All posts by admin

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๒ ?? ถาม​ : ในการกล่าวถวายสังฆทาน ถ้าในพิธีมี ผ้าไตรจีวร ด้วย พร้อมบริวารอื่นๆ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๒
??
ถาม​ : ในการกล่าวถวายสังฆทาน
ถ้าในพิธีมี ผ้าไตรจีวร ด้วย พร้อมบริวารอื่นๆ
ผมต้องใช้คำว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…” หรือว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต บังสุกุละจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…”
ครับ?

ตอบ​ : ถ้า​จะ​ถวาย​ไตร​จีวร​แด่​สงฆ์​ ก็​คือ​ถวาย​เป็น​สังฆทาน​ มี​บริวาร​อื่น​ๆ​ด้วย​ ก็ใช้​คำ​ถวาย​ดังนี้

– คำ​ถวาย​ผ้า​ไตรจีวร

“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าไตรจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าไตรจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์​และความสุข​แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย​ สิ้นกาลนานเทอญ”

ไม่​ใช้​คำ​ว่า​ “สังฆะทานานิ” นะ​
คำ​ว่า​ “ภิกขุ​สังฆัสสะ” ก็​เป็น​การ​ระบุ​ว่า​ถวาย​แด่​สงฆ์​ ซึ่ง​ก็​เป็น​สังฆทาน​อยู่​แล้ว

ถ้า​จะ​ถวาย​เป็น​ “​ผ้า​บังสุกุล” ​ ที่​คน​ไทย​เรียก​กัน​ว่า​ “ผ้าป่า” ก็​ใช้​คำ​ถวาย​ดังนี้

– คำ​ถวาย​ผ้า​บังสุกุล

“อิมานิ มะยัง ภันเต ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”

ข้อ​สังเกต​ คำ​ว่า​ ผ้า​บังสุกุล​ ใน​ภาษา​ไทย​ มี​ศัพท์​บาลี​ว่า​ ปํสุกูลจีวร​ อ่าน​ว่า​ ปัง-สุ-กู-ละ-จี-วะ-ระ​ ศัพท์​บาลีใช้​ ป​ ปลา
ปํสุ​ แปล​ว่า​ ฝุ่น
ปํสุกูล​ แปล​ว่า​ กอง​ฝุ่น, คลุก​ฝุ่น
ปํสุกูลจีวร​ แปล​ว่า​ ผ้า​คลุก​ฝุ่น​ เก็บ​ความหมาย​ก็​คือ​ ผ้า​ที่​เขา​ทิ้ง​แล้ว​ ไม่​มี​เจ้าของ

ความ​แตกต่าง​ระหว่าง​ ​การ​ถวาย​ไตร​จีวร​ กับ​ ถวาย​บังสุกุล​จีวร​ ก็​คือ

การ​ถวาย​ไตร​จีวร​ เรียก​อีก​อย่างว่า​เป็น​การ​ถวาย “คหบดี​จีวร” (อ่านว่า คะ-หะ-บอ-ดี-จี-วอน) แปลตามศัพท์ว่า ผ้าของผู้เป็นเจ้าบ้าน คือผ้าที่ได้จากผู้ครองเรือน
ซึ่ง​หมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ขอพุทธานุญาตให้พระภิกษุสามารถรับจีวรที่มีผู้ศรัทธาถวายได้ และพระพุทธเจ้า​ก็ทรงอนุญาต ผู้​ถวาย​เมื่อ​กล่าว​คำ​ถวาย​แล้ว​ก็สามารถ​นำ​ผ้า​ไป​ถวาย​พระ​ภิกษุ​กับ​มือ​ได้​

แต่​การ​ถวาย​บังสุกุล​จีวร​ ผู้​ถวาย​เพียง​แต่​กล่าว​คำ​ถวาย​ แล้ว​พระ​ภิกษุ​จะ​ไป​ชัก​ผ้า​บังสุกุล​เอง​ แบบ​ที่​เรา​เห็น​เวลา​ไป​ถวาย​ผ้าป่า​ทั่วไป

ครั้ง​หนึ่ง​ ตอน​ที่​อาตมา​บวช​ได้​ประมาณ​ ๔-๕​ พรรษา เคย​มี​โยม​นำ​ผ้า​จีวรมา​พาด​ไว้​ที่​ต้น​ทองหลางหน้า​กุฏิ​ที่​อาตมา​พัก แล้ว​พูด​ด้วย​เสียง​อัน​ดัง​ว่า​ “ผ้า​จีวร​นี้​ไม่มี​ผู้​หวงแหน​ พระ​ภิกษุ​รูป​ใด​ปรารถนา​จะ​นำ​ไป​ใช้​ เพื่อ​ประโยชน์​สุข​แก่​โยม​ ก็​กรุณา​พิจารณา​นำ​ไป​ใช้​ได้​ด้วย​เทอญ”
แล้ว​ไปแอบ​อยู่​ตรง​ไหน​ก็​ไม่ทราบ​ แต่​ก็​ถือ​ว่า​เป็น​การ​กล่าว​คำ​ถวาย​แล้ว

อาตมา​ได้​ยิน​อย่างนั้น​ ก็​ห่ม​จีวร​ แล้วเดิน​ลง​ไป​ดู​ หา​อยู่​ว่า​เขา​พาด​ผ้า​ไว้​ตรง​ไหน​ พอ​เห็น​แล้ว​ก็ชัก​บังสุกุล​
อย่างนี้​ก็​เรียก​ว่า​ “ผ้าป่า” เหมือนกัน​ แต่​เป็นแบบ​ดั้งเดิม

ผ้าป่า​แบบ​นี้​ พระ​ภิกษุมักจะ​ชัก​ผ้าด้วยคำว่า
“อิทัง ปังสุกุละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ”
แปล​ว่า​
ผ้าบังสุกุลจีวรอันไม่มีเจ้าของ​หวงแหน​นี้ ย่อม​ถึงแก่ข้าพเจ้า​ ใน​กาล​บัดนี้​เทอญ

ถ้า​เป็น​การ​ทอด​ผ้า​บังสุกุล​ใน​งานศพ​ ก็​ไม่ต้อง​กล่าว​คำ​ถวาย​ เพียง​แต่​เจ้าภาพ​วาง​ผ้า​ไว้​ (คำ​ว่า​ “ทอด” ​ใน​ที่​นี้​ แปล​ว่า​” วาง​”)​ ทอดไว้หน้าศพ​บ้าง​ ทอดบนสายโยงหรือภูษาโยงที่ต่อจากศพ​บ้าง สำหรับให้ภิกษุมาปลงกรรมฐานและชักไป​ เมื่อนิมนต์​พระ​ภิกษุ​ชัก​บังสุกุล​ พอท่าน​มา​ถึง​ที่​ที่​ผ้า​วาง​อยู่ ท่านก็​ชัก​ผ้า​ได้​เลย​

คำ​ที่​พระ​ภิกษุ​ใช้​ชัก​ผ้า​บังสุกุล​ใน​กรณี​นี้ ก็​มัก​จะ​ใช้​คำ​ว่า​
“อะนิจจา​ วะตะ สังขารา
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ
เตสัง วูปะสะโม สุโข”

แปล​ว่า​
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดขึ้นและดับไป
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นได้​ เป็นสุข

ขณะ​ที่​ชัก​ผ้า​ ก็เป็น​การ​ที่​พระ​ภิกษุอาศัย​ศพ​นั้น​เจริญกรรมฐาน​

๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#เชิญฟังธรรม กลุ่มมโนมัย ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม “เส้นทางนักปฏิบัติ ครั้งที่ 20” ในวันอาทิตย์ที่…

#เชิญฟังธรรม
กลุ่มมโนมัย ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม
“เส้นทางนักปฏิบัติ ครั้งที่ 20”

ในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2562 เวลา 13.00 -15.00 น.
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
(สวนธรรมประสานสุข อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี)

ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์

ติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่
Line ID: dhamdeerungroj
โทร. 02 285 4318
มือถือ 097 017 4087

แผนที่การเดินทาง https://dhamdeerungroj.wordpress.com/map/


อ่านบน Facebook

วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๑๔​ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๘ #คบเพื่อนสนิท”นายสติ”…

วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๑๔​ ค่ำ เดือน ๕
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๘
#คบเพื่อนสนิท“นายสติ”

แรกๆ​ ที่เราฝึก(เจริญสติ)
มันต้องมีเจตนาในการดูจิต
เหมือนต้องเจือความจงใจ
ภาษาอาตมาจะใช้คำว่า “แหงะดูนิดนึง”
แหงะดูนิดนึงว่า​ เมื้อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น(ในจิต)
ตอนแหงะดูมันมีเจตนาดู​ ว่าเมื่อกี้มีอะไรเกิดขึ้นกับจิต

แต่หลังจาก​ที่มีถิรสัญญา
มันจะเป็น​สติแบบอัตโนมัติ
(ถิรสัญญา แปล​ว่า​ ความจำ​ที่มั่นคง
ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ใกล้​ให้​เกิด​สติ)
สติมันจะทำงานของมันเอง เพราะเรารู้จักเพื่อนสนิทของเราแล้ว
……

(กิเลส)ในใจมันจะหายไปได้เนื่องจากเรามีเพื่อนคนใหม่ที่เราคบบ่อย ๆ
เพื่อนที่เราคบอยู่บ่อย ๆ คน​นี้ชื่อว่า “นายสติ” ความรู้สึกตัว
เห็นนายสติที่ไรนะ อีร้าย ๆ ทั้งหลายมันหลบไปหมด!
พอสติมันหายไป อีร้าย ๆ มันมา!
ดังนั้น​ เราต้องหัดคบ​ “นายสติ” นี้บ่อย ๆ

ไม่ใช่คบคนชื่อสติ​นะ แต่คบสภาวะใหม่​ที่​เรียก​ว่า​ “สติ”
มีสภาวะใหม่ที่เกิดขึ้นในใจ​ ให้​ “สติ​” มาบ้านนี้บ่อย ๆ
ไม่ใช่ให้ในบ้านนี้มีแต่นังราคะ นังโทสะ นังโมหะ
นังถือตัว นังมายา อะไรทำนองนี้..ไม่เอา!
มัน​มี​อยู่ก็จริงนะ! แต่พอ​ “นายสติ” เข้ามาบ้านทีไรนะ
ไอ้พวกนี้กระเจิงออกไป แต่มันกระเจิงแบบหลบ ๆ
…..

สติเนี่ยนะ! ด้วยความที่มันเป็นเพื่อนใหม่​ มันจะมาแว้บเดียว
ด้วยความที่มันเกรงใจเรา จึงมาแว้บเดียว​ แล้วก็ไปเลย
ฉะนั้น​ ต้องเชิญมันมาบ่อย ๆ คือรู้สึกตัวบ่อย ๆ

คบเพื่อนสนิทคนนี้ (นายสติ) ขึ้นมาแล้ว
เพื่อนคนนี้จะพาเพื่อน​ดี​ๆ​ อีกคนมาด้วย
อาจจะมาหลายคน​ก็​ได้นะ!
แต่คนสำคัญที่จะมา​ ชื่อ “สมาธิ”

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “เพื่อนสนิท”
ณ บ้านจิตสบาย ๒๘ เมษายน ๒๕๖๒
ช่วงระหว่างนาทีที่ 1:06:37-1:09:18


อ่านบน Facebook

วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ◽◾◽◾◽◾ พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๗ #กรรมเหนือดี…

วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕
◽◾◽◾◽◾
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๗

#กรรมเหนือดี

สิ่งที่จะทำให้คนเข้าใจ..
แล้วก็หลีกเว้นการกระทำที่จะพาตนเองให้ไปสู่ทุคติ..
.. ก็เป็นเรื่องของ​ “กรรม”

จะทำอะไรให้พาไปสู่สุคติ..
.. ก็คือเรื่องของ​ “กรรม”

จะทำอย่างไรให้มันพ้นไปจากการวนเวียนของวัฏสงสารนี้..
.. ก็เป็นเรื่องของ​ “กรรม”
คือทำกรรมฐานต่าง ๆ

มีกรรมอยู่ ๔ เรื่อง คือ
๑. กรรมดำ มีวิบากดำ
คือทำอกุศลต่าง ๆ ทำบาป ทำชั่ว มีวิบากคือไปสู่ทุคติ

๒. กรรมขาว มีวิบากขาว
คือทำบุญ ทำกุศล มีผลก็คือสุคติ ที่เกิดที่ดี​ ที่สุขสบาย

๓. กรรมทั้งดำ-ทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว
อันนี้ก็คือธรรมดาของคน (มัก​จะ)​ไม่ใช่ชั่วบริสุทธิ์ แล้วก็ไม่ได้ดีบริสุทธิ์
บางทีก็มีปน ๆ กัน เช่น ให้ทานแล้วก็เสียดาย
ในการทำกรรมหนึ่งครั้ง​ จึงมีทั้งขาวและดำปนกัน
หรือว่าของที่ให้​ทาน​ไปไม่บริสุทธิ์(เช่น​ ยักยอกมา) แต่อยากจะให้
การทำกรรมที่เราทำส่วนมากก็เป็นอย่างนี้

บางทีก็บริสุทธิ์ใจเลย เป็นกรรมขาวอย่างเดียว
หรือกรรมดำอย่างเดียว
แต่​ส่วนมากเลย​ ก็มีทั้งกรรมดำ-กรรมขาว ปน ๆ กันอยู่
อันนี้ก็เป็นเรื่อง​ของกรรมที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

๔. กรรมไม่ดำ-ไม่ขาว มีผลคือพ้นจากวัฏสงสาร คือพ้นทุกข์
คือทำกรรมฐานไปก่อน ต้องทำกรรมก่อน
กรรมคือเจตนา มีเจตนาเมื่อไหร่ เขาเรียกว่ามีการทำกรรม
แรก ๆ จะต้องมีเจตนาในการทำกรรม(กรรมฐาน)​
ทั้ง ๆ ที่ต้องการจะพ้นจากวัฏสงสารเนี่ยนะ!
ก็มีการทำกรรม คือทำกรรมฐาน
คือทำสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน

ทำสมถกรรมฐาน ก็คือ​ ทำกรรมที่ทำให้จิตสงบ
ทำวิปัสสนากรรมฐาน คือ​ ทำกรรมให้จิตฉลาด​ มีปัญญา​ เห็น รู้ เข้าใจความเป็นจริงของโลก
แล้วพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

พระอาจารย์ฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการสนทนาธรรมในรายการ
“คลิกใจให้ธรรม ใบไม้ในกำมือ”
ตอน : #กรรมกำหนด (T.119) ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒
คลิกรับชม-ฟังที่ลิงค์ยูทูป http://yt3.piee.pw/ER5WY
(ระหว่างนาทีที่ ๐๗.๕๔ – ๑๐.๓๓)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๑ ?? #ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าสิ่งที่เรารู้อยู่ เข้าใจอยู่ หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเล่าเรียนมา…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๑
??
#ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าสิ่งที่เรารู้อยู่ เข้าใจอยู่ หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเล่าเรียนมา เป็น“สัมมาทิฏฐิ”หรือเปล่าครับ?
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกัน ก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เป็น“สีลัพพตปรามาส”หรือไม่ครับ?

#ตอบ : ก่อนอื่น ถ้ารู้ว่า “มิจฉาทิฏฐิ” เป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เข้าใจสัมมาทิฏฐิได้ง่ายขึ้น
มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นผิด
คือ ความเห็นดังนี้ เช่น ทานที่ให้แล้วไม่มีผล, ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล, สังเวยที่บวงสรวงแล้วไม่มีผล, ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี, โลกนี้ไม่มี, โลกหน้าไม่มี, คุณมารดาไม่มี, คุณบิดาไม่มี, สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ(สัตว์ที่ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น)ไม่มี, พระพุทธเจ้าผู้รู้ยิ่งด้วยตนเอง ซึ่งประกาศโลกนี้และปรโลกให้แจ่มแจ้ง ในโลกนี้ไม่มี เป็นต้น

ส่วน สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ แยกเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. โลกิยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับโลกีย์ จัดเป็นฝ่ายบุญ ซึ่งอำนวยวิบากแก่ขันธ์(ยังต้องเกิดอีก) เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามหลักความดี สอดคล้องกับศีลธรรม เช่นความเห็นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล, การบำเพ็ญทานมีผล, การบูชามีผล, กรรมที่ทำไว้ดีและชั่วมีผล, มีวิบาก, โลกนี้มี, ปรโลกมี, คุณมารดามี, คุณบิดามี, สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ(สัตว์ที่ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น)มี, พระพุทธเจ้าผู้รู้ยิ่งด้วยตนเองในโลก ซึ่งประกาศโลกนี้และปรโลกให้แจ่มแจ้ง มีอยู่ เป็นต้น
๒. โลกุตรสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับโลกุตระ และเป็นสัมมาทิฏฐิในขั้นมรรคผล เป็นตัวปัญญาที่ทำให้เป็นอริยบุคคล เป็นปัญญาในระดับที่ตัดกิเลส ไม่ใช่เพียงกดข่ม เช่นพระโสดาบันโลกุตรสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ก็สามารถตัดกิเลสที่เรียกว่าสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ เป็นต้น

คำจำกัดความของ สัมมาทิฏฐิ จึงมีได้ตั้งแต่
– รู้ว่ากุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร และรู้มูลเหตุของกุศลและอกุศลนั้นด้วย
– เห็นไตรลักษณ์
– เห็นปฏิจจสมุปบาท
– เห็นอริยสัจ

โดยสรุป สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริง เห็นตรงตามสภาวะ

สัมมาทิฏฐิ ถ้ายังไม่ถึงขั้นโลกุตระ ก็สามารถเสื่อมได้ ฉะนั้น ก็ต้องมีองค์ประกอบมาคอยหนุน เพื่อให้เจริญสู่เป้าหมาย
องค์ประกอบเหล่านั้น ได้แก่
๑. ศีล คือ มีความประพฤติดีงาม
๒. สุตะ คือ การฟังธรรม รวมทั้งการเล่าเรียน การอ่านตำรา
๓. สากัจฉา คือ การสนทนาธรรม
๔. สมถะ คือ การฝึกทำใจให้สงบ
๕. วิปัสสนา คือ การมีปัญญาเห็นแจ้ง เห็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรมทั้งหลาย ถอนความหลงผิดในสังขารเสียได้
(ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อนุคคหสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต)

เมื่อมีโลกิยสัมมาทิฏฐิก็เป็นประโยชน์สุขกับชีวิตตนและสังคม ทั้งยังมีส่วนช่วยหนุนให้เจริญในธรรมที่เป็นองค์แห่งมรรคทั้งหลาย โลกิยสัมมาทิฏฐินี้จึงเป็นเหตุให้ก้าวต่อไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิได้ด้วย

สังโยชน์ ๓ ข้อ ที่ละได้เมื่อมีโลกุตรสัมมาทิฏฐิ ได้แก่ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส

ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) แสดงความหมายของสีลัพพตปรามาส ไว้ดังนี้
สีลัพพตปรามาส ความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตร (คือถือว่าเพียงประพฤติศีลและวัตรให้เคร่งครัดก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญาก็ตาม ถือศีลและวัตรที่งมงามหรืออย่างงมงายก็ตาม), ความถือศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายที่แท้จริง, ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่าจะมีได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงธรรมดาวิสัย (ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐)

สีลัพพตปรามาส อ่านว่า สี-ลับ-พะ-ตะ-ปะ-รา-มาด
แยกศัพท์เป็น สีล(ศีล) + วต(พรต) + ปรามาส(การถือเลยเถิด)
ที่ว่า “ถือเลยเถิด” ก็คือ “จับฉวยเอาเกินเลยสภาวะเป็นอย่างอื่นไป” คือคลาดจากที่ควรจะเป็น กลายเป็นอย่างอื่นไปเสีย
ศีลและพรตที่มีไว้เพื่อฝึกหัดขัดเกลา เพื่อไม่ให้เกิดวิปฏิสาร(คือความเดือดร้อนใจ) และเพื่อเป็นบาทฐานของการภาวนา ก็กลับ“ถือเลยเถิด”เป็นอย่างอื่นไป เช่น ถือว่าหรือเห็นว่าเพียงแค่บำเพ็ญศีลพรตอย่างนี้ๆ ก็สามารถจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้

การ“ถือเลยเถิด” ก็นับว่าเป็นทิฏฐิอย่างหนึ่งที่ผิด เมื่อนำมาปฏิบัติก็กลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค(การประกอบตนให้ลำบากเปล่า) ซึ่งเป็นหนึ่งในที่สุดสองด้านที่ชาวพุทธพึงเว้น

นอกจากนี้ ควรเข้าใจอีกว่า ศีลและพรตที่ถูกก็มี ที่ผิดก็มี
ศีลและพรตที่ผิด ก็ไม่ควรถือปฏิบัติเลย เช่น ถือปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโค อย่างม้า ถือการไหว้ทิศ
ศีลและพรตที่ถูก เช่น พระวินัยของพระภิกษุ หรือข้อวัตรในเรื่องธุดงค์ทั้งหลาย ก็ระวัง อย่าให้เป็นการ“ถือเลยเถิด”เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน ว่าใครดีใครเลว ใครถูกใครผิด หรือเอาข้อวัตรมาข่มกัน ว่าฉันหรือพวกฉันเคร่ง เธอหรือพวกเธอไม่เคร่ง สู้พวกเราไม่ได้

ศีลและพรตที่ถูก ก็ควรถือปฏิบัติในแนวทางสายกลางด้วย ไม่ถือโดยงมงาย ถือโดยเข้าใจจุดมุ่งหมาย รู้อยู่แก่ใจว่า ปฏิบัติไปเพื่อขัดเกลา เพื่อเป็นบามฐานของสมาธิ เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เพื่อพัฒนาตนไปในมรรค เพื่อความพ้นทุกข์

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“กุศลศีล มีความไม่มีวิปฏิสารเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ความไม่วิปฏิสาร มีปราโมทย์เป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปราโมทย์ มีปีติเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปีติ มีปัสสัทธิเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปัสสัทธิ มีสุขเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
สุข มีสมาธิเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
นิพพิทา มีวิราคะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์;
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมยังธรรม
ทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อการไปจากภาวะอันมิใช่ฝั่ง สู่ภาวะที่เป็นฝั่ง โดยประการดังนี้แล”
(จาก เจตนาสูตร อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต)

๒๖ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

? #คลิปแสดงธรรม เรื่อง #เพื่อนสนิท โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ณ บ้านจิตสบาย เมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๒…

? #คลิปแสดงธรรม เรื่อง #เพื่อนสนิท
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
ณ บ้านจิตสบาย เมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๒
???
คลิปนี้พระอาจารย์แสดงธรรมเปรียบเปรยถึง “เพื่อนสนิท”
จะเป็นเพื่อนสนิท ก็ต้องเห็นกันบ่อย ๆ
นาน ๆ เห็นครั้งก็จำไม่ได้
ส่วนการเจริญสติ ดูสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในใจบ่อย ๆ
แล้วเราจะรู้จักเพื่อนสนิท
แล้วเพื่อนคนไหนบ้าง? น่าคบที่จะเป็นเพื่อนสนิท?
คลิกรับชมและฟังได้ที่ลิงค์
https://thumbtube.com/queSTp1gfA


อ่านบน Facebook

#คลิปแสดงธรรม เรื่อง..#สงครามภายใน โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ??? พระอาจารย์ปรารภธรรม โดยพาย้อนประวัติศาสตร์…

#คลิปแสดงธรรม
เรื่อง..#สงครามภายใน
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
พระอาจารย์ปรารภธรรม โดยพาย้อนประวัติศาสตร์
สมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงดำรัสในเรื่อง “พระคลังข้างที่” ว่า
“การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้
การงานสิ่งใดของเขาที่คิด ควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเสียทีเดียว”

พระอาจารย์จึงได้กล่าวเตือนว่า..การล่าของฝรั่ง
นั้นยังไม่สิ้นสุด โดยผ่านการแสดงธรรมเรื่อง
“สงครามภายใน” ณ บ้านจิตสบาย
ลิงค์คลิป https://www.youtubetofb.com/ytidBQhIY8RY1hQ
เมื่อ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

วันศุกร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒ วันพระ​ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๖ #เจริญสติตอนกินกับเม้าท์​…

วันศุกร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒
วันพระ​ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๖

#เจริญสติตอนกินกับเม้าท์​

ในชีวิตประจำวันเวลาที่เจริญสติยาก คือ
เวลากิน กับ เวลาเม้าท์​

เม้าท์​เนี่ยนะ! มันจะลงไปในเรื่องราว
พอลงในเรื่องราวก็จะลืมตัว.. ยาว..
ยิ่งคนที่​ชอบเม้าท์​ด้วยนะ จะพูดได้มันส์มาก
สมมุติเป็นพวกฟุ้งซ่าน มันจะต่อเรื่องยาวไปเลย
หาจุดจังหวะที่จะมารู้สึกตัวเนี่ย..ยาก!

มันไม่เหมือนกับทำงานคนเดียว
ทำงานบ้าน ถูบ้าน​ อะไรอย่างนี้ อันนี้ง่าย
เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจลอยไป
ใจไหลไปที่เรามองอยู่
หรือว่า​ไหล​ไป​ที่ต้นเสียงที่เราฟัง​ ก็​เห็น​ได้​ง่าย​กว่า​

ฉะนั้น​ อยู่กับคนที่ชวนให้คุยเรื่องราวต่าง ๆ เนี่ย เจริญสติยาก!

กับ..ตอนกิน.. ตอนกิน​ก็เจริญสติยาก
เพราะว่าผัสสะมันประดังประเดเข้ามา
เจริญสติยาก แต่ก็ควรฝึก!
ตั้งใจไว้ว่า​ ก่อนจะกินนะ ลองดูว่า..
ครั้งนี้เราจะกินด้วยความรู้สึกตัวสักกี่คำ ?

ฉะนั้น(วิธีฝึก)..
อย่างแรก ไปทำในรูปแบบให้ประจำมากขึ้น
อย่างที่สอง ในชีวิตประจำวันเนี่ย หาที่อยู่เอาไว้สักที่นึง

ทุกครั้งที่อยู่ในชีวิตประจำวันเนี่ย! ให้นึกอยู่เสมอว่า
‘มันเป็นงานอะไรสักงานนึง’

หางานให้จิตทำสักอย่าง​หนึ่ง
นั่งอยู่..งานของจิตคือ รู้กายที่นั่ง
เดินอยู่..งานของจิตคือ เห็นกายที่เดิน
จิตเห็นกายที่มันเคลื่อนไหว.. เป็นที่อยู่เท่านั้นนะ!
เห็นอย่างนี้แล้ว พอมันเผลอไป มันจะเห็นได้ง่ายขึ้น

เม้าท์​ไปเนี่ยนะ! ก็จะเห็นปากตัวเองพะงาบ ๆ
เห็นเป็นที่อยู่ไป อย่างนี้
ก็จะทำให้มีขณะแห่งความรู้ตัวได้ง่ายขึ้น

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากคำถาม-เจริญสติตอนกินข้าวกับตอนเม้าท์​
ซีดีบ้านจิตสบาย ๑๒
ลิงค์ไฟล์ https://bit.ly/2Iz2ovH
(ระหว่างนาทีที่ ๐๐.๔๕ – ๐๔.๓๗)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๐ ?? #ถาม​ : หากโดยปกติแล้วเราทำกรรมฐานเดินจงกรมและนั่งดูร่างกาย แต่เราจะมาใช้​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๐
??
#ถาม​ : หากโดยปกติแล้วเราทำกรรมฐานเดินจงกรมและนั่งดูร่างกาย แต่เราจะมาใช้​ “พุทโธ” เป็นวิหารธรรม​ แล้วดูจิตในระหว่างวัน สมควรทำหรือไม่คะ? หรือในระหว่างวันแค่มีวิหารธรรมเป็นกิจวัตรที่เราทำแทน​ เช่นกวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ขับรถ เดิน ยืน นั่ง นอน​ อยู่​ ก็รู้ทันที่จิตมันไหล และเพ่ง แล้วก็กลับมารู้ว่าเราทำอะไรอยู่​คะ?

#ตอบ​ : อาตมา​ไม่​ถนัด​บริกรรม​ “พุทโธ” เวลา​ที่​ภาวนา​ในชีวิต​ประจำวัน​นะ​

ใน​ระหว่าง​วัน​ “กาย​เคลื่อนไหว​ มี​ใจ​รู้” อย่างนี้​น่าจะ​ง่าย​กว่า​นะ​ เพราะ​มัน​เข้า​กัน​ได้​กับ​กิจกรรม​ที่​ทำ​ จะ​กวาด​บ้าน​ ล้าง​ห้องน้ำ​ ฯลฯ​ โดย​ก็​เคลื่อนไหว​อยู่​กับ​งาน​นั้น​ จะ​เรียกว่า​ “ใช้​งาน​ที่​กำลัง​ทำ” เป็น​ที่อยู่​ของ​จิต​ก็ได้​ พอ​จิต​มัน​เผลอไป​ก็​รู้​ทัน​ แล้ว​ก็​มา​รู้​ที่​งาน​ที่​กำลัง​ทำ​นั้น​ต่อ​ เพื่อ​ดู​จิต​ที่​เผลอ​ไป​อีก

มัน​อาจจะ​เผลอ​ไป​เพ่ง​ใน​งาน​นั้น​ก็ได้​นะ​ ก็​รู้​ไป​ตาม​ที่​มัน​เป็น

“งาน​ที่​กำลัง​ทำ​” หรือ​ “กาย​ที่​กำลัง​เคลื่อนไหว​” เป็น​เพียง​ที่อยู่​ชั่วคราว​นะ​ ยัง​ไม่ใช่​ “วิหาร​ธรรม”
เพราะ​วิหารธรรม​ใน​การ​เจริญ​สติ​ปัฏ​ฐาน​มี​อยู่​ ๔​ เท่านั้น​ คือ​ กาย, เวทนา, จิต​ และ​ ธรรม
ใน​กรณี​นี้​ เรา​มี​จิต​เป็น​วิหาร​ธรรม​ เพราะ​อาศัย”งาน​ที่​กำลัง​ทำ​” หรือ​ “กาย​ที่​กำลัง​เคลื่อนไหว​” เป็น​ที่อยู่​ชั่วคราว​ เพื่อ​ดู​จิต​ที่​มัน​ผิด​ไป​จาก​นี้

แต่​ก็​ไม่ใช่​ว่า​จะ​ดู​จิต​อย่าง​เดียว​ ถ้า​เวทนา​ชัด​ก็​ดู​เวทนา​ได้
พูด​ภาษา​ชาวบ้าน​ง่าย​ๆ​ ก็​คือ​ สุข​ก็​รู้​ ทุกข์​ก็​รู้​ ดี​ก็​รู้​ ร้ายก็​รู้​
ดู​บ่อย​ๆ​ จะ​เห็น​ว่า​ จิต​มัน​เปลี่ยน​แปลง​ตลอด​เวลา​ เดี๋ยว​สุข​ เดี๋ยว​ทุกข์​ เดี๋ยว​ดี​ เดี๋ยว​ร้าย​ โลภ​โกรธ​หลง​มี​อยู่​ชั่วคราว​ สติ​ก็​ชั่วคราว​ ทุกอย่าง​ที่​เกิด​มา​อยู่ชั่วคราว​แล้ว​ก็​หาย​ไป

๑๗ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#เชิญฟังธรรม ในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. …

#เชิญฟังธรรม
ในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒
เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๓๐ น.
ขอเรียนเชิญสาธุชนรับชมและฟังธรรมบรรยาย
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
(จาก..สวนธรรมประสานสุข ศรีราชา)
ในรายการ WBTV #วัดยานนาวา

๔๐ ถนน เจริญกรุง แขวงยานนาวา
เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
โทร: 081 – 919 7423 คุณพันทิพา

(แผนที่ วัดยานนาวา https://goo.gl/maps/2bg7cRKjqZ32)


อ่านบน Facebook

วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒ วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๕ #หลงโลก..ลืมทุกข์…

วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒
วันพระ​ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๕

#หลงโลก..ลืมทุกข์

เมืองไทยมีเทศกาลสงกรานต์คนมาเที่ยวกันเยอะ!
ถ้าเราไม่รักษาคุณความดีในประเพณีของเราไว้นะ!
มีแต่อะไรเละ ๆ เทะ ๆ ไปลวนลามกันในเทศกาลแบบนี้
ก็จะเสียคุณค่าของประเพณี
แล้วแทนที่คนจะมาชื่นชมประเพณี เขาก็ไปหา​ที่​ที่เขาเริ่มมีวัฒนธรรม

“วัฒนธรรม” หมายถึง ธรรมะที่เจริญขึ้น
เรามีวัฒนธรรมของเราอยู่แล้ว ก็ควรจะรักษาเอาไว้

ถึงเวลาปีใหม่ของไทย..ควรจะรักษาคุณค่าของวัฒนธรรมเหล่านี้

ที่ครูบาอาจารย์จะตักเตือนกันก็คือ
มักจะใช้เวลาเหล่านี้​ ที่​คน​ทั้งหลาย​มาหลงโลก มาสนุกสนาน ลืมทุกข์​ อวยพรกันก็อวยพร “ให้มีสุข”
แล้วก็เวลา ก็ใช้เทศกาลหลงโลก ลืมทุกข์
ลืมมองเห็นความจริง

พอลืมทุกข์เนี่ย ..จริง​ ๆ มันเป็นนิสัยประจำตัว
ไม่ใช่ของชาติเราอย่างเดียวนะ ของคนทั่ว ๆไป
เวลามีทุกข์มักจะไม่เผชิญหน้ารับรู้มันตรง ๆ

เวลามีทุกข์ ก็จะหลบเลี่ยง
เช่นจะพูดถึง ความเจ็บ ความป่วย ความตาย
“อย่าไปพูด! เดี๋ยวหาว่าแช่งตัวเอง” อะไรอย่างนี้นะ!
เลี่ยงมันไป..หลีกเลี่ยงความจริง
ความจริงซึ่งมีทุกข์รออยู่
ก็พยายามไม่พูดถึง ลืม ๆ มันไปซะ​!
พอถึงคราวจะตายจริง ๆ ทำใจไม่ได้

ทุกข์ที่มีอยู่ ทุกข์​ที่​จะต้องเจอ ควรจะระลึกถึงมัน
เพื่อที่จะต้องเผชิญหน้ากับทุกข์นั้น โดยที่ใจไม่ทุกข์

แต่คนทั่ว ๆ ไปเนี่ย เวลาพูดถึงทุกข์ก็จะไม่กล้าเผชิญหน้า
เวลาไม่กล้าเผชิญหน้า.. ก็ทำเป็นลืม ๆ
เวลามีเทศกาลก็สนุกสนานเฮฮา
กินเหล้าให้ลืม เที่ยวให้ลืม ให้ลืม ๆ ทุกข์ไป
นี่เป็นนิสัยประจำของสัตว์โลก

แต่ชาวพุทธไม่เป็นอย่างนั้น
ชาวพุทธจะเป็นยังไง?
“รู้ทุกข์” ในอริยสัจสี่ พระพุทธเจ้าสอนข้อแรก
อริยสัจมีสี่ข้อ
ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค
ทุกข์.. ให้รู้
สมุทัย.. ให้ละ
ตัวละจริง ๆ คือสมุทัย

แต่คนทั่ว ๆไป คือ
ทุกข์.. ให้หนี
ทุกข์.. ให้ลืม
ทุกข์.. ให้เลี่ยง

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
คือ ทุกข์ให้รู้
ต้องรู้จักทุกข์ เพราะชีวิตนี้มันคือมีแต่ทุกข์
ถ้าเราไม่เรียนรู้ทุกข์ ก็ไม่เรียนรู้ชีวิตนี้เหมือนกัน

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากไฟล์แสดงธรรมเรื่อง “แม้เคยร้าย 610422”
แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๑๒
ลิงค์ไฟล์เสียง https://bit.ly/2GaONZE
(นาทีที่ ๐๔.๔๕-๐๘.๒๖)


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๙ ?? #ถาม​ : มีเรื่องอยาก​ขอ​คำแนะนำค่ะ คนใกล้ชิดอยากฆ่าตัวตาย คือเค้ามีปัญหาทางด้านการลงทุน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๙
??
#ถาม​ : มีเรื่องอยาก​ขอ​คำแนะนำค่ะ คนใกล้ชิดอยากฆ่าตัวตาย คือเค้ามีปัญหาทางด้านการลงทุน ขาดสภาพคล่อง และรู้สึกหมดหนทาง เครียดหนักมาก ห่วงคนในครอบครัว แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีขึ้น จนคิดอยากจะตายๆไปเลย อยากขอคำแนะนำจะพูดอย่างไรดีให้เค้าดีขึ้นค่ะหรือพอจะคลายความเครียดลงได้บ้าง กราบขอรบกวนพระอาจารย์ชี้แนะด้วยนะคะ

#ตอบ​ : เรื่อง​แรก​ที่​ควร​พูด​ คือ​ อย่า​ซ้ำ​เติม​ตนเอง

การ​ฆ่าตัวตาย​ไม่ใช่​วิธี​แก้​ปัญหา​ แต่​เป็น​การ​ซ้ำ​เติม​ปัญหา​ ตัว​ก็​ตาย​ไป​อบาย​ ครอบครัว​ก็​ยิ่ง​ลำบาก​ คน​ที่​เรา​รัก​และ​รัก​เรา​ก็​ยิ่งเศร้าโศก

ปัญหา​บางอย่าง​เกิด​จาก​ปัจจัย​ที่​ควบคุม​ไม่ได้
แต่​ปัญหา​ทาง​ใจ​เรา​จัดการ​ได้​ เพราะ​จิต​นี้​ฝึก​ได้
และ​ “จิต​ที่​ฝึก​ดี​แล้ว​ ย่อม​นำ​สุข​มา​ให้”

เรื่อง​การ​ลงทุน​ก็​แก้ไข​ไป​เท่าที่​ทำ​ได้​ อาจจะ​ไม่ได้​ดี​ขึ้น​ทันที​ใน​ตอน​นี้​ อาจจะ​ลำบาก​บ้าง​ แต่​ถ้า​เรา​ยัง​ไม่​ยอมแพ้​ ค่อย​ๆ​หา​ทาง​ออก​ เดี๋ยว​ก็​ดี​ขึ้น​ได้​ เพราะ​ปัญหา​ต่าง​ๆ​ มัน​ก็​ไม่​เที่ยง​ เพียงแต่ว่า​เรา​อย่า​ไป​เติม​เหตุ​แห่ง​ปัญหา​ หรือ​สร้าง​เหตุ​แห่ง​ปัญหา​ใหม่ขึ้น​มา..ด้วย​การ​ทำ​ใจ​ให้​จม​ทุกข์

พระพุทธเจ้า​ตรัส​ว่า​ “คน​พาล​ทั้ง​หลาย​ ผู้​มี​ปัญญา​ทราม​ ย่อม​มี​ตนเอง​เหมือน​ดัง​ข้า​ศึก​ศัตรู” คือ​ชอบ​สร้าง​ความ​เดือดร้อน​ให้​กับ​ตน​เอง​ ทำ​กับ​ตนเอง​ราว​กับ​ว่า​คน​ที่​มี​เวร​ต่อ​กัน​ ไม่​เป็น​มิตร​กับ​ตนเอง.. เรา​ก็​อย่า​เป็น​อย่างนั้น

ถ้า​ไม่รู้​ว่า​จะ​แก้​ปัญหา​อย่างไร​ ก็​ยัง​ไม่​ต้อง​แก้​ ถ้า​ทำ​อะไร​ไม่ได้​ ก็​ยังไม่​ต้อง​ทำ​ นั่ง​ดู​กายหายใจ​ด้วย​ความ​รู้สึกตัว​ ประเดี๋ยว​ก็​อาจจะ​เห็น​ทางออก​ขึ้นมา​เอง​ พอ​ได้​จังหวะ​ ได้​โอกาส​ ก็​อย่า​ให้​โอกาส​ผ่าน​เลย​ไป​ คราว​นี้​ต้อง​เร่ง​ทำ

ถ้า​ผ่าน​จุด​นี้​ไป​ได้​ ก็​จะ​กลาย​เป็น​คน​เข้มแข็ง​ สามารถ​ช่วยเหลือ​หรือ​แนะนำ​ผู้อื่น​ต่อไป​ได้​ด้วย

สิ่ง​ที่​ควร​ทำ​คือ​ ยอมรับ​ความจริง​ อย่า​กลัว​เสียหน้า​ ทรัพย์​เป็น​ของ​นอก​กาย​ หา​ใหม่​ได้

คน​ฉลาด​ เขา​สามารถ​ได้​ประโยชน์​จาก​วิกฤต​ นอกจาก​จะ​เผชิญหน้า​กับ​ปัญหา​ด้วย​ใจ​ไม่​ทุกข์​แล้ว​ ยัง​ได้รับ​ประโยชน์​จาก​เหตุการณ์​นั้น​ ได้​ปัญญา

ท่าน​พุทธ​ทาส​เคย​กล่าว​ไว้​ว่า​ “ป่วย​ทุก​ที​ ก็​ให้​ฉลาด​ทุกที”
คือ​ฉลาด​ใน​เรื่อง​ความ​จริง​ของ​ชีวิต
ความ​เจ็บป่วย​ก็​เป็น​ปัญหา​ชีวิต​อีก​รูปแบบ​หนึ่ง​ ที่​คน​ทั่วไป​อยู่​กับ​ปัญหา​นี้​ด้วย​ความ​ทุกข์​ แต่​ผู้​มี​ปัญญา​ท่าน​รู้จัก​หา​และ​เห็น​ประโยชน์​จาก​ทุกข์​นั้น​ได้

ชีวิต​ก็​ย่อม​มี​ปัญหา​เป็น​ธรรมดา​ เราอาจจะ​เผลอ​ทุกข์​บ้าง​ แต่​เมื่อ​เข้าใจ​ความ​เป็น​ธรรมดา​ ปัญญา​ก็​เพิ่ม​ทุกที​

มัน​ตรง​กับ​สำนวน​ที่​ว่า​ “ตก​น้ำ​ไม่​ไหล​ ตก​ไฟ​ไม่​ไหม้”
มีปัญหา​ชีวิต​ก็​เหมือน​กับ​การ​ตก​น้ำ​ตกไฟ
ซึ่งไม่ใช่​ว่า​ชีวิตจะ​หลีก​เลี่ยง​สิ่ง​เหล่านี้​ไป​ได้​ แต่​ตก​ไปแล้ว​ใจ​ไม่​ไหล​ไป​ตาม​กระแสทุกข์​ และไม่​จุด​ไฟ​โทสะ(​คือ​ความ​เครียด​เป็นต้น)​เผา​ไหม้​ตน​ซ้ำ​เข้า​ไป​
แต่​สามารถ​เปลี่ยน​ร้าย​ให้​กลาย​เป็น​ดี​ใน​ที่สุด

๙ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

วันพฤหัสบดีที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๒ วันพระ​ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๔ ระวัง!…

วันพฤหัสบดีที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๒
วันพระ​ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๔

ระวัง! รักษาตน​ กับ​ รักษา​ผู้อื่น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า…
ในการที่เราจะพัฒนาตัวเองให้เป็นประโยชน์เนี่ยนะ
ต้องคำนึงถึงประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน!
ก็คือทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ต้องคำนึงถึงด้วยกันทั้งคู่

ระวังตน กับระหวังคนอื่น ต้องระวังไปด้วยกัน
จะระวังตน​ ก็เท่ากับ …ได้ระวังรักษาคนอื่นด้วย
ระวังรักษาคนอื่น ..ก็เท่ากับระวังรักษาตนด้วย ถ้าระวังถูก!

นึกออกไหม?
ถ้าเราระวังรักษาตนให้ปลอดภัย อย่างถูกต้องตามธรรม จะเท่ากับเป็นการระวังรักษาคนอื่นด้วย
ถ้าระวังรักษาคนอื่นอย่างถูกต้องตรงตามธรรม
ก็เท่ากับระวังรักษาตนด้วย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า…
การระวังรักษาตน กับ​ การระวังรักษาผู้อื่น
จะชัดเจนก็ต่อเมื่อ มีธรรมะเข้ามากำกับ
ถ้าระวังรักษาคนอื่น ก็คือใช้ธรรมะในข้อ
มีศีล มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ
คือระวังว่า การแสดงออกของตัวเอง ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น​ ด้วยการมีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา​
มีอุเบกขา ในบางวัน บางเวลา บางกาล
รวมทั้งการแสดงออกไป​ไม่เบียดเบียนคนอื่น
ด้วยการรักษาศีลเอาไว้
นี่คือระวังรักษาคนอื่น

นี่ในแง่มุมหนึ่งที่อาจารย์บอกกับลูกศิษย์(ว่าให้​ระวังรักษา​ผู้อื่น​ ตาม​เรื่อง​ใน​นิทาน)​

ในแง่มุมของลูกศิษย์ที่เข้าใจของลูกศิษย์​เอง(ว่า​ให้​ระวัง​รักษา​ตน​ ตาม​เรื่อง​ใน​นิทาน)​ ก็คือ
ระวังรักษาใจของตัวเอง
ใจของตัวเอง..ถ้าในแง่ของธรรมะ​ คือระวังไม่ให้ใจนี้ มีกิเลส
หรือถ้ามีกิเลสแล้ว..รู้ทัน
อย่าให้กิเลสนั้นมีอานุภาพแสดงออกมาทางกาย วาจา ใจ
ถ้าจะพูดง่ายๆคือ มีสติปัฎฐาน

(ข้อธรรมนี้พระอาจารย์ยกนิทานประกอบเรื่อง
ศิษย์-อาจารย์ กับ​ กายกรรมบนไม้ไผ่)

ธรรมบรรยายโดย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากคลิปแสดงธรรม เรื่อง จริต 2
ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑
ลิงค์คลิปแสดงธรรม https://bit.ly/2FJ8He5
(ช่วงเวลา ๗:๕๔-๙:๕๘)

ถอดคำโดย : อารยา สุวะมาตย์


อ่านบน Facebook