่​ท่าน​แนะนำ​ มี​ปัญหา​ก็​สอบ​ถาม​ท่าน

อย่า​ใส่ใจ​กับ​ลูกศิษย์​เพียง​บางคน​ที่​ยัง​ไม่​ถึง​ขั้น​ (ใน​สายตา​เรา)​
เพราะ​เรา​มุ่ง​หมาย​จะ​เรียนรู้​ธรรม
ขอ​อย่า​ให้​ชีวิต​นี้​พลาด​จาก​ธรรม​ของ​พระ​พุทธ​องค์​เลย

๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๒ ??? #ถาม : คุณพ่อของโยมป่วย คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ลูกๆทราบกันแล้ว แต่ไม่กล้าบอกท่าน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๒
???

#ถาม : คุณพ่อของโยมป่วย คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ลูกๆทราบกันแล้ว แต่ไม่กล้าบอกท่าน เกรงว่าท่านทราบแล้วจะยิ่งทรุด ถ้าคุณพ่อถามถึงผลการตรวจ ก็อาจจะจำเป็นต้องโกหก กรณีอย่างนี้ลูกๆจะบาปหรือไม่คะ?

#ตอบ : การพูดโกหก ยังไงๆก็ผิดอยู่แล้ว
เพราะศีลข้อมุสาวาท มีองค์ประกอบดังนี้
๑. เรื่องไม่จริง
๒. มีจิตเจตนาจะพูดให้คลาดเคลื่อนตัวความจริง
๓. ความพยายามอันเกิดจากจิตนั้น
๔. ผู้ฟังรู้เรื่อง

แต่จะบาปมากหรือน้อยก็มีเกณฑ์บ่งชี้ ดังนี้คือ
มุสาวาทนั้น มีโทษน้อย เพราะประโยชน์ที่ทำลายนั้นน้อย
มีโทษมาก เพราะประโยชน์ที่ทำลายนั้นมาก
ถ้าลูกอาศัยความกรุณา เกรงว่าพ่อจะทำใจไม่ได้ อาจจะทำให้โรคที่เป็นอยู่นั้นรุนแรงยิ่งขึ้น จึงโกหก
อย่างนี้ เราไม่ได้มุ่งร้ายกับพ่อ โทษก็ไม่มาก เมื่อเทียบกับการโกหกด้วยเจตนาร้าย

แต่แม้จะโกหกด้วยกรุณา ก็มีวิบากนะ
ต่อไปถึงคราวเราป่วย ลูกหลานก็เราก็อาจจะพูดคำโกหกมาปลอบใจเรา
แทนที่เราจะรู้ความจริงเพื่อที่จะเตรียมตัวเตรียมใจให้ทันก่อนตาย
เรากลับปล่อยเวลาผ่านไปอย่างประมาท ลั้นลาไปวันๆ มารู้ตัวอีกทีก็ใกล้ตายเต็มที
เราอาจจะโกรธหรือน้อยใจลูกหลานของเรา ว่าพวกนี้ไม่รักเราจริง ไม่ยอมบอกความจริงกับเรา
ถ้าเจริญสติไม่ทัน ก็ตายไปพร้อมกับใจที่เศร้าหมอง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อริยสาวกยอมพิจารณาดังนี้ว่า
ก็ถ้าใครทำลายประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา
ก็ถ้าเราจะทำลายประโยชน์ของคนอื่นด้วยการกล่าวเท็จ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่นเหมือนกัน.. “

ประโยชน์ที่ถูกทำลายในกรณีนี้ คือ
เมื่อไม่รู้ความจริง แล้วตกอยู่ในความประมาท

ทางที่ดีในกรณีนี้ก็คือ ไม่พูดโกหก
ถ้าสามารถใช้ปัญญาหาคำพูดให้ท่านยอมรับความจริง และโยงมาถึงการเตรียมความพร้อมที่จะใช้เวลาที่เหลือเพื่อสั่งสมบุญกุศล จนถึงภาวนาพัฒนาจิตใจได้ก็ยิ่งดี
และควรแสดงออกให้ท่านมั่นใจว่า เราจะอยู่เคียงข้างท่าน และให้เวลาปรนนิบัติท่านด้วย ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

เท่าที่ทราบ มะเร็งในยุคนี้ก็ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน คุณหมอก็มีความรู้ความสามารถ มียา มีเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ ที่จะช่วยให้การบำบัดโรคได้ผลดี บางกรณีก็หายขาดได้
เราก็พูดให้ท่านสบายใจ หรืออย่างน้อยก็ไม่ตกใจเกินไป ด้วยการให้ข้อมูลอีกด้านที่ท่านควรทราบ

ลองศึกษาอุบายของพระสารีบุตรก็ได้
ครั้งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรออกจากสมาบัติ พิจารณาอยู่ว่า วันนี้จะไปโปรดใคร
ก็เห็นว่า จะไปโปรด “นายเพชฌฆาตเคราแดง”

นายเพชฌฆาตเคราแดงเมื่อก่อนคือ “โจรเคราแดง” ร่วมแก๊งอยู่ในกลุ่มโจรห้าร้อย
ภายหลังถูกจับได้ และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการใช้ขวานฟันคอ แต่หาเพชฌฆาตไม่ได้
อำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีจึงพูดกับหัวหน้าโจรว่า “ถ้าเจ้ายอมเป็นเพชฌฆาตฆ่าโจรเหล่านี้ เราจะไว้ชีวิตเจ้า พร้อมกับได้ตำแหน่งหน้าที่ที่คนทั้งหลายนับถือ”
หัวหน้าโจรปฏิเสธ เพราะฆ่าลูกน้องไม่ลง ถามโจรอื่นๆ ก็ปฏิเสธ
แต่พอถามนายเคราแดง ก็ได้รับคำตอบว่า “สาธุ!” แล้วก็ฆ่าโจรทั้งหมดนั้น
นับแต่นั้นมา ก็รับหน้าที่เป็นเพชฌฆาตอยู่นานถึง ๕๕ ปี จนแก่ ไม่มีแรง ฟันคอโจรฉับเดียวไม่ขาด ต้องฟันอยู่หลายครั้ง ชาวเมืองทั้งหลายเห็นความลำบาก จึงถอดจากตำแหน่ง
ตลอดเวลาที่รับหน้าที่เพชฌฆาต นายเคราแดง มีนักโทษมาให้ฆ่าทุกวัน ไม่มีโอกาสได้แต่งตัวสวยๆ กินอาหารหรูๆ เลย
พอเกษียณแล้ว รุ่งเช้าก็อาบน้ำ ชำระกาย ทาแป้งหอม นุ่งผ้าใหม่ สั่งบริวารให้หุงข้าวยาคูปรุงด้วยน้ำนมและเนยใส
แต่งตัวเสร็จ มานั่งรอกิน อาหารก็หอมฟุ้งมาเชียว แต่ตาเหลือบเห็นพระสารีบุตรเสียก่อน จึงคิดว่า ‘เราทำการฆ่าคนมานาน ตอนนี้เรามีอาหารอย่างดีเลิศ มีพระมาอยู่หน้าบ้านเราแล้ว เราถวายอาหารนี้กับพระดีกว่า’
เมื่อถวายอาหารแด่พระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรก็กล่าวอนุโมทนา แต่ใจนายเคราแดงก็ฟุ้งซ่านมาก ฟังไม่รู้เรื่องเลย ท่านพระสารีบุตรจึงถามว่า “ทำไมโยมจึงไม่สามารถทำใจมาตามคำเทศนาล่ะ?”
นายเคราแดงตอบว่า “ผมทำกรรมชั่วหยาบมานาน คนเป็นอันมากถูกผมฆ่าตาย ผมได้แต่กังวลถึงกรรมของผมครับ”

ท่านพระสารีบุตรคิดจะช่วย จึงถามว่า “ที่ท่านฆ่าน่ะ ท่านอยากฆ่าเอง หรือมีใครใช้ให้ทำล่ะ?”
นายเคราแดงตอบว่า “พระราชาให้ทำครับ”
ท่านพระสารีบุตรจึงถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว บาปจะมีแก่ท่านหรืออย่างไร?”
นายเคราแดงได้ฟังอย่างนั้น ก็คิดเอาเองว่า บาปไม่มีแก่เรา แต่เป็นบาปของพระราชา ก็สบายใจ พระสารีบุตรสอนกรรมฐานให้ก็ทำตาม จนบรรลุเป็นพระโสดาบันในที่นั้นเลย

ท่านพระสารีบุตรไม่ได้พูดโกหกเลยนะ โยมก็ลองปรับใช้ไปในกรณีของโยม ว่าเราควรจะพูดอย่างไร
ที่สำคัญคือ ไม่ใช่เพียงพูดให้ท่านสบายใจ แต่ควรโยงไปให้ถึงการภาวนาด้วย จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด
และเราก็ได้ทำหน้าที่ของลูกหลานที่ดี เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมอีกด้วย
สมกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
“หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้
บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า”

๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๑ ??? #ถาม : สามสี่ปีมาแล้ว ที่โยมเพียรปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอทุกวัน โยมจะถนัดการเดินเจ้าค่ะ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #๑๐๑

???
#ถาม : สามสี่ปีมาแล้ว ที่โยมเพียรปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอทุกวัน
โยมจะถนัดการเดินเจ้าค่ะ โยมจะเดินสบายๆ ไม่ได้ตั้งใจดูอะไร เดินธรรมดา ยิ่งช่วงปลีกวิเวกเข้าปฏิบัติ โยมจะใช้การเดินในช่วง
สองสามวันแรก เดินต่อเนื่องทีละหลายชั่วโมงเลยค่ะ ไม่ได้ตั้งใจดูอะไร แต่ใช้สภาวะการกระทบนี้ ให้มันดึงความฟุ้ง
ความง่วง ความคิดที่มากมายกลับมาเอง โยมจะแค่เดินสบายๆ สิ่งที่ผ่านเข้ามา ก็จะเห็น หลง รู้ หลง รู้ อย่างนี้ตลอดค่ะ
วันแรกๆ ที่นิวรณ์มากหน่อย บางทีที่ไม่ไหว โยมก็จะเจตนาแนบจิตเพ่งไว้ที่เท้ากระทบให้มากหน่อย เพื่อไม่ให้ไหลไป
กับนิวรณ์ พอปรับกำลังได้บ้าง โยมก็ค่อยปล่อยการแนบออกไปค่ะ

#ตอบ : ตอนเดิน ที่ว่า “เจตนาแนบจิตเพ่งไว้ที่เท้ากระทบให้มากหน่อย เพื่อไม่ให้ไหลไปกับนิวรณ์” นั้น มันจะติดเพ่งง่ายนะ
ลองแบบนี้นะ เดินไป แล้วรู้สึกถึงความกระเทือนของกายแบบไม่เจาะจงจุดใดจุดหนึ่ง
มันจะมีความรู้สึกตัวทีละแว๊บ ตอนที่เท้าลงน้ำหนักกระทบพื้น
ตอนยก-ย่าง มันจะเผลอบ้าง ก็ช่างมัน
อย่างนี้ จะมีอาการเผลอแล้วรู้ถี่ๆ

ตอนปลีกวิเวก ก็จะดูเหมือนว่าดีไปหมดนะ
แต่พอมาอยู่ในชีวิตปกติมันจะไม่ดีเหมือนเดิมนะ
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วเราก็ไม่ต้องไปรักษาให้มันดีเหมือนเดิมนะ

ไม่ได้ฝึกให้ไม่เผลอนะ แต่เผลอแล้วรู้
ไม่ได้ฝึกให้ไม่หลงนะ แต่หลงแล้วรู้
และไม่ได้ฝึกให้รู้ตลอดเวลานะ
รู้ก็ไม่เที่ยง หลงก็ไม่เที่ยง
ประคองรักษาตัวรู้ตลอดก็ไม่ได้
ห้ามไม่ให้หลงก็ไม่ได้
ไม่ได้ฝึกประคองหรือฝึกห้ามอะไรนะ
แต่ฝึกดูจนเข้าใจว่า มันเป็น”อนัตตา”นะ

๙ ธันวาคม ๒๕๖๐


อ่านบน Facebook

ศีล ๕ ข้อ​ ๔​

ถาม​ : หนูไม่กระจ่างในศีลข้อ​ ๔​ ค่ะ​ คือการงด..

– คำหยาบ​ คือคำที่พูดให้ผู้อื่นโกรธเคืองใช่ไหมคะ ?
– คำเพ้อเจ้อ​ คือคำที่พูดไปไม่มีประโยชน์ใช่ไหมคะ ? คำจำกัดความนี้มันกว้างมาก แล้วการร้องเพลงถือเป็นการพูดเพ้อเจ้อรึเปล่าคะ ? ​และ​เพราะอะไร ?

– คำโกหก​ คือคำที่พูดไม่เป็นความจริงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองใช่ไหมคะ ? แล้วถ้าพูดไม่จริงแต่ไม่ได้หวังผลประโยชน์ของตน​ จะเป็นคำโกหกไหมคะ ?
– คำส่อเสียด​ คือคำที่ยุยงให้เขาแตกกันใช่ไหมคะ ?

ตอบ​ : ถาม​มา​เป็น​ชุด​เลย !

มิจฉา​วาจา คือ​ วาจา​ที่​ผิด มี​ ๔​ ได้แก่

๑.​ มุสาวาท​ การ​พูด​เท็จ, พูด​โกหก, พูด​ไม่​จริง, หลอกลวง ๒.​ ปิสุณาวาจา​ การ​พูด​ส่อเสียด, พูด​ยุยง​ให้​เขา​แตกร้าว​กัน

๓.​ ผรุสวาจา​ การ​พูด​คำ​หยาบ, คำ​พูด​เผ็ดร้อน, คำ​ด่า ๔.​ สัมผัปปลาปะ​ การ​พูด​เพ้อเจ้อ, พูด​เหลวไหล, พูด​ไม่​เป็น​ประโยชน์​ ไม่มี​เหตุผล​ ไร้​สาระ​

มุสาวาท​ มี​องค์​ประกอบ​ของ​การ​ละเมิด​อยู่​ ๔​ (เรียก​สั้น ​ๆ​ ว่า​ มี​องค์​ ๔) ได้​แก่

๑.​ เรื่อง​ไม่จริง ๒.​ จิต​คิด​จะ​กล่าว​ให้​คลาดเคลื่อน ๓.​ มี​ความ​พยายาม​เกิด​จาก​จิต​ที่​คิด​จะ​กล่าว​ให้​คลาดเคลื่อน​นั้น

๔.​ ผู้อื่น​เข้าใจ​ความ​ที่​พูด​นั้น​ (ไม่​ว่า​จะ​เชื่อ​หรือ​ไม่​เชื่อ​ก็​ตาม)​

มุสา​ แปล​ว่า​ เท็จ​ ได้แก่​เรื่อง​ที่​ไม่​เป็น​จริง

วาท​ แปล​ว่า​ คำ​พูด​ ใน​ที่​นี้​หมายถึง​ กิริยา​ที่​ทำให้​ผู้อื่น​เข้าใจ​เรื่อง​ที่​ไม่​จริง​ ซึ่ง​อาจจะ​ไม่ได้​พูด​เป็น​เสียง​ออกจาก​ปากก็ได้​ เช่น​ พยักหน้า, บุ้ยใบ้, เขียน​หนังสือ, ส่ง​ไลน์, แชร์​ข้อมูล​ เป็นต้น

การ​โกหก​ แม้​ไม่​หวัง​ผลประโยชน์​ของ​ตน​ ก็​ย่อม​เป็น​การ​โกหก​อยู่​ดี​ บางที​ไม่ได้​มี​เจตนา​ทำลาย​ประโยชน์​เขา​ แต่​เพราะ​เรา​โกหก​ เขา​จึง​เข้าใจผิด​ และ​พลาด​จาก​ประโยชน์​ที่​พึง​ได้​รับ​ อย่างนี้​ก็​อาจจะ​เป็นไปได้

มุสาวาท​ มุ่ง​ที่​เจตนา​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​บุคคล​อื่น​

ถ้า​ประโยชน์​ที่​ทำลาย​ไป​นั้น​มาก​ ก็​มี​โทษ​มาก ถ้า​ประโยชน์​ที่​ทำลาย​ไป​นั้น​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย

เช่น​ เป็น​พยาน​ให้​การ​เท็จ​ ก็​มี​โทษ​มาก พระ​อริยเจ้า​ทั้งหลาย​ไม่​พูด​มุสา​ แม้​ด้วย​เหตุ​แห่ง​ชีวิต

ปิสุณาวาจา มีองค์ ๔ คือ

๑. ผู้อื่นที่พึงให้แตกกัน

๒. มุ่งให้เขาแตกกัน​ โดย​คิดว่า คนเหล่านี้​จะ​แยกกัน​ ไม่​กลมเกลียว​กัน ด้วยอุบายอย่างนี้ หรือ ประสงค์ให้ตนเป็นที่รัก​แทน​คน​ที่​เขา​เคย​รัก​ คิดว่า เรา​จะ​เป็นที่รัก เป็นที่ไว้วางใจ ยิ่ง​กว่า​คน​นั้น​ ด้วยอุบายอย่างนี้

๓. ความพยายามที่เกิดแต่ความมุ่งให้เขาแตกกันนั้น ๔. ผู้นั้นรู้เรื่องนั้น

โดย​หลัก​คือ​ ดู​ที่​เจตนา​ เป็น​เจตนา​ของ​ผู้​ที่​มี​จิต​เศร้าหมอง​ ไม่​ต้องการ​ให้​มี​ความ​รัก​ความ​สามัคคี​ใน​กลุ่ม​คน​เหล่านั้น

ถ้า​ทำ​ความ​แตก​แยก​ใน​บุคคล​ผู้​มี​คุณ​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย ถ้า​ทำ​ความ​แตก​แยก​ใน​บุคคล​ผู้​มี​คุณ​มาก​ ก็​มี​โทษ​มาก

ผรุสวาจา​ มีองค์ ๓ คือ

๑.​ คนอื่นที่ตนด่า ๒.​ จิตโกรธ ๓.​ การด่า

โดย​หลัก​คือ​ เจตนา​หยาบ​คาย​ อัน​เนื่องมาจาก​ความ​โกรธ​ เป็น​เหตุ​ตัด​ความ​รัก​ของ​ผู้​อื่น​ คือ​มุ่ง​ให้​เจ็บ​ใจ​ มุ่ง​ร้าย​ บางที​ วาจา​หยาบ​ แต่​ใจ​ไม่​หยาบ​ ก็​มี

เช่น​ มี​เด็ก​คน​หนึ่ง​ อยาก​ไป​เที่ยวป่า​ แม่​ห้าม​ก็​ไม่​ฟัง​ ไม่​เอื้อเฟื้อ​ต่อ​ถ้อยคำ​ของ​แม่​ ดื้อ​เดิน​หนี​ไป​ แม่​ก็​ด่า​ไล่​หลัง​ไป​ว่า​ “ขอ​ให้​ควาย​ป่า​จง​ไล่​มึง !”

ทันใดนั้น​ ควาย​ป่า​ก็​ปรากฏ​แก่​เด็ก​นั้น​ เหมือน​อย่าง​คำ​ของ​แม่​ทีเดียว​ เด็ก​นั้น​ได้​ทำ​สัจจกิริยา​ว่า​

“สิ่ง​ที่​แม่​ของ​เรา​พูด​ด้วย​ปาก​ จง​อย่า​มี สอง​ที่​แม่​คิด​ด้วย​ใจ​ จง​มี​เถิด” ควาย​ป่า​นั้น​ก็​ได้​แต่​ยืน​นิ่ง​ เหมือน​เป็น​ควาย​เชื่อง ​ๆ​ ที่​ถูก​ผูก​ไว้​ใน​ป่า​นั่นเอง

คำ​พูด​ของ​แม่​อย่างนี้​ ไม่​เป็น​ผรุสวาจา​ เพราะ​มี​จิตใจ​อ่อนโยน บางที​เป็น​ผรุสวาจา​ ทั้ง​ที่​คำ​ดูเหมือนว่า​อ่อนหวาน​ เพราะ​ผู้​พูด​มี​เจตนา​ร้าย​ มี​จิต​หยาบ

กล่าวผรุสวาจา​กับ​ผู้​มี​คุณ​น้อย​ ก็​มี​โทษ​น้อย กล่าวผรุสวาจา​กับ​ผู้​มี​คุณ​มาก ก็​มี​โทษ​มาก

สัมผัปปลาปะ​ มี​องค์​ ๒​ คือ

๑.​ มุ่ง​แล้ว​ถ้อยคำ​ที่​ไร้​ประโยชน์​ ไร้​สาระ​ ๒.​ พูด​เรื่อง​นั้น​ออกมา

รู้​อยู่​ว่า​เป็น​เรื่อง​ไร้​สาระ​ ก็​ยัง​พูด​ ไม่​คำนึง​ว่า​ใคร​จะ​พอใจ​หรือ​ไม่​ พูด​มาก​ก็​มี​โทษ​มาก​ พูด​น้อย​ก็​มี​โทษ​น้อย

ไม่​ได้​มี​เจตนา​โกหก​ แต่​พูด​เพ้อเจ้อ​ไป​แล้ว​มี​คน​เชื่อ​ ก็​มี​โทษ​มาก​ ถ้า​ไม่​มี​ใคร​เชื่อ​ ก็​มี​โทษ​น้อย พูด​เจือ​กิเลส​มาก​ก็​มี​โทษ​มาก​ เจือ​กิเลส​น้อย​ก็​มี​โทษ​น้อย

การ​ร้องเพลง​ เป็น​มิจฉา​วาจา​ได้​ทั้ง​ ๔​ แบบ​ หรือ​อาจจะ​เป็น​สัมมา​วาจา​ก็ได้​ ขึ้น​อยู่​กับ​เนื้อหา​และ​เจตนา​ใน​การ​ร้อง​

ที่​แสดง​ไว้​ว่า​ พูด​อย่าง​นี้​มี​โทษ​น้อย​ พูด​อย่างนั้น​มี​โทษ​มาก​ ไม่ได้​หมายความ​ว่า​มี​โทษ​น้อย​แล้ว​พูด​ได้​นะ

แต่​ให้​เข้าใจ​ว่า​ ควร​เว้น​มิจฉา​วาจาทั้งหมด​ เพราะมี​โทษ​ทั้งนั้น​

ใน​ เวฬุทวารสูตร​ สังยุตตนิกาย​ มหา​วาร​วรรค​ พระพุทธเจ้า​ได้​ตรัสว่า

“… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​เรา​ด้วย​การ​กล่าว​เท็จ ​(มุสาวาท)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​ทำลาย​ประโยชน์​ของ​คนอื่น​ด้วย​การ​กล่าว​เท็จ​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​ยุยง​ให้​เรา​แจก​จาก​มิตรด้วย​คำ​ส่อเสียด (ปิสุณา​วาจา)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​ยุยง​คนอื่น​ให้​แตก​จาก​มิตรด้วย​คำ​ส่อเสียด ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​พูดจา​กับ​เรา​ด้วย​คำหยาบ (ผรุสวาท​)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​พูดจา​กับ​คนอื่น​ด้วย​คำหยาบ
ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน…

… อริยสาวก​ย่อม​พิจารณา​ดังนี้​ว่า​ ถ้า​ใคร​จะ​พูดจา​กับ​เรา​ด้วย​ถ้อยคำ​เพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ)​ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ข้อ​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​เรา, ก็​ถ้า​เรา​จะ​พูดจา​กับ​คนอื่น​ด้วย​ถ้อยคำ​เพ้อเจ้อ ก็​จะ​ไม่​เป็น​ที่​ชื่นชอบ​ที่​พอใจ​แก่​คนอื่น​เหมือนกัน,

สิ่งใด​ ตัวเรา​เอง​ไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​ ถึง​คนอื่น​ก็ไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​เหมือนกัน, สิ่งใด​ที่​ตัวเรา​เองไม่​ชื่นชอบ​ ไม่พอใจ​ ไฉน​จะ​พึง​เอา​ไป​ผูก​ใส่​คนอื่น​เล่า,

อริยสาวก​นั้น​ พิจารณา​เห็น​ดังนี้​แล้ว​ ย่อม​งดเว้น​จาก​การ​ (กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย​ตนเอง​ด้วย ​(๑) ย่อม​ชักชวน​ผู้​อื่น​ให้งดเว้น​จาก​

การ ​(กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย ​(๑) ย่อม​กล่าว​สรรเสริญ​คุณ​แห่ง​การ​งดเว้น​จาก​การ​ (กล่าว​เท็จ, คำ​ส่อเสียด, คำหยาบ​ และ) ​

พูด​เพ้อเจ้อ​ด้วย (๑), วจี​สมาจาร​ของ​อริยสาวก​นั้น​ ย่อม​บริสุทธิ์​ทั้ง​สาม​ด้าน​อย่างนี้​”

๑๔ กันยายน ๒๕๖๐

บุญ กับ บารมี ต่างกันอย่างไรคะ ?

ถาม : บุญ กับ บารมี ต่างกันอย่างไรคะ ?

ตอบ : บุญ หมายถึง ความดี, กรรมดี, ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ

บางทีก็ใช้ตรงกับคำว่า “กุศล” ก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักจะหมายถึง “โลกียกุศล” คือเป็นดีที่ยังประกอบไปด้วยสภาวะกลั้วกิเลส

พระพุทธเจ้าตรัสประมวลหลักการทำบุญที่พึงศึกษาไว้ เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๓” ได้แก่

๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีลและประพฤติดี
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา

ถ้าเทียบกันระหว่าง ๒ คำนี้ “บุญ” ก็จะมีความหมายที่กว้างกว่า “บารมี”

บารมี แปลว่า คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง

จุดหมายอันสูงยิ่ง ในทางพุทธศาสนาก็ได้แก่ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และความเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บารมีที่จะต้องบำเพ็ญให้ครบบริบูรณ์เพื่อที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มี ๑๐ อย่าง

เรียกกันว่า บารมี ๑๐ ได้แก่ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา และ อุเบกขา

แม้ว่าบารมีจะมีมากมายหลายอย่าง แต่ก็สามารถมองเป็นองค์รวมได้ คือบารมีทั้งหมดนั้น

– มีการอนุเคราะห์ผู้อื่น เป็นลักษณะ
– มีการทำความอุปการะแก่ผู้อื่นอย่างไม่หวั่นไหว เป็นกิจ (คือเป็นหน้าที่)

– มีการแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์, มีความตรัสรู้ เป็นผล
– มีมหากรุณา, มีปัญญาฉลาดในอุบาย เผยเหตุใกล้ให้เกิด

บารมีแต่ละอย่างก็แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ บารมี, อุปบารมี และ ปรมัตถบารมี
ขอประมวลเกณฑ์แบ่งบารมี ๓ ระดับ มาให้ดูคร่าว ๆ ดังนี้

ทาน
บารมี : บริจาค ทรัพย์ ภรรยา บุตร
อุปบารมี : บริจาคอวัยวะ
ปรมัตถบารมี : บริจาคชีวิต

ศีล
บารมี : ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย ผู้ทำร้ายบุตรภรรยาตน
อุปบารมี : ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย ผู้ทำร้ายร่างกายตนให้เสียอวัยวะ
ปรมัตถบารมี : ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย ผู้ทำอันตรายชีวิตตน

เนกขัมมะ
บารมี : เห็นโทษ ในราชสมบัติ, บุตรภรรยา แล้วบวช
อุปบารมี : เห็นโทษ ในกาย อันถูกฉันทราคะครอบงำ แล้วบวช
ปรมัตถบารมี : เห็นโทษ ในชาติ ชรา มรณะ แล้วบวช

ปัญญา
บารมี : ใช้ปัญญาเพื่อละตัณหาในทรัพย์และบุตร
อุปบารมี : ใช้ปัญญาเพื่อละตัณหาในร่างกายตน
ปรมัตถบารมี : ใช้ปัญญาเพื่อละตัณหาในชีวิต คือขันธ์

วิริยะ
บารมี : เพียรทำประโยชน์แก่บุตรภรรยา, มิตร
อุปบารมี : เพียรโดยไม่เห็นแก่อันตรายต่ออวัยวะ
ปรมัตถบารมี : เพียรโดยไม่เห็นแก่อันตรายต่อชีวิต

ขันติ
บารมี : ไม่โกรธผู้ล่วงเกินทรัพย์, บริวาร
อุปบารมี : ไม่โกรธแม้ถูกทำให้เสียอวัยวะ
ปรมัตถบารมี : ไม่โกรธแม้ถูกทำร้ายถึงชีวิต

สัจจะ
บารมี : ไม่กล่าวคำเท็จเพราะเหตุแห่งทรัพย์
อุปบารมี : ไม่กล่าวคำเท็จเพราะเหตุแห่งอวัยวะ
ปรมัตถบารมี : ไม่กล่าวคำเท็จเพราะเหตุแห่งชีวิต

อธิษฐาน
บารมี : ตั้งมั่นเพื่อโพธิญาณ แม้ต้องสละทรัพย์มาก
อุปบารมี : ตั้งมั่นเพื่อโพธิญาณ แม้ต้องสละอวัยวะ
ปรมัตถบารมี : ตั้งมั่นเพื่อโพธิญาณ แม้ต้องสละชีวิต

เมตตา
บารมี : เมตตาต่อสัตว์ผู้ทำลายทรัพย์ตน
อุปบารมี : เมตตาต่อสัตว์ผู้ทำร้ายร่างกายตน
ปรมัตถบารมี : เมตตาต่อสัตว์ผู้มุ่งฆ่าตน

อุเบกขา
บารมี : ต่อทั้งผู้ทำลาย / ไม่ทำลายทรัพย์ตน
อุปบารมี : ต่อทั้งผู้ทำลาย / ไม่ทำลายร่างกายตน
ปรมัตถบารมี : ต่อทั้งผู้ทำลาย / ไม่ทำลายชีวิตตน

ที่แจกแจงมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องทำครบทั้งหมดนะ มรรคผลในขั้นแรก ๆ ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ให้ทำเท่าที่ทำได้

แต่ถ้าเป็นขั้นสุดท้าย ครูบาอาจารย์ท่านมักจะใช้คำว่า “นิพพานอยู่ฟากตาย” นั่นคือ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องยอม “สละชีวิตเพื่อธรรม”ได้

๘ กันยายน ๒๕๖๐

เรื่องความเชื่อที่ว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี

ถาม : มีเพื่อนที่เรียนปริญญาโทเกี่ยวกับพุทธศาสตร์ท่านหนึ่ง กล่าวว่า “ตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ ศาสนาพุทธจะมีผู้ฉลาดพอจะเรียนรู้ได้ไปอีกเพียง ๕,๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล หลังจากนั้นจะไม่มีผู้รู้อีกเลยจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีก

สองพันปีแรกยังมีผู้รู้ขั้นพระอรหันต์ พันปีที่สาม หมดพระอรหันต์ ผู้รู้อย่างเก่งก็เพียงพระอนาคามี ….ปีนี้ ๒๕๖๐ เป็นช่วงพันปีที่สามหลังพุทธกาล ไม่มีพระอรหันต์แล้ว พันปีที่สอง มีแค่พระสกทาคามี พันปีที่ห้า เหลือเพียงพระโสดาบัน …”

โยมจึงอยากขอคำอธิบายในเรื่องดังกล่าวจากพระอาจารย์ …จริงหรือที่เราควรไม่เชื่อในศักยภาพของปัจเจกบุคคล… ถ้าจริง.. นั่นแปลว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๐๑ เป็นต้นมา ไม่เคยมีพระอรหันต์อุบัติเลยอย่างนั้นหรือ ?

ตอบ : เรื่องความเชื่อที่ว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี เท่าที่สำรวจดูในพระไตรปิฎก ไม่พบพุทธพจน์ที่ตรัสอย่างนั้นเลย !

แต่มีปรากฏในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ดังที่เพื่อนโยมนำมาอ้าง ก็มาจากคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายความในพระวินัยปิฎก ผู้เขียนคัมภีร์นี้คือท่านพระพุทธโฆสะ เขียนเมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๒๗ – ๙๗๓ ซึ่งเรื่องนี้ ในทางวิชาการพุทธศาสนาถือว่าโต้แย้งได้ เพราะถ้าคำอธิบายในคัมภีร์อรรถกถาขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ ให้ถือตามพระพุทธพจน์เป็นที่สุด

และตามหลักฐานในพระไตรปิฎก คำที่เพื่อนโยมอ้างว่า “พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้” นั้น ไม่มีอยู่จริง เป็นแต่เพียงคำของพระอรรถกถาจารย์

พระพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อยู่ใน “มหาปรินิพพานสูตร” ทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนที่สุภัททปริพาชก เข้าไปทูลถามว่า เจ้าลัทธิอื่น ๆ (หมายถึงครูทั้ง ๖ มี ปูรณกัสสปะ เป็นต้น) เขาเหล่านั้นทั้งหมดตรัสรู้แล้วตามอ้างหรือไม่

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

“อย่าเลย สุภัททะ ข้อนั้นหยุดไว้ก่อน …

ธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้นไม่มีสมณะที่ ๑ (คือพระโสดาบัน) สมณะที่ ๒ (คือพระสกทาคามี) สมณะที่ ๓ (คือพระอนาคามี) หรือแม้สมณะที่ ๔ (คือพระอรหันต์), ธรรมวินัยใดมีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔,

ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้มีอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้นที่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔, ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้.

ดูก่อนสุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”

ถ้าถือตามพุทธพจน์นี้ ก็หมายความว่า ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลายยังเป็นอยู่โดยชอบ โลกนี้ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่เสมอ ไม่เพียงแต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน ก็ย่อมต้องมีด้วยแน่นอน

เมื่อ ภิกษุทั้งหลายยังเป็นอยู่โดยชอบ และโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว ก็หมายความว่าพระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้เรื่อยไป ไม่จำกัดเวลาว่าจะต้อง

เป็น ๕,๐๐๐ ปี อาจจะเป็น ๕๐,๐๐๐ ปี หรือกว่านั้นก็ได้ เพราะเงื่อนไขอยู่ที่ “การเป็นอยู่โดยชอบของภิกษุทั้งหลาย” หรือถ้ามองในมุมกว้าง ก็คือ การเป็นอยู่โดยชอบของพุทธบริษัททั้งหลายนั่นเอง

ในทางตรงข้าม ถ้าพุทธบริษัททั้งหลายเป็นอยู่ไม่ชอบ พุทธศาสนาก็อาจจะดำรงอยู่ไมถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็ได้ เพราะพุทธบริษัททั้งหลายไม่รักษาไว้เอง

ในหนังสือเรื่อง “สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง” อาจารย์วศิน อินทสระ ได้เล่าว่า

“เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการจัดพิธีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษขึ้นในประเทศไทย เป็นงานใหญ่ ทำพิธีที่สนามหลวงหลายวัน

ในครั้งนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ประชุมพระเถระผู้ใหญ่รวมทั้งนักปราชญ์ได้ประชุมกันว่าจะใช้คำอย่างไร จะใช้คำว่า “ฉลองกึ่งพุทธกาล” หรือ “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” ถ้าใช้คำว่าฉลองกึ่งพุทธกาล ก็เป็นการยอมรับความคิดเรื่องพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี ว่าเป็นจริง

พระเถระในเมืองไทยตกลงใจว่าจะให้ใช้ “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความคิดที่ว่าพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ ปี ยอมรับแต่เพียง

ว่า บัดนี้พุทธศาสนามาถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ คือ ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ตอนนี้ก็เป็นพุทธศตวรรษที่ ๒๖ ต้น ๆ จะมีต่อไปเท่าไรก็ไม่ทราบ แล้วแต่ความเป็นอยู่โดยชอบของพุทธบริษัทมีได้แค่ไหน”

สรุปว่า นักปราชญ์ท่านถกกันแล้ว ท่านไม่ยอมรับเรื่องพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ ปี แต่ถือตามพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตรว่า “ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”

ผู้ที่เชื่อเรื่องพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี อาจกลายเป็นผู้ที่ถือในสิ่งที่แย้งกับพุทธพจน์ และอาจจะพลาดไปล่วงเกินพระอรหันต์ได้

คำสอนในพุทธศาสนา พระองค์ทรงมุ่งหมายสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จะนำมาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง แก้ไขปัญหาชีวิต และดับทุกข์ได้จริง เห็นผลได้ในชาตินี้

พุทธบริษัททุกท่านจึงควรหันมาฝึกให้เป็นผู้อยู่โดยชอบ ด้วยการฝึกอบรมตนในอริยมรรคมีองค์ ๘ ฝึกหัดปฏิบัติจนกระทั่งเป็นพยานในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยใจตนเอง

พระพุทธศาสนาจะอยู่ไปอีกกี่พันปี เราคงไม่มีชีวิตยืนยาวไปเพื่อพิสูจน์ และถึงแม้จะดำรงอยู่นานเท่าไร แต่ใจเรายังไม่ได้น้อมนำมาปฏิบัติให้เห็นจริง เราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรกับการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาเลย

๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐