All posts by gade

ผมอยากไปเที่ยวภพภูมิทั้ง ๓๑ ชั้น ควรจะทำอย่างไรครับ?

ถาม : ผมอยากไปเที่ยวภพภูมิทั้ง ๓๑ ชั้น ควรจะทำอย่างไรครับ?

ตอบ : จะไปทำไมให้ครบทั้ง ๓๑ ชั้น?
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. การจะไปดูให้ครบทุกชั้นนั้น จะต้องไปชั้นที่เป็น’อบาย’ด้วยนะ
อยากไปนรกหรือ?
อยากไปเป็นเปรตหรือ?
อยากไปเป็นอสุรกายหรือ?
อยากไปเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือ?
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. เราก็เคยไปมาเกือบครบแล้ว
จะไม่เคยไปก็เพียงสุทธาวาส ๕ ชั้น เท่านั้น เพราะที่นั่นเป็นที่เกิดของพระอนาคามี
เราไม่ได้เป็นพระอนาคามี..ยังไงๆก็ไปเกิดไปดูชั้น’สุทธาวาส’นี้ไม่ได้
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. บางทีเราก็คิด’อยากเที่ยว’อย่างนี้มาหลายชาติแล้ว แต่ไปเกิดใหม่ทีไร..ก็ลืมชาติก่อนทุกที
แล้วก็คิดว่า “ทำอย่างไรจึงจะได้เที่ยวดูให้ทั่ว?” ทุกที
กลายเป็นความอยากที่ค้างคาใจไปตลอดสังสารวัฏ
– ไม่คิดบ้างหรือว่า.. แท้จริงแล้ว คุณภาพของจิตนี้นี่แหละ..ที่เป็นเหตุพาให้ไปเกิดในภูมิทั้งหลาย
ถ้าขณะใดโกรธ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์นรก
ถ้าขณะใดโลภ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเปรต
ถ้าขณะใดหลง..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน
ถ้าขณะใดมีศีล..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของมนุษย์
ถ้าขณะใดมีหิริโอตตัปปะ..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของเทวดา
ถ้าขณะใดเข้ารูปฌาน..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของรูปพรหม
ถ้าขณะใดเข้าอรูปฌาน..จิตขณะนั้นอยู่ในภูมิของอรูปพรหม
…ฯลฯ…
ถ้าเราเจริญสติดูจิต..เราก็จะได้เที่ยวไปในภูมิทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เลย
ไม่ต้องรอให้ตาย-เกิด..อีกนับชาติไม่ถ้วน และหาที่สิ้นสุดไม่ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มีอัตตาในตัวเองมาก?

ถาม : จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มีอัตตาในตัวเองมาก?

ตอบ : “อัตตา”จริงๆไม่มีนะ มีแต่”ความเข้าใจผิด”ว่ามีอัตตา
คำถามนี้ ถ้าจะใช้คำให้ถูก ควรเปลี่ยนเป็นว่า
“จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะอยู่ร่วมกับคนที่มี’มานะ’ในตัวเองมาก?”
เพราะมานะ แปลว่า ความถือตัว ซึ่งเป็นอุปกิเลสตัวหนึ่ง
ที่เมื่อเจริญสติมาเห็นกิเลสตัวนี้ของตนแล้ว จะรู้สึกว่า เป็นกิเลสที่น่าอาย
แต่ถ้าคนอื่นเห็น แล้วจะไปทัก ก็ต้องมั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะรับฟัง
และถ้าจะให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ผู้ทักนั้นก็ควรเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้ถูกทักด้วย
ไม่เช่นนั้น อาจจะเกิดความผิดใจกันได้
กรณีนี้ ถ้าไม่มั่นใจ เราก็ดูกิเลสของเราเองดีกว่า

การอยู่ร่วมกันกับคนแบบนี้ ก็ให้รู้และเข้าใจ พร้อมทั้งให้อภัย
ในฐานะที่เราต่างก็มีกิเลสมีมานะด้วยกัน เห็นแล้วก็เจริญกรุณาว่า
“ดูสิ เขาน่าสงสารนะ มีมานะแล้วไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าบอกเขาด้วย..เพราะกลัวผิดใจกัน
เขาจึงต้องถูกมานะสร้างโทษทุกข์ให้เขาอีกนาน..”
คิดแล้วก็สงสาร ให้อภัยเขาได้ แม้เขาจะทำอะไรขัดหูขัดตาไปบ้าง

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘

เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ถาม : เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป
สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ตอบ : ช้าหรือเร็วไม่สำคัญนะ เอาเท่าที่รู้ได้
ฝึกรู้ตัวเห็นสภาวะอย่างนี้ไปบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ ชำนาญขึ้น
– ที่จริง แม้เราไม่มีสติ..โทสะก็ต้องดับอยู่แล้ว แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย
เช่น โกรธไอ้คนนี้อยู่..แล้วท้องเสีย ต้องรีบไปเข้าส้วม ตอนนั้นลืมโกรธไอ้คนนั้นไปแล้ว
ที่ยังโกรธไม่เลิก..เพราะยังคิดถึงไอ้คนนั้นไม่เลิก
พอคิดถึงส้วม..โทสะที่มีกับไอ้คนนั้นก็ดับ
กรณีอย่างนี้ จะเห็นว่า แม้เราไม่เห็นสภาวะโทสะอันนี้ สภาวะนี้ก็ดับอยู่ดี แต่จิตเราไม่ได้พัฒนาสติเลย
– ถ้าเห็นว่า “กูโกรธไอ้นั่น” หรือ “ฉันโกรธไอ้นั่น” หรือ “เราโกรธไอ้นั่น”
อย่างนี้เป็นสติแบบโลกๆ ยังไม่ได้มีสติในแง่ของ”สติปัฏฐาน”เลย
เพราะยังเห็นเป็น”กู” เป็น”ฉัน” เป็น”เรา” เป็น”ไอ้นั่น” อยู่
สติในสติปัฏฐาน..จะเห็นแค่สภาวะในใจ เช่น เห็น”โกรธ” เห็น”ฟุ้งซ่าน” เป็นต้น
– ถ้ามีโทสะ..แล้วเห็นโทสะ แต่ไม่ทันเห็นโทสะดับ..ก็รีบทำอะไรสักอย่างเพื่อดับมัน
..ขณะนั้นกำลังทำสมถะ!
ก็เห็นสภาวะโทสะนะ..แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ของมัน เพราะไปแทรกแซงมันซะก่อน
แล้วก็ทำสำเร็จบ้าง..ไม่สำเร็จบ้าง
– ถ้ามีโทสะ แล้วรู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตก็จะเห็นไตรลักษณ์ของโทสะ
จะเห็นแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ แล้วแต่จิตจะเห็น
อย่างนี้เรียกว่า..กำลังเจริญวิปัสสนา
– เคยเจริญวิปัสสนาแล้ว เดี๋ยวก็เผลอไปมีกิเลสได้อีก
เดี๋ยวก็ไปทำสมถะอีก
นานๆ จะเจริญวิปัสสนาสักที..อันนี้ธรรมดามากเลย! ไม่ต้องวิตก
แต่ให้ตั้งเป้าหมายไว้เสมอ..ว่า เราจะเจริญวิปัสสนา
คือเราจะ..”มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

ฟังและศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที ส่วนจริตอื่น ๆ คุมได้ (ราคะ, โลภะ, โมหะ , ฟุ้งซ่าน, หดหู่)

ถาม: ฟังและศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที
ส่วนจริตอื่นๆคุมได้ (ราคะ, โลภะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่)
***ตามสติเวลาเกิดโทสะไม่เคยได้เลย T_T
มีซีดี และวิธีปฏิบัติแบบไหนที่แนะนำมั้ยคะ?

ตอบ : ที่ว่า “ฟัง+ศึกษาธรรมะมาตั้งนาน ทำไมคุมความโกรธ (โทสะ) ไม่ได้สักที”
แสดงว่าขณะนั้นเรามุ่งทำสมถะ
เพราะสมถกรรมฐาน คืองานฝึกจิตให้สงบ
ถ้าจะทำสมถะ ก็จะมีการคุม การกด การแก้
เช่น มีโทสะ ก็เจริญพรหมวิหาร เป็นต้น
คือนำเอาพรหมวิหารมาคุม มากด มาแก้ ให้โทสะดับไป
ซึ่งบางทีก็ทำสำเร็จบ้าง..ไม่สำเร็จบ้าง
ที่ไม่สำเร็จ..ไม่ใช่เพราะพรหมวิหารไม่ดี แต่เป็นเพราะเราฝึกมาไม่ดี
พอทำไม่สำเร็จ ก็ดิ้นรนกระวนกระวาย เดือดร้อนใจ
พอทำสำเร็จ ก็สบายใจ ดีใจ ภูมิใจ
แต่พอหมดกำลังของสมถะ โทสะก็เกิดอีก
ปัญหาคือ..พอโทสะเกิดบ่อย เราก็พลอยโกรธไอ้โทสะนั้นด้วย
ก็เลยรู้สึกว่า โทสะไม่ดับสักที
ทำไมจึงโกรธ?
เพราะเรามุ่งจะสงบ แล้วไอ้โทสะมันมาขัดขวางความสงบนั้น เราจึงไม่ชอบมัน
กลายเป็นโกรธซ้อนโกรธ
ทีนี้เอาใหม่..เราจะไม่ทำแค่สมถะ แต่จะทำวิปัสสนาด้วย!
วิปัสสนากรรมฐาน คืองานเจริญปัญญา ให้เห็นตรงต่อความเป็นจริง หมายถึงเห็นไตรลักษณ์
คือปรับเป้าหมายใหม่..ไม่ได้มุ่งที่ความสงบ แต่มุ่งที่จะรู้ตามความเป็นจริง
พอมีโทสะ ก็รู้
รู้เฉยๆ..ไม่แก้ ไม่กด ไม่คุม
แค่รู้..ก็จะเห็นเลยว่า..โทสะดับได้เอง
รู้ปุ๊บ..ดับปั๊บเลย! สังเกตดีๆ
อย่างนี้จึงจะโดยไตรลักษณ์ได้
อย่างนี้จึงจะเข้าใจสภาวะทั้งหลายตามที่ทันเป็นได้
ต้องกล้าๆ หน่อยนะ
กล้าที่จะไม่แทรกแซง
กล้าที่จะไม่แก้ ไม่กด ไม่คุม
แต่ถ้าเผลอไปแก้ ไปกด ไปคุม ก็ตามรู้ไปตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ
…….
“ตามสติเวลาเกิดโทสะไม่เคยได้เลย T_T
มีซีดี และวิธีปฏิบัติแบบไหนที่แนะนำมั้ยคะ?”

โถ..! เห็นใจนะ
ซับน้ำตา.. แล้วฟังซีดี “รู้ธรรม ๑” track 4 ก็ได้
ที่จริงก็ฟังได้ทุกแผ่น แต่เท่าที่ระลึกได้..แผ่นนี้พูดถึงความโกรธเยอะหน่อย
แนบลิงค์ที่พระอาจารย์แนะนำให้ฟัง
Track 04-0-ให้กรรมฐาน-ทำไงได้…ก้อมันโกรธ.mp3
http://bit.ly/1HXpUbs

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

การที่เรามีใจจดจ่อ อยากฟัง (ซีดีธรรมะ) ทุกวัน เเละรู้สึกมีความสุขในการฟังธรรม ถือว่าเกิดราคะ คือความอยาก หรือไม่ค่ะ?

ถาม : การที่เรามีใจจดจ่อ อยากฟัง (ซีดีธรรมะ) ทุกวัน เเละรู้สึกมีความสุขในการฟังธรรม ถือว่าเกิดราคะ คือความอยาก หรือไม่ค่ะ?

ตอบ : เราก็มาดูว่า ที่ว่า”อยาก”นั้น.. ขณะนั้นสภาวะในใจเราเป็นอย่างไร
ถ้าเป็นราคะ :-
๑. ราคะ จะมีลักษณะ”ยึดอารมณ์”
๒. ราคะ ทำหน้าที่ให้จิตติดหนึบในอารมณ์
๓. เราจะสังเกตได้จากการที่เราไม่อยาก
“จาคะ” อารมณ์นั้น
(ไม่อยากสละอารมณ์นั้น จาคะ=สละ)
๔. ราคะ มีอารมณ์ที่น่าพอใจเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
สี่ข้อนี้ ราคะ กับ โลภะ จะเหมือนกัน ใช้แทนกันได้
และสี่ข้อเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ครบหมดทั้งสี่ข้อนะ
อันนี้ว่าไปตามตำรา
แต่คำว่า”อยาก” ในภาษาไทย มีความหมายกว้างมาก
อาจจะเป็น “ฉันทะ” ก็ได้
ถ้าเป็นฉันทะ :-
๑. มีความปรารถนาเพื่อจะทำ (เช่นในที่นี้ ปรารถนาจะฟัง)
๒. ทำหน้าที่แสวงหาอารมณ์ (เช่นในที่นี้ แสวงหาซีดี)
๓. ผลจากการมีฉันทะ ก็จะทำให้มีความปรารถนาอารมณ์ด้วย
(เช่นในที่นี้ ก็ปรารถนาซีดี ปรารถนาเสียงบรรยายธรรมะ)
๔. มีอารมณ์ที่สามารถสนองความปรารถนานั้น เป็นเหตุใกล้ให้เกิด”อยาก”ที่เป็นตัณหาก็มี
ตัณหาจะอยากได้ผล แต่ขี้เกียจทำเหตุ เป็นอกุศล
แต่ฉันทะจะพอใจที่จะทำเหตุ ส่วนผลจะได้หรือไม่ ก็เป็นไปตามเหตุที่ทำ
เราก็หัดสังเกตดูสภาวะในใจ ว่าเป็นแบบไหน
บางทีก็สลับกันไปมาระหว่างกุศลกับอกุศล
– อยากฟังแล้วบรรลุเลย ไม่ต้องปฏิบัติ.. ก็เป็นตัณหา
– ฟังแล้วหลงเสียง ฟังแล้วเคลิ้ม.. ก็เป็นราคะ
– ฟังเพื่อศึกษา ฟังเพื่อให้ได้วิธีปฏิบัติ.. ก็เป็นฉันทะ
– ฟังแล้วเข้าใจ.. ก็เป็นกุศล เป็นปัญญาไปตามลำดับ
– ฟังแล้วภูมิใจว่าเราก็เก่งนะเนี่ย .. ก็เป็นมานะ
– ฟังไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่คุย .. อันนี้ฟุ้งซ่าน!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘

ดูจิตไหลเพื่ออะไร?

ถาม : ดูจิตไหลเพื่ออะไร?
ขออนุญาตค่ะ มีคำถามนะคะ แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าบางคนอาจจะ..
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะว่า..การที่พระอาจารย์หรือพระหลายองค์นี่ ที่พยายามที่จะสอนให้
โยมทั้งหลายนี้ ดูการเคลื่อนไหวของจิต เหมือนจิตไหล แต่วัตถุประสงค์จริงๆแล้วเนี่ย…
การดูจิตไหล กับการที่ทำให้จิตสะอาดหมดจดนี่นะคะ
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะ ว่าดูไปว่าจิตไหลเพื่อให้มันได้อะไร?
จากการที่เห็นจิตไหลนี่อ่ะค่ะ

ตอบ : จิตสะอาดสดใสหมดจดนี่เป็นเป้าหมายสูงสุด
แต่จะสะอาดหมดจดได้นี่ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ
คุณภาพที่เราต้องการคือจิตที่ตั้งมั่น
จิตที่ตั้งมั่นนี่ คนที่ไม่เคยทำก็จะทำไม่เป็น

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเป็น กันอยู่นี่คือ..
มันเคลื่อนไป ไหลไปหาอารมณ์ต่างๆ
นี่ทำเป็น ทำง่าย แต่ทำแล้วนี่
เช่นสมมติว่าจะดูดอกไม้ ก็ไหลไปหาดอกไม้ได้ง่าย
จะดูพระพุทธรูป ก็ไหลไปหาพระพุทธรูปง่าย
แต่สิ่งนั้นไม่เอื้อต่อการให้เกิดปัญญา ไม่เอื้อต่อการให้จิตบริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา
เพราะว่า ..จิตจะบริสุทธิ์มีปัญญาอย่างนั้นได้อ่ะ
ต้องเป็นจิตที่มีคุณภาพประกอบด้วย
กุศลธรรม ๓ ประการสำคัญๆ คือ
สติ สมาธิ และปัญญา
สติ จะมีได้จากการที่เราเห็นสภาวะ เช่น กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจ เห็นราคะ
เห็นโทสะ เห็นโมหะ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เห็นคนโน้น คนนี้ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ
สมาธิ มี ๒ แบบ คือ..
สมาธิที่ไหลไปเพ่งอารมณ์
กับ…สมาธิที่จิตตั้งมั่น
จิตตั้งมั่น หมายความว่ามันไม่ไหลไปหาอารมณ์
ที่ทำเป็นกันส่วนใหญ่ก็คือ..
ทำจิตให้ไหลไปหาที่ๆหนึ่งที่เราชอบ
ถ้าทำได้! ได้สมถะเป็นเรื่องดี เป็นกุศล
แต่ไม่พอ! ยังไม่เป็นจิตที่มีคุณภาพพอ ที่จะให้เกิดปัญญา ระดับที่ทำให้เกิดความเข้าใจและจิตบริสุทธิ์ เพราะว่าจิตจะเข้าใจเกิดปัญญา และเกิดความบริสุทธิ์ได้
ต้องเป็นปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อจิตไหลไปอยู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มันจะเห็นว่าอารมณ์นั้นเที่ยง
แล้วถ้ามีกิเลสขึ้นมา แล้วไม่ยอมใช้สติปกติดู
แต่หาอะไรก็ตามไปกลบให้กิเลสตัวนั้นดับไป
เช่นมีความโกรธแล้วเจริญเมตตาให้โกรธดับ
หรือว่าเห็นคุณความดีคนนั้นให้โกรธดับ อย่างนี้เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้กิเลสนั้นดับไป มีการกระทำเกิดขึ้น การกระทำอย่างนั้นเป็นลักษณะของการทำ
สมถะกรรมฐาน คือ..เกิดกิเลสขึ้นมา
แล้วหาทางสงบกิเลสด้วยการกระทำของเรา อย่างนี้เราจะไม่เห็นความจริงของกิเลส
คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกิเลส
เราจะรู้สึกว่ากิเลสเกิดขึ้นมา
เราสามารถทำให้กิเลสนั้นดับไปได้ หมายความว่า มันดับเพราะเราทำ มัน ไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นดับเอง
ไม่สามารถที่จะเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของความปรุงแต่งที่ไม่ดีเมื่อกี้ที่เกิดขึ้นได้
กลับกลายเป็นว่ากูเก่งด้วยซ้ำไป
อนัตตาไม่เห็น เห็นแต่อัตตาที่ใหญ่ขึ้น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่เห็น
อัตตาที่ใหญ่ขึ้นตรงนี้นะที่ว่า..กูเก่ง กูเก่งนี่ก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจึงไม่สามารถเข้าใจได้
จากการทำสมถะลำพังเพียงอย่างเดียว จึงต้องมีการทำสมาธิอีกแบบนึง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน
จิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต แต่วิธีนี้บอกกันแล้วให้ทำนะ!
เราก็ทำกันไม่เป็นทำยาก เพราะไม่คุ้นเคย
และไม่รู้จัก เมื่อไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก บอกให้ทำก็ทำไม่เป็น
เพราะไม่เคยทำและไม่รู้จัก
เหมือนที่เคยให้นึกหน้าแม่ของประธานาธิบดี
ประเทศ .. ประเทศอะไรดี?
วานูอาตู หรือ ประเทศบูกินาฟาโซ ตอนนี้ต้องเอาบูกินาฟาโซเพราะมีรัฐประหาร
เพราะว่าไม่รู้จัก ให้นึก นึกตอนนี้ นึกไม่ได้เพราะว่า..จิตไม่คุ้นเคย
เพราะฉะนั้นเอาสิ่งที่จิตมันคุ้นเคยมาทำ
จิตมันเคยทำอะไร?
จิตมันเคยไหล พอรู้ว่า รู้ว่าจิตไหล
สมมติว่านิ้วเนี่ย เป็นจุดหมายที่จิตจะไหลไป
พอมันไหลไปหานิ้วแทนที่จะไปดูนิ้ว เห็นความไหลของจิต ตอนนี้เห็นจิตพอดีอยู่กับจิตพอดี
เพราะฉะนั้นการเห็นความไหลของจิต
มันจึงไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันอยู่กับจิตพอดี ตอนอยู่กับจิตพอดีเรียกว่า…’จิตตั้งมั่น’
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบหนึ่ง ซึ่งที่เราต้องการก็คือสมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน
มันไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันตั้งมั่นอยู่กับจิต แล้วมันจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตนี่
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งต่างๆที่ปรุงแต่งได้
ไม่ใช่ตอนที่จิตเพ่งอยู่กับอารมณ์
นิ่งๆ สงบๆ อย่างนั้นไม่ใช่
จิตที่นิ่งที่สงบเป็นจิตที่ดีก็จริง
แต่ว่า ดีแบบ..ดีแบบ.. ดีแบบอะไร?
ดีแบบโลกๆ ยังเป็นโลกียะ เป็นสมาธิที่อยู่ในโลก แต่จะให้พ้นโลกไป
ต้องใช้สมาธิที่เห็นความจริงของโลก
ไม่ใช่เห็นว่าโลกดี ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้สงบ
ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข สุข สงบ ดี
กลายเป็นตัวล่อให้เราอยากอยู่ในโลกนี้ต่อ
เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แม้แต่ตัวจิตเอง ตัวจิตเองก็เกิดดับ
เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป
เพราะฉะนั้นเห็นว่ามันตั้งมั่นแวบนึงนี่ดีมาก!!
สำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า..
จิตที่ตั้งมั่นเองก็เสื่อมได้
มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ!
จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา
เข้าใจที่ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาเนี่ย
เป็นการเข้าใจระดับปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้นจะไม่เกิดมรรคผล
เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึกอย่าพอใจเพียงแค่ สงบ
เพ่งอารมณ์อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
แล้วสงบพอใจแค่นั้น ได้…กุศลก็จริง แต่ไม่พอแล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนาแล้ว ทำได้แค่ที่ฤาษีเค้าทำกัน
อย่างที่พระสารีบุตรบอกว่า..
ท่านเคยเป็นฤาษีมา ๕๐๐ ชาติ ชำนาญวิธีนี้มามาก
แล้วไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผลถ้าเกิดมรรคผลได้ท่านสำเร็จตั้งแต่ชาติแรกที่ทำได้แล้ว
แต่ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า เพื่อมาเรียน ลักขณูปนิชฌาน..

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘

ดูให้เห็น..ไม่ใช่ดูให้หาย!

วรรคทอง..วรรคธรรม #๕๐

ดูให้เห็น..ไม่ใช่ดูให้หาย!

บางคนเนี่ย!..เวลาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
จะมีปัญหาว่า..
เห็นความโกรธแล้ว..ความโกรธไม่ดับ!
เคยเป็นมั้ย?
แล้วก็พยายามหาวิธี..ทำยังไง..ให้มันดับ..?

จริงๆแล้ว การเจริญสติที่ถูกต้องเนี่ย
ให้เห็นเฉยๆ ไม่ใช่ให้ดับ
ดูให้มันเห็น..ไม่ใช่ดูให้มันหาย!
เข้าใจมั้ย?

ดูให้มันเห็น! .. เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถ้าอยากให้มันดับเนี่ย มันเป็นความตั้งใจผิด
มันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำวิปัสสนา
แต่ตั้งใจที่จะทำสมถะ

สมถะ แปลว่า สงบ
มีกิเลสอะไรขึ้นมา!..แล้วจงใจทำอะไรสักอย่าง
ให้กิเลสนั้นดับไป..สงบไป ขณะนั้นกำลังทำ “สมถะ”

แต่ถ้า..มีกิเลสอะไรขึ้นมา!
แล้วรู้ทันกิเลสนั้น ให้มันจะดับก็ดับเอง
อย่างนี้เรากำลังทำ “วิปัสสนากรรมฐาน”

ถ้ามีกิเลสขึ้นมา..แล้วไม่ชอบกิเลส
พยายามไปดับมัน ขณะนั้น..เรากำลังแทรกแซง!

ถ้าเราแทรกแซงเมื่อไหร่
สิ่งนั้นจะไม่แสดงความจริงให้ดู
แทรกแซงแล้ว..พอมันดับไป
เราก็จะรู้สึกว่า มันดับเพราะ”เราทำ”
แล้วจะเข้าใจว่า ..
“นี่ไง..กูเก่ง!
กิเลสมาเมื่อไหร่..กูจัดการมันได้ทันทีทุกทีเลย”
อย่างนี้ก็กลายเป็นว่า..เราบังคับได้
จะไม่เห็นอนัตตา

ถ้ากิเลสเกิดขึ้นมาทีไรนะ เราปัดมัน..กดมัน..ข่มมัน
อะไรก็แล้วแต่..ที่ทำกับมัน..ก็เป็นการแทรกแซง
การแทรกแซงครั้งนั้น
จะทำให้เราไม่เห็นความจริงของสภาวะนั้น

ถ้าเราแค่เห็นเฉยๆ มันจะดับเอง!

แต่ใจเรา ส่วนใหญ่จะอดไม่ได้!
เราจะไม่ชอบกิเลส
โดยเฉพาะกิเลสที่มีแล้วเราทุกข์ใจทันที
ก็คือ..กิเลสตัวที่เป็น ‘โทสะ’
โทสะนี่มีทีไร เป็นทุกข์ทุกที!
เพราะฉะนั้นตัวนี้ เกิดขึ้นทีไร เราก็อยากจะดับมัน

ให้รู้ทันว่า..เรามีความไม่เป็นกลางกับสิ่งที่เห็น
หรือมีการแทรกแซงการกระทำอันนั้นนะ!
เห็นแง่ใด แง่หนึ่งก็ได้
คือ เห็นว่า..”มันไม่เป็นกลาง”
หรือ เห็นว่า..”เมื่อกี้ เราแทรกแซง” ก็ได้!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคอร์สปฏิบัติธรรม เนยยะ
ณ ศูนย์ฝึกอบรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บางปะกง
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

ไฟล์ 581127-พระอาจารย์กฤช ช่วงค่ำ เกมส์ถั่ว2
Track 581127_07 ดูให้เห็นไม่ใช่ดูให้หาย

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1PKGiV6

พูดเพ้อเจ้อ..ฆ่าผู้อื่น..ฆ่าตนเอง

วรรคทอง…วรรคธรรม #๔๙

พูดเพ้อเจ้อ..ฆ่าผู้อื่น..ฆ่าตนเอง

ไม่พูดเพ้อเจ้อ !!..
ทำไมไม่ให้พูดเพ้อเจ้อ ?!?
เอ๊ะ! เพ้อเจ้อ..จะมีบาปอะไรมากมาย ?
พอนึกๆ ดูนะ…
เวลาของเรา..ชีวิตของเรานี่ มันมีจำกัด!
แล้วถ้าเราเสียเวลาในการพูดเพ้อเจ้อ..
เท่ากับว่า..เราพูดฆ่าตัวเอง! แล้วพูดฆ่าคนที่ฟังด้วย!
เวลา..คือชีวิตที่ผ่านไป..เอาคืนไม่ได้ เล่นไลน์วันละกี่ชั่วโมง..?
เล่นเฟชวันละเท่าไหร่..?
รวมแล้วมันกี่ชั่วโมง!!
แล้วไอ้ที่เล่นอยู่นี่ เพ้อเจ้อรึเปล่า?
หรือว่าทำงาน หรือว่าทำอะไร?
เลิกเล่นไลน์ เจอหน้ากัน แล้วคุยเรื่องอะไรกัน? ที่คุยกันนี่มีประโยชน์มั้ย? คุยในเรื่องงานก็เบื่อขี้เกียจคุย..
พอที่ประชุมคุยเรื่องอื่น รู้สึกสบายใจ….
เราพอใจในการคุยเรื่องที่ไร้สาระ..เท่ากับว่า เราฆ่าตัวเอง..ด้วยคำพูดตัวเอง..
เราพูดให้คนอื่นเขาฟัง แล้วเขาก็ต้องทนฟังเรา..ก็เท่ากับฆ่าเขาด้วย..
เพราะว่าเวลาผ่านไป เอาชีวิตผ่านไปทุกนาที ..ทุกนาทีๆ
แล้วทำทุกวัน และไม่เห็นโทษของการพูดอย่างนี้ เท่ากับว่า เราทิ้งเวลา..ทิ้งชีวิต ผ่านไป..ผ่านไป
แล้วมันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ..
มันไม่ได้ตายตอนอายุ ๗๐ หรือ ๘๐ เสมอไปใช่มั้ย..
จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ! แล้วถ้าเราไม่ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์กับการพัฒนาจิตใจตัวเองเลย แถมใช้คำพูด..ไปฆ่าตัวเองบ้าง..ฆ่าคนอื่นบ้าง
อย่างนี้..เราใช้คำพูดเพ้อเจ้อ..
เป็นคำพูดที่เรียกว่า เป็น “วจีทุจริต”
ทีแรกคิดไม่ถึงแง่นี้
ว่า “วจีทุจริต” ทำไมรวมมาถึง “เพ้อเจ้อ” ด้วย คิดว่ามันน่าจะรุนแรงเกินไป
..แต่พอคิดในแง่นี้ …… “ใช่ !”
..’เวลา’ที่เราเสียไปนะ ..เท่ากับ’ชีวิต’เราเสียไปด้วย!!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์ กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ที่นครสวรรค์
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘

ดาวน์โหลดเสียง/รับฟังเสียง ได้ที่ http://bit.ly/1M2u3LD
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1RDMIVm ระหว่างนาทีที่ ๒๕.๔๐-๒๗.๔๐

ปรมัตถสัจจะ..ของจริงแท้ๆ

วรรคทอง…วรรคธรรม #๔๘

ปรมัตถสัจจะ..ของจริงแท้ๆ

ตอนที่เห็นว่า..มี’ราคะ’บ้าง มี’โทสะ’บ้าง มี’โมหะ’บ้าง ที่เกิดขึ้น
โมหะ คือหลงไป มีความฟุ้งซ่าน มีความหดหู่
ทุกครั้งที่ ‘รู้’ ..มันจะเก็บเป็น’สัญญา’ว่า..
อ๋อ..’ราคะ’เป็นอย่างนี้!
อ๋อ..’โทสะ’เป็นอย่างนี้!
อ๋อ..’ฟุ้งซ่าน’เป็นอย่างนี้!
จิตทำงานเอง เราไม่ต้องสั่งเลยนะ!
ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องโหลดแอพอะไรเลย
มันทำงานเอง..
ทำงานอย่างนี้.. คือจำว่า
‘ราคะ’เป็นอย่างนี้
‘โทสะ’เป็นอย่างนี้
‘โมหะ’เป็นอย่างนี้
แล้วเดี๋ยวก็เผลอใหม่!
ก็ให้มันเผลอไป..
เพราะมันมีปกติอย่างนี้อยู่ ไม่ต้องไปบังคับ

แต่ถ้ามันเหนื่อยนะ..ก็ไปทำสมถะ เอาจิตมาอยู่กับที่
แล้วเราก็ทำได้แป๊บเดียว! ..ตามกำลังของเรา
ก็ให้มันแป๊บเดียวนั่นแหละ!
แล้วพอมันเผลอไป รู้ทันว่า’เผลอ’
แม้ว่าเราจะได้พักนิดนึง แต่จิตก็มีกำลังพอที่จะดูได้แล้ว
ว่าเดี๋ยวจะมีกิเลสอะไรเกิดขึ้น!
ใจที่ไม่นิ่ง มีกิเลส ..แล้วรู้ทันกิเลส..
ดีกว่าให้มันนิ่งๆ ..แล้วไม่รู้
เพราะรู้ทันกิเลสทีหนึ่งนะ
จิตได้สะสมความรู้อีกทีหนึ่ง

แต่ตอนที่มันนิ่งๆ ทื่อๆ แช่ๆ เนี่ย จิตไม่ได้ความรู้อะไรเลย
ให้มันหลงไปแล้วรู้ทันดีกว่า เพราะจิตจะฉลาดขึ้นทุกทีที่เห็น
จิตจะสะสมข้อมูลไปเรื่อยๆ
การสะสมตรงนี้ได้’สัญญา’ ได้ความจำ
แต่ไม่ได้จำว่าหน้าใคร ไม่ได้จำว่าใครเลว
แต่จำลักษณะของ’ของจริงแท้ๆ’
ที่เรียกว่าเป็น “ปรมัตถสัจจะ”
จำว่า’ราคะ’เป็นอย่างนี้
จำว่า’โทสะ’เป็นอย่างนี้
จำว่า’โมหะ’เป็นอย่างนี้
อันนี้เป็นความจำและเป็นประสบการณ์ ที่ควรจะให้จิตมันรู้

เราไปหลงว่า ‘รถคันนี้สวย’
หลงว่า ‘โทรศัพท์รุ่นนี้ดี..อยากได้’
มันรู้เรื่องข้างนอก เป็นเรื่องของ “สมมติ”
สาวกไอโฟน ก็ว่าไอโฟนดี
สาวกซัมซุง ก็ว่าซัมซุงดี
ไอ้คนปฏิเสธทั้งสองข้าง ก็บอกว่าอีกยี่ห้อหนึ่งดี ใช่ไหม?
แต่ที่เห็นแล้ว’ชอบ’ ‘อยากได้’
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือ..’ราคะ’
กูสาวกนี้ มันสาวกนั้น ก็เถียงกัน เกิด’โทสะ’
ใครดีกว่าไม่รู้ แต่เกิด’โทสะ’
‘โทสะ’เกิดขึ้นจริงตอนนี้ เข้าใจไหม?
ดูสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้
แล้วทุกครั้งที่เห็นของจริง จิตก็ได้ประสบการณ์
ว่าโทสะเป็นอย่างนี้ ราคะเป็นอย่างนี้
และจำไว้ด้วย!
‘จำ’จนกว่ามันจะพอ
ตอนนี้เราต้องตั้งใจ..มีสติแบบตั้งใจไว้ก่อนนะ
ยังไม่ใช่สติแบบอัตโนมัติ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจาก ซีดีชุด ขยายผล ๑
คอร์สปฏิบัติธรรม ณ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงค์
570908-1_09 สะสมอนุสัย.mp3 http://bit.ly/1jwGcSs

ศีลที่เราควรจะรักษา..คือ ศีล ๕

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๗

ศีลที่เราควรจะรักษา..คือ ศีล ๕

ง่ายๆ อันนี้น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเนาะ
ศีล ๕ มีกี่ข้อ? .. เออ!.. ถ้าตอบผิดนี่ซวยเลยนะ!
ก็บอกอยู่แล้วว่าศีล ๕
รู้มั้ย? ข้อที่ ๑ คือไม่ไปละเมิดชีวิตของผู้อื่น
อย่าไปทำร้ายชีวิตผู้อื่น อย่าไปทำร้ายร่างกาย..แม้ว่าจะไม่เสียชีวิตด้วยนะ แค่ไปทำให้เขาเจ็บปวดหรือทรมาน..ก็ อย่าไปทำ! ไม่ใช่ว่าต้องถึงขนาดไปเชือดคอหรือไปเผาเขา
อันนั้นรุนแรงเกินไป แค่ตบหน้าเขา..หรือทำอะไรก็ตาม ที่เจตนาทำร้ายผู้อื่น..ก็ไม่ควรทำแล้วนะ!
ข้อที่ ๒ ไม่ไปละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น..
เช่น ไม่ไปขโมย อย่าว่าแต่ขโมยเอามาเป็นของตัวเองเลยนะ!
แม้ไปทำร้ายหรือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ก็ผิดนะ
เช่น ไปเผาบ้านเขานี่..ได้มั้ย?
ไม่ได้นะ..เพราะไม่ใช่บ้านเรา..ไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา ทรัพย์สินของเขา..ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ถ้าเราไปละเมิด..ก็ผิด
ข้อที่ ๓ ไม่ไปละเมิดคนรักของคนอื่นนะ!
คือไม่ผิดข้อกาเมฯ ไม่ประพฤติผิดในกาม
แล้วก็ข้อที่ ๔ ไม่ไปพูดผิด
ไม่พูดเพื่อทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น
พูดผิด คือ
– พูดผิดความจริง กลายเป็น “มุสาวาท”
– พูดแล้ว ทำให้คนที่เขาสามัคคีกัน มาแตกแยกกัน เขาเรียกว่า “พูดส่อเสียด”
– พูดแล้ว ทำให้เขาเจ็บใจ หรือเจ็บช้ำน้ำใจ คือ “พูดด่า” หรือ”พูดคำหยาบ”
– และพูดผิดอีกอย่างหนึ่งคือ คำพูดที่เราอาจจะรู้สึกว่า..ไม่น่าผิดอะไรเลย คือ”พูดเพ้อเจ้อ”
เคยมั้ย? เคยพูดเพ้อเจ้อมั้ย? ถ้าไม่เคยก็ประหลาดแล้วนะ
“พูดเพ้อเจ้อ” คือพูดเรื่องที่ไม่จำเป็น เรื่องไร้สาระ เรื่องแบบนินทาชาวบ้านไปเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้นะ
เคยนินทาคนอื่นมั้ย ?
เคยถูกนินทามั้ย? เคยเหรอ..รู้ตัวมั้ยว่าถูกนินทา?
ขณะที่เขานินทาเรานี่ เราเดือดร้อนใจมั้ย? ไม่เดือดร้อนหรอก เพราะเรายังไม่รู้ ตอนเดือดร้อน คือตอนที่”รู้”ว่าเขาพูด..ใช่มั้ย?
พูดเพ้อเจ้อนี่มันมีโทษตรงที่ว่า..
มันเสียเวลา มันไม่มีประโยชน์
เวลาของเรามันมีน้อย เวลานี่มันไม่ใช่มี อินฟินิตี้ (infinity : ความไม่มีที่สิ้นสุด)
เวลามีจำกัดนะ คนเรานี่มีเวลาจำกัด เกิดมาแล้ว..ถึงเวลาหนึ่ง..จะต้องตาย เวลาในระหว่างเกิดจนตายเนี่ย
เราควรใช้เวลานี้มาพัฒนาตนเอง พัฒนาศักยภาพในด้านความรู้ ด้านปัญญา
เช่น มาเรียนหนังสือ ก็เรียนให้ได้ความรู้จริงๆ เอาไปใช้เพื่อพัฒนา.. นอกจากจะพัฒนาตนเองแล้ว..ก็ยังเพื่อไปพัฒนาสังคมด้วย
นอกจากนั้น ก็ยังต้องพัฒนาตนเองในแง่ว่า “ทำอย่างไร..ฉันจะไม่ทุกข์”ด้วย หรือถ้ายังมีทุกข์ ก็ให้ทุกข์น้อยลงๆ
ชีวิตมันมีเวลาจำกัด
ถ้าเอาเวลาไปพูดไปคุยในสิ่งไร้สาระ
สิ่งไร้สาระที่พูดคุยกันนั้น
มันไม่ได้พูดแล้วจบอยู่แค่ตรงนั้น มันพูดแล้วบางทีมันจำไปฟุ้งต่อ
บางทีวงเมาท์นี่แตกไปแล้วนะ! กลับมาที่บ้านเรายังมาคิดต่อเลย เป็นอย่างนั้นมั้ย? มันเก็บสิ่งไร้สาระที่รับฟังในกลุ่ม..มาสร้างความไร้สาระอยู่คนเดียว
ความไร้สาระที่ว่านี้จึงมีโทษ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกคำพูดเหล่านี้ว่า เป็น#วจีทุจริต
คำแรงมากนะ !
วจีทุจริต คือประพฤติชั่วด้วยวาจา
ก็มี ๑.พูดปด ๒.พูดส่อเสียด ๓.พูดคำหยาบ ๔.พูดเพ้อเจ้อ
๔ อย่างนี้ เรียกว่าเป็น”วจีทุจริต”ทั้งนั้นเลย
เราก็คอยระวัง
– อย่าไปพูดปด
– อย่าไปพูดส่อเสียด อย่าไปยุให้เขาแตกกัน
– อย่าไปพูดคำหยาบให้เขาเจ็บใจ
แต่ถ้าเพื่อนสนิทกันนี่นะ พูดคำหยาบกันแล้วเขาไม่เจ็บใจ อันนี้ยังอนุโลม มันเป็นเพียงคำพูดไม่สุภาพ เข้าใจมั้ย?
คำอย่างนี้พูดกันในหมู่เพื่อนสนิทได้ แต่อย่าไปพูดกับคนอื่น เพราะว่ามันเป็นคำไม่สุภาพ
บางทีไปพูดคำสุภาพกับเพื่อน เพื่อนอาจจะมองหน้า ..
“วันนี้มันเป็นอะไรวะ?” จะพูดไอ้คำที่เคยพูดกันก็ไม่เป็นไรนะ
เพราะเราไม่ได้มุ่งให้เขาเจ็บใจ
คำหยาบ: คือมีเจตนามุ่งให้เขาเจ็บใจ เข้าใจมั้ย?
แต่ถ้าคำหยาบเหล่านั้น เราพูดกันในหมู่เพื่อนที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ถ้าผิดไปจากนี้รู้สึกว่าแปลกๆไป..
ก็พูดไปตามปกติ
แต่ให้รู้ว่า คำอย่างนี้พูดได้เฉพาะกับคนกลุ่มนี้ หรือกับคนๆนี้
อย่าไปพูดกับคนที่อื่น อย่าไปพูดกับในที่สาธารณะอื่น
หรือแม้แต่กับเพื่อนคนนี้..ที่เคยพูดคำไม่สุภาพกัน แต่จากกันนาน ๓๐ ปีแล้ว
ตอนนี้เขาเป็นนายพลแล้ว
เราจะไปด่าไอ้นู่นไอ้นี่ ต่อหน้าลูกน้องเขา ต่อหน้าบริวารเขา.. ก็ไม่ได้
ต้องรู้จังหวะ รู้เวลา รู้กาลเทศะ เข้าใจมั้ย?
แล้วพอมันมาเยี่ยมบ้านเรา อยู่กันเฉพาะเพื่อนสนิทจริงๆ แล้วเราค่อยตบหัวมันได้
แล้วก็ศีลข้อ ๕
ไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วยการทำให้ตัวเองขาดสติ ไม่ทำร้ายสังคมให้เขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ด้วยการทำให้ตัวเองขาดสติ มึนเมา
เรารู้สึกอย่างไร..ถ้าสมมุติว่าตรงนี้เป็นร้านอาหาร แล้วโต๊ะนั้นเขาเมา
เราจะรู้สึกว่า..”กูไปดีกว่าเว้ย!” ถ้ายังไม่สั่งอาหารนะ..จะรีบออกไปดีกว่า เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
หรือขับรถตามคันหน้า..
เราเห็นว่ามันส่ายไปส่ายมา “โอ้โห..ไอ้คนขับนั่นเมาแน่ๆ เลย”
ต้องรีบแซง หรือไม่ก็เว้นห่างๆ เพราะว่า..รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่อยากอยู่ร่วมถนนสายเดียวกันกับไอ้คนนี้แล้ว เพราะคนเมาเป็นคนขาดสติ ควบคุมอะไรไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่า..สังคมไม่ปลอดภัย
เพราะฉะนั้น เราอย่าทำตนให้ผู้อื่นรู้สึกว่า เราเป็นต้นเหตุของความไม่ปลอดภัยในสังคมนะ
นี่.. แค่ศีล ๕ ..

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงการบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงค์
40.บ้านจิตสบาย6/5.วัฒนมุข(580208)_02.ศีล๕.mp3 http://bit.ly/1PWNziM

“กูอยู่ไม่ได้แล้ว!”

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๖

“กูอยู่ไม่ได้แล้ว!”

กรรมไม่ดำไม่ขาว ให้วิบากไม่ดำไม่ขาว คือพ้นไป พ้นกรรม
มันก็คือที่เราทำอยู่นี่แหละ
ที่เรากำลังจะทำ และทำอยู่
บางคนทำอยู่ด้วย บางคนยังไม่ได้เริ่ม ก็ควรเริ่มซะนะ!
คือ กรรมไม่ดำไม่ขาว
หมายความว่ายังต้องทำกรรมอยู่นะ!
แต่เจตนา..เป็นไปเพื่อพ้นไป
ที่ทำก็คือทำอะไร?
..ทำกรรมฐาน
คือ สมถกรรมฐาน บ้าง วิปัสสนากรรมฐาน บ้าง
ยังต้องมีเจตนาในการทำอยู่
ต้องมีเจตนาในการระลึกรู้ว่า..
เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น..คือเจตนาเจริญสติ
มีเจตนาที่จะทำสมถกรรมฐานในยามที่
จิตใจเราห่อเหี่ยว..หมดแรง..หมดกำลัง
มีเจตนาที่จะเจริญปัญญา คือมีความหวังอยู่ว่าไม่พอใจเพียงแค่ให้สงบนิ่งๆ..
ไม่พอใจเพียงแค่ให้จิตมีความสุข..สบาย
แล้วพอใจเพลิดเพลินในโลก..
ไม่ได้พอใจแค่นี้
เพราะว่ามันจะต้องเห็นความจริงของโลกนี้ว่า..
มันไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..เป็นอนัตตา จึงจะมีปัญญาพ้นจากโลกนี้ไปได้
แต่ถ้าเห็นว่าโลกนี้..สงบดี ..นิ่ง..สบาย มีปีติ
อยู่แค่นี้นะ! ก็อยู่ในขั้นของสมถกรรมฐาน
แต่ถ้าเห็นว่าโลกนี้..มันเหมือน..เหมือนอะไร?
เหมือนไฟกำลังไหม้! หมายถึงอะไร?
..ทุกอย่างนี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยเลย
เหมือนเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย
ไม่มีอะไรคงที่ได้เลยสักขณะเดียว
กายนี้ก็เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ
แต่การที่จะเห็นกายนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆนี่นะ
ต้องใช้จิตที่มีกำลังสมถะเยอะๆ หรือกำลังของฌาน
ที่จะมาเห็นกายนี่เป็นทุกข์
คนช่างคิดอย่างอาตมานี่..ยาก
ยากที่จะมีขณะที่เห็นความจริงของกาย..ที่สามารถเจริญปัญญา
ก็ควรจะมาเห็นความจริงของจิต
จิตก็มีปกติที่เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ทุกข์ที่เราจะเริ่มเห็นจากการวิปัสสนาก็คือ
เห็นว่ามันเกิดดับ..เปลี่ยนแปลง..
ไอ้ความเกิดดับเปลี่ยนแปลง ..มันแสดงถึงว่า
สภาวะใดๆ ก็ตามที่เกิดมาเนี่ย
มันจะต้องถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนไป
สติที่เกิดขึ้นมานี่นะ..
เมื่อกี้นี้รู้ทันว่ามีกิเลสอะไรเกิดขึ้น..
สติเองก็รักษาตัวสภาวะที่รู้ตัวนั้นเองไม่ได้..
เป็นธรรมดาที่จะถูกบีบคั้นให้ดับไป..
เปลี่ยนเป็นเผลอใหม่..
สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นว่าดี พยายามรักษาไว้ ถ้ารักษาได้ก็จะไม่เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลง
และไม่เห็นว่ามันมีทุกข์อะไรเกิดขึ้น
ท่านจึงไม่ให้ทำเพียงแค่สมถะ
ถ้าเราประคองไว้เมื่อไร..
ขณะนั้นจะกลายเป็นทำสมถะทันที
แต่ถ้าเราไม่ประคอง..ปล่อยมันไป…
ให้มันแสดงความจริง
ไอ้สิ่งดีทั้งหลาย..ดับ!
สิ่งที่ไม่ดี..ถ้าเรามีสติ..สิ่งไม่ดีนั้นก็ดับ!
…เข้าใจมั้ย? …
ทุกครั้งที่มีสติเห็นสภาวะนี่นะ ของที่ไม่ดีทั้งหลาย..จะดับ..
แล้วสิ่งที่ดีที่ว่าเนี่ย..ก็ดับด้วย
เราปล่อยมันนะ..
มันจะแสดงความจริงว่า ที่ว่าดีหรือไม่ดีต่างๆ มันมีธรรมชาติถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนไป
ดับไปอยู่เสมอ..ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
ฉะนั้นไม่ว่าจะ ‘ดี’ หรือ ‘ไม่ดี’ เราหวังพึ่งไม่ได้เลย เราคงไม่หวังพึ่งไอ้ไม่ดีหรอก..
แต่ไอ้ที่ดีก็หวังพึ่งไม่ได้..
ไอ้ตัวนี้ก็เจริญปัญญาว่า..”กูอยู่ไม่ได้แล้ว!”
..ไอ้ความคิดที่ว่า”กูอยู่ไม่ได้” นี่นะ ..จิตมันคิดขึ้นมาเอง
เพราะเห็นโทษภัยของวัฏฏสงสาร
เห็นว่า ..”เอ้า..ดูเอา! หวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย” เพราะมันไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้..ที่จะหวังพึ่งได้เลย..มันมีแต่เปลี่ยนไป..เปลี่ยนไป ..
ตรงนี้เรียกว่า..เจริญปัญญานะ
แต่ถ้ามันไม่เจริญปัญญาเอง..อาจจะต้องมีการนำร่อง..ตรงนี้ต้องมีเจตนาใส่ไปหน่อย
คล้ายๆ เมื่อมันมีสมถะบ้างแล้ว มีสติบ้างแล้ว
แต่มันไม่เจริญปัญญาสักที..
ควรจะนำร่องให้มัน
..ตรงนี้มีเจตนานำมัน..คิดพิจารณาเทียบเคียง ระหว่างสภาวะนี้กับสภาวะที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้..
..เมื่อกี้นี้เป็นอย่างนี้..ตอนนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง..
แสดงว่ามันไม่เที่ยง
เมื่อกี้เป็นอย่างนี้..ตอนนี้เหมือนเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่รุนแรงมากขึ้น!
สิ่งเดียวกันนะ แต่ว่าความเข้มข้นไม่เหมือนกัน..ก็มีการเปลี่ยนแปลง..มีการเปรียบเทียบ
ให้เปรียบเทียบอย่างนี้ไปก่อน
แรกๆ อาจจะต้องใช้เปรียบเทียบ..
เป็นการเจริญปัญญาเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา เป็นการเจริญปัญญาเรียกว่า “สัมมสนญาณ”
(ญาณขั้นที่๓ ในโสฬสญาณหรือญาณ๑๖ ของการเจริญวิปัสสนา-ผู้ถอด)
ถ้าคิดเปรียบเทียบ..ทำได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ..
..วิปัสสนา จะแสดงความจริงให้เห็นเอง แล้วก็เกิดความเบื่อหน่ายคลายวาง
เพราะเห็นความเกิดดับ…
มันจะพัฒนาความเห็น ความรู้ของมันเองไปเรื่อยๆ เรียกว่าพัฒนาปัญญาไปเรื่อยๆ
การพัฒนาญาณเหล่านี้..ต้องทำ! ไม่ใช่ว่าให้มันเกิดเอง
ที่ต้องทำ..คือทำเหตุให้มันเกิด ขณะที่ทำเหตุให้มันเกิด..คือกำลังทำกรรม แต่เป็นกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว
มีผลคือพ้นทุกข์ไป พ้นจากกรรมนี้ไป
ฉะนั้น ยังต้องทำกรรมอยู่นะ
ทำกรรมฐาน คือสมถกรรมฐานบ้าง วิปัสสนากรรมฐานบ้าง ..ทำเพื่อเป็นเหตุ ทำเพื่อเป็นเหตุนะ ไม่ใช่ทำเพื่อให้ตัวเอง…ดี….เก่ง..เลิศ ไม่ใช่เลย! แต่ทำให้จิตมันฉลาดรู้เท่าทันโลกว่า…หวังพึ่งไม่ได้
ที่เรายังอยากเกิดอยู่อีก เพราะว่า
…”เออ! โลกมันอร่อยดี..” หวังพึ่งได้! อยากอยู่ในสวรรค์
เพราะว่าพึ่งวิมานได้ พึ่งเทวดาได้..พึ่งเพื่อนผู้ใหญ่ได้..ประมาณนี้
มันก็เลยไม่เบื่อโลก …
เพราะรู้สึกว่า
“เออ..ถ้ากูอยู่ได้มีความสุขอย่างนี้ กูก็อยู่ต่อ!! ”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ณ ฐนิชาฌ์รีสอร์ท อัมพวา
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๘

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/1QrOR6T

“ลักขณูปนิชฌาน”นั้น..สำคัญไฉน?

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๕
“ลักขณูปนิชฌาน”นั้น..สำคัญไฉน?
จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆ ว่า..
มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แม้แต่ตัวจิตเอง..ตัวจิตเองก็เกิดดับ!
เดี๋ยวก็ตั้งมั่น…เดี๋ยวก็ไหลไป
เดี๋ยวก็ตั้งมั่น…เดี๋ยวก็ไหลไป
เพราะฉะนั้น..
เห็นว่าจิตมันตั้งมั่นแวบหนึ่งนี่..ดีมาก
ดีสำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า..
จิตที่ตั้งมั่นเองก็เสื่อมได้..
มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ! จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้..จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา
ความเข้าใจที่ว่า..
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่นะ
เป็นการเข้าใจระดับปัญญา ที่เป็นวิปัสสนา
ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้น จะไม่เกิดมรรคผล
เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึก..
อย่าพอใจเพียงแค่..สงบ
ด้วยการเพ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง..แล้วสงบ..พอใจแค่นั้น
มันได้กุศลก็จริง..แต่ไม่พอ!
แล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคน มาพบพระพุทธศาสนา
แล้วทำได้แค่ที่ฤาษีเขาทำกัน
อย่างที่พระสารีบุตรบอกว่า..
ท่านเคยเป็นฤาษีมา ๕๐๐ ชาติ
ทำสมาธิเพ่งอารมณ์..ชำนาญวิธีนี้มาก
แล้วก็ทราบว่าไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผล
ถ้าเกิดมรรคผลได้..
ท่านก็น่าจะสำเร็จตั้งแต่ชาติแรกที่ทำสมาธิอย่างนี้ได้แล้ว แต่ชาตินี้ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า
เพื่อมาเรียน..ลักขณูปนิชฌาน
ธรรมบรรยายโดย พระกฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘

ไตรลักษณ์เอาไว้เห็น

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๔

ไตรลักษณ์เอาไว้เห็น

ไตรลักษณ์เนี่ย..ไม่ใช่เอาไว้จำ..
แต่เอาไว้เห็น!
ไตรลักษณ์นี่นะ..เอาไว้เห็นนะ
ตามหลักภาษา เขาใช้สำนวนว่า #เห็นไตรลักษณ์
เจริญกรรมฐาน..
เจริญสมถกรรมฐาน..เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
จนจิต”เห็น”ไตรลักษณ์ ไม่ใช่เจริญสมถะเจริญวิปัสสนาจน”จำ”ไตรลักษณ์ได้..ไม่ใช่อย่างนั้น
เวลามีสติ คือขณะที่จิต”เห็น”สภาวะ
ใช้คำว่า “เห็น” นะ!
ไม่ใช่ว่า..ฟังมา แล้วฉันจำได้
หรืออธิบายได้ว่า..ราคะเป็นยังไง?..
แต่ไม่เคยเห็นเลย!
อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า..#เจริญสติ
โทสะเป็นยังไง?..
ฉันอ่านตำรามาแล้ว..เป็นอย่างนี้ๆ..
แต่ไม่เคยเห็นเลย!
ก็ยังไม่ชื่อว่า..#เจริญสติ
โทสะเกิดขึ้น ใจชักจะโหดเหี้ยม ชักดุ!
แล้วเห็นโทสะทันที
โอ้..อย่างนี้เห็นโทสะเกิดขึ้น
มีราคะ ใจชักเยิ้มๆ ตาชักจะฉ่ำๆ
ราคะเกิดขึ้นจริงๆ ตอนนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้
มีสติรู้ราคะขึ้นมา เรียกว่า..มีสติ!
คือมันเห็น..ต้องเห็น!
“เห็น”ที่ว่า..มันคือความรู้สึกในใจ
ไม่ใช่เห็นรูปร่างลักษณะว่า..
เห็นหน้าคนนี้สวย คนนี้หล่อ.. ไม่ใช่อย่างนั้น
อย่างนั้นเป็นการจำหน้าเขาได้
แต่ #สติคือเห็นสภาวะ
ทำให้จำสภาวะที่เกิดขึ้นกับใจได้
จำได้ว่า..เมื่อกี้นี้..มีราคะเกิดขึ้น เมื่อกี้นี้..มีโทสะเกิดขึ้น ..
พอกิเลสเกิดใหม่จึงระลึกรู้ได้
รู้บ่อยๆ เห็นบ่อยๆ แล้วจิตมันจะสะสมทักษะ สะสมข้อมูลจนเกิดทักษะขึ้นมา
กระทั่งสรุปเป็นความรู้อีกชุดหนึ่งว่า
เฮ้ย! มันก็เกิด-ดับ!
นี่..มันก็เปลี่ยนแปลง!
นี่..มันบังคับไม่ได้!
แล้วแต่จิตมันจะสรุป
จิตมันจะเห็นขึ้นมา เข้าใจขึ้นมา
ตรงนี้เรียกว่า..เกิดวิปัสสนา

ธรรมบรรยาย โดย พระกฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากจากการเทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖

จิตไม่ยอมรับความจริง

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๓

จิตไม่ยอมรับความจริง

ความไม่เป็นกลาง มีเหตุมาจากที่ว่า ..
จิตไม่ยอมรับความจริง
เห็นความจริงแล้ว..แต่ไม่ยอมรับ
ก็เอาความจริงให้ดูบ่อยๆ
จนจิตมันยอมรับได้
ก็คือเจริญสติรู้ตัว
รู้กายบ้าง..รู้ใจบ้าง
เอาให้จิตมันดูบ่อยๆ
ดูแล้ว!.. ยังไม่ยอมรับก็เอาให้มันดูอีก
จนจิตมันยอมรับความจริง เกิดปัญญาขึ้นมา
ปัญญาขั้นแรกๆ จะเห็นว่า..
มันไม่เที่ยงบ้าง
มันเป็นทุกข์บ้าง
หรือมันไม่ใช่เราบ้าง
เห็นกายไม่ใช่เรา แต่ยังไม่เห็นว่าจิตมันไม่ใช่เรา
ก็ดูจิตต่อ
ดูด้วยสติ..เอาของจริงมาดู
ดูด้วยความเป็นกลาง
และแม้มันไม่เป็นกลาง..ก็รู้!
รู้ตามตรงว่า “มันยังไม่เป็นกลาง”
พอหลักฐานมันพอแล้ว จิตจะสรุปเป็นปัญญาขึ้นมาว่า..
แม้จิตนี้เองก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตน
เป็นเพียงสภาวะอันนึง มีสภาพรู้
ไม่ใช่เราและไม่ใช่ใคร
หน้าที่ของเรามีเพียงสร้างเหตุ..ให้จิตเกิดปัญญา
ธรรมบรรยายโดย พระกฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากท่านให้กรรมฐาน
ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่า ศรีราชา จ.ชลบุรี
วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๗