Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ?? #ถาม : การตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิ โดยเอาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นตัวตั้ง แบบนี้ผิดในโทษฐานทำสงฆ์ให้แตกกันหรือเปล่าครับ? #ตอบ : หมายถึงกรณีไหน? กรณีที่เป็นข่าวนี้หรือเปล่า? (เข้าใจว่าผู้ถามน่าจะหมายถึงผู้เขียน”อนาคตวงศ์”) ก็คงไม่ต้องไปปรับถึงขนาดทำสังฆเภทหรอกนะ อันนี้ความเข้าใจของส่วนตัวนะ.. ผู้เขียนก็คงตั้งใจจะปลูกศรัทธา ไม่ได้ตั้งใจว่าจะแบ่งแยกสงฆ์ให้เป็น ๒ ฝ่าย ทีนี้ถ้าคนรุ่นหลังมาแบ่งแยก ก็เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังแล้ว ผู้เขียนไม่เกี่ยว แล้วถ้าสงฆ์จะแบ่งแยกกัน ไม่ลงอุโบสถร่วมกัน ด้วยเหตุเพียงความเชื่อเรื่องนี้ไม่ตรงกัน ก็คงจะไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเหตุให้มาเกิดความแตกแยกในระดับสังฆเภทได้ คงไม่ถึงขนาดนั้น วิธีแก้มันเป็นแค่ปรับความเข้าใจกัน ว่าเรื่องนี้ไม่ควรสนับสนุน ไม่ควรส่งเสริม เป็นความเข้าใจผิด ส่วนใครจะเชื่อว่า ‘มันมีเรื่องอยู่ในคัมภีร์ มันน่าเชื่อถือ’ ก็ต้องกลับไปอ่าน “กาลามสูตร” พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้แต่ในคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ (กาลามสูตร คือสูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ 1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา 2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา 3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก 6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน 7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีของตนที่พินิจไว้แล้ว 9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ 10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละ หรือถือปฏิบัติตามนั้น) “อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ” ให้ดูจิตของตัวเอง เวลาจิตคิดถึงเรื่องความตาย จิตมันเป็นอย่างไร? มีตัวอย่างนะ มีตัวอย่างเผอิญไปค้นหามา เป็นเรื่องของ “พระฆ่าตัวตาย” น่าสนใจ ขอนำเอามาเล่ากันฟัง อยู่ในนี้ คือ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท เรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องของ “พระสัปปทาสะ” (สัปปะ คืองู, ทาสะ คือทาส) ทาสที่เป็นงู เรื่องราวเป็นอย่างไร? น่าสนใจ ลองฟังดูนะ จะลองเล่าเป็นแบบคร่าวๆ มีกุลบุตรในกรุงสาวัตถี ฟังพระธรรม แล้วก็ขออุปสมบท วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำแต่เช้าตรู่ ท่านเหล่านั้นก็เห็นงูที่โรงไฟ พระที่ไปที่โรงไฟก็เลยจับงูใส่หม้อ เพื่อจะไปปล่อยข้างนอก ก็เป็นเรื่องปรกติ คืองูเป็นสัตว์อันตราย ก็จะเอางูไปปล่อยในที่อื่นที่มันควรจะอยู่ พระสัปปทาสะรูปนี้ก็มาถามว่า “มีอะไร?” (พระทั้งหลาย) “งู” (พระสัปปทาสะ) “จะทำอะไรกับงูนี้” (พระทั้งหลาย) “จะทิ้งมัน” ท่านที่ชื่อว่าสัปปาทาสะ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้นะ แต่ว่าภายหลังมาเรียกกันว่า “สัปปทาสะ” ท่านบำเพ็ญภาวนามาจนรู้สึกหน่ายในสังขาร ก็เลยคิดว่า ‘เอาล่ะ! เดี่ยวเราจะเอางูเนี่ยมากัดเราให้ตาย เพื่อจะทิ้งกายนี้’ ก็เลยบอกกับพระที่เอาหม้อที่มีงูอยู่ข้างในว่า “เอามา เดี๋ยวผมจะเอาไปทิ้งเอง” เสร็จแล้วก็รับหม้อที่มีงูอยู่ข้างในเอามา เดินไปพอลับตาพระอื่นแล้ว ก็เอามือล้วงไปในหม้อ กะจะให้งูกัดตนเองให้ตาย ปรากฏว่างูไม่ยอมกัด งูไม่กัดก็จับปากงูให้อ้า แล้วเอานิ้วสอดเข้าไปในปากงู งูก็ไม่ยอมกัด ก็เลยคิดว่า ‘สงสัยงูนี้ไม่ใช่งูพิษ’ ก็ทิ้งงูนั้นไป ทิ้งให้มันไปในที่ๆ มันควรไป ภิกษุทั้งหลายถามว่า “ทิ้งแล้วหรือ? ทิ้งงูแล้วหรือ?” พระสัปปทาสะ) “ครับทิ้งแล้ว แต่ว่างูนั้นไม่ใช่งูพิษหรอก ไม่เป็นอันตราย” พระทั้งหลายบอกว่า “งูพิษแน่ๆ ผมดูออก มันแผ่แม่เบี้ยด้วย” (หมายความว่าน่าจะเป็นงูเห่า หรือไม่ก็งูจงอาจ) (พระทั้งหลาย) “มันขู่ฟู่ฟู่ด้วย กว่าจะจับได้จับยากมาก มันก็ขู่สู้” ภิกษุสัปปทาสะก็บอกว่า “ผมให้มันกัดนะ มันไม่ยอมกัด เอานิ้วสอดในปากมันแล้ว มันยังไม่กัดเลย” พระทั้งหลายก็ฟังแล้วก็เลยอุทาน ‘เอ๊ะ! แปลกดี’ ต่อมา อีกวันหนึ่งภายหลัง พระสัปปทาสะก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย ยังหาทางที่จะละร่างกายนี้ไม่ได้ วันหนึ่งมีช่างกัลบก.. รู้จักช่างกัลบกไหม? ก็คือช่างตัดผม เขาจะมีอุปกรณ์มาปลงผมให้พระ ก็มีอุปกรณ์ของช่างตัดผมมาด้วย สมัยก่อนไม่มีปัตตาเลี่ยน อุปกรณ์ก็จะเป็นมีด กัลบกก็เอามีดมาหลายเล่ม เป็นมีดโกน คงจะมีกล่องเครื่องมือของเขานะ แล้วก็วางเอาไว้ ปรากฏว่าพระสัปปทาสะเห็นเข้าก็วางแผน… ‘อ่า..! ได้แล้ว.. ได้อุปกรณ์แล้ว เราจะตัดคอด้วยมีดโกนนี้ เพราะเราเบื่อหน่ายสังขารเหลือเกิน’ ได้มีดโกนแล้วก็ไปยืนพาดคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ยืนนะ ยืนพาดคอไว้ที่ต้นไม้ คือคล้ายๆ ว่าพิงไว้หน่อยหนึ่งไม่ให้ล้ม แล้วก็จ่อคมมีดที่ก้านคอ พอจ่อคมมีดที่ก้านคอนะ ใจก็นึกทวน.. ใคร่ครวญถึงศีลของตนตั้งแต่อุปสมบทมา เห็นว่า ‘ศีลรักษาไว้ดีมาก ไม่มีมลทินเลย เหมือนดวงจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกบัง เหมือนแก้วมณีที่ขัดไว้ดีแล้ว’ ตรวจดูศีลนั้นแล้ว ก็เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั่วสรีระ พอข่มปีติได้แล้ว ก็เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหันต์ คือบรรลุพระอรหันต์ตอนที่เอามีดจ่อคอเนี่ยนะ บรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ก็เลยเอามีดมาคืนช่างตัดผม ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วก็ “อ้าว! ไปไหนมา” พระสัปปทาสะก็บอก “ผมเอามีดไปเนี่ย จะตัดก้านคอตัวเองให้ตาย” พระก็เลยถามว่า “อ้าว! แล้วทำไมไม่ตายล่ะ?” ก็บอกว่า “บัดนี้ ผมเป็นผู้ไม่ควรนำศัสตรามา ด้วยว่าผมคิดว่า ‘จักตัดก้านคอตนด้วยมีดโกนนี้’ เพราะตัดกิเลสเสียสิ้นแล้ว ด้วยมีดโกน คือญาณ” นี่นะ เอามีดไปก็จริง ไม่ใช่เอาไปตัดคอตัวเองด้วยมีดโกนนั้น แต่กลับตัดกิเลสด้วยญาณ ญาณอะไร? ก็วิปัสสนาญาณนั่นเอง พระทั้งหลายฟังแล้วก็ ‘โอ้! ไปพูดอย่างนี้ก็คือพยากรณ์ตนเองว่าเป็นพระอรหันต์” ก็เลยพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาพระขีณาสพย่อมไม่ปลงตนจากชีวิตด้วยมือตนเอง” เรียกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วเนี่ย จะไม่ฆ่าตัวตาย แต่ภิกษุทั้งหลายก็สงสัยว่า ‘อ้าว! องค์นี้เพิ่งพยายามจะฆ่าตัวตาย’ ก็เลยบอกว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสภิกษุนี้ว่า ‘เป็นพระขีณาสพ’ แต่ก็ภิกษุนี้ ผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ขนาดนี้ ทำไมจึงเบื่อหน่าย? และอะไรเป็นเหตุ เป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ของภิกษุนี้? และเหตุไร งูนั้นจึงไม่กัดภิกษุนี้?” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “งูนี้ได้เคยเป็นทาสของภิกษุนี้ในอัตภาพที่ ๓ นับจากนี้” หมายถึงว่า งูนี้เคยเป็นทาสของภิกษุนี้เมื่อ ๓ ชาติที่แล้ว มันระลึกได้ มันเลยไม่กัดเจ้านายของตน จึงกลายเป็นชื่อของพระรูปนี้ไปเลยว่า “สัปปทาสะ” ทาสะ แปลว่าทาส, สัปปะ ก็คืองู “มีทาสเป็นงู” ภิกษุนี้ก็เลยอาศัยว่าพระพุทธเจ้าระลึกชาติของท่านให้ฟัง ท่านจึงได้ชื่อตามคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกนั่นเอง ได้ชื่อว่า “สัปปทาสะ” ชื่อเดิมชื่ออะไรก็ไม่ทราบนะ ภิกษุเหล่านั้นฟังเนื้อความนี้จากสำนักพระพุทธเจ้า จึงทูลถามอีกว่า “ได้ยินว่า ภิกษุนี้ยืนจดคมมีดโกนที่ก้านคออยู่ แล้วบรรลุพระอรหัต พระอรหัตมรรคเกิดขึ้นได้โดยขณะเพียงเท่านั้น หรือพระเจ้าข้า?” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้ปรารภความเพียร ยกเท้าขึ้นวางบนพื้น เมื่อเท้ายังไม่ทันถึงพื้นเลย พระอรหัตมรรคก็ได้เกิดขึ้น แท้จริง ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะของท่านผู้ปรารภความเพียร ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของบุคคลผู้เกียจคร้าน” (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ เรื่องพระสัปปทาสเถระ) นี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวที่พระอรรถกถาจารย์บันทึกเอาไว้ ต้องบอกไว้ด้วยว่าเป็น “คัมภีร์ระดับอรรถกถาจารย์” ก็น่าสนใจอยู่ ให้เห็นว่าการฆ่าตัวตาย จะเป็นเรื่องของผู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ถ้าเป็นปุถุชนยังคิดอย่างนี้ได้ ประมาณว่าคิดผิด คิดแบบที่ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าบรรลุธรรมแล้ว บรรลุมรรคผลแล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว จะไม่ฆ่าตัวตาย เพราะอย่างน้อยๆ ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ “การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=mj39QxOKnJQ (นาทีที่ 1.30.50-1.40.27)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #มันคนละเรื่องกัน ?? #ถาม : ในพระไตรปิฎกที่มีพระฆ่าตัวตายจำนวนมาก พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าเป็นบาป พระที่ฆ่าตัวตายแบบนี้ กับพระที่ถวายหัว เป็นกรรมทำแบบเดียวกันหรือเปล่า? #ตอบ : พระพุทธเจ้าตำหนินะ ทรงตำหนิว่า “ภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุเหล่านั้น ไม่สมควร ไม่คล้อยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช่ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุเหล่านั้น จึงฆ่าตัวตาย เองบ้าง ใช้กันและให้ฆ่าบ้าง บางกลุ่มพากันเข้าไปหาตาเถนมิคลัณฑิกะ บอกว่า ‘ขอโอกาสหน่อยเถิด ท่านช่วยฆ่าพวกอาตมาทีเถิด บาตรและจีวรนี้จักเป็นของท่าน’ บ้างเล่า ภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ฯลฯ” (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วยการพรากกายมนุษย์ เรื่องหมู่ภิกษุผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐานกับตาเถนมิคลัณฑิกะ) เจตนาก็ไม่เหมือนกัน พระในต้นบัญญัติของพระวินัย ที่ท่านฆ่าตัวตายเพราะอึดอัด เบื่อหน่ายในชีวิต รังเกียจร่างกายตนเอง เพราะพิจารณาอสุภกัมมัฏฐาน แล้วเกิดความหน่ายอยากจะพ้นไปจากร่างกายอันไม่น่าดู อันน่ารังเกียจ อันน่าขยะแขยง อยากจะพ้นไป คล้ายๆ อยากได้กายที่เป็นทิพย์อะไรประมาณนี้ รังเกียจกายอันเน่าเปื่อนอยู่เป็นนิจ • ความรู้สึกไม่เหมือนกัน • จุดตั้งต้น หรือเหตุที่ทำให้คิดฆ่าตัวตายไม่เหมือนกัน ของท่านที่เป็นข่าวนี้ คือตั้งใจจะไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วจะเอาศีรษะเป็นเครื่องบูชา แต่เป็นวิธีบูชาที่ผิด การบูชา มี ๒ วิธี 1. อามิสบูชา บูชาด้วยสิ่งของ 2. ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติ มันคนละเรื่องกัน เหตุการณ์คือเหมือนฆ่าตายด้วยกัน แต่ต้นเหตุไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เป็นกรรมแบบเดียวกันไหม? …ไม่ใช่นะ คนละอย่างกัน เจตนามันไม่เหมือนกัน “ตัวเจตนาเป็นตัวกรรม” เจตนาไม่เหมือนกัน แล้วก็ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้ตำหนิท่านอาจารย์โดยส่วนเดียว…เออ ท่านสึกแล้วนะ คืออย่างน้อยๆ ท่านในข่าวนี้ ก็มีข้อดี คือว่าท่านสึกก่อน การสึกก่อน ก็คือยังเคารพในพระวินัย (ภิกษุพยายามฆ่าตัวเองตาย ต้องอาบัติทุกกฏ) แล้วก็จากข่าวก็คือ ท่านก็เตรียมตัว พยายามไม่ให้ใครเดือดร้อน เออ! พูดไปเดี๋ยวเข้าใจผิดว่าเหมือนจะส่งเสริม จริงๆ แล้วคือว่า เราก็อย่าไปพูดตำหนิท่านแรงนัก เอาเป็นว่าวิธีนี้อย่าไปทำ อย่าส่งเสริมก็แล้วกัน (เป็นมิจฉาทิฏฐิ) ส่วนเจ้าตัวเอง อีกหน่อยพอท่านบำเพ็ญบารมีมากๆ เข้า เวลาท่านย้อนมาถึงชาตินี้ ท่านก็จะเข้าใจเอง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=mj39QxOKnJQ (นาทีที่ 1.40.35-1.43.03)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #บริจาคเสื้อผ้าใช้แล้ว ?? #ถาม: เคยอ่านพุทธภาษิตว่า “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก” แต่โยมมีเสื้อผ้ามือสองสภาพดีที่ไม่ใช้แล้ว อยากบริจาคให้คนยากจนที่เขาขาดแคลน อย่างนี้โยมให้ทานไปแสดงว่าโยมให้สิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า? #ตอบ: อันนี้อย่าคิดมาก เรามีของแม้จะเป็นมือสองแต่สภาพดี แล้วก็เป็นของที่เหมาะสมกับผู้รับ ให้แล้วผู้รับมีความดีใจ เราก็ให้ได้ ขอให้ของนั้นดูมีสภาพดีจริงๆ สภาพดีเอาไปใช้ได้ ขอให้ลองนึกถึงผู้รับก็แล้วกันว่า ‘ผู้รับ รับแล้วมีความดีใจ’ แม้ว่ามันจะเป็นของมือสองก็ไม่เป็นไร อันนี้อาตมาภาพมีประสบการณ์ตอนสมัยเด็กๆ ไปอยู่บ้านน้า มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ บ้านอาตมาเนี่ยอยู่บางปะกง มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็อยู่อาศัยกับน้า น้าเนี่ยก็มีฐานะดี น้าแท้ๆ คือน้าผู้หญิง น้าเขยก็มีตำแหน่งสูงเป็นนายทหารอากาศ วันหนึ่งน้าผู้หญิงไปรื้อเอาเสื้อผ้าของน้าผู้ชาย เอาของที่ของน้าผู้ชายใช้แล้ว แต่ว่าพยายามเอาของที่คิดว่าน้าผู้ชายจะไม่เสียดายแล้ว ก็คงจะสภาพก็ดูดีแต่ว่าดีน้อยหน่อย น้าผู้ชายเห็นก็ถามว่า “ทำอะไร?” “จะเอาเสื้อของพี่ที่ไม่ใช้แล้ว ไปให้พี่ชาย” พี่ชายคนโตในขณะนั้นฐานะไม่ค่อยดี แล้วก็อยากจะให้พี่ชายได้ใช้เสื้อผ้าที่ดีๆ หน่อย น้าเขยบอกเลย “ไม่ได้!” ไอ้ไม่ได้เนี่ยนะ ฟังทีแรกอาตมาก็ตกใจเหมือนกันนะ ‘เอ๊ะ! น้าเขยจะหวงหรือเปล่า?’ ไอ้ที่ว่าไม่ได้คือ “ของมันดีน้อยไป” น้าเขยไปเลือกเองเลย เอาของดีๆ ทั้งนั้นเลย มือสองก็จริงคือใช้แล้ว แต่ว่าซักอย่างดีเก็บอย่างดี น้าเขยเลือกเองเลย เลือกเอาตัวหล่อๆ ตัวที่ดูดีๆ หล่อๆ “นี่เธอต้องเอาตัวนี้ๆ ๆ” เลือกให้เองเลย คือของที่น้าแท้ๆ ที่อาตมาไปอยู่ด้วย ของที่น้าผู้หญิงเลือก ยังดูไม่ค่อยดี ยังรู้สึกว่าการให้ในฐานะที่น้าผู้ชายมีเสื้อผ้าดีๆ นะ อยากจะให้ของดีๆ กว่านั้นอีก อย่างนี้แม้จะเป็นของใช้แล้ว ในความรู้สึกอาตมาก็ปลื้มใจกับการกระทำของน้าเขยคนนี้ ถือเป็นภาพประทับใจ อย่างโยมก็เหมือนกันถ้ามีเสื้อผ้าใช้แล้วก็จริง แต่ถ้าสภาพดีแล้วก็เอาไปบริจาค ผู้รับย่อมมีความชื่นชมยินดี คนที่เห็นพบกับเหตุการณ์นั้นก็น่าจะชื่นชมด้วย เราเองก็ดีใจ คนรับก็ดีใจ ทั้งสองฝ่ายดีใจ ใช้ได้ อย่าไปไม่ต้องถึงกับขนาดว่ามาเสียใจ ‘เอ้า! เราให้ของที่ไม่ดี’ จริง ๆ ของดี เป็นของดีอยู่แล้ว ก็ขออนุโมทนา พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=NRbrj_RS6oc (นาทีที่ 2.05-6.23 )

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ใส่บาตรแนววัดป่า ?? #ถาม: ถ้าผู้ใส่บาตรมีเงิน ๑๐๐ ต้องการใส่บาตร ผู้ใส่บาตรมีจิตตั้งใจเหมือนกัน พระผู้รับทุกรูปก็มีศีลเสมอกัน นี่เป็นคำถามแบบสมมุตินะ เขาตั้งขึ้นมาว่า – ผู้ใส่บาตรมีเงิน ๑๐๐ บาท ต้องการใส่บาตร – ระหว่าง ๒ คน มีเงิน ๑๐๐ เท่ากัน – ใส่บาตรกับพระผู้มีศีลเท่าๆ กันด้วย เกิดเหตุการณ์นี้คือว่า ก. นำเงิน ๑๐๐ บาทใส่บาตรครบชุด มี ข้าว น้ำ อาหาร ขนมหวาน ดอกไม้ ธูป เทียน แต่ว่าได้ชุดเดียว ใส่บาตรได้รูปเดียว ข. แบ่งเงินออกใส่บาตรพระ ๕ รูป แต่ละรูปก็จะใส่ได้แค่อาหาร เพราะมีงบแค่รูปละ ๒๐ บาท ๒ แบบนะ การใส่บาตรแบบไหนจะได้บุญมากกว่ากัน? เป็นคำถามแบบสมมติ เป็นคำถามแบบยากที่จะเกิดขึ้นจริง ทุกคนที่ว่ามานี้ คือเขาพยายามจำกัดตัวแปรทั้งหมดเลย มีตัวแปรอย่างเดียวคือ ข้อ ก ซื้อ ๑๐๐ บาทเนี่ยให้ได้ ๑ ชุด ให้มากๆ ให้ครบชุด แล้วถวายได้รูปเดียว กับกระจายเงินไปถวายกับพระทั้ง ๕ รูป ได้ ๕ รูป แต่ ๕ รูปก็จะได้นิดๆ หน่อยๆ ตามมูลค่า ๒๐ บาท ถามว่า แบบไหนได้บุญมากกว่ากัน? #ตอบ: อันนี้ก็ต้องดูว่า พระที่มานั้นนะ ๕ รูปนั้นท่านอยู่วัดเดียวกันไหม? ถ้าท่านอยู่วัดเดียวกัน วัดนั้นมีวิธีในการจัดการกับอาหารบิณฑบาตอย่างไรด้วย? อย่างสมมติว่าวัดสังฆทาน หรือว่าอย่างที่นี่ (สวนธรรมประสานสุข) หรือว่าวัดกรรมฐานทั่วๆ ไป มักจะใช้วิธีนี้คือว่า อาหารบิณฑบาตที่ได้มาไม่ว่าจะได้จากรูปไหน โยมจะใส่หัวแถว จะใส่กลางแถว จะใส่หางแถว เอามารวมกัน แล้วก็ถึงคราวพิจารณาอาหาร ก็จะพิจารณาตามลำดับพรรษา เพราะฉะนั้นของที่มาได้ จะมาจากกี่สาย หรือว่าใครได้มา จะเอามากองรวมกัน ทั้งข้าว ทั้งกับ ทั้งขนม ทั้งผลไม้ ทั้งน้ำ ก็จะมารวมกัน เพราะฉะนั้นถ้าในกรณีอย่างนี้ ใส่บาตร ๑ ชุดใหญ่ครบหมดเลยก็จะได้ของครบ แต่ถ้าวัดนั้นพระแต่ละรูปได้รับอาหารแล้ว แยกย้ายกันไปฉัน ไม่มีระเบียบ หรือไม่มีวิธีจัดการกับบิณฑบาต ด้วยการมารวมกันเหมือนวัดกรรมฐานทั่วไป อย่างนี้ก็แบ่งให้ ๕ รูป จะมีอานิสงส์กว่า เพราะว่าเราสามารถเอาเงินที่มีอยู่ ๑๐๐ บาท เป็นประโยชน์กับทั้ง ๕ รูป นึกออกไหม? มันก็มีองค์ประกอบที่ไม่เหมือนกันขึ้นมาอีก ทีนี้ถ้ามีกรณีเกิดขึ้นมาต้องตัดสินใจ พระมาพร้อมกัน ๕ รูป เรามองดูสิว่า ‘วัดเดียวกันไหม?’ ถ้าวัดเดียวกัน เป็นไปได้มากว่า ถ้าเป็นแนววัดป่านะ ‘ใส่องค์เดียว’ ใส่ไปองค์เดียวเลย แต่ถ้าดูแล้วเนี่ยแต่ละองค์ๆ มาจากต่างวัด เราก็ควรจะใส่ให้ครบทุกองค์ น่าจะมีความปลื้มใจมากกว่า เพราะเราได้ใส่ครบทุกองค์ เราได้ต่ออายุให้กับท่านได้ครบได้ทั้ง ๕ องค์ ๕ รูป แต่ถ้าป็นวัดกรรมฐานใส่องค์หน้าแล้วท่านก็ต่ออายุให้ทุกองค์เลย ไม่ว่าองค์หน้าจะได้เยอะแค่ไหนเนี่ยหมายความว่าทั้งแถวได้ด้วย ให้ทำความรู้สึกอย่างนี้นะกับวัดกรรมฐานทั่วๆ ไป ไม่ว่าท่านจะมาเป็นแถวยาว ๕ องค์ ๑๐ องค์ ๒๐ องค์ จะใส่องค์เดียวก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ตอนนั้นดูแล้วท่านมาเป็นแถวไหม? ถ้าท่านมาเป็นแถวนะ ใส่องค์เดียวได้ แต่ถ้าท่านกระจายๆ กันมา แล้วดูแล้วจีวรก็คนละสีด้วย ก็แบ่งถวายให้ครบ ๕ รูปก็น่าจะดีกว่า พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการ “ธรรมะสว่างใจ” ออกอากาศวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=NRbrj_RS6oc (นาทีที่ 32.41-38.33 )

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #หลุดปากด่าพระให้ไปขอขมา ?? #ถาม : ผมเผลอไปด่าผู้ทรงศีลที่เป็นพระครับโดยขาดสติ ผมจะทำอย่างไรดีครับ? #ตอบ : ไปขอขมา.. สมมติว่าไปด่าผู้ทรงศีล ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นพระก็ได้นะ เมื่อไปด่าใครก็แล้วแต่ ถ้าเราไปด่าเขาไปแล้วเนี่ย โดยเฉพาะในกรณีนี้เป็นการด่าพระนะ ถ้ามีโอกาสก็ไปขอขมาท่าน และถ้าท่านเป็นพระที่ดี ท่านจะไม่ถือโทษเรา ถ้าไปเผลอด่าพระที่ดี.. เราเองนั่นแหละจะมีโทษมาก “ท่านจะไม่ตกต่ำจากการด่าของเรา” นึกออกไหม? พระพุทธเจ้าถูกด่าหลายครั้งนะ ในพุทธประวัติเนี่ย เช่นครั้งหนึ่ง ที่กรุงโกสัมพี ท่านพระอานนท์กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เราไปที่อื่นกันดีกว่า ทำไมเมืองนี้มีแต่คนด่า” พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “อานนท์ ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?” “ก็ไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า” “ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?” “ก็ไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า” “ดูก่อนอานนท์ ถ้าทำอย่างนั้นเราก็จะหนีกันไม่สิ้นสุด ทางที่ถูกนั้นอธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ ใด ก็ควรให้อธิกรณ์สงบระงับในที่นั้นก่อนแล้วจึงไป” แล้วพระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาอธิกรณ์เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วย่อมไม่เกิน ๗ วัน ก็จะสงบระงับไปเอง” การด่าของคนอื่นมันไม่ได้ทำให้เราเลวไปตามคำด่าของเขา แต่เป็นโอกาสในการพิสูจน์ว่าเรามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน? ยิ่งถ้าเราไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางที่แสดงออกว่ามีโทสะเลยนะ มันกลับกลายเป็นว่าทำให้เราสูงเด่นมากขึ้น ท่านเปรียบเหมือนระฆัง ถ้าไม่มีใครตีเลย ก็ไม่รู้ว่าระฆังนี้ดีหรือเปล่า? พอโดนตี..เป๊ง! “โอ้โห!..เสียงกังวานดีจัง” ที่รู้ว่าระฆังดี เพราะว่าระฆังถูกตีนั่นเอง! เพราะฉะนั้น หันมาพิจารณาพระถูกเราด่า พระท่านไม่ได้เสื่อม หรือตกต่ำไป จากการด่าของเรา แต่เราต่ำ! มันต่ำตั้งแต่โกรธ แล้วก็ไม่รู้ ไม่มีสติรู้ความโกรธของตัวเอง ขณะที่หลุดปากออกไปด่าเนี่ย ตอนนี้เราทำอกุศลกรรมเรียบร้อยแล้ว มีทั้งมโนกรรม คือ มีความโกรธในใจ มีทั้งวจีกรรม คือ ไปด่า เมื่อทำ “อกุศลกรรม” ไปแล้ว ควรทำอย่างไร? ทางพุทธศาสนาเรียกว่าต้องมี “ปฏิกรรม” ปฏิกรรม ภาษาพระมักจะแปลว่า “การทำคืน” แต่จะแปลว่า “การแก้กรรม” ก็ได้ คือไปหาทางแก้ไข ยอมรับว่าได้ผิดพลาดทำไม่ดีไปแล้ว ก็ตั้งใจละเลิกบาปอกุศลที่เคยทำไปนั้น และจะสำรวมระวัง แก้ไขปรับปรุงตนเองมาทำกรรมดีต่อไป วีธีแก้ไขจากการที่เราเผลอไปด่าผู้ทรงศีล ก็ควรจะไปขอขมาท่าน ไปกราบเรียนท่าน “พระคุณเจ้า…” หรือจะพูดคำว่า หลวงลุง หลวงปู่ หลวงพ่อ อะไรก็แล้วแต่นะ ก็บอกไปว่า “ผมพลั้งพลาดไป ได้ด่าท่านไปในวันนั้น ๆ” อะไรอย่างนี้นะ ..“ผมขอขมาครับ” พระท่านก็จะบอกว่า “ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ” ประมาณอย่างนี้นะ อาจจะไม่ได้พูดอย่างนี้เป๊ะ ๆ สรุปว่า..ก็ควรจะไปขอขมานะ “การขอขมา” มันอาจจะยากสำหรับคนบางคนที่ถือตัว ความถือตัวจะทำให้คน ๆ นั้นไม่ยอมไปขอขมาใคร ความรู้สึกของคนถือตัว เหมือนจะต้อง ‘ลดตัวเอง’ ลงไป จริง ๆ ไม่ใช่ลดตัวเอง มันเป็นการแสดงความกล้าหาญต่างหาก! แสดงความกล้าหาญ ในการแสดงความผิดของตัวเอง ด้วยความยอมรับและสำนึกผิด แล้วพอท่านยกโทษให้เนี่ย มันเป็น “การยกโทษจริง ๆ” โทษคือความรู้สึกหนักอกหนักใจ จากการที่เรารู้สึกว่า ‘เรากระทำความผิดไปโดยการด่าท่านไป’ พอเราได้ “ขอโทษ” แล้วท่าน “ยกโทษ” ให้ ..เราจะรู้สึกเบาขึ้นมาทันที! เหมือนท่านได้ “ยกโทษ” ออกมาจริง ๆ ‘โทษ’ ที่มันรู้สึกหนักเหลือเกินเนี่ยนะ ท่าน ‘ยก’ ออกไป จากการที่ท่านให้อภัยกับเรา ดังนั้น ถ้าสำนึกได้ว่า ‘เราทำผิดจากการที่ไปด่าท่าน’ ให้หาโอกาสไปขอขมา อันนี้ขอแนะนำเท่านี้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/nimmalo/videos/1290812144648942 (นาทีที่ 44.35-48.28)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ดูแลบุพการี #ถาม : กราบรบกวนเรียนถามเรื่องการดูแลบุพการี ระหว่าง “บุตรที่มีทรัพย์-แต่ไม่มีเวลา” คือ ไม่มีเวลาดูแลบุพการี แต่มีทรัพย์ กับ “บุตรที่ไม่ค่อยมีทรัพย์-แต่มีเวลา” ก็คือ ได้ดูแลบุพการีด้วยการให้เวลาดูแล แต่ทรัพย์ไม่มาก สงสัยว่าบุตรคนไหนเป็น “บุตรกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี” และมากน้อยแค่ไหน? #ตอบ : ทันทีที่ได้เห็นคำถามนี้นะ มีความคิดแว๊บขึ้นมาว่า ‘คนถามเนี่ย.. เป็นคนไหน?’ คือจริง ๆ แล้วที่ดีที่สุดนะ ลูกทั้ง ๒ คนควรจะร่วมมือกัน และไม่ต้องมาแก่งแย่งว่าใครจะดีกว่าใคร? ใครจะเด่นกว่าใคร? เรามีทรัพย์-ไม่มีเวลา ก็สนับสนุนทรัพย์ เราไม่มีทรัพย์หรือมีน้อย-แต่มีเวลา ก็เอาเวลานั้นมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ เรียกว่า ลูกทั้ง ๒ คนเนี่ยนะ ต่างฝ่ายต่างเอาจุดดีของตัวเองมาส่งเสริมกันในการดูแลพ่อแม่ การดูแลพ่อแม่ก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันนี้ในกรณีว่าพ่อแม่มีลูก ๒ คน หรือ ๒ คนขึ้นไป เป็นพหูพจน์เนี่ยนะ ก็ลองดูอย่างนี้ ไม่ต้องมาเกี่ยงกันว่า ใครได้บุญมากกว่าใคร? ขอให้มีเจตนาที่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ ให้ท่านได้รับความสะดวกสบายในชีวิต ในความเป็นอยู่ในบั้นปลายชีวิต ก็น่าจะมาในแง่นี้ดีกว่า แต่ถามว่าใครกตัญญู?.. มันก็อยู่ที่ “เจตนา” ของแต่ละคน คนที่ดูแลใกล้ชิดหน่อย ถ้าเจตนาดีเขาก็ได้บุญเยอะหน่อย – นี้ความเห็นส่วนตัว เพราะว่า วัดเอาความง่ายความยากในการกระทำ.. คนจ่ายเงินมันง่าย นึกออกไหม? โอนเงิน ปึ๊ง.. เสร็จ!.. ง่าย! แต่คนดูแลนั่นก็อยู่ทั้งวันทั้งคืน หรืออย่างน้อย ๆ ก็อยู่หลายชั่วโมง ความลำบากในการเฝ้าดูแล โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่ป่วยติดเตียง หรือไม่ถึงกับติดเตียง แต่ก็ต้องเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา มีความต้องการโน่นต้องการนี่.. เรียกใช้ อย่างนี้นะ ลูกก็ต้องไปทำ บางคนต้องปั่นอาหาร ให้อาหารทางสายยาง ต้องคอยดูแลเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ต้องคอยเช็คอุจจาระปัสสาวะ ประมาณอย่างนี้ งานหนัก ๆ ต้องลงแรง เป็นงานหนัก.. การทำอย่างนี้ ถ้าทำด้วยใจที่ต้องการที่จะทดแทนบุญคุณด้วยความกตัญญูกตเวที อย่างนี้นะ ‘ย่อมได้บุญมากกว่า!’ คล้าย ๆ กับว่า ลงมือทำ แล้วมีความเพียร ในระหว่างนั้นก็มีความอดทน คุณธรรมต่าง ๆ มันเพิ่มพูนในระหว่างที่ดูแลพ่อแม่ มากกว่ากดเงินโอน..ปึ๊ง! เสร็จ!.. หมดภาระ! ไม่ใช่อย่างนั้น ใช่ไหม? ก็เป็นอันว่าถ้าเทียบกันแล้ว ถ้าจะบังคับให้เทียบกันจริง ๆ นะ “คนที่ลงแรงก็น่าจะ ‘มีโอกาส’ ได้บุญมากกว่า” คำว่า “มีโอกาส” หมายความว่า มันอาจจะมีจุดพลาดเหมือนกัน จุดพลาดมาจากอะไร? ก็คืออยู่ด้วยกันเนี่ย งานมันเยอะนะ.. พองานมันเยอะ บางทีก็อาจจะมีขัดเคืองขัดใจกันระหว่างผู้ดูแลกับผู้ถูกดูแล ระหว่างลูกกับแม่กับพ่อเนี่ยล่ะ บางทีก็อาจจะหงุดหงิด “ทำไมไม่ยอมฟังเลย!” หรือว่า “หมอห้ามอย่างนี้ ยังมากินอีก!” ดุพ่อดุแม่เข้าไปอย่างนี้นะ หรือว่าบางทีก็เหนื่อย! เหนื่อย..บางทีก็ออกแรงแบบกระแทกกระทั้น มันก็มีโอกาสเป็นได้ บางทีก็ด้วยความที่มันอ่อนเพลียทางด้านร่างกาย แล้วก็เหนื่อย ก็พลอยทำให้จิตใจ ‘ขาดสติยับยั้ง’ ก็เป็นไปได้! เพราะฉะนั้น มันก็มีโอกาสทั้งในแง่ดี และในแง่ที่ต้องระมัดระวัง ในกรณีที่ลูกที่มีเวลาและให้เวลาในการดูแลพ่อแม่ จะว่าทรัพย์มากหรือทรัพย์น้อยก็แล้วแต่นะ แต่มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ มีเรื่องที่ต้องระวังตรงนี้! ซึ่งปกติมาก เป็นเรื่องปกติมาก เพราะว่าบางทีมันเหนื่อย อันนี้ควรให้อภัย แต่อย่างน้อย ๆ ฝ่ายลูกก็ต้องระวังใจตัวเองว่า จะเหนื่อยขนาดไหน ถ้าพลาดอะไรไป :- – พลาดในแง่ของการกระทำทางกาย บางครั้งอาจจะรุนแรง – หรือทางใจด้วยความที่มีโทสะ – หรือทางวาจาพูดอะไรที่มันกระทบกระเทือนจิตใจของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าพลาดทางใดทางหนึ่ง หรือทั้งสามทาง ให้รีบรู้ตัวให้ทันเร็ว ๆ แล้วถ้ามีโอกาสให้รีบขอขมา!! ในการดูแลนั้นเป็นการแสดงกตัญญูกตเวที ส่วนความผิดพลาดนั้น อีกเรื่องหนึ่ง..คนละเรื่องกัน ความผิดพลาดเป็นความผิดพลาดของเรา เราก็ควรจะแสดงออกถึงความสำนึกผิด ในสิ่งที่เราได้คิด ได้พูด ได้ทำลงไป คล้าย ๆ กับว่า ถ้าคุณความดีในการดูแลก็ทำไปเรื่อย ๆ เป็นเรื่องดี ทีนี้โทษของการที่เผลอพลาด พูดไม่ดี ทำไม่ดี มันอาจจะมีบ้าง ก็เรียกว่า ต้องเคลียร์ (clear หมายถึง เปิดเผย และทำให้ไร้มลทิน) กันหน่อย เคลียร์ (clear) ในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป วิธีเคลียร์ (clear) ก็คือ ไปขอขมาซะ ไม่มีอะไรมาก พ่อแม่เนี่ยปรารถนาดีกับลูกอยู่แล้ว อย่าเก็บให้ค้างคาใจ! ทีนี้ในฝ่ายลูกที่ไม่มีเวลา.. แต่มีทรัพย์ บางทีอาจจะมาเยี่ยมเยียน หรืออาจจะโทรคุยกัน เวลาจะเสนอแนะอะไรเนี่ยให้คำนึงถึงคนที่เขาอยู่ดูแลพ่อแม่ด้วย..ว่าเขาลำบากนะ ไม่ใช่เอาแต่เสนอ หรือเอาแต่ตำหนิ “ทำไมไม่ทำอย่างนั้นล่ะ?” “ทำไมทำอย่างนั้น?” “ไม่ทำอย่างนี้ล่ะ?” อย่างนี้นะ บางทีที่เสนอไปเนี่ย มันเป็นข้อเสนอแบบ.. คิดเอาหรู ๆ แต่ในความเป็นจริงมันทำยาก หรือพูดแนวเชิงตำหนิติเตียน บางทีมันทำให้คนที่ดูแลเนี่ยท้อใจ ควรที่จะคอยให้กำลังใจ ควรสำนึกอยู่เสมอว่า.. “คนที่อยู่ดูแลพ่อแม่แทนเรา ในขณะที่เราไม่มีเวลาเนี่ยนะ เขามีพระคุณ.. เขาเป็นตัวแทนของลูกทั้งหลาย ที่ทำให้ลูกทั้งหลายรู้สึกว่า ‘ลูกไม่อกตัญญู’ ถ้าเราไม่มีคนนี้คอยดูแล เราจะต้องลางาน หรือต้องเปลี่ยนงาน มาดูแล” นึกออกไหม? เพราะฉะนั้น เวลาให้ความเห็นอะไรประมาณว่า มันไม่เพอร์เฟค (perfect แปลว่า สมบูรณ์แบบ) ตามที่เราคิด อะไรอย่างนี้นะ อย่าไปเอาอำนาจเงินที่ฉันทุ่มให้ มาแสดงความเป็นใหญ่ในการแสดงความคิดเห็น คล้าย ๆ มันเป็นการทำร้ายจิตใจกัน ทางที่ดีคือ ร่วมมือกัน ประสานกัน เริ่มจาก “ขอบคุณ” ..ขอบคุณคนที่อยู่ดูแล และให้กำลังใจ บางทีอาจจะต้องมีการผลัดเวรกันด้วยซ้ำไป เสาร์อาทิตย์เราว่าง ไปผลัดเวรดูแลพ่อแม่บ้าง จะได้รู้ว่า คนที่เขาอยู่เนี่ยเหนื่อยแค่ไหน? มันไม่ใช่ง่ายนะ ในการดูแลคนป่วย-คนแก่ อันนี้ประสบการณ์เลยนะ อาตมาเนี่ยดูแลโยมพ่อโยมแม่นะ ทั้งที่เป็นพระนี่แหละ แต่ไม่มีปัญหา เพราะอาตมาเป็นฝ่ายมีเวลา โยมพี่มีเงิน.. ก็ธรรมดานะเพราะเป็นฆราวาสก็ควรมีเงิน และโยมพี่เขาก็รู้ด้วยนะพระเนี่ยนะคงไม่มีเวลาตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนที่จะมาดูแลโยมพ่อโยมแม่หรอก (เพราะตอนนั้นก็ช่วยงานเผยแผ่ธรรมะกับครูบาอาจารย์ด้วย) ก็จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแล ผ่อนเบาภาระในการดูแลของอาตมา เวลาโยมพี่มาเยี่ยม ก็บรรยากาศก็ไม่เครียดอะไร เราก็ไม่เครียดอะไร เพราะเข้าใจกัน รู้หน้าที่กัน สนับสนุนกัน ส่งเสริมกัน เรามีเวลา เขามีเงิน อย่างนี้นะ ก็เรียกว่าเอาข้อดีของแต่ละคนมาสนับสนุนในการดูแลโยมพ่อโยมแม่ ก็เป็นอันว่าการดูแลไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็มีความเข้าใจกัน ต่างฝ่ายต่างชื่นชมกัน เพราะฉะนั้นคำถามแบบนี้ ถ้าเป็นคำถามจากลูก ให้ลูกทั้งสองฝ่ายคิดในแง่ว่า.. ‘เราควรจะนำเอาข้อดีของแต่ละคนมาช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน’ ทีนี้ขอฝากอีกเรื่องหนึ่ง คือ ในฝ่ายพ่อแม่ที่ถูกดูแล พ่อแม่ที่ถูกดูแลเนี่ย ต้องให้ความยุติธรรม ไม่เอนเอียง ระหว่างลูกที่ดูแล กับ ลูกที่ส่งเงินมา ถ้าเราเป็นพ่อเป็นแม่เนี่ย เราจะปลื้มใครมากกว่ากัน? ลองคิดดูนะ เราป่วยอยู่นะ ลูกที่ดูแลเราอยู่ กับลูกที่ส่งเงินมา ลูกที่ส่งเงินมา นาน ๆ ก็มาเยี่ยมทีหนึ่ง มาเยี่ยมทีก็เอาเงินมาให้ มาหอมแก้ม ฟุดฟาด ๆ แล้วก็กลับไป เอาหลานมาเยี่ยมหน่อย หอมแก้ม ฟุดฟาด ๆ แล้วกลับไป เราปลื้มใครมากกว่ากัน? หันมาดูไอ้ลูกที่ดูแล.. ‘ไอ้เนี่ยนะ เราสั่งอะไรนะ มันก็ไม่ยอมทำตามเลย เพราะมันจะเอาตามหมอ’ อันนี้เป็นเรื่องสมมตินะ ในฐานะพ่อแม่ ลูกที่อยู่ดูแลมันไม่ได้ดังใจ เราก็หงุดหงิดไอ้คนที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็คอยปลื้มไอ้คนที่นาน ๆ มาเยี่ยมที ยังไม่ทันได้ขัดใจอะไร มันก็กลับไปแล้ว อย่างนี้นะ พ่อแม่อาจจะเป็นเหตุหนึ่งทำให้คนที่อยู่ใกล้เนี่ยหมดกำลังใจได้ จริง ๆ แล้วพ่อแม่ควรจะให้ความยุติธรรมสักหน่อย เพราะมีโอกาสเป็นอย่างมาก อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า ‘ลูกที่ดูแลเนี่ย..จะเหนื่อย’ การเหนื่อย และการที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา หรือหลาย ๆ ชั่วโมงในหนึ่งวันเนี่ยนะ การกระทบกระทั่งกันก็เป็นไปได้ที่จะมี พ่อแม่ควรที่จะให้อภัยกับลูกที่ดูแล และควรจะเห็นอกเห็นใจว่าเขาเหนื่อย ในการที่ว่าต้องนอนเฝ้า ต้องคอยลุกแต่เช้า ตื่นก่อน-นอนทีหลัง ต้องคอยพลิกตัวทุก ๒ ชั่วโมง สำหรับคนที่ติดเตียง อย่างนี้เป็นต้น ต้องคอยทำอาหารด้วย ซักผ้าด้วย นี่เฉพาะดูแลแม่หรือดูแลพ่อนะ งานบ้านยังมีอีก มันก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอยู่สำหรับลูกที่จะมาดูแลเรา ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง เขาเผลอหงุดหงิดบ้าง ก็ให้อภัยเขา อย่าเก็บมาเป็นเรื่องเคืองแค้นใจ แล้วไปพลอยปลื้มแต่คนที่นาน ๆ มาที ซึ่งเขาไม่ค่อยได้ออกแรง อันนี้ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ควรจะดำรงความเป็นผู้ใหญ่ด้วยการที่มีพรหมวิหาร “พรหมวิหารธรรม” มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา – เมตตาลูกเท่า ๆ กัน ปรารถนาดีด้วยความเท่าเทียม – มีความกรุณาลูกที่กำลังเหน็ดเหนื่อยในการดูแลเรา เข้าใจในทุกข์หรือภาระที่เขาประสบอยู่ มีกรุณากับเขา – มีมุทิตา กล่าวชื่นชมในความใส่ใจ ให้กำลังใจบ้าง แม้คำว่า “ขอบใจ” เพียงคำเดียวก็ช่วยได้มาก – วางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง และทำตนเป็นคนไข้ที่ดูแลง่าย เป็นคนไข้ที่ไม่เรียกร้องอะไรมาก.. เมื่อเห็นลูก ก็คิดประมาณว่า .. ‘ประเสริฐเหลือเกิน เพราะเราเลี้ยงลูกมาดี ลูกจึงไม่หนีเราไปไหน ยังดูแลเราอยู่’ ‘ขอบคุณที่อยู่ในโอวาท’ ‘ขอบคุณพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนพระธรรมมา แล้วเราได้เรียนรู้ แล้วก็สั่งสอนลูกต่อ แล้วลูกเราก็รับเอาพระธรรมนั้นเอามาปฏิบัติ เป็นผู้กตัญญูกตเวที’ อย่างนี้ดีมาก!! ขอบคุณทุก ๆ คน ขอบคุณลูก ๆ ทุก ๆ คน ไม่ใช่ไปเกรี้ยวกราดใส่กับคนที่ทำอะไรไม่ดีในความรู้สึกของเรา มีแม่บางคนเกรี้ยวกราด ยังไม่ป่วยหนัก ลูกก็หนีแล้ว ยังไม่มีงานดูแลอะไรหนักเลยนะ แต่ว่าคอยเกรี้ยวกราด อะไรไม่พอใจก็เกรี้ยวกราด ลูกอยู่ไม่ไหว.. ก็หนี ลูกหนีไปเนี่ยนะ เพื่อนบ้านก็มาเยี่ยม.. ก็ด่าลูกให้เพื่อนบ้านฟัง! เพื่อนบ้านมาเยี่ยมทีเดียว ไม่มาเยี่ยมอีกเลย ญาติมาเยี่ยม ก็ด่าลูกให้ญาติฟัง ญาติมาเยี่ยมทีเดียว ก็ไม่เยี่ยมอีกเลย.. งงไหม? ไม่งงนะ! คือมีแต่โทสะ แล้วแสดงออกด้วยความเกรี้ยวกราด ด่าคนอื่นให้คนมาเยี่ยมเยียนฟังเนี่ยนะ คนฟังเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นยิ่งด่าลูกให้คนอื่นฟัง คนที่มาเยี่ยมยิ่งลำบากใจที่จะอยู่นั่งฟังคนนี้ด่าลูกให้ตัวเองรับรู้ ปัญหาอยู่ที่มีโทสะ แล้วไม่รู้ทันโทสะในใจนั่นเอง แต่ถ้าคนแก่ระดับเดียวกัน ป่วยระดับเดียวกัน แต่คนนี้ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยอำนวยความสะดวก ที่มาช่วยดูแล หรือแม้แต่มาเยี่ยมเยียน .. มีอยู่คนหนึ่งนะบอกว่า ลูกสาวขออนุญาตสามีมาดูแลตัวเอง เขาฝากขอบคุณลูกเขยว่า “ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์สละภรรยามาให้เรา” ทั้ง ๆ ภรรยา คือลูกสาวตัวเองนะ บอกว่า “จริง ๆ แล้ว เขามีครอบครัวของเขาแล้ว เขาก็มีภาระในครอบครัวของเขา” นี่แม่พูดอย่างนี้นะ “ลูกสาวเราก็มีภาระในครอบครัวของเขา สามีเขาอุตส่าห์เสียสละภรรยามาดูแลเรา” ขอบคุณไปถึงสามีซึ่งเป็นลูกเขยตัวเอง คิดดูสิ! อย่างนี้ใครจะไม่อยากดูแล? ใครจะไม่อยากเยี่ยมเยียน? ใครจะไม่อยากมาปรนนิบัติสนับสนุน? รู้สึกเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาเป็นลูกของคน ๆ นี้ เป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาดูแลคนดี ๆ แบบนี้ คนมาเยี่ยมได้ยินคำพูดอย่างนี้ก็พลอยปลื้มใจไปด้วย ก็ขอฝากไว้ สำหรับทั้งลูกสองฝ่ายที่ดูแลอยู่ กับลูกที่สนับสนุนด้านการเงิน ไม่ต้องมาแข่งบุญกัน แต่ให้มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน – ในฝ่ายลูกที่มีเงินสนับสนุน ก็ให้เห็นอกเห็นใจคนที่เหนื่อยยากในการดูแล เพราะมันเป็นงานยาก งานลำบาก – ฝ่ายลูกที่อยู่ดูแล ก็ให้ระวังว่า มันอาจจะมีบ้างที่มีการกระทบกระทั่งกันกับพ่อแม่ มันอาจจะมีบ้างที่เราจะเหนื่อย แล้วก็สติหลุด ทำอะไรรุนแรงเกินไป หรือพูดอะไรรุนแรงเกินไป ให้รับขอขมา ให้รีบขอโทษ – ฝ่ายคุณพ่อคุณแม่ ผู้เป็นผู้ใหญ่ ควรมีธรรมให้สมผู้ใหญ่ คือ “พรหมวิหารธรรม” มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา มีความเที่ยงธรรม ยุติธรรม ละอคติทั้งหลาย อคติในแง่ของพอใจ คือ ‘ฉันทาคติ’ อคติในความไม่พอใจ เป็น ‘โทสาคติ’ อคติในความเขลาเกินไป ก็กลายเป็น ‘โมหาคติ’ อคติในแง่ของความกลัว คือ ‘ภยาคติ’ เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องไม่มีอคติเหล่านี้ รักลูกด้วยความเข้าใจ ขอบใจลูกที่สนับสนุนการเงิน เสียสละทรัพย์มาดูแล เห็นอกเห็นใจลูกที่อยู่ดูแล ขอบใจที่เสียสละเวลา รวมทั้งแรงกายแรงใจ ประมาณอย่างนี้ แล้วคนดูแลก็มีกำลังใจ แล้วก็รู้สึกได้บุญทุกครั้งที่ได้ดูแล ลูกที่สนับสนุนทรัพย์ก็มีกำลังใจทำงานหาเงิน เห็นอกเห็นใจกันและกัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่กันอย่าง “รู้-รัก-สามัคคี” ก็ขอฝากไว้ทั้ง ๓ ฝ่าย ทั้งลูกที่มีเงิน กับลูกมีเวลา และพ่อแม่ที่กำลังให้โอกาสลูกในการที่จะแสดงความกตัญญูกตเวที พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=IFnq-Ew7VVU (นาทีที่ 1.00-20.28)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #นอนทับที่คนตาย #แผ่เมตตา ?? #ถาม : หนูเคยนอนทับที่คนฆ่าตัวตาย แล้วมีคนบอกว่า “คนที่ตายไปอยากอยู่กับหนู” หนูควรจะทำอย่างไร? #ตอบ : โอ้โห! มีที่ไหนที่คนไม่ตายบ้าง? มีอยู่คนหนึ่งนะ ในสมัยพุทธกาล พยายามหาที่ตายที่ไม่ทับที่คนอื่นเลย คือไม่อยากตายทับที่ใคร ..มีใครคิดอย่างนี้บ้าง? อย่าว่าแต่ ‘นอนทับที่ตายใคร’นะ ..นี่ไม่อยาก ‘ตายทับที่ใคร’ อุตส่าห์พาลูกไปเลือกหาที่เผาศพตัวเอง สั่งลูกไว้นะ “ถ้าพ่อตายแล้ว ใหเผาศพพ่อที่นี่นะ อย่าไปเผาในป่าช้านะ ไม่อยากปะปนกับชาวบ้าน” ไปเลือกทีที่ดูแบบ.. ไม่มีใครตายตรงนี้แน่ ๆ เลย ประมาณอย่างนี้นะ ไปได้ที่บนภูเขาแห่งหนึ่ง.. พระพุทธเจ้ามาดักโปรดที่เชิงเขา ถามได้ความแล้ว ตรัสกับลูกว่า “พ่อเจ้าถือความบริสุทธิ์ในที่ตายไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้ ชาติก่อนนี้ก็คิดอย่างนี้ แล้วก็มาเลือกที่เดียวกันนี้ซ้ำอีก” ลูกก็อยากรู้เรื่องชาติก่อน พระองค์ก็ตรัสเล่า ชาติก่อนทั้งสองก็เป็นพ่อลูกกันแบบนี้ พ่อก็สั่งลูกแบบนี้ มาเลือกที่เผาศพตรงนี้ ที่คิดว่าไม่ซ้ำที่ใคร ชาตินั้นพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ก็มาบอกกับพ่อว่า “คุณมาเลือกที่นี่เป็นที่เผาศพตนเองมา ๑๔,๐๐๐ ชาติแล้ว” พ่อลูกก็พิสูจน์ด้วยการขุดไปดู ก็พบกองกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่ทับที่คนอื่นเลยนะ.. นี่ทับที่ตายตัวเอง!! พระองค์จึงตรัสสอนว่า “สถานที่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นป่าช้าก็ตาม ไม่ใช่ป่าช้าก็ตาม จะหาสถานที่ที่ว่างจากกะโหลกศีรษะสัตว์ที่ตายในแผ่นดินนี้ ไม่มีเลย” “ที่ที่ไม่มีใครเคยตาย ไม่มีในโลก” (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อุปสาฬหกชาดก) เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีใครติดตาม ไม่ว่าจะนอนตรงไหนนะ มันทับที่คนตาย สัตว์ตาย อะไรตาย เยอะแยะไปหมดแล้ว ไม่รู้กี่คืนมาแล้ว ตั้งแต่เกิดมา ฉะนั้น ไม่ต้องกลัว! ก่อนนอน ไหว้พระ-สวดมนต์-แผ่เมตตา ไม่ใช่ว่า ไปกลัวว่าใครติดตาม แล้วไล่เขานะ ไม่ใช่อย่างนี้นะ คนที่อยู่ตรงนั้นนะ เขาอยู่ก่อนเรา เราไปนอนนะ เราไปนอนที่หลังเขา นึกออกไหม? เพราะฉะนั้น ให้แผ่เมตตา.. “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกัน อย่าได้พยาบาทซึ่งกันและกัน อย่าได้มีทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ละคน ๆ แต่ละสัตว์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลาย” หมายถึงว่า เขาก็รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยของเขา และเราเองเป็นหนึ่งในสรรพสัตว์ด้วย ก็จงรักษาเราเนี่ยให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วย ต่างฝ่ายอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน คล้าย ๆ แผ่เมตตาให้กับเราและทุก ๆ คนเสมอภาคทั้งหมดเลย อันนี้เป็นวิธีแผ่เมตตาแบบง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่ว่าเราจะไปขับไล่ไม่ให้ใครติดตามเรา เขาจะอยู่ก็ได้ แต่ให้อยู่เป็นมิตรกัน นึกออกไหม? “อยู่เป็นมิตรกัน” เหมือนอย่างที่พระ ที่ท่านไปอยู่ป่าแล้วก็ถูกผีหลอก ความรู้สึกพระ คือถูกผีหลอก !! แต่ความเด็ดเดี่ยวของท่าน คือ อธิษฐานพรรษาไปแล้ว ท่านก็อยู่ให้ครบพรรษาไป ..ออกพรรษาปุ๊บ รีบกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างพรรษานี้?” ..“โอ้โห! ลำบากเหลือเกินพระองค์ ผีหลอกทั้ง ๓ เดือน มาสารพัดรูปแบบ ห้อยหัวมา แหวะอก ทำคอขาด แลบลิ้นปลิ้นตา โผล่หน้าต่าง โผล่ใต้ถุน” อะไรอย่างนี้ .. ผีก็มีความเพียรพยายามที่จะหลอกเหลือเกินตลอดทั้ง ๓ เดือน แต่ท่านอธิฐานแล้ว นี้ความเด็ดเดี่ยวของท่านนะ เป็นเรื่องที่น่านับถือท่านมากเลย เด็ดเดี่ยวมาก! แต่สุดท้ายก็มาปรึกษากันว่า “เสนาสนะนี้ไม่สัปปายะ คือไม่เหมาะกับพวกเรา เรากลับไปกราบขอให้พระองค์แนะนำสถานที่อื่นดีกว่า” พอไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามถึง พระพุทธเจ้าก็เลย ตรัสบอกว่า.. “เสนาสนะอื่นไม่เหมาะกับพวกท่านหรอก คุณไปอยู่ที่นั่นแหละนะ เอาอาวุธเครื่องป้องกันไป” ..“อ้าว! พระจะเอาอาวุธเครื่องป้องกันจากไหน?” บอกว่า..อาวุธนี้ คืออาตมาเปรียบเทียบเอาเองนะ เทียบเป็น “ธรรมาวุธ” พระองค์ก็สอนให้พระภิกษุเหล่านั้นเจริญเมตตา เมตตานี้เป็นอาวุธเครื่องป้องกันตัวของพระภิกษุและพุทธศานิกชนทั่วไป เจริญเมตตา คือ.. พระพุทธเจ้าสอนนะ ให้กลับไปที่เดิมนั่นใหม่ เป็นเรา ๆ ไปไหม? ถูกผีหลอกมา ๓ เดือนที่นั่น แล้วพระพุทธเจ้าบอก “ให้กลับไปอยู่ที่นั่น” เป็นเรา ๆ ไปไหม? แต่พระพุทธเจ้าให้อาวุธเครื่องป้องกันแล้ว คือ “ให้เจริญเมตตา” ให้เจริญเมตตากับสรรพสัตว์ ในพระสูตร แสดงถึงสัตว์ประเภทนั้นประเภทนี้ ทั้งยาว ทั้งใหญ่ ทั้งปานกลาง ทั้งสั้น ทั้งเล็ก ทั้งอ้วน ทั้งที่เห็นแล้วและที่ยังไม่เห็น ทั้งที่ไกลที่ใกล้ ทั้งที่..“ภูตา วา สัมภเวสี วา” รู้จักไหม? ‘ภูตา’ คือ เป็นพระอรหันต์แล้ว ‘ภูตะ’ คล้ายๆ verb to be.. แปลว่า “เป็นแล้ว” เป็นแล้ว คือเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะไม่เป็นอะไรในภพไหนอีก “สัมภเวสี” คือ กำลังแสวงหาภพอยู่ ได้แก่ พระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ก็คือ สัตว์ทั้งหลายตั้งแต่อนาคามีลงมาจนถึงสัตว์นรกอเวจีเลย คือ พวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นล่ะ เป็นพวกที่แสวงหาภพอยู่ แสวงหาที่เกิดอยู่ ..สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดเลย รวมแล้วคือ “สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ให้ความปรารถนาดีเหมือนกับแม่ที่มีลูกคนเดียวแล้วรักลูกนั้น เอาชีวิตตัวเองแทนได้ถ้าเกิดมีใครมาทำร้ายลูก ถ้ามีใครมาทำร้ายลูกนะเอาชีวิตแม่นี้เสียสละแทนลูกคนนี้ได้ “มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข” “มารดาถนอมลูกคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยการยอมสละชีวิตของตนแทนได้ ฉันใด” แผ่เมตตาด้วยความรู้สึกแบบนี้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลองนึกดูนะว่า เราถูกทักเพียงแค่ไปนอนทับที่คนตาย แล้วยังไม่ถูกหลอกเลย ของท่านเนี่ยนะ ถูกหลอกมา ๓ เดือน “ผีมีจริงไหม?” ถ้ามีใครไปถามท่าน ท่านบอกบอก “มีแน่ ๆ เลย” สรุปแล้วคือ พอไปถึง ..ได้รับธรรมาวุธแล้วจากพระพุทธเจ้า ไปถึงชายป่านั้นที่เคยถูกผีหลอกเนี่ย แผ่เมตตาเลย ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย แผ่เมตตาไป “สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ทำใจเหมือนเป็นแม่หรือเป็นพ่อ มีความรักกับลูก แต่ในพระสูตร พระองค์ให้ใช้ความรู้สึกของแม่นะ เพราะแม่เนี่ยจะมีความรักลูกอย่างซาบซึ้งมากกว่า ก็แผ่เมตตาประมาณว่า.. “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” ปรากฏว่า! ในที่นั้นนะที่ว่ามีผีหลอกเนี่ย ไม่ใช่ผีเปรต ไม่ใช่ผีอสุรกายที่ไหน แต่เป็นเทวดา! เป็นเทวดาที่อึดอัดใจว่า พระมาพักอยู่ที่เนี่ยนะ ท่านเป็นเทพารักษ์ ..รู้จักเทพารักษ์ไหม? ไม่ได้อยู่สำโรงนะ! “เทพารักษ์” คือ เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้ เวลาพระท่านมาอยู่โคนต้นไม้ เทพารักษ์ท่านทนเดชแห่งศีลของพระไม่ได้ ต้องลงมาจากวิมาน ประมาณว่าอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ ทีนี้พอพระท่านมาอยู่นาน ๆ ต้องลงจากวิมานทุกวันเนี่ยนะ เทพารักษ์ก็รู้สึกว่าลำบาก ก็อยากให้พระเนี่ยออกไป เวลาจะให้พระออกไปก็ไม่แสดงตนเป็นเทวดามา ก็แสดงตนเป็นผีแบบที่เราเข้าใจ ผีที่น่ากลัว ทีนี้คราวนี้ พอพระแผ่เมตตาไป เทวดาทั้งหลายก็คิด.. ‘อ้าว! พระเหล่านี้จริง ๆ แล้วเนี่ย ไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับใครเลย ปรารถนาดีกับทุกคน รวมทั้งเทวดา.. เราเป็นหนึ่งในผู้ที่เขาปรารถนาดีด้วย’ เมื่อก่อนนี้พระท่านคงไม่ได้คิดอย่างนี้ ไม่ได้มีความคิดในแง่ของปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข ไม่ได้คิดอย่างนี้ มุ่งจะฝึกทำจิตให้มีอารมณ์เดียว พอถูกผีหลิกมัวแต่รักตัว แล้วก็อาจจะพยายามจะขับไล่ ประมาณนี้นะ ‘เมื่อไหร่ มันจะไปสักที จะพ้น ๆ ไปสักที!’ ถ้าเป็นได้ก็ภาษาไทยประมาณ “ชิ่ว ชิ่ว” อะไรอย่างนี้นะ มันไม่มีความเมตตาเกิดขึ้น แต่ตอนไปครั้งหลัง ๆ จากไปกราบพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าให้ธรรมาวุธคือ “ให้แผ่เมตตา” ปรากฏพอหลังจากแผ่เมตตาไปแล้วเนี่ย เทวดาทั้งหลาย ยินดีต้อนรับ อยากให้พระที่มีเมตตาเนี่ย อยู่ตรงนั้นนาน ๆ อ้าว! กลายกลับเป็นอย่างนี้อีก ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ไล่นะ ยินดีต้อนรับให้อยู่ที่นั่นนาน ๆ เป็นมิตรซึ่งกันและกัน แล้วคอยปกป้องด้วย ในที่สุดพระภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์กันทุกรูป (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เมตตสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ) เวลาเราแผ่เมตตาเนี่ยนะ พระพุทธเจ้าจึงแสดงว่า.. อานิสงค์ของการแผ่เมตตา คือ 1. หลับสบาย 2. ตื่นขึ้นก็สบาย 3. ขณะนอนหลับก็ไม่ฝันร้าย 4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย 5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย อมนุษย์ ในที่นี้หมายถึงว่า ไม่ใช่เฉพาะเทวดา ก็คือรวม เปรต อสุรกาย ที่เรากลัว ๆ กันด้วย พอแผ่เมตตาไปแล้ว เขากลับรักเราด้วย 6. เทวดาคุ้มครองรักษา 7. ไม่เป็นอันตรายจากไฟ จากอาวุธ จากยาพิษอะไรทั้งหลาย 8. จิตเป็นสมาธิได้เร็ว 9. ผิวหน้าผ่องใส 10. ตายอย่างมีสติ ไม่หลงตาย 11. ถ้าไม่บรรลุคุณวิเศษสูงขึ้นไป อย่างน้อยก็เป็นพระพรหม อยู่บนพรหมโลก นี้คืออานิสงส์ของเมตตา ดังนั้น ถ้ากลัวตามคำทักของคนอื่นว่า “ไปนอนทับที่ตายของใคร แล้วคนที่ตายตรงนั้น จะมาตามเรา” ถ้าเขาตามมาแล้วเราแผ่เมตตา เขาก็กลายเป็นเพื่อนคอยดูแลเราปกป้องเรา.. อันนี้ดีไปเลย นึกออกไหม? ไม่ต้องไปกลัว.. แผ่เมตตาไป แล้วไม่ต้องไปกลัวว่า ‘เอ๊ะ! แล้วคืนนี้เราจะไปนอนทับที่ตายใครหรือเปล่า?’ แผ่เมตตาไปก่อน ทับแน่..ทับแน่! ไม่มีตรงไหนที่ไม่มีคนตาย ทับแน่! เพราะฉะนั้นหมดห่วง ไม่ต้องกลัว เอานะ.. ให้แผ่เมตตานะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการ “ธรรมะสว่างใจ” ออกอากาศวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=IFnq-Ew7VVU (นาทีที่ 20.30-30.00)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #พลัดพรากจากของรัก ?? #ถาม : คนเราจะจากกัน เป็นเพราะหมดบุญวาสนาต่อกัน ใช่หรือไม่? ขอพระอาจารย์ช่วยหาอุบายที่จะทำให้ลืมอดีตด้วย #ตอบ : แสดงว่าผู้ถามกำลังพลัดพรากใช่ไหม? ..เป็นเรื่องธรรมดานะ เป็นเรื่องธรรมดา เวลาเราพลัดพราก มันมีบทธรรมที่ควรพิจารณา คือบท “อภิณหปัจจเวกขณะ” เป็นบทธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ชาวพุทธทั้งหลายพิจารณาอยู่ทุก ๆ วัน คือ ควรพิจารณาทุก ๆ วัน ว่า ๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๔. เราจะต้องพลัดพรากจาก “ของรักของเจริญใจ” ทั้งสิ้น เป็นธรรมดา “ของรัก ของเจริญใจ” หมายถึง ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งของ ๕. เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน ทำกรรมอะไรไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ข้อที่ ๕ เป็นเรื่องของเชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตอนนี้สภาวะของผู้ถามมันจะอยู่ในข้อที่ ๔ “เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ทั้งสิ้น เป็นธรรมดา” ถ้าเราไม่ทำใจอย่างนี้ไว้ก่อน หรือไม่พิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อน ยามรัก ก็รักสุดหัวใจ ..เวลาต้องพลัดพรากจากไปก็รู้สึกเหมือนใจจะขาด แต่ถ้าเราพิจารณาไว้ก่อนนะ.. “สักวันจะต้องจากไป สักวันจะต้องพลัดพราก” ได้ของรักอะไรมา ก็รู้อยู่ว่า สักวันจะต้องพลัดพราก ได้อยู่กับคนรัก ก็รู้อยู่ว่า สักวันหนึ่งเหตุการณ์นี้จะต้องหายไป คนที่อยู่ร่วมกัน ประชุมกันในที่นี้ ซึ่งกำลังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนี้ มันจะไม่เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดไป เหตุการณ์นี้จะต้องเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน แต่อาจจะรักกันดีอยู่ แต่พลัดพรากกัน ทั้งจากเป็น และทั้งจากตาย นึกออกไหม? ถ้าเรามองเหตุการณ์ทุก ๆ อย่าง ที่ผ่านมา ว่า “สิ่งนี้เป็นของชั่วคราว” สิ่งนี้เป็นของชั่วคราว – เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องชั่วคราว เวลาเราเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องชั่วคราว เราจะไม่ประมาท!! เราจะไม่ประมาท ไม่คิดว่า ‘ทุกคนจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป’ ตอนที่เราคิดว่า.. ‘ทุกคนจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป’ ‘ภาพนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อยู่อย่างนี้’ ‘กลุ่มนี้จะต้องอยู่กันอย่างนี้ตลอดไป’ บางทีเราจะประมาทอย่างหนึ่ง.. ที่น่ากลัวก็คือว่า เวลามีอะไรควรทำ..ก็ไม่ทำ เวลาจะดูแลกันให้ดี ๆ ก็ไม่ยอมดูแล เพราะคิดว่า ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ เวลาจะพูดอะไรดี ๆ ก็คิด.. ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ เวลามีความผิดอะไรขึ้นมาจะขอโทษ ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ มันผัดเวลาไป ไม่คิดว่า.. ‘ถ้าเขาตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ได้ขอโทษเขาแล้วนะ’ ‘ถ้าเขาตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ได้ขอบคุณเขาแล้วนะ’ คุณความดีที่เขาทำกับเรา เราก็เลยไม่ได้ขอบคุณเขาเลย ความผิดพลาดพลั้งอะไรของเราที่เราเผลอไป พลั้งไป ที่ทำไปกระทบเขา แทนที่จะได้ขอโทษ ก็ไม่ได้ขอโทษเขาเลย หรือบางทีเขาเป็นฝ่ายกระทำกับเรา แทนที่เราจะบอกให้อภัยกับเขา ก็ไม่ได้บอกเขาเลย การขอบคุณ การขอโทษ การให้อภัยกัน..ไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะคิดว่า..จะอยู่กันอีกนาน ๆ ทีนี้ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอว่า “เราจะต้องพลัดพราก” ที่พบกันอยู่ทุกวันนี้นะ มันไม่แน่นะ แม้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายไป เราเองก็อาจจะไป เขาอาจจะอยู่ แต่เราอาจจะตาย หรือเขาอาจจะอยู่ปกตินะ แต่เราต้องไปเข้าโรงพยาบาล..อีกยาวเลย และยิ่งถ้าเป็นโควิด (covid-19) นะ .. เขาให้เราอยู่คนเดียวด้วย เจอใครไม่ได้ด้วย ใครจะมาเยี่ยมก็ไม่ให้เยี่ยมด้วย แค่นี้ก็รู้สึกว่า ‘เอ้า! ชีวิตเป็นของไม่แน่แล้ว’ ใช่ไหม? แม้จะยังมีชีวิตอยู่ จะขอโทษ จะขออภัย หรือจะขอบคุณอะไรกัน..ไม่ได้แล้ว จะบอกรักอะไร.. เขาก็ไม่ให้เข้าไปเจอกันแล้ว เพราะฉะนั้น การพิจารณาว่า ‘เราจะต้องพลัดพราก’ มันไม่ใช่เพียงแค่ว่า ‘เตรียมใจที่จะไม่เสียใจ’ นะ มันคือ มีความไม่ประมาทในการพูด ในการคิด ในการทำ ในการปะทะสังสรรค์ซึ่งกันและกัน ในการใช้ชีวิตร่วมกัน เวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันจริง ๆ เนี่ย จะไม่เสียใจกับช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน รู้สึกว่าเราได้ใช้ชีวิตร่วมกันเนี่ย ‘เป็นบุญเหลือเกินที่ได้อยู่กับคน ๆ นี้’ และได้ใช้ชีวิตร่วมกัน – มีชีวิตอย่างมีคุณค่าร่วมกัน จากกันไปแล้ว ก็จากกันด้วย “ความสบายใจ” ไม่ติดข้องในแง่ที่ว่า “เคยทำอะไรผิด แล้วไม่ได้ขอโทษ” หรือเห็นคุณค่าของเขา เขาทำอะไรกับเรา เขาเอื้อเฟื้อเรา เรายังไม่ได้ขอบคุณอะไรเขาเลย มันค้างคาใจ เมื่อพิจารณาว่า “เราจะต้องพลัดพราก” แล้วไม่ประมาท ก็ไม่ติดค้างอะไรเลย เพราะ เราพูดอยู่เสมอ ว่า “ขอบคุณ” เราพูดอยู่เสมอ ว่า “ขอโทษ” ทุกครั้งที่รู้สึก ทุกครั้งที่เห็นการกระทำ อันเป็นคุณค่าของเขา “เราขอบคุณ” ทุกครั้งที่เห็นว่าเรามีส่วนผิดอะไรบ้างเนี่ยนะ “ขอโทษ” เราจะไม่ตกค้าง! ทีนี้ ถ้าตอนนี้มีการพลัดพรากเกิดขึ้นแล้ว และในอดีตเราก็ไม่เคยพิจารณาอย่างที่ว่ามานี้ เราก็สามารถทำได้ตอนนี้เลยว่า “นี่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตทุกชีวิต” ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา .. เป็นเทวดาก็มีตายนะ เทวดาก็มีพลัดพรากนะ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เคยพิจารณา ก็ให้หัดพิจารณาว่า “เป็นเรื่องธรรมดา” ถ้าเขาจากไปแบบจากดี เขาไปดี ก็อนุโมทนากับเขา ถ้าเขาจากไปแบบไม่ดี ในแง่ที่ว่าเสียชีวิต ก็ทำบุญอุทิศให้เขา ถ้าเรามีชีวิตร่วมกันมากับเขาระยะหนึ่ง ความผูกพันมีอยู่เนี่ยนะ ก็เป็นไปได้ง่ายที่เวลาเราทำบุญ แล้วระลึกถึงเขา เขาจะรับรู้ได้ *** อย่ามัวแต่เสียใจ อย่ามัวแต่คร่ำครวญหวนไห้อาลัยอาวรณ์ ให้รู้ลงปัจจุบันไปเลยว่า “ขณะนี้กำลังมีความอาลัยอาวรณ์” ถ้ารู้อย่างนี้ได้ ก็ได้ทำกรรมฐานด้วย ได้เจริญสติด้วย เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตด้วยว่า “ชีวิตนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพลัดพรากจากกัน” แล้วถ้าจิตมันหวนไห้อาลัยถึงอดีต ตอนนี้เป็นโอกาสที่เราจะมาทำกรรมฐาน เป็นโอกาสที่เราจะมาเจริญสติ *** เพราะขณะนี้เหตุการณ์ปัจจุบันคือ เรานั่งอยู่ (สมมติว่านั่งอยู่นะ) ปัจจุบันคือ เรานั่งอยู่ แต่ภาพในใจมันไม่ใช่ภาพเรากำลังนั่ง แต่เป็นภาพของเราในอดีตที่กำลังมีชีวิตร่วมกับเขา ตอนนี้เรากำลังคิดถึงอดีต ในลักษณะที่ว่า “มีอาการคร่ำครวญหวนไห้อาลัยหา” ภาพอดีตโผล่ขึ้นมา ให้รู้เลยว่า.. “ตอนนี้เรากำลังหลุดจากปัจจุบัน” ให้รู้ว่า “เราเผลอคิดไปแล้ว” ให้รู้ทันว่า “เผลอคิด” หรือกำลังวาดอนาคตว่า ‘เรากับเขาน่าจะอยู่ด้วยกันนะ อนาคตเราจะได้ทำอย่างนั้น ๆ’ ให้รู้เลยว่า ตอนนี้ใจเรากำลังหลุดจากปัจจุบัน ไปสู่อนาคต คิดวาดฝันไปว่า เดี๋ยวจะไปเจอเขาตรงนั้น ๆ อะไรอย่างนี้นะ อันนี้หลุดจากปัจจุบันไปสู่อนาคตแล้ว ให้รู้ว่า “เผลอคิด” ปัจจุบันกำลังนั่งอยู่ – รู้ว่าปัจจุบันร่างกายกำลังนั่ง ปัจจุบันกำลังหายใจอยู่ – ให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายเรากำลังหายใจอยู่ ถ้าเผลอคิดปุ๊บ – รู้ปัจจุบันทันที ว่าเมื่อกี้นี้ “เผลอคิด” ก็เรียกว่า รู้จิตลงปัจจุบัน แต่เป็นรู้จิตลงปัจจุบันแบบนี้ เรียกว่า “ปัจจุบันสันตติ” สันตติ แปลว่า สืบต่อ เป็นรู้ปัจจุบันแบบเมื่อกี้นี้ สด ๆ ร้อน ๆ เลย จิตปัจจุบันจริง ๆ คือ รู้ แต่รู้จิตที่เพิ่งดับเมื่อกี้ สด ๆ ร้อน ๆ ขณะที่เผลอ ขณะนั้นไม่รู้สึกตัว เพราะขณะปัจจุบันกำลังเผลอ ต้องให้ขณะจิตที่เผลอนั้นดับไปก่อน แล้วให้จิตที่เกิดสืบต่อ รู้ทันทีว่า เมื่อกี้เผลอ ถ้ามารู้ทันปัจจุบันถึงร่างกาย จะเป็นปัจจุบันแท้ ๆ เรียกว่า “ปัจจุบันขณะ” รู้กาย รู้เป็น’ปัจจุบันขณะ’ได้ ตอนนี้กำลังหายใจ กำลังนั่งอยู่ รู้ไป ใจเผลอคิดถึงอนาคตอีกแล้ว.. ให้ ‘รู้ทัน’ ว่าเมื่อกี้นี้สด ๆ ร้อน ๆ เลย ‘เผลอ’ ‘เผลอ’ เป็นปัจจุบันแบบสด ๆ ร้อน ๆ ต่อเนื่อง ‘รู้’ เป็นปัจจุบันขณะแท้ ๆ แต่มีจิตเมื่อกี้เป็นอารมณ์ คือรู้ว่าเมื่อกี้นี้ เผลอคิดอีกแล้ว อย่างนี้ใช้ได้! เพราะฉะนั้น ให้สภาวะที่กำลังคิดถึงเขา คนที่กำลังปัจจุบันนี้พลัดพรากจากกันไปแล้ว ให้สภาวะนี้เป็นประโยชน์ต่อการภาวนาของเรา อย่าให้มันมาซ้ำเติมให้เราเกิดมีความหวนไห้อาลัยหา ซึ่งทุกครั้งที่หวนไห้อาลัยหา เรากำลังเศร้าหมองอยู่ กำลังมีความทุกข์อยู่ ให้จิตที่กำลังตกอารมณ์คิดถึงเขาบ่อย ๆ เนี่ย เอามาเป็นกรรมฐานเลย ยิ่งเกิดบ่อย และรู้บ่อย ยิ่งดี เผลอคิดถึงคนนี้ ถ้ารอบแรกนะ อาจจะเผลอเป็น ๒ – ๓ นาที แล้วรู้ พอมันเริ่มเห็นแล้วว่าเมื่อกี้นี้ ถ้ามีภาพคนนี้ขึ้นมานะ เราผลอไปแล้ว เมื่อกี้พลาดปล่อยเผลอไปถึง ๓ นาที สมมตินะ! เผลอพลาดไปถึง ๓ นาที เผลอคิดไปถึง ๓ นาที อย่างน้อย ๆ ตอนรู้เนี่ยนะ เราจะจำได้ว่า ‘ถ้ามีภาพคนนี้ขึ้นมา แสดงว่าเผลอแล้ว’ อ่ะ! มารู้ถึงปัจจุบันว่าเรานั่งอยู่ แล้วหายใจต่อ เดี๋ยวก็เผลอดคิดอีก ไอ้คนนี้นะ ถ้าเราคิดถึงเขาบ่อย ๆ แสดงว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของเรา เราก็จะมีโอกาสที่จะเผลอคิดถึงเขาอีก คิดถึงเขาอีกทีเนี่ยนะ อาจจะไม่ถึง ๒ นาที ไม่ถึง ๓ นาที คิดอาจจะนาทีเดียว แล้วรู้ทัน ยิ่งคิดบ่อย – ยิ่งรู้ทันบ่อย – จะยิ่งเจริญสติได้ง่ายขึ้น เพราะเราจำความเผลอในลักษณะนี้ได้ ยิ่งรู้บ่อย – ยิ่งจำบ่อย ๆ – ยิ่งรู้ง่าย รู้ง่าย – ก็รู้ได้บ่อย ๆ – มันจะยิ่งจำบ่อย ๆ ยิ่งรู้บ่อย ๆ ยิ่งจำบ่อย ๆ กลายเป็นว่า – เราจำได้แม่น ตอนจำสภาวะได้แม่น มีศัพท์เรียกว่า “ถิรสัญญา” ไม่นานเลย ถ้าเราไม่ปล่อยเวลา แบบปล่อยคิดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เจริญสตินะ คิดแล้วรู้ ๆ เนี่ยนะ ไม่นานเลย..เราจะได้ความจำแม่น จำสภาวะความเผลอ ว่ามีลักษณะอย่างนี้ ถ้ามันเผลอ เราจะมีโอกาสได้สติแบบ “สติอัตโนมัติ” คือ เผลอปุ๊บรู้เลย รู้โดยไม่ได้ตั้งใจจะเจริญสติ อันนี้เป็นอานิสงส์ จากการที่เราฝึกรู้ทันความเผลอคิดไป ขอให้โยมได้มีโอกาสได้เจริญสติ ได้เจริญกรรมฐาน จากการที่มีเหตุการณ์พลัดพรากจากคนรักครั้งนี้ด้วย ขอให้มีความเจริญในธรรมด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/3697450420338452 (นาทีที่ 39.14-50.23)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #อภิณหปัจจเวกขณะ #เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเป็นธรรมดา” #ถาม : คนเราจะจากกัน เป็นเพราะหมดบุญวาสนาต่อกัน ใช่หรือไม่? ขอพระอาจารย์ช่วยหาอุบายที่จะทำให้ลืมอดีตด้วย #ตอบ : แสดงว่าผู้ถามกำลังพลัดพรากใช่ไหม? ..เป็นเรื่องธรรมดานะ เป็นเรื่องธรรมดา เวลาเราพลัดพราก มันมีบทธรรมที่ควรพิจารณา คือบท “อภิณหปัจจเวกขณะ” เป็นบทธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ชาวพุทธทั้งหลายพิจารณาอยู่ทุก ๆ วัน คือ ควรพิจารณาทุก ๆ วัน ว่า ๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๔. เราจะต้องพลัดพรากจาก “ของรักของเจริญใจ” ทั้งสิ้น เป็นธรรมดา “ของรัก ของเจริญใจ” หมายถึง ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งของ ๕. เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน ทำกรรมอะไรไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ข้อที่ ๕ เป็นเรื่องของเชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตอนนี้สภาวะของผู้ถามมันจะอยู่ในข้อที่ ๔ “เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ทั้งสิ้น เป็นธรรมดา” ถ้าเราไม่ทำใจอย่างนี้ไว้ก่อน หรือไม่พิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อน ยามรัก ก็รักสุดหัวใจ ..เวลาต้องพลัดพรากจากไปก็รู้สึกเหมือนใจจะขาด แต่ถ้าเราพิจารณาไว้ก่อนนะ.. “สักวันจะต้องจากไป สักวันจะต้องพลัดพราก” ได้ของรักอะไรมา ก็รู้อยู่ว่า สักวันจะต้องพลัดพราก ได้อยู่กับคนรัก ก็รู้อยู่ว่า สักวันหนึ่งเหตุการณ์นี้จะต้องหายไป คนที่อยู่ร่วมกัน ประชุมกันในที่นี้ ซึ่งกำลังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนี้ มันจะไม่เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดไป เหตุการณ์นี้จะต้องเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน แต่อาจจะรักกันดีอยู่ แต่พลัดพรากกัน ทั้งจากเป็น และทั้งจากตาย นึกออกไหม? ถ้าเรามองเหตุการณ์ทุก ๆ อย่าง ที่ผ่านมา ว่า “สิ่งนี้เป็นของชั่วคราว” สิ่งนี้เป็นของชั่วคราว – เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องชั่วคราว เวลาเราเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องชั่วคราว เราจะไม่ประมาท!! เราจะไม่ประมาท ไม่คิดว่า ‘ทุกคนจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป’ ตอนที่เราคิดว่า.. ‘ทุกคนจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป’ ‘ภาพนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อยู่อย่างนี้’ ‘กลุ่มนี้จะต้องอยู่กันอย่างนี้ตลอดไป’ บางทีเราจะประมาทอย่างหนึ่ง.. ที่น่ากลัวก็คือว่า เวลามีอะไรควรทำ..ก็ไม่ทำ เวลาจะดูแลกันให้ดี ๆ ก็ไม่ยอมดูแล เพราะคิดว่า ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ เวลาจะพูดอะไรดี ๆ ก็คิด.. ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ เวลามีความผิดอะไรขึ้นมาจะขอโทษ ‘พรุ่งนี้ก็ได้’ มันผัดเวลาไป ไม่คิดว่า.. ‘ถ้าเขาตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ได้ขอโทษเขาแล้วนะ’ ‘ถ้าเขาตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ได้ขอบคุณเขาแล้วนะ’ คุณความดีที่เขาทำกับเรา เราก็เลยไม่ได้ขอบคุณเขาเลย ความผิดพลาดพลั้งอะไรของเราที่เราเผลอไป พลั้งไป ที่ทำไปกระทบเขา แทนที่จะได้ขอโทษ ก็ไม่ได้ขอโทษเขาเลย หรือบางทีเขาเป็นฝ่ายกระทำกับเรา แทนที่เราจะบอกให้อภัยกับเขา ก็ไม่ได้บอกเขาเลย การขอบคุณ การขอโทษ การให้อภัยกัน..ไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะคิดว่า..จะอยู่กันอีกนาน ๆ ทีนี้ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอว่า “เราจะต้องพลัดพราก” ที่พบกันอยู่ทุกวันนี้นะ มันไม่แน่นะ แม้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายไป เราเองก็อาจจะไป เขาอาจจะอยู่ แต่เราอาจจะตาย หรือเขาอาจจะอยู่ปกตินะ แต่เราต้องไปเข้าโรงพยาบาล..อีกยาวเลย และยิ่งถ้าเป็นโควิด (covid-19) นะ .. เขาให้เราอยู่คนเดียวด้วย เจอใครไม่ได้ด้วย ใครจะมาเยี่ยมก็ไม่ให้เยี่ยมด้วย แค่นี้ก็รู้สึกว่า ‘เอ้า! ชีวิตเป็นของไม่แน่แล้ว’ ใช่ไหม? แม้จะยังมีชีวิตอยู่ จะขอโทษ จะขออภัย หรือจะขอบคุณอะไรกัน..ไม่ได้แล้ว จะบอกรักอะไร.. เขาก็ไม่ให้เข้าไปเจอกันแล้ว เพราะฉะนั้น การพิจารณาว่า ‘เราจะต้องพลัดพราก’ มันไม่ใช่เพียงแค่ว่า ‘เตรียมใจที่จะไม่เสียใจ’ นะ มันคือ มีความไม่ประมาทในการพูด ในการคิด ในการทำ ในการปะทะสังสรรค์ซึ่งกันและกัน ในการใช้ชีวิตร่วมกัน เวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันจริง ๆ เนี่ย จะไม่เสียใจกับช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน รู้สึกว่าเราได้ใช้ชีวิตร่วมกันเนี่ย ‘เป็นบุญเหลือเกินที่ได้อยู่กับคน ๆ นี้’ และได้ใช้ชีวิตร่วมกัน – มีชีวิตอย่างมีคุณค่าร่วมกัน จากกันไปแล้ว ก็จากกันด้วย “ความสบายใจ” ไม่ติดข้องในแง่ที่ว่า “เคยทำอะไรผิด แล้วไม่ได้ขอโทษ” หรือเห็นคุณค่าของเขา เขาทำอะไรกับเรา เขาเอื้อเฟื้อเรา เรายังไม่ได้ขอบคุณอะไรเขาเลย มันค้างคาใจ เมื่อพิจารณาว่า “เราจะต้องพลัดพราก” แล้วไม่ประมาท ก็ไม่ติดค้างอะไรเลย เพราะ เราพูดอยู่เสมอ ว่า “ขอบคุณ” เราพูดอยู่เสมอ ว่า “ขอโทษ” ทุกครั้งที่รู้สึก ทุกครั้งที่เห็นการกระทำ อันเป็นคุณค่าของเขา “เราขอบคุณ” ทุกครั้งที่เห็นว่าเรามีส่วนผิดอะไรบ้างเนี่ยนะ “ขอโทษ” เราจะไม่ตกค้าง! ทีนี้ ถ้าตอนนี้มีการพลัดพรากเกิดขึ้นแล้ว และในอดีตเราก็ไม่เคยพิจารณาอย่างที่ว่ามานี้ เราก็สามารถทำได้ตอนนี้เลยว่า “นี่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตทุกชีวิต” ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา .. เป็นเทวดาก็มีตายนะ เทวดาก็มีพลัดพรากนะ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เคยพิจารณา ก็ให้หัดพิจารณาว่า “เป็นเรื่องธรรมดา” ถ้าเขาจากไปแบบจากดี เขาไปดี ก็อนุโมทนากับเขา ถ้าเขาจากไปแบบไม่ดี ในแง่ที่ว่าเสียชีวิต ก็ทำบุญอุทิศให้เขา ถ้าเรามีชีวิตร่วมกันมากับเขาระยะหนึ่ง ความผูกพันมีอยู่เนี่ยนะ ก็เป็นไปได้ง่ายที่เวลาเราทำบุญ แล้วระลึกถึงเขา เขาจะรับรู้ได้ *** อย่ามัวแต่เสียใจ อย่ามัวแต่คร่ำครวญหวนไห้อาลัยอาวรณ์ ให้รู้ลงปัจจุบันไปเลยว่า “ขณะนี้กำลังมีความอาลัยอาวรณ์” ถ้ารู้อย่างนี้ได้ ก็ได้ทำกรรมฐานด้วย ได้เจริญสติด้วย เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตด้วยว่า “ชีวิตนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพลัดพรากจากกัน” แล้วถ้าจิตมันหวนไห้อาลัยถึงอดีต ตอนนี้เป็นโอกาสที่เราจะมาทำกรรมฐาน เป็นโอกาสที่เราจะมาเจริญสติ *** เพราะขณะนี้เหตุการณ์ปัจจุบันคือ เรานั่งอยู่ (สมมติว่านั่งอยู่นะ) ปัจจุบันคือ เรานั่งอยู่ แต่ภาพในใจมันไม่ใช่ภาพเรากำลังนั่ง แต่เป็นภาพของเราในอดีตที่กำลังมีชีวิตร่วมกับเขา ตอนนี้เรากำลังคิดถึงอดีต ในลักษณะที่ว่า “มีอาการคร่ำครวญหวนไห้อาลัยหา” ภาพอดีตโผล่ขึ้นมา ให้รู้เลยว่า.. “ตอนนี้เรากำลังหลุดจากปัจจุบัน” ให้รู้ว่า “เราเผลอคิดไปแล้ว” ให้รู้ทันว่า “เผลอคิด” หรือกำลังวาดอนาคตว่า ‘เรากับเขาน่าจะอยู่ด้วยกันนะ อนาคตเราจะได้ทำอย่างนั้น ๆ’ ให้รู้เลยว่า ตอนนี้ใจเรากำลังหลุดจากปัจจุบัน ไปสู่อนาคต คิดวาดฝันไปว่า เดี๋ยวจะไปเจอเขาตรงนั้น ๆ อะไรอย่างนี้นะ อันนี้หลุดจากปัจจุบันไปสู่อนาคตแล้ว ให้รู้ว่า “เผลอคิด” ปัจจุบันกำลังนั่งอยู่ – รู้ว่าปัจจุบันร่างกายกำลังนั่ง ปัจจุบันกำลังหายใจอยู่ – ให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายเรากำลังหายใจอยู่ ถ้าเผลอคิดปุ๊บ – รู้ปัจจุบันทันที ว่าเมื่อกี้นี้ “เผลอคิด” ก็เรียกว่า รู้จิตลงปัจจุบัน แต่เป็นรู้จิตลงปัจจุบันแบบนี้ เรียกว่า “ปัจจุบันสันตติ” สันตติ แปลว่า สืบต่อ เป็นรู้ปัจจุบันแบบเมื่อกี้นี้ สด ๆ ร้อน ๆ เลย จิตปัจจุบันจริง ๆ คือ รู้ แต่รู้จิตที่เพิ่งดับเมื่อกี้ สด ๆ ร้อน ๆ ขณะที่เผลอ ขณะนั้นไม่รู้สึกตัว เพราะขณะปัจจุบันกำลังเผลอ ต้องให้ขณะจิตที่เผลอนั้นดับไปก่อน แล้วให้จิตที่เกิดสืบต่อ รู้ทันทีว่า เมื่อกี้เผลอ ถ้ามารู้ทันปัจจุบันถึงร่างกาย จะเป็นปัจจุบันแท้ ๆ เรียกว่า “ปัจจุบันขณะ” รู้กาย รู้เป็น’ปัจจุบันขณะ’ได้ ตอนนี้กำลังหายใจ กำลังนั่งอยู่ รู้ไป ใจเผลอคิดถึงอนาคตอีกแล้ว.. ให้ ‘รู้ทัน’ ว่าเมื่อกี้นี้สด ๆ ร้อน ๆ เลย ‘เผลอ’ ‘เผลอ’ เป็นปัจจุบันแบบสด ๆ ร้อน ๆ ต่อเนื่อง ‘รู้’ เป็นปัจจุบันขณะแท้ ๆ แต่มีจิตเมื่อกี้เป็นอารมณ์ คือรู้ว่าเมื่อกี้นี้ เผลอคิดอีกแล้ว อย่างนี้ใช้ได้! เพราะฉะนั้น ให้สภาวะที่กำลังคิดถึงเขา คนที่กำลังปัจจุบันนี้พลัดพรากจากกันไปแล้ว ให้สภาวะนี้เป็นประโยชน์ต่อการภาวนาของเรา อย่าให้มันมาซ้ำเติมให้เราเกิดมีความหวนไห้อาลัยหา ซึ่งทุกครั้งที่หวนไห้อาลัยหา เรากำลังเศร้าหมองอยู่ กำลังมีความทุกข์อยู่ ให้จิตที่กำลังตกอารมณ์คิดถึงเขาบ่อย ๆ เนี่ย เอามาเป็นกรรมฐานเลย ยิ่งเกิดบ่อย และรู้บ่อย ยิ่งดี เผลอคิดถึงคนนี้ ถ้ารอบแรกนะ อาจจะเผลอเป็น ๒ – ๓ นาที แล้วรู้ พอมันเริ่มเห็นแล้วว่าเมื่อกี้นี้ ถ้ามีภาพคนนี้ขึ้นมานะ เราผลอไปแล้ว เมื่อกี้พลาดปล่อยเผลอไปถึง ๓ นาที สมมตินะ! เผลอพลาดไปถึง ๓ นาที เผลอคิดไปถึง ๓ นาที อย่างน้อย ๆ ตอนรู้เนี่ยนะ เราจะจำได้ว่า ‘ถ้ามีภาพคนนี้ขึ้นมา แสดงว่าเผลอแล้ว’ อ่ะ! มารู้ถึงปัจจุบันว่าเรานั่งอยู่ แล้วหายใจต่อ เดี๋ยวก็เผลอดคิดอีก ไอ้คนนี้นะ ถ้าเราคิดถึงเขาบ่อย ๆ แสดงว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของเรา เราก็จะมีโอกาสที่จะเผลอคิดถึงเขาอีก คิดถึงเขาอีกทีเนี่ยนะ อาจจะไม่ถึง ๒ นาที ไม่ถึง ๓ นาที คิดอาจจะนาทีเดียว แล้วรู้ทัน ยิ่งคิดบ่อย – ยิ่งรู้ทันบ่อย – จะยิ่งเจริญสติได้ง่ายขึ้น เพราะเราจำความเผลอในลักษณะนี้ได้ ยิ่งรู้บ่อย – ยิ่งจำบ่อย ๆ – ยิ่งรู้ง่าย รู้ง่าย – ก็รู้ได้บ่อย ๆ – มันจะยิ่งจำบ่อย ๆ ยิ่งรู้บ่อย ๆ ยิ่งจำบ่อย ๆ กลายเป็นว่า – เราจำได้แม่น ตอนจำสภาวะได้แม่น มีศัพท์เรียกว่า “ถิรสัญญา” ไม่นานเลย ถ้าเราไม่ปล่อยเวลา แบบปล่อยคิดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เจริญสตินะ คิดแล้วรู้ ๆ เนี่ยนะ ไม่นานเลย..เราจะได้ความจำแม่น จำสภาวะความเผลอ ว่ามีลักษณะอย่างนี้ ถ้ามันเผลอ เราจะมีโอกาสได้สติแบบ “สติอัตโนมัติ” คือ เผลอปุ๊บรู้เลย รู้โดยไม่ได้ตั้งใจจะเจริญสติ อันนี้เป็นอานิสงส์ จากการที่เราฝึกรู้ทันความเผลอคิดไป ขอให้โยมได้มีโอกาสได้เจริญสติ ได้เจริญกรรมฐาน จากการที่มีเหตุการณ์พลัดพรากจากคนรักครั้งนี้ด้วย ขอให้มีความเจริญในธรรมด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/3697450420338452 (นาทีที่ 39.14-50.23)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๓๑ #สติ #สัมมาสติ ถาม : พระอาจารย์คะ “สติ” กับ “สัมมาสติ” ต่างกันยังไงคะ สติ คือ สติโลกๆ หรือเปล่าคะ แล้ว..สัมมาสติ คือ รู้กายรู้ใจตามความ เป็นจริงหรือเปล่าคะ ตอบ : สติ ทั่วๆ ไปก็แปลว่า ระลึกได้ นึกได้ ไม่เผลอ สัมมาสติ หมายเฉพาะสติปัฏฐาน ๔ คือเป็นสติที่ระลึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าระลึกถึงสิ่งอื่นก็เป็นสติธรรมดา ในสติปัฏฐานไม่ได้กล่าวเพียงการระลึกเท่านั้น แต่กล่าวว่าระลึกรู้ตามที่เป็นจริง เท่าที่มันเป็น ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย เพราะถ้าถูกครอบงำ การเห็นสภาวะจะเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส หมายเหตุ : ขอยกข้อความใน “มหาสติปัฏฐานสูตร” มาให้ศึกษา สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ – พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ – พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ – พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ – พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ความบีบคั้นเป็นทุกข์ ?? #ถาม : ทำที่บ้านช่วงนี้ ในจิตโดนบีบคั้นมาก มีความร้อนข้างใน แต่ก็แค่รู้ตามอาการ ทำอย่างนี้ถูกต้องไหมคะ? #ตอบ : บีบคั้น … “อาการบีบคั้น มันแสดงถึงทุกข์” ก็เป็นโอกาสที่เราจะพิจารณาถึงทุกขลักษณะ “ทุกข์” ที่อยู่ในไตรลักษณ์ มีศัพท์บาลีว่า “ทุกขตา” หมายถึง ภาวะความบีบคั้น “ความบีบคั้น” มันกำลังแสดงถึง อาการที่ทำให้อยู่คงที่นิ่ง ๆ ไม่ได้ มีสภาพกดดันและขัดแย้ง เพราะเป็นภาวะที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว ก่อทุกข์ให้กับผู้ที่ไปยึด เวลาจิตมันถูกบีบคั้น มันก็เป็นทุกข์ขึ้นมา ทีนี้ แทนที่เราจะจมกับความทุกข์อันนั้น คือ เป็นทุกข์ไปกับมัน ..เราก็มาเป็น “ผู้รู้ ผู้ดู” “รู้ทุกข์ – แต่ไม่เป็นทุกข์” นึกออกไหม? คือแทนที่ว่ามีอาการบีบคั้นเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็จมไปกับความทุกข์ เป็นทุกข์ไปกับมันนะ ให้อาการบีบคั้นเนี่ย เป็นสิ่งหนึ่งที่เราไปรู้ทันมัน! แค่รู้ทันมันว่ามีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น “ด้วยใจเป็นกลาง” ดูด้วยใจเป็นกลาง ทำใจเพียงแค่ว่า “จะศึกษาความจริงของจิต” จิตจะดีหรือไม่ดี? จิตจะสุขจะทุกข์แค่ไหน? ก็จะ “แค่รู้ – แค่ดู” เวลาเรามีปรากฏการณ์อะไรขึ้นมา ให้เอาปรากฏการณ์นั้นนะเป็นครูสอนเลย! ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น.. ถ้าเป็นทุกข์..ยิ่งดี ในแง่ที่ว่า ‘มันจะไม่หลง’ ไม่หลงใหล ระหว่าง อารมณ์ที่ดี กับ อารมณ์ที่ไม่ดี .. ระหว่าง อิฏฐารมณ์ กับ อนิฏฐารมณ์ .. คือระหว่าง อารมณ์ที่น่าปรารถนาน่าพอใจ กับ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าพอใจ อารมณ์ที่น่าพอใจดูยากกว่า ! เพราะมันจะพอใจ จะเพลิน จะหลงง่าย มันจะปลื้ม จะดื่มด่ำอยู่กับมันนะ .. ก็หลงแล้ว อย่างนี้หลงแล้ว! ยากมากที่จะเจริญสติตอนที่กำลังมีสุข หรือ ตอนที่กำลังปลื้มอะไรอย่างนี้นะ .. ยาก.. ดูยาก! เพราะฉะนั้นโอกาสตอนนี้.. ใช้อารมณ์ที่มันดูเหมือนไม่ดีเนี่ยนะให้เป็นโอกาสในการที่จะเจริญสติของเรา แล้วจะกลายเป็นว่า เพราะความบีบคั้นอันนี้ทำให้เราได้สติได้ง่ายขึ้น แล้วแถมความบีบคั้นนั้น จะเป็นตัวสอนเราว่า “อย่าประมาท!” ถ้ามีสุข..มันจะประมาท ถ้ากำลังปลื้ม มันจะหลงเพลิน และประมาท ท่านจึงบอกว่า ถ้าเทวดาที่มีกามสุขเต็มล้น .. และถ้าเทวดานั้นไม่เคยภาวนาตอนเป็นคนมาก่อน ..ยากมาก! จะไปบอกว่า “สิ่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” “..เหรอ? ผมว่ามันเที่ยงนะ” “ผมรู้สึกว่า ความเป็นเทวดาเหมือนไม่ตาย” เทวดาจะเรียกตัวเองว่า ‘อมร’ ก็คือไม่ตาย แล้วมันก็ทุกอย่างก็เป็นทิพย์ สุขไปหมดเลย รูปก็ทิพย์ เสียงก็ทิพย์ กลิ่นก็ทิพย์ มันสุขไปหมด มันน่าหลงเพลินจริง ๆ .. น่าที่จะส่งใจออกไปดื่มด่ำเสพสุขจริง ๆ เพราะฉะนั้น อาการที่มันมีความบีบคั้น แล้วเป็นทุกข์เนี่ย ในแง่ปฏิบัติ.. ถือว่าดีกว่า เพราะมันจะเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นความจริงได้ง่ายกว่า แล้วก็ไม่ประมาท !! ถ้าประมาทอยู่ มันจะถูกบีบคั้นมาก คราวนี้พอมันบีบคั้นขึ้นมา มันเกิดขึ้นเพื่อมาเตือน เมื่อมีสติรู้สภาวะ “ความบีบคั้น” ความบีบคั้นก็เป็นเพียงปรากฏการณ์อันหนึ่ง แล้วมันสอนความจริงอยู่ในตัว *** “ความบีบคั้น” ถ้าเทียบเป็นภาษาบาลีมันก็คือ “ทุกข์” นั่นเอง “ทุกข์” คือ สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดดับ ซึ่งก็คือความหมายของ “ทุกขลักษณะ” ทุกข์นั้น กำลังปรากฏให้ดู เราก็แค่ดู แต่ถ้าทุกข์นั้นปรากฏขึ้นมา แล้วเราก็อิน (in) ไปกับมัน กลายเป็นว่า ‘เราเป็นทุกข์’ – ‘ทุกข์รวมอยู่ในเรา’ มันรวมอยู่เข้ามาเป็น.. ‘เราทุกข์’ แต่ถ้าทุกข์นั้น ถ้าเป็นสิ่ง ๆ หนึ่งเอาไว้ดู มันก็กลายเป็นว่า ‘เห็นทุกข์’ และขณะที่เห็นนั้น ไม่เป็นทุกข์ แล้วทุกข์นั้นกำลังสอนใจด้วย ว่า ลักษณะโดยธรรมชาติของชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ก็รู้เท่าทัน คลายความยึดมั่น และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท กลายเป็นว่า “ทุกข์ทำให้ฉลาดขึ้น” *** ลองดูนะ ความบีบคั้น .. อย่าไปกลัวมัน ! อย่าไปตื่นตระหนก อย่าไปตกใจ อย่าไปให้มันครอบงำ แล้วอย่าไปอิน (in) กับมัน มันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อันหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกเลย และเป็นความจริงด้วย ความจริงที่มันกำลังปรากฏอยู่เนี่ย มันกำลังทดสอบเราว่า ‘จะรู้ทันมันไหม?’ ถ้าไม่รู้ทัน ก็ถูกครอบงำ และเป็นทุกข์ ถ้ารู้ทันมัน ก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อันหนึ่ง และสอนใจให้ฉลาดว่า “สิ่งนี้คือลักษณะทุกข์ที่เกิดขึ้น” มันคือ ‘ทุกข์’ – ‘ผู้รู้’ อยู่ต่างหาก ‘ทุกข์’ และ ‘สิ่งที่ถูกรู้นี้’ ไม่ใช่เรา ทุกข์เป็น ‘อารมณ์ที่ถูกรู้’ จิตเป็น ‘ผู้รู้’ และจิตก็ ‘ไม่ใช่เรา’ อาศัยสิ่งที่ปรากฏอยู่นี้เจริญสติไปเลย แล้วก็ฉลาดในการรู้อารมณ์นั้นไป ..ขอแนะนำแค่นี้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/260283885689690 (นาทีที่ 1.05.09-1.10.59)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #จิตฟุ้งซ่านก็รู้ #จิตหดหู่ก็รู้ ?? #ถาม : การปฎิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า เกิดความท้อแท้ มีวิธีแก้อย่างไร? การปฏิบัติที่ก้าวหน้าจะมีวิธีอย่างไร จะสังเกตได้? #ตอบ : ความท้อแท้เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในจิต เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นกิเลสตัวหนึ่ง “ความท้อแท้” ถ้าเทียบในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันอยู่ในคู่ของ “จิตฟุ้งซ่านก็รู้ – จิตหดหู่ก็รู้” หดหู่ก็คือท้อแท้นั่นเอง ความท้อแท้ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิด มันมีเหตุของมัน เหตุของมัน คือ คิดขึ้นมาก่อน คิดเรื่องราวขึ้นมาเรื่องหนึ่งแล้วก็.. ‘โอ้โห! เราคงไปไม่ถึง..’ อย่างนี้ ท้อแท้ ความท้อแท้ที่เกิดขึ้น มันตามหลังความคิด ทีนี้ ถ้าเผลอไปคิดแบบนี้อีก ก็ “รู้ทัน” ซะ ก็สามารถยุติความท้อแท้ได้ เพราะไม่มีเหตุเกิดขึ้นมา ถ้าไม่รู้ตอนเหตุ จะรู้เอาง่าย ๆ ชัด ๆ ตอนที่ผลมันเกิดแล้วก็ได้ ก็คือ เวลาท้อแท้ – “รู้ว่าท้อแท้” ใช้ได้แล้ว เหมือนกับเวลาฟุ้งซ่าน – “รู้ว่าฟุ้งซ่าน” ก็ใช้ได้เช่นกัน หรือเหมือนกับตอนที่โกรธ มีโทสะ – “รู้ว่ามีโทสะ” ก็ใช้ได้เหมือนกัน มีราคะ – ก็ “รู้ว่ามีราคะ” หดหู่ – ก็ “รู้ว่าหดหู่” หดหู่ ท้อแท้ ก็เป็นกิเลสกลุ่มเดียวกัน ง่วงหงาวหาวนอน ก็เป็นอาการอย่างหนึ่งในกลุ่มนี้นะ เป็นเรื่องของ “โมหะ” ที่แสดงออกมาอีกแบบหนึ่ง จะรู้ว่าทันว่า “มีโมหะเกิดขึ้น” ก็ได้ *** ความท้อแท้จะทำให้เกิดความก้าวหน้า..ถ้าเรารู้จักความท้อแท้ ไม่ให้ความท้อแท้มันครอบงำจิตใจเราได้ !! ไม่ให้มันเข้ามาครอบงำ หมายถึงว่า ไม่ให้มันเกิดขึ้นมาแล้วมาปรุงอะไรให้จิตใจมันหมดแรงหมดกำลังไปเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้มันมาปรุงไปเรื่อย ๆ อย่างนี้.. ถูกครอบงำ แต่ถ้ากำลังท้อแท้ – “รู้ว่าท้อแท้” ไอ้ความท้อแท้จะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู แล้วเราเจริญปัญญา เจริญวิปัสสนาจากสภาวะที่เรียกว่าท้อแท้นี้ มันเป็นพียงสภาวะหนึ่งให้เรามาเรียนเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่เรียน ก็จะถูกมันหลอก *** เหมือนกับความโกรธ ความโกรธที่เข้ามาในใจ ก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่งให้เราเรียน ถ้าเราไม่เรียน หรือไม่รู้ทันมัน จะถูกความโกรธนั้นหลอก หลอกไปทำอะไร? ..หลอกไปทำร้ายคนอื่น หลอกไปด่าคนอื่น หลอกไปตีคนอื่น ไอ้ความท้อแท้เนี่ย ถ้าเราไม่รู้ทันมัน ก็จะถูกมันหลอก หลอกไปทำอะไร? ..หลอกทำร้ายตัวเอง !!! เวลาท้อแท้ เป็นทุกข์นะใช่ไหม? ทุกข์เพราะอะไร? ..ทุกข์เพราะคิดเอง เพราะฉะนั้น เราก็มีวิธีแก้ เริ่มจากเราก็ “รู้” แค่เพียงว่า ‘เมื่อกี้นี้มีความท้อแท้เกิดขึ้น’ แต่ทีนี้ตอนรู้เนี่ย มันรู้แว๊บเดียว ! เดี๋ยวมันก็เผลอคิดไปท้อแท้ใหม่ ดังนั้น หลังจากรู้ว่าท้อแท้แล้วเนี่ย “หางานทำ” ! ที่ว่า “หางานทำ” มี ๒ แบบ – ถ้าทำกรรมฐานในรูปแบบอยู่ การหางานทำ ก็คือ หาที่อยู่ของจิต รู้ลมเข้า-รู้ลมออก ก็เรียกว่า หางานทำ เรียกว่า ทำสมถกรรมฐาน – แต่ถ้าอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็หางานที่เป็นประโยชน์ทำ งานที่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เช่น ช่วยเหลือคนอื่น เป็นจิตอาสา หรือช่วยพ่อช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยลักษณะที่ว่า เป็นคนมีน้ำใจ ทำแล้วคนถูกช่วยนั้นยิ้ม ! การสร้างรอยยิ้มให้ผู้อื่น..เราจะรู้สึกว่า ‘เรามีคุณค่า’ เช่น เห็นแมวหิวโซมา เราให้อาหารแมว อย่างนี้นะ แมวจะรู้สึกขอบคุณ มาไซ้เรา เราเองก็จะรู้สึกว่า ‘อ้า..! เรามีคุณค่า’ *** มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง สามีตาย อีกไม่นานไม่กี่เดือน ลูกชายที่มีอยู่คนเดียวก็ตาย เธอต้องอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ใกล้จะฆ่าตัวตายแล้ว วันหนึ่ง เดินออกมาเจอแมว ในฤดูหนาว เจอแมวร้อง เห็นแมวแล้วสงสารแมว เป็นแมวพลัดถิ่น เขาเรียกว่าแมวจรจัด ไม่มีเจ้าของ ก็ดูแล้วแมวเนี่ยนะ มันน่าสงสารกว่าเราอีก หนาว ๆ อย่างนี้ เรายังมีบ้าน มีเตาผิง มีอาหาร เห็นแล้วก็สงสารมัน ก็เอาอาหารให้มันสักหน่อย ปรากฏว่าแมวได้กินแล้วมันเกิดสำนึกในบุญคุณของคนที่ให้อาหาร มันก็มาคลอเคลียเลียแข้งเลียขาเลียมือคนที่ให้อาหารมัน พอแมวคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกว่าสดชื่น ยิ้มให้กับแมวอย่างมีความสุข ยิ้มให้กับอาการของแมวที่กำลังคลอเคลียกับตัวเองอยู่ พอยิ้มขึ้นมาก็เกิดเอะใจ.. ‘อ้าว! เรามีความสุข เรายิ้ม.. เราไม่เคยยิ้มมาหลายเดือนแล้ว หลังจากสามีและลูกตาย’ ‘ที่เรายิ้มก็เพราะว่าไปสงเคราะห์แมว’ เกิดนึกได้เอง เกิดปัญญาขึ้นมาเลยนะว่า.. ‘เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปสงเคราะห์คน มันน่าจะเกิดความปลื้มใจปีติใจมากกว่านี้’ ก็มองไปถึงว่า มีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง เป็นคนป่วยติดเตียง ลูกหลานทิ้ง คนฝรั่งเนี่ยนะ เขาก็ประมาณว่า..อุเบกขากันง่ายนะ พ่อแม่เขาก็ไล่ลูกออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุเป็นวัยรุ่นแล้วใช่ไหม ? พอตัวเองป่วย ลูกเขาก็ไม่ค่อยมาเยี่ยมหรอก คนแก่บางคนเนี่ยตายไปหลายวันเพื่อนบ้านจึงรู้ จนเหม็นแล้ว เพื่อนบ้านไปแจ้งตำรวจให้มาเอาศพออกไป ทีนี้ หญิงคนนั้น..รู้ว่ามีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ป่วยติดเตียง ก็ทำขนม ขนมปัง ขนมคุกกี้ (cookies) ไปเยี่ยมไข้เพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ ไม่เคยไปเยี่ยมเลย แม้แต่จะคิดก็ไม่เคย พอได้ไปแล้ว ก็ไปคุยกัน มีขนมไปด้วย เพื่อนบ้านดีใจมาก ภูมิใจมาก มีความสุขมาก ขอบคุณเธอจเป็นการใหญ่เลย เพราะไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย แต่คนนี้ไปเยี่ยม แล้วไปให้กำลังใจ หญิงคนนั้นดีใจมากเลยว่า ตัวเองเนี่ยมีประโยชน์ จากการที่คิดว่าตัวเองไร้ค่าแล้ว จากที่คิดว่า ‘สามีก็ตาย ลูกก็ตาย จะอยู่ไปทำไม?’ กลายเป็นว่า เมื่อได้ทำตนให้เป็นประโยชน์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า เกิดมีแนวคิดขึ้นมาว่า.. ‘งั้นเราไปเป็นจิตอาสาทำงานที่โรงพยาบาล’ ไปโรงพยาบาล ไปดูแลคนป่วย ไปให้กำลังใจกับคนป่วย กลายเป็นว่า “เป็นคนที่มีคุณค่า” ทั้งคนอื่นก็มองว่าเขามีคุณค่า ทั้งตนเองก็มองว่าตนเองมีคุณค่า เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด อย่าจมอยู่กับความคิดแบบที่ซ้ำเติมตัวเอง เพราะฉะนั้น เวลาโยมที่ถามมาเนี่ย ถ้าเกิดความท้อแท้อะไรขึ้นมา ลองเปลี่ยนวิธีคิดนิดหนึ่ง ‘ทำอย่างไร ที่เราจะหางาน ที่เราไปทำแล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง?’ แม้จะเป็นประโยชน์กับสัตว์ก็ยังดี ใช่ไหม? ดังตัวอย่างที่ยกมา เขาไปเพียงแค่ให้อาหารแมว เขาเริ่มรู้สึกว่า เขามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว แล้วก็พัฒนาคุณค่าตัวเองไปช่วยคนให้มากขึ้น ไปช่วยคนให้กว้างไกลขึ้น อย่างนี้ลองไปทำดู แล้วความหดหู่ที่เกิดขึ้น มันจะไม่มีโอกาสมากวนใจ แต่ทีนี้เบื่องต้นนะ ตอนที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรเนี่ยนะ ถ้าจิตหดหู่ขึ้นมาให้ “รู้ทันความหดหู่” ก่อนนะ แล้วก็หางานอะไรที่เป็นประโยชน์มาทำ อย่าปล่อยให้ว่าง ๆ ว่างมาก ก็คิดมาก อย่างน้อย ๆ ก็หางานกรรมฐานทำ ก็คือ.. เอาใจรู้ไว้ที่ ๆ หนึ่ง แล้วรู้ทันตอนที่มันจิตมันปรุงความคิดอะไรขึ้นมา แต่วิธีนี้วิธีเดียวเนี่ย..ไม่พอ จำไว้นะ ! เพียงแค่ทำกรรมฐาน ก็เพื่อตัดความหดหู่ไปชั่วขณะ เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นานไปจะหมดแรง จะดูไม่ทัน ตัวที่จะแก้ไขปัญหาได้จริง คือ ทำชีวิตให้มีคุณค่าด้วยการทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ลองไปทำดู! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/143188167619870 (นาทีที่ 1.12.05-1.20.14)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ภาวะซึมเศร้า #ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ?? #ถาม: โยมไม่สบายเป็นโรคซึมเศร้า ขอความเมตตาพระอาจารย์ ช่วยแนะนำแนวทางในการปฏิบัติธรรม ที่เหมาะสมกับคนอื่น ๆ ที่ไม่สบายแบบหนู? และขอให้เป็นกำลังใจจากพระอาจารย์ด้วย #ตอบ: ขอกำลังใจ หรือ ขอเป็นกำลังใจ ? ..ถือว่าเป็นกำลังใจก็ได้นะ แสดงว่าที่เราพูดอยู่เนี่ยมีคนฟังนะ ถือว่ามีกำลังใจ แต่ถ้าในแง่ของการให้กำลังใจ ก็หมายความว่า.. อาตมภาพคือ พระกฤช และท่านอาจารย์ชัยชนะ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับโยมที่ถามเข้ามา ที่ว่า “มีภาวะซึมเศร้า”ใช่ไหม? ภาวะซึมเศร้า..ควรจะหางานทำ อย่าอยู่คนเดียว! หาอะไรทำ อย่าอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เพราะว่าภาวะซึมเศร้ามันเกิดจาก.. การที่อยู่นิ่ง แล้วมัน “ไม่นิ่งจริง”!!! ใจเนี่ย..มันคอยคิดนึก ที่ว่าคิดนึกเนี่ย..ก็ไม่ได้คิดเรื่องบุญด้วยนะ คิดแล้วเบียดเบียนตัวเอง !! เบียดเบียนอย่างไร? คือคิดแล้วยิ่งเศร้า คิดแล้วยิ่งทุกข์ คิดแล้ววนไปวนมา ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกทิ่มแทง..โดนทิ่มแทง ! ไม่มีใครทิ่มแทง แต่คิดเอง และทิ่มเอง !! เพราะฉะนั้น ถ้าอยู่นิ่งเมื่อไหร่ มันจะมีภาวะเกิดการคิดวน และเอาความคิดอันนั้นมาทิ่มแทงตัวเอง ให้เกิดความเจ็บใจ เกิดความเศร้าหมอง เกิดความซึมเศร้า เพราะฉะนั้น ถ้าอยู่นิ่งแล้วมันเกิดภาวะอย่างนี้ อย่าปล่อยให้อยู่นิ่งนาน ควรหางานอดิเรกทำ คนที่จะพ้นจากตรงนี้ไปได้ต้องเป็นคนที่.. ๑. อดทน ๒. ขยัน ๓. เปิดเผยตัวเอง ไม่เก็บงำความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวไปไม่ชอบใจ ก็ไปด่าเขาเลย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงว่าถ้าเรามีความรู้สึกอย่างไร ก็เปิดเผยความรู้สึกนั้น เรามีความไม่ชอบใจตรงนี้ ก็ไปบอกเขาว่าเรามีความไม่ชอบใจตรงนี้ “ที่คุณพูดอย่างนี้มานะ เรารู้สึกไม่โอเค (o.k)” อะไรอย่างนี้ ก็บอกเขาได้ หางานทำ อย่าอยู่นิ่ง อย่าบอกว่างานไม่มี ในบ้านนะ ลองไปเก็บให้มันมีระเบียบขึ้นมา เก็บไปแล้วเนี่ยจะมีฝุ่นมีผงอะไร ก็ปัดกวาด ปัดกวาดย่างเดียว ไม่สะอาด ต้องลงมือเช็ดด้วย เช็ดอย่างเดียวผ้าแห้ง ๆ ไม่ได้ ต้องเช็ดแบบชุบน้ำ แล้วหมาด ๆ เช็ดไป กว่าจะเช็ดได้รอบบ้านเนี่ย..นานเลย ในระหว่างนั้น ใจมันจะมีเผลอแว๊บ.. เผลอไปคิดเรื่องนั้นซ้ำอีกแล้ว เผลอไปคิดเรื่องที่ตัวเองซ้ำชอกใจ ทีนี้ตอนเผลอเราจะเห็นจิตที่เผลอได้ง่ายขึ้น โดยมี “งาน” ..งานบ้านนี้แหละ งานบ้าน งานเช็ดถู งานปัดกวาด งานดูแลต้นไม้ อะไรอย่างนี้นะ เอางานนั้นเป็นที่อยู่ของใจ เอาใจจดจ่ออยู่กับงาน ถ้ามีสักแว๊บหนึ่งเผลอไป คิดเรื่องที่ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายจิตใจตัวเอง เรื่องที่คิดไปแล้วรู้สึก..โดนทิ่มแทงเนี่ยนะ เรียกว่า “เผลอ” ก็เห็นว่า..เผลอไป แต่ไม่ใช่ว่าไปทำกรรมฐานแบบนั่งเฉย ๆ นะ ถ้านั่งเฉย ๆ มันจะไม่ค่อยเห็น มันจะเพลิน คิดแล้วก็ยาว.. เขาเรียกว่า loop(ลูพ) มันยาว (loop แปลว่า วง, บ่วง, เส้นหรือรูปร่างที่มีลักษณะเป็นวงกลม) ตอนนั่งนิ่งๆ loop ของความเผลอเนี่ยมันยาว แต่ถ้าทำงาน มีอะไรจดจ่อ เช่น สมมติว่าจะเช็ดดอกไม้เนี่ยนะ ‘ดอกไม้นี้ เป็นดอกไม้ตั้งมานานแล้วมีฝุ่นเยอะเหลือเกิน’ ก็เช็ด ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ นะ เอาใจจดจ่ออยู่กับงานนี้ คือเช็ดฝุ่น ๆ เช็ดฝุ่นไป..เผลอไปคิดเรื่องนั้นอีกแล้ว ‘อ่ะ! รู้ว่าเผลอ’ ก็ทำต่อ ทำไป ซักผ้าไป .. เช็ดไป ซักผ้าไป .. เช็ดไป ซักผ้าไป ทำเรื่อย ๆ อย่ามองว่างานไร้สาระ แต่เอางานนั้นเป็นสำหรับการทำสมถกรรมฐาน ถ้าพูดในแง่ของวิชาการหน่อย.. “งานนั้นเป็นงานที่ฝึกใจให้เป็นสมถกรรมฐาน” เพราะฉะนั้น งานที่จะฝากไว้ให้คนที่มีภาวะซึมเศร้าทำเนี่ยนะ ให้เป็นงานที่ ‘ชวนให้ตัวเองไม่อยู่เฉย ไม่อยู่นิ่ง’ งานอะไรก็ได้ในบ้าน หางานทำ แล้วจะรู้สึกว่าเป็นคนน่ารักมากขึ้น คนจะมองเราด้วยสายตาชื่นชมมากขึ้น เราอาจจะไม่เห็นผล แต่คนอื่นเริ่มเห็น เขาจะเริ่มชมเรามากขึ้น สิ่งดี ๆ จะเข้ามาในชีวิตมากขึ้น อาการที่เป็นซึมเศร้าจะถูกลืมไป เพราะเริ่มมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เริ่มมีเรื่องราวที่น่าชื่นใจ ชีวิตเริ่มสดใสมากขึ้น สิ่งที่จะชวนให้คิดที่ออกนอกเรื่องของความซึมเศร้ามีมากขึ้น มันกลายเป็นว่าจากเดิมมีเรื่องเดียวซ้ำ ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่ามีเรื่องใหม่ ๆ แล้วรู้สึกยิ่งทำมันยิ่งมองออกว่า ‘เอ๊ะ! เราควรจะมีงานอะไรทำต่อ’ แล้วคนอื่น ๆ ก็จะเห็นผลงานของเรา จะชื่นชมเรา เราก็จะมีสิ่งดี ๆ มีเรื่องดี ๆ ในชีวิตเข้ามามากขึ้น ฝากเอาไว้สำหรับคมที่มีภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นมา ให้ขยัน แล้วก็อย่าอยู่นิ่ง และอดทน ทนทำ ทำงานที่ดูเหมือนว่าเหมือนจะไม่มีค่า ไม่มีความหมาย แต่จริง ๆ มันมีค่าอยู่ … ขอฝากไว้อีกนิดหนึ่งว่า ถ้าเริ่มมีอาการมาก ให้ไปหาหมอ บางทีมันไม่ได้เป็นเรื่องเพียงแค่จิตใจ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางด้านร่างกายด้วย หมายความว่า ทางด้านรูปธรรมของเรา ร่างกายของเรา ในสมองของเราอาจจะมีเคมีบางอย่างที่มันผิดเพี้ยนไป บางทีอาจจะต้องอาศัยหมอช่วยให้ยา เพื่อไปปรับระดับเคมีในสมอง ก็เป็นเรื่องที่บางครั้งเราต้องอาศัยหมอ อาศัยแพทย์ช่วยในเรื่องของภาวะของโรคเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน อย่าไปปฏิเสธนะ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าน่าอาย หรือเรื่องเลวร้ายอะไร เป็นเรื่องเขาเรียกว่าเป็นความเจ็บป่วยอย่างหนึ่งทางร่างกายที่มีผลต่อ.. มันไปมีที่สมอง แล้วก็มีผลออกมาทางด้านของการแสดงออกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง และมันก็กระทบไปถึงจิตใจด้วย ถ้าไปหาหมอ แล้วก็รักษาถูกตรง มันก็ช่วยทำให้อาการของโรคนั้นผ่อนเบาลง แล้วก็อาจจะทำให้เรื่องที่ดูเหมือนหนัก กลายเป็นเบาลงไปได้ ก็ขอฝากเอาไว้ว่า อย่ากลัวหมอ แล้วก็อย่าละอายที่จะไปหาหมอ อย่าไปเข้าใจว่าเราเป็นบ้า ไม่ใช่อย่างนั้นนะ บางทีมันเป็นเรื่องของเคมีในสมอง คือคนไทยจะปัญหาตรงนี้นิดหนึ่งว่า.. พอจะไปหาจิตแพทย์เนี่ยนะรู้สึกว่า ‘เฮ้ย! เราเป็นบ้ารึเปล่า?’ ..จริง ๆ ไม่ใช่บ้า มันเป็นเรื่องที่มันเป็นวิทยาศาสตร์นะ เราสามารถที่จะไปหาหมอ แล้วก็กินยาบางอย่าง แล้วทำให้มันดูดีขึ้นมาได้ ถ้ามีอาการมากเข้า ก็ควรไปหาหมอนะ ขอฝากตรงนี้ไว้ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/231278638481272 (นาทีที่ 42.40-48.26 และ 1.01.40-1.03.54)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ชนไก่ตาย #อุทิศกุศล #เจตนาฆ่า #ไม่เจตนาฆ่า ?? #ถาม : ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปชนไก่ตาย แล้วก็เก็บซากไก่ไปไว้ที่โคนไม้ จะบาปมากไหม? กลัวจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน #ตอบ : ถ้ามีเจตนาฆ่าก็มีบาป เพราะเจตนาเป็นกรรม..เป็นตัวกรรม แต่ถ้าไม่ได้เจตนาฆ่า ไก่มันมาตัดหน้าแบบฉุกเฉิน ถ้าเราหลบเราอาจจะบาดเจ็บ หรือว่าคนที่โดยสารมาด้วยอาจจะบาดเจ็บ อย่างนี้นะเรียกว่า ไม่ได้มีเจตนาฆ่าไก่ หรือถ้ามีเจตนาก็น้อยมาก ก็โทษน้อย “โทษมาก หรือ โทษน้อย มันอยู่ที่เจตนา” ….. ทีนี้ที่ถามว่า “จะเอาไปฝังที่โคนต้นไม้ แล้วมันจะพ้นจากการมีเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า?” เรื่อง “เจ้ากรรมนายเวร” นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง “เจ้ากรรมนายเวร” ในความหมายของคนไทยทั่ว ๆ ไป ก็คือหมายความว่า มีสัตว์ถูกกระทำ แล้วจองเวร เรียกว่ามีความเจ็บแค้นจองเวร ซึ่งอันนี้เราบังคับเขาไม่ได้ ถ้าสัตว์นั้นจองเวร สัตว์นั้นก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เราห้ามเขาไม่ได้ ที่เราจะทำได้ก็คือว่า ทำบุญอุทิศไปให้ “ทำบุญอุทิศไปให้” ทำประมาณเหมือนกับว่า … สิ่งที่เราทำไปแม้จะไม่ตั้งใจ แต่มันก็เป็นผลทำให้เขาตาย ก็อาศัยเหตุนี้ ปรารภสิ่งนี้ ทำบุญแล้วระลึกถึงเขา อุทิศให้เขาด้วย ถ้าเขาโกรธแล้วก็จองเวรอยู่ เห็นเราทำบุญให้เขาบ่อย ๆ แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าจริง ๆ เราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะชน หรือไม่ได้มีเจตนา อาการที่จะคลายจากความอาฆาต ก็เป็นไปได้ง่าย แต่ถึงกระนั้น อย่าคาดหวังว่า เขาจะหายอาฆาต หายจองเวรเร็วนัก เพราะฉะนั้นแสดงว่าไม่ใช่ทำบุญครั้งเดียว..แล้วถ้าเขาจองเวรอยู่เนี่ย เขาจะเลิกจองเวร คิดดู! ถ้าสมมติว่าเป็นเราถูกรถชนตาย แล้วคนขับนั้นทำบุญอุทิศให้เราครั้งเดียว ..เราจะพอใจไหม? ‘กูตายนะ มึงทำให้กูครั้งเดียวเองเหรอ?’ อะไรอย่างนี้นะ ..เข้าใจไหม? ก็คล้าย ๆ กับว่า ทำบุญให้คู่ควรกับการที่เขาตายสักหน่อย ทำบ่อย ๆ นึกถึงใจเขา-ใจเรา เขาตายโดยที่เราไม่เจตนาก็จริง แต่ก็ควรจะทำบ่อย ๆ นึกถึงบ่อย ๆ แต่ถึงกระนั้นเราก็คาดหวังไม่ได้เลยว่า เขาจะเลิกจองเวรเมื่อไหร่? ซึ่งอันนี้อยู่นอกเหนือจากการบังคับ หรือการควบคุมของเรา หน้าที่ของเรามีทางเดียวก็คือว่า ทำความดีแล้วอุทิศให้เขา จนเขาซึมซาบซาบซึ้งกับความดีของเรา มองไปมองมาจากที่จ้องจะจับผิด..ไม่เจอผิด เจอแต่ถูก เจอแต่ดี เจอแต่กุศล อย่างนี้ใช้ได้ เพราะฉะนั้นความผิดพลาดนี้ดูไปแล้วดูเหมือนจะเหตุการณ์ที่ไม่ดี แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง กลายเป็นเรื่องดีได้ ดีในแง่ที่ว่ามันเป็นจุดพลิกผันให้ชีวิตของเราเลิกละสิ่งที่ไม่ดี เพราะเกรงว่าเขาจะไม่ยกโทษให้ ก็กลายเป็นมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นมา อะไรที่ไม่ดี ก็พยายามเลิกละ หรือว่ารู้ทัน ไม่เอามัน ไม่ทำตามมัน ในกรณี ถ้าจะแน่ใจแค่ไหนว่าเขาจะเลิกหรือเปล่า? อะไรอย่างนี้นะ บอกได้เลยว่า “บอกไม่ได้” หน้าที่ของเราคือ ทำเหตุดี ๆ แล้วอุทิศให้เขาไป ทำบุญบ่อย ๆ อุทิศให้เขาไป แล้วก็เวลาอุทิศ ถ้ามีโจทย์เยอะ นอกจากไก่ตัวนี้แล้วก็มีตัวอื่นอีก ก็อุทิศไปด้วย แต่ถ้าคราวนี้มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า แล้วก็เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วก็ต้องการจะอุทิศเจาะจงให้กับไก่ตัวนี้ ก็ทำได้ ทำบุญแล้วก็เจาะจงให้กับไก่ตัวนี้ ทีนี้พอนาน ๆ เข้า นาน ๆ เข้า เราอาจจะเผื่อแผ่ให้กับคนโน้นคนนี้ หรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายไปเลยก็ได้ เวลาอุทิศส่วนกุศล อุทิศแบบเจาะจงไปก่อนก็ได้ แล้วพอตอนท้ายก็เปิดปลายไว้ด้วยว่า “ขออุทิศให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือขอให้กับญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย” จริง ๆ แล้วสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นญาติกันทั้งนั้น ความที่เราประสบเหตุอันที่ดูเหมือนจะไม่ดี .. แต่ถ้ามองให้เป็น มันเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่พาให้เราไปทำดีต่อ เหมือนอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หลานทำตุ๊กตาตกแตก หลานร้องไห้ ดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็อุตส่าห์เอาเหตุนี้มาทำบุญจนได้ บอกกับหลานว่า “โอ้.. หลาน ไม่เป็นไร..” คือหลานรักตุ๊กตาเหมือนเป็นลูกของตัวเอง ลองแทนจิตใจเด็กนะ เด็กประมาณเล่นตุ๊กตาเหมือน “โอ่โอ้.. เอ่เอ้..” กล่อมลูกนะ เผลอทำหลุดมือไป แล้วตุ๊กตาแตก ตุ๊กตาสมัยก่อนก็คงจะทำจากดินเผา ก็ตกแตก อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอก “อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวหาให้ใหม่” เด็กก็ไม่ยอม ก็เลยบอกกับเด็กว่า “เอาอย่างนี้นะ ลูกของหลานเนี่ยตายไปแล้ว ร้องไห้ไปก็ไม่ฟื้นคืนชีวิตมาหรอก ไม่สามารถกลับคืนดีขึ้นมาได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าหลานรักลูก เรามาทำบุญอุทิศให้ลูกกันดีกว่า” หลานบอก “อ้า.. ดีหมือนกันทำบุญให้ลูก” ก็ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา คิดดูสิ! นิมนต์พระพุทธเจ้ามาทำบุญ! ทำบุญเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสถาม “วันนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงนิมนต์เรามา?” อนาถบิณฑิกเศรษฐีบอกว่า “วันนี้ทำบุญอุทิศให้ตุ๊กตา” พระพุทธเจ้าตรัสถาม “เรื่องราวเป็นอย่างไร?” ก็เลยเล่าให้ฟัง “โอ้ฉลาด!” พระพุทธเจ้าตรัสสาธุการเลยนะ “อนาถบิณฑิกเศรษฐีฉลาดมาก” ปรารภเหตุที่ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเลย เหมือนเรื่องไร้สาระมากเลย แต่อุตส่าห์ปรารภเรื่องแม้จะไร้สาระ ให้มันเกิดสาระขึ้นมาจนได้ แล้วเป็นการสอนหลานด้วย เวลาโตไปก็จะจำได้ว่า ถ้ามีใครตายก็ทำบุญอุทิศให้คนนั้น ลูกตัวเองตายคือตุ๊กตาตาย ยังอุตสาห์นิมนต์พระพุทธเจ้ามาทำบุญ แล้วอุทิศบุญให้กับลูกตัวเองก็คือตุ๊กตาตัวนั้น แม้จะไม่มีผลให้ตุ๊กตาตัวนั้นจริง ๆ แต่มันมีผลคือ ผู้ทำบุญ-ได้บุญ ผู้ทำกุศล-ได้กุศล ได้ทำบุญกับผู้เลิศด้วย คือพระพุทธเจ้าผู้เป็นผู้เลิศ เรียกว่าไม่เสียชื่อที่เป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นตัวอย่างได้เลย เป็นผู้ฉลาดในการทำบุญ *** เพราะฉะนั้นไม่ว่าเหตุอะไรเกิดขึ้นนะ.. อย่างไปชนไก่ตายเนี่ย เอาเหตุนี้มาทำบุญต่อได้เลย แล้วอย่าไปทำแค่นึกย้ำในแง่เศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์ เสียใจเมื่อไหร่..ให้รู้ทัน เสียใจเมื่อไหร่..ให้รู้ทัน ไอ้ความเสียใจนั้นเป็น “อกุศล” รู้ทัน “อกุศล” ที่เกิดขึ้น แล้วจะเกิด “กุศล” ทันที คือ มีสติเห็นจิตที่มันเกิดอกุศลขณะนั้น *** พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/watch/live/?v=231278638481272&ref=watch_permalink (นาทีที่ 1.37.25 -1.45.33)

อ่านต่อ