Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #นอนมีสติ #ไม่ติดสุขกับการนอน #สีหไสยา #อุฏฐานสัญญา ?? #ถาม : เวลาทำสมาธิ มันหาวง่วงนอนมากเลยค่ะ ทำยังไงดีเจ้าคะ? #ตอบ : ลองศึกษาอุบายแก้ง่วง ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้กับพระมหาโมคคัลลานะดูนะ เมื่อครั้งพระมหาโมคคัลลานะบวชได้ ๗ วัน ท่านได้เข้าไปภาวนาในป่าใกล้หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ เดินจงกรมทำความเพียรอยู่ตลอด ๗ วัน มีความลำบากทางร่างกายบีบคั้น จึงนั่งโงกง่วงอยู่ในท้ายที่จงกรม พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เภสกฬามิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาทิพย์ จึงไปปรากฏพระองค์ต่อหน้าท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วถามว่า “เธอง่วงหรือ โมคคัลลานะ? เธอง่วงหรือ โมคคัลลานะ?” ตรัสถามถึงสองครั้ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลรับว่า “อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ๑. เมื่อเธอมีสัญญาอยู่อย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำเธอได้ เธออย่า ได้มนสิการถึงสัญญานั้น อย่าได้ทำสัญญานั้นให้มาก เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วงนั้นได้ ๒. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงตรึกตรองพิจารณา ธรรมตามที่ได้สดับมา ได้เล่าเรียนมา เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วง นั้นได้ ๓. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงสาธยายธรรมตาม ที่ได้สดับมา ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วง นั้นได้ ๔. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงยอนช่องหูทั้ง ๒ ข้าง ใช้มือบีบนวดตัว เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วงนั้นได้ ๕. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงลุกขึ้นยืน ใช้น้ำลูบตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตร เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความ ง่วงนั้นได้ ๖. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงมนสิการถึงอาโลก- สัญญา(ความกำหนดหมายแสงสว่าง) ตั้งสัญญาว่าเป็นกลางวันไว้ คือกลางวัน อย่างไร กลางคืนก็อย่างนั้น กลางคืนอย่างไร กลางวันก็อย่างนั้น มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตให้โปร่งใส เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วงนั้นได้ ๗. ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น ยังละความง่วงนั้นไม่ได้ เธอพึงอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ภายใน มีใจไม่คิดไปภายนอก เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้น จะละความง่วงนั้นได้ ถ้าเมื่อเธออยู่อย่างนั้น เธอยังละความง่วงนั้นไม่ได้ ก็พึงสำเร็จสีหไสยา(การ นอนดุจราชสีห์)โดยตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำอุฏฐานสัญญา(กำหนดหมายว่าจะลุกขึ้น)ไว้ในใจ พอตื่น ก็รีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า‘เราจักไม่ ประกอบความสุขในการนอน ไม่ประกอบความสุขในการเอกเขนก ไม่ประกอบ ความสุขในการหลับ’ โมคคัลลานะ เธอพึงสำเหนียกอย่างนี้แล (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ จปลายมานสูตร อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต) ท่านพระมหาโมคคัลลานะคงจะหายง่วงตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จมาแล้วล่ะนะ แต่อุบายทั้ง ๗ ข้อนี้ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติในภายหลัง ขออธิบายด้วยสำนวนที่ง่ายขึ้นเท่าที่ปัญญาจะอำนวย ดังนี้ ๑. “เมื่อเธอมีสัญญาอยู่อย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำเธอได้ เธออย่า ได้มนสิการถึงสัญญานั้น อย่าได้ทำสัญญานั้นให้มาก” นี่ก็คือ จิตเผลอ..ก็รู้ว่าเผลอ เห็นสภาวะเผลอก็หายง่วง ถ้าไม่เห็น จิตก็จะไปจมในเรื่องราวที่เผลอคิด เห็นความเผลอ..จิตก็ตื่นขึ้นมา ก็มาเริ่มที่กรรมฐานตั้งต้นใหม่ จิตไหลไป..ก็รู้ว่าจิตไหลไป ถ้าไม่เห็น บางทีมันก็ไหลเคลิ้มไปเลย ถ้าเห็นจิตที่ไหล..จิตก็ตื่นตั้งมั่นขึ้นมา ๒. “พึงตรึกตรองพิจารณาธรรมตามที่ได้สดับมา ได้เล่าเรียนมา” ก็คือ แทนที่จะปล่อยให้เคลิ้ม ก็เปลี่ยนอารมณ์ เป็นคิดพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟังมา ได้ทบทวนธรรมในใจ บางทีได้ความเข้าใจมากขึ้น แม้จะเป็นปัญญาในระดับคิดเอา ก็ยังดีกว่านั่งหลับ ๓. “พึงสาธยายธรรมตามที่ได้สดับมา ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร” คราวนี้ไม่ใช่แค่คิดแล้ว พระองค์ให้สวดออกเสียงเลย ๔. “พึงยอนช่องหูทั้ง ๒ ข้างใช้มือบีบนวดตัว” สวดมนต์นานๆ บางทีชักชิน มีแอบหลับ ก็ต้องคอยขยับบ้าง ใช้มือตนเองลูบแขนลูบตัว ใครผมยาวก็ลองเอาผมมาแหย่หู มันจะจั๊กจี้ชนิดสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ ๕. “พึงลุกขึ้นยืน ใช้น้ำลูบตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตร” แสดงว่าทนนั่งต่อไปไม่ได้แล้วนะ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่ายืน หรือเอามือตนเองลูบก็ชักจะไม่พอ ต้องใช้น้ำมาช่วยกระตุ้น ๖. “พึงมนสิการถึงอาโลกสัญญา(ความกำหนดหมายแสงสว่าง) ตั้งสัญญาว่าเป็นกลางวันไว้ คือกลางวันอย่างไร กลางคืนก็อย่างนั้น กลางคืนอย่างไร กลางวันก็อย่างนั้น มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตให้โปร่งใส” อันนี้พระองค์ใช้เป็นโอกาสพลิกมาทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง คือ กำหนดหมายแสงสว่าง ทำความสำคัญในแสงสว่าง แม้เปลือกตาจะปิดอยู่ แต่ตาข้างในก็ยังเห็นเป็นแสงสว่าง จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่รู้สึกแตกต่าง หลับตาก็เห็นความสว่าง ลืมตาขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่าสว่าง อันนี้ใครทำได้ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับทิพยจักขุญาณ ๗. “พึงอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ภายใน มีใจไม่คิดไปภายนอก” คือข้อ ๑-๔ ยังอยู่ในท่านั่งอยู่กับที่ ข้อ ๕ ลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังยืนนิ่งๆ มาข้อ ๗ นี้พระองค์ให้เดิน แสดงว่าง่วงมากนะ ประมาณว่ายืนยังเซ ก็เดินจงกรม คำบาลีว่า จงฺกม อ่านว่า จัง-กะ-มะ แปลว่า เดินกลับไปกลับมา และไม่ใช่เดินใจลอย เดินด้วยความรู้สึกตัว ถ้าทำตามลำดับมา ๗ ข้อดังกล่าวแล้วยังง่วง พระองค์ก็ให้นอน แต่เป็นการนอนที่ยังไม่ทิ้งกรรมฐาน นอนอย่างมีสติ มีลีลาอย่างนักปฏิบัติ คือหมายใจไว้ว่า ‘เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน ไม่ประกอบความสุขในการเอกเขนก ไม่ประกอบความสุขในการหลับ’ ไม่ใช่ว่าตื่นแล้วแต่ขอต่ออีกหน่อย ต่อไปต่อมา..ตะวันโด่ง และขอทำความเข้าใจว่า นอนท่า “สีหไสยา” ไม่ใช่ท่านอนแบบพระนอนวัดโพธิ์(พระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร) ท่าตั้งแขนชันขึ้นมานั้นเป็น”ปางโปรดอสุรินทราหู” ท่าที่เป็นแบบอย่าง ได้แก่ พระนอนเมืองกุสินารา แขนวางราบ มือมาหนุนที่ข้างแก้ม นอนท่า “สีหไสยา” คือการนอนดุจราชสีห์ ราชสีห์เมื่อจะนอนเขาจะเตรียมที่นอนอย่างดี เวลานอนจะนอนในท่าตะแคง สำรวจท่านอนของตนเองก่อนจะหลับ ถ้าตื่นมาไม่อยู่ในท่าเดิม เขาจะเสียใจว่านอนขาดสติ ขยับพลิกแล้วไม่รู้สึกตัว วันนั้นจะไม่ออกหากิน สำหรับนักปฏิบัติ โดยความหมายคือให้นอนอย่างมีสติ จะนอนตะแคงหรือนอนหงายก็ไม่ว่านะ แต่ตื่นมาให้สำรวจท่าด้วยว่า อยู่ในท่าเดิมหรือไม่ ถ้าผิดไปก็แสดงว่ายังไม่ผ่าน และที่สำคัญคือ ทำอุฏฐานสัญญา(กำหนดหมายว่าจะลุกขึ้น)ไว้ในใจ ซึ่งช่วยให้เราไม่ติดสุขในการนอน และเอื้อให้ไม่ประมาท พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๘ กันยายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #สังโยชน์๑๐ #สังโยชน์เบื้องต่ำ #สังโยชน์เบื้องสูง ?? #ถาม : เมื่อวานนี้ผมถามสังโยชน์ ๑๐ ไปตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ อยากจะให้ท่านเทศน์ให้ฟังอีกทีนึง โดยเน้นข้อ ๓ ข้อ ๔ ให้ชัดหน่อยครับ #ตอบ : สังโยชน์ ๑๐ เป็นชื่อของกิเลสที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงในแง่ที่ว่า มันผูกมัดใจคนให้วนเวียนในวัฏฏทุกข์ ข้อ ๑) สักกายทิฏฐิ คือทิฏฐิว่ามีเรา มีความเห็นว่าเป็นตัวของตน คือมันมีทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิว่ามีเรา เห็นว่ากายเป็นเรา เห็นว่าใจเป็นเรา มันเป็นความเข้าใจผิดซึ่งเกิดตามหลังความคิดอันไม่แยบคาย มองไม่เห็นสภาพความเป็นจริง ที่สัตว์บุคคลเป็นเพียงองค์ประกอบต่างๆ มาประชุมกัน คิดว่ามีเรา ก็อยากได้อะไรต่างๆ มาสนองเรา ส่วนมากก็วนอยู่ในเรื่องกาม อยากดู อยากฟัง อยากกิน อย่างนี้เป็นต้น หนักเข้าก็เห็นแก่ตัว รวมแล้วก็คืออยากได้อยากเอาสิ่งนั้นมาสนองความอยากของเรา อยากได้กาม อยากได้เกียรติ อยากได้สรรเสริญ ทุกอย่างอยากได้มาเพื่อสนองความเป็นเราที่คิดว่ามี.. “เรา”จริง ๆ ไม่มี มีแต่ “ความคิดว่าเป็นเรา” จึงเรียกกิเลสตัวนี้ว่าเป็นเพียงทิฏฐิ ข้อ ๒) วิจิกิจฉา ความลังเล สงสัย เช่น สงสัยว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงไหม? พระธรรมคำสอนเป็นเรื่องจริงไหม? พระสงฆ์มีจริงไหม? ทำให้ไม่มั่นใจ ไม่มีความแกล้วกล้าที่จะมุ่งหน้าไปตามหนทางที่พระพุทธองค์ทรงสอน ข้อ ๓) สีลัพพตปรามาส โดยคำศัพท์ “สีล(อ่านว่า สี-ละ)” คือ ศีล, “พต(อ่านว่า พะ-ตะ)” คือ พรต, ปรามาส(อ่านว่า ปะ-รา-มา-สะ) แปลว่า การจับ แต่เป็นการจับแบบไม่มั่นคง โดยความหมายก็คือถือผิดไป สีลัพพตปรามาส ก็คือ การถือศีลพรตแบบงมงาย ยึดถือผิดไปว่า จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ก็ต้องทำรูปแบบอย่างนี้เท่านั้น หรือต้องมีพิธีอย่างนี้ มีข้อปฏิบัติต่างๆ ก็ยึดถือทำตามๆ กันไป ไม่รู้เหตุผล กลายเป็นเรื่องขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ไป บางทีก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตอบแทน เพื่อลาภสักการะ เพื่ออำนาจใหญ่โต เลยเถิดออกนอกลู่นอกทาง บางทีก็เคร่งครัดในระเบียบที่ตั้งขึ้นเอง ต้องทำอย่างนั้นจึงจะสำเร็จ ต้องทำอย่างนี้จึงจะสำเร็จ ต้องเอาหัวหมูมาบูชาจึงจะสำเร็จ ประมาณอย่างนี้นะ หรือว่าต้องเดินท่านี้เท่านั้นจึงจะสำเร็จ หรือว่าต้องเดินที่นี่เท่านั้นจึงจะสำเร็จ คล้าย ๆ กับมันมีกรอบมีขอบเขตของการปฏิบัติแบบงมงาย ไม่ได้ถือหลักว่าต้องมีสมถกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐาน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไปยึดเอารูปแบบ ต้องดูกายก่อน ห้ามดูจิตก่อน ต้องพุทโธเท่านั้น สัมมาอาระหังไม่ได้อะไรอย่างนี้ คือไปยึดเอารูปแบบจนไปตำหนิติเตียนกันเอง แล้วก็ถือว่าตัวเองถูก-คนอื่นผิด เพียงแค่รูปแบบไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วจะเข้าใจถึงหลักการของการปฏิบัติ แล้วไม่ไปตำหนิติเตียนกันด้วยเพียงรูปแบบ ข้อ ๔) กามราคะ แปลว่า ความติดใคร่ในกาม หมายถึง ความพอใจใฝ่หาในการดูรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส และสัมผัสทางกาย ที่น่าพอใจ นี่เรียกว่า “กามราคะ” คนที่ติดในกามก็จะติดในการดูของสวยงาม ถ้าไม่ได้ดูก็จะเกิดโทสะหรือเกิดทุกข์ ติดในการที่จะฟังเสียงไพเราะ หรือเสียงชมเสียงสรรเสริญเท่านั้น ถ้าไม่ได้รับคำชม ไม่ได้รับคำสรรเสริญ จะรู้สึกเป็นทุกข์ ต้องกินของอร่อยเท่านั้น ถ้าวันไหนไม่อร่อยก็เป็นทุกข์ วันไหนอากาศไม่ดีก็เป็นทุกข์ ร้อนไปก็เป็นทุกข์ หนาวเกินไปก็เป็นทุกข์ อย่างนี้นะ ความสุขนี่มันขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอกทั้งหมดเลย แล้วการที่ยังมีกามราคะอยู่ ก็เป็นเหตุให้ผิดหวัง ผิดหวังทีไรก็เป็นโทสะ แต่โทสะนี่ก็ไปอยู่ข้อที่ ๕ แล้ว..เป็นปฏิฆะ ข้อ ๕) ปฏิฆะ ปฏิฆะ แปลว่า ความกระทบกระทั่งในใจ หงุดหงิดขัดเคืองใจ ซึ่งก็มีเหตุมาจากที่ว่า หวังกามสุขแล้วผิดหวังจากกามสุขนั้น กลายเป็นโทสะหรือเป็นปฏิฆะ ข้อ ๔ และข้อ ๕ สองข้อนี้จะเกี่ยวกันเนื่องกัน เวลาละได้มันจะละไปด้วยกัน หมายถึงว่าพระอนาคามี เวลาละกามได้ ไม่ได้หวังความสุขจากการดู การฟัง การดม การกิน หรือการสัมผัส ก็จะละไปได้ทีเดียวทั้งคู่เลย ทั้งสองข้อนี้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อละกามราคะได้ มันไม่หวังแล้วเนี่ย มันก็ไม่มีโทสะหรือไม่มีปฏิฆะจากการผิดหวังในเรื่องของกาม มันก็เลยละไปด้วยกัน ๕ ข้อแรกนี้รวมเรียกว่า “สังโยชน์เบื้องต่ำ” คืออยู่ในขั้นหยาบ พระอนาคามีท่านจะละสังโยชน์ ๕ ข้อแรกนี้ไปได้ สามข้อแรกละได้ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันแล้ว อีกสองข้อก็ละไปด้วยกัน ตอนที่ละกามได้ด้วยอนาคามิมรรค ยังเหลืออยู่อีก ๕ ข้อ เป็นสังโยชน์เบื้องสูง เป็นเรื่องของกิเลสละเอียดๆ ที่จะละได้ด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้น ได้แก่ ข้อ ๖) รูปราคะ รูปราคะนี่ไม่ใช่ราคะใน Picture-รูปภาพ นะ รูปราคะ แปลว่า ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต หมายถึงรูปฌาณ แสดงว่าพระอนาคามีเข้ารูปฌาณได้ แต่ยังติดในสุขในการเข้ารูปฌาน พอใจในความสงบของสมาธิขั้นรูปฌาน ติดใจในรูปภพ ข้อ ๗) อรูปราคะ แปลว่า ความติดใจในอรูปธรรม ซึ่งก็คือ อรูปฌาน หมายความว่า พระอนาคามีที่ทำอรูปฌาณได้ แล้วยังติดในความสุขในการเข้าอรูปฌาน พอติดความสุขในการเข้าอรูปฌาณ ก็จะติดในสังโยชน์ข้อนี้ ยังติดใจในอรูปภพ สมมติว่าเวลาพระอนาคามีคุยกับโยมเนี่ยนะ แล้วก็รู้สึกว่าโยมฟุ้งซ่านมากเลย ท่านก็แอบเข้าฌาน พอแอบเข้าฌานจิตก็เคลื่อน จิตเคลื่อนเข้ารูปฌาน ถ้าท่านทำอรูปฌานได้ ก็จะหลบเข้าอรูปฌาน จิตเคลื่อนเข้าอรูปฌาน แล้วเวลาเข้าฌานเนี่ยจิตเคลื่อน แต่อย่าไปตำหนิท่านนะ จริงๆ แล้วภูมิจิตภูมิธรรมของท่านก็อยู่ในระดับสูงมากแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวกเรา แต่ที่พูดก็เพื่อให้เห็นว่าการพอใจ มีราคะในรูปฌานและอรูปฌาน มันยังเป็นปัญหาของท่าน ปัญหาของท่านนะ..ไม่ใช่ปัญหาของเรา ปัญหาของท่านคือ ยังมีการติดในรูปฌานและอรูปฌานอยู่ ข้อ ๘) มานะ แปลว่า ความถือตัว แต่ไม่ใช่มานะแบบปุถุชนแบบเรา มานะแบบปุถุชนคือถือตัวถือตนแบบตำหนิคนอื่น เหยียดหยามคนอื่น นึกว่าตัวเองเจ๋งแล้ว พระอนาคามีไม่ได้มีหยาบๆ อย่างนั้น พระอนาคามีจะมีมานะคือในแง่ของการเปรียบเทียบ เช่น สมมติว่าท่านมีตาทิพย์ แต่โยมไม่มีตาทิพย์ แล้วท่านก็คิดเทียบ คือรู้ตามจริงนะ แต่ยังมีการเทียบเขาเทียบเรา หรือว่าไปเจอครูบาอาจารย์ โอ้โห! ครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านผุดผ่องไม่มีทุกข์อะไรเลย แต่เราเนี่ยยังมีงานอยู่ มันมีการเปรียบเทียบ แต่ไม่ใช่ออกมาในแนวหยาบ ๆ แบบเหยียดหยามอะไรใคร ไม่มีการตำหนิติเตียนในแง่ทำให้เกิดกิเลสหยาบๆ มานะของพระอนาคามีไม่ได้หยาบแบบที่เราเข้าใจ มันเป็นเพียงการเทียบเขาเทียบเรา บางทีเทียบด้วยความเคารพด้วยซ้ำไป เจอครูบาอาจารย์ท่านผ่องใสมาก เรายังมัวหมองอยู่เลย เรายังไม่พ้นเลย มันมีการเทียบเขาเทียบเราอย่างนี้ ถ้าเทียบเขาเทียบเราเมื่อไหร่เป็นมานะเมื่อนั้น ก็เป็นงานของท่านพระอนาคามี ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นงานละเอียดมากๆ เลย ข้อ ๙) อุทธัจจะ แปลว่า ความฟุ้งซ่าน อุทธัจจะของพระอนาคามีเนี่ยนะ ไม่ใช่อุทธัจจะแบบปุถุชน แต่เป็นฟุ้งซ่านในธรรม โยมอาจจะงง..อยู่ในธรรมยังฟุ้งซ่านอีกเหรอ คือเอาง่าย ๆ ว่า จิตยังเคลื่อนอยู่ ตัวท่านมีสมาธิก็จริง สมาธิของท่านดีก็จริงนะ แต่เวลาเข้าสมาธิยังไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ยังมีการเคลื่อน จิตเคลื่อนแสดงว่าไม่ตั้งมั่น..เข้าใจมั้ย? ความฟุ้งซ่านของท่านเนี่ยมันการการฟุ้นซ่านเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแง่ที่ว่าระลึกถึงรูป แล้วเอาจิตไปแปะกับรูปธรรม หรือระลึกถึงอารมณ์ที่ไม่ใช่รูป คืออรูป เช่นอารมณ์ว่างๆ จิตส่งไปหาความว่าง อันนี้เรียกว่าจิตเคลื่อนไป ถ้าจิตมีการส่งออกเมื่อไหร่ก็เป็นการฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องของอุทธัจจะในธรรม ปุถุชนเนี่ย..ขอให้ได้เข้าให้เถอะ..ฌานเนี่ย จิตเคลื่อนก็ไม่ว่าหรอก แต่การที่มีจิตเคลื่อนของพระอนาคามี เป็นปัญหาของท่าน พระอรหันต์เนี่ยจิตไม่เคลื่อน ไม่มีการฟุ้งซ่านในลักษณะที่จิตเคลื่อนแบบนี้ เพราะฉะนั้นคำว่าฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะในสังโยชน์เนี่ยนะ มีตั้งแต่ฟุ้งซ่านแบบทั่วๆ ไป คือคิดนึกเรื่อยเปื่อยแบบปุถุชนเลย ฟุ้งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตเคลื่อนออก ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ อันนี้ชัดเจน แต่ของพระอนาคามีเนี่ยท่านละกามแล้ว คงไม่ได้ไปคิดถึงโยมคนนั้น ไม่ได้ไปคิดถึงอยากจะกินร้านนั้น อะไรอย่างนี้ไม่ได้คิดแล้ว ความสุขของท่านคือการเข้าฌาน เพราะฉะนั้นเวลาเข้าฌานของท่าน ถ้าจิตเคลื่อน..ท่านยังฟุ้งซ่านอยู่ มันไม่ใช่ฟุ้งซ่านแบบปุถุชนทั่วไป สังโยชน์เบื้องสูงข้อท้ายๆ เนี่ยนะ มันไม่ใช่เพียงหยาบๆ แต่เป็นส่วนละเอียดที่พระอนาคามียังละไม่ได้ และเป็นงานของท่านที่ท่านจะต้องมาสังเกตจิตของท่านเองว่า มันยังเคลื่อนอยู่นะ บางท่านเนี่ยเห็นจิตเคลื่อนตอนที่สิ้นชีวิตจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นพรหม พอเกิดเป็นพรหมท่านจึงเห็นว่าจิตมันเคลื่อนเข้าหาพรหมโลก แล้วท่านก็สำเร็จตอนนั้นเลย คือว่าเห็นจิตเคลื่อนแล้วก็ใช้ได้แล้ว อันนี้ไม่ใช่ว่าอาตมาไปเห็นท่านนะ แต่ว่ามีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ บางท่านเป็นพระอนาคามีตอนเป็นมนุษย์ คิดว่าสำเร็จแล้วหรืออาจจะรู้ว่าท่านเป็นอนาคามีแล้วก็ได้นะ แต่พอสิ้นชีวิตเห็นจิตเคลื่อน พอเห็นจิตเคลื่อนเนี่ยใช้ได้เลย จิตก็ตั้งมั่นพอดี ก็เหมือนตอนที่เห็นกิเลส เห็นกิเลสๆจะดับ เห็นจิตเคลื่อน..จิตก็ไม่เคลื่อน..ตั้งมั่นขึ้นมา มันสำคัญตรงที่ว่าจะเห็นมั้ยเท่านั้นเอง ข้อ ๑๐) ข้อสุดท้าย”อวิชชา” แปลว่า ความไม่รู้ ก็คือมันจะมีติดอยู่นิดนึง พระอนาคามีท่านจะรู้สึกว่าติดอยู่นิดนึง เหมือนยังไม่รู้อะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งท่านก็ยังความหาอยู่ เคล็ดลับคือ ถ้ายังควานหาอยู่..ก็ยังไม่เจอ อันนี้ก็ไม่ใช่ความรู้ของอาตมานะ ฟังครูบาอาจารย์มาอีกที เหมือนคนจะขึ้นยอดเขานะ หาทางอยู่นั้นล่ะ หาทางว่าจะขึ้นยอดเขา..ไม่เจอทาง แต่พอหยุดหา..มันคือถึงยอดเขาพอดี คือถ้าใจยังควานหา เหมือนยังไม่รู้อะไรสักอย่างหนึ่ง แสดงว่ายังมีอวิชชา ซึ่งตรงเป็นงานของพระอนาคามีอีกเหมือนกัน พูดไปปุถุชนก็จะฟุ้งซ่านเปล่าๆ ฟังไว้พอประดับความรู้ก็พอ …อันนี้เป็นเรื่องของสังโยชน์ ที่อาตมาอธิบายได้เนี่ย ไม่ใช่อาตมาเป็นพระอรหันต์แล้วจึงอธิบายได้อย่างนี้นะ ฟังครูบาอาจารย์มาอีกทีเหมือนกัน อาตมาได้ฟังครูบาอาจารย์อธิบายมาก็เลยนำมาถ่ายทอดต่อ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ลิงค์รายการ https://youtu.be/1KLZIWRyAJ0 (นาทีที่ 33.24-47.50)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #บริกรรมพุทโธ ?? #ถาม : เวลานั่งสมาธิ โยมบริกรรม “พุทโธ” พุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธหายไป มันจะนิ่งขึ้นชั่วแว๊บเดียว รู้สึกว่ามันนิ่งแบบว่างเปล่า มันไม่ได้ทิ้งช่วง ไม่ได้นาน จะแค่แว๊บ ๆ #ตอบ : ปล่อยมัน ช่างมัน ถ้ามันทิ้ง “พุทโธ” ไม่เป็นไร ช่างมัน แต่ถ้ามันทิ้ง “พุทโธ” แล้วไปจับอย่างอื่น คือคิดฟุ้งซ่าน อย่างนี้ต้องรู้ว่าฟุ้งซ่าน แล้วมาเริ่มบริกรรม “พุทโธ” ใหม่ แต่ถ้ามันทิ้งพุทโธไปเฉยๆ โดยที่ยังมีความรู้สึกตัวอยู่ ก็ไม่เป็นไร จิตมันเริ่มวางภาระในการท่องคำบริกรรม อย่างนี้ไม่เป็นไร #ถาม : บางครั้งนั่งไปแล้ว เราอยากพุทโธ แต่จิตมันไม่อยากนึกถึงพุทโธ #ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้มีความรู้สึกตัว “รู้สึกตัว” ในที่นี้หมายถึงว่า กายกำลังอยู่ในอิริยาบถนั่ง..ก็รู้ว่ากายกำลังนั่งอยู่ กายหายใจด้วย..ก็รู้ว่ากายกำลังหายใจ อย่างนี้ไม่เป็นไร จะไม่มีพุทโธก็ไม่เป็นไร ถ้ามันมีความรู้สึกตัวอยู่ก็ใช้ได้ อิริยาบถอื่นก็เช่นเดียวกัน ที่ให้มีบริกรรม “พุทโธ” ด้วย ก็เพราะว่า บางทีเราเผลอไปแล้วไม่รู้ทัน ก็ต้องอาศัยคำบริกรรมเข้ามาช่วย บางทีตอนที่เผลอ เราไม่ได้เผลอธรรมดา เผลอแล้วคิด สังเกตดูว่าเวลาคิดเนี่ย จะมีเสียงพูดในใจของตัวเอง เสียงเราเองนี่แหละนะ คำว่า “พุทโธ” ที่เราบริกรรมอยู่จะช่วยให้เห็นชัดว่าเวลาที่เผลอไป เพราะมันมีเสียงอื่นแทรกเข้ามาที่ไม่ใช่เสียง “พุทโธ” เสียงเราที่พูดคำอื่นในใจ นั่นเรียกว่าเผลอ การมีคำว่า “พุทโธ” อยู่ในใจจะช่วยให้เราเจริญสติเห็นความเผลอได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ถ้ามีแค่ลมหายใจเนี่ยนะ บางทีก็เหมือนเห็นลมหายใจอยู่นะ แต่ก็รู้สึกว่าในขณะเดียวกันมันมีเสียงคำพูดอะไรก็ไม่รู้อยู่ในใจด้วย นี่คือเผลอคิดไปแล้ว..อันนี้มักจะไม่รู้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ https://youtu.be/deJJwzRLWMI (นาทีที่ 53.0-55.34)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ไม่ปีติกับทาน #ไม่ดูถูกบุญแม้เล็กน้อย ?? #ถาม : การให้ทานแล้วถ้าเราไม่ปีติ เราต้องทำขึ้นมามั้ยคะ? #ตอบ : ไม่ต้องไปแกล้งให้มีปีตินะ มันไม่มีปีติ..ก็รู้ว่าไม่มีปีติ ไม่มีก็ไม่เป็นไรนะ แต่ก็ให้ทำทานต่อไป บางทีเรามาเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐานเนี่ย เรากำลังอิน(in)กับการเจริญกรรมฐาน มันจะรู้สึกว่าการให้ทานเนี่ยจืด ๆ แต่ก็ควรทำทานอยู่นะ ไม่ละเลยการให้ทาน แม้การให้ทานมันจะจืด ๆ แต่ก็ทำ ไม่ได้ดูถูกบุญแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่บางทีพอผ่านไปสักพักหนึ่ง กรรมฐานมันเริ่มเสื่อม หรือมายุ่งกับทางโลกมากขึ้น ก็กลายเป็นรู้สึกว่าอยากจะมาให้ทานเพื่อปลุกให้เกิดกุศลเกิดขึ้นมาชโลมใจ ให้ทานแล้วรู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นมาอีก บางทีก็ต้องปลูกศรัทธามาเสริมเพื่อให้เกิดกำลัง ศรัทธาก็เป็นกำลังของใจ เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ลิงค์คลิป https://youtu.be/deJJwzRLWMI (นาทีที่ 28.53-30.05)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ # ระลึกถึงความตาย #อย่าหวังพึ่งผู้อื่น ?? #ถาม : มีปัญหาเรื่องสู้กิเลสไม่ได้ค่ะ ระหว่างวันก็ใช้วิหารธรรมเป็นบริกรรม “พุทโธ” และเห็นความขี้เกียจ ความไม่อยากทำโน่นทำนี่ ไม่อยากทำในรูปแบบ หลงโลก เห็นว่าเราไม่ได้อยากจะเอามรรคผลจริงๆ เห็นในความเหลาะแหละของตัวเอง หรือเวลามีนิวรณ์ เช่น ง่วง ก็แพ้มันทุกที ช่วยแนะนำด้วยค่ะ #ตอบ : ถ้าขี้เกียจหรือเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ บางทีต้องนึกถึงความตายเอาไว้บ้างนะ การระลึกถึงความตายที่จะต้องมาถึงเราแน่ๆ ระลึกบ่อยๆ ก็เป็นการทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง เรียกว่า “มรณสติ” เป็นกรรมฐานที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกที่ทุกกรณี ทุกคนควรเจริญอยู่เสมอ เพราะจุดมุ่งหมายของการเจริญมรณสติ ก็เพื่อให้เกิดความไม่ประมาท ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน คือจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ก็ยังไม่แน่ ระหว่างชาติหน้ากับพรุ่งนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าสิ่งไหนจะมาก่อน ถ้ายังเหลาะแหละเหลวไหล ประมาทในชีวิตอย่างนี้ ถึงคราวตายก็จะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลย ลองถามตนเองดูว่า :- “เราพร้อมที่จะตายแล้วหรือยัง?” “ยังกลัวตายอยู่มั้ย?” “มั่นใจหรือไม่ ว่าหลังตายจะไม่ไปอบาย?” ถาม/ตอบกับตนเองอย่างนี้ ก็จะเป็นการเตือนตนและกระตุ้นให้ไม่ประมาทได้ และอย่าหวังว่า “จะตายท่ามกลางหมู่คนที่เรารัก” หรือ “จะมีครูบาอาจารย์มาเตือนสติขณะใกล้ตาย” อย่าคิดว่าการตายของเราจะสมบูรณ์แบบอย่างนั้น ..มันไม่แน่!! คิดอย่างนั้นมันเป็นการหวังพึ่งผู้อื่น ซึ่งเสี่ยงที่จะผิดหวัง! ทางที่ดี เราควรฝึกฝน จน “ตนเป็นที่พึ่งของตน” ให้ได้ จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ประมาทอย่างแท้จริง พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ไม่อยากทำบุญกับพระ #ให้แบบสังฆทาน ?? #ถาม : แม่บ่นบอกว่า “เดี๋ยวนี้หาพระดี ๆ ไม่ได้แล้ว เลยไม่อยากทำบุญกับพระ ทำบุญกับคนดีกว่า” ความคิดแบบนี้กลัวว่าแม่จะเป็นบาป ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? แล้วทำอย่างไรดีคะ? #ตอบ : ถ้าพ่อแม่คิดอย่างนี้ ก็ให้เขาไปทำบุญกับคน ก็ยังดีที่ได้ทำบุญนะ ในแง่ของอาตมา คือถ้าอาตมาตอบไปว่าให้ทำบุญกับพระด้วย อาตมาก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาไม่ศรัทธาอยู่แล้ว ฉะนั้นให้เขาไปบุญกับคนก็ยังดี หรือถ้าจะไม่ทำบุญกับคน จะทำบุญกับสัตว์ก็ยังดีนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทักขิณาวิภังคสูตร ว่า “ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น (๑) บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า (๒)​ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า (๓) ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า (๔) ให้ทานในบุคคลภายนอก(ศาสนา)ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า (๕) ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้ จะป่วยกล่าวไปไย(๖)ในพระโสดาบัน (๗)ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง (๘)ในพระสกทาคามี (๙)ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง (๑๐)ในพระอนาคามี (๑๑) ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง (๑๒) ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ (๑๓) ในพระปัจเจกสัมพุทธ และ (๑๔) ในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ฯ” จะเห็นได้ว่า การทำบุญเนี่ย แม้จะทำบุญกับสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีอานิสงส์มาก เวลาเราล้างจานเนี่ย เรามีเศษอาหารอยู่ในจานที่เรากิน ตอนที่ก่อนจะไปลงน้ำยาล้างจานนะ ก็กวาดเอาเศษอาหารไปโปรยให้มดหรือให้นก ยังเป็นบุญเป็นกุศล มีอานิสงส์มาก ในระหว่างการให้สัตว์เล็กกับสัตว์ใหญ่..การให้กับสัตว์ใหญ่ก็จะมีอานิสงส์มากกว่า ระหว่างการให้กับสัตว์ที่มีคุณกับสัตว์ไม่มีคุณ..การให้กับสัตว์มีคุณ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่า ระหว่างการให้กับสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์..การให้กับมนุษย์ก็มีอานิสงส์มากกว่า ฉะนั้น ถ้าพ่อแม่จะให้ทานกับมนุษย์ก็มีอานิสงส์นะ แต่ก็ควรเลือกดูด้วย ! เพราะในระหว่างมนุษย์ด้วยกันเนี่ย.. ระหว่างการให้กับมนุษย์ที่มีศีลกับมนุษย์ที่ไม่มีศีล การให้กับมนุษย์ที่มีศีลก็มีอานิสงส์มากกว่า เพราะว่าเป็นการให้กำลังหรือสนับสนุนคนดี มีข้อประพฤติปฏิบัติที่ดี แต่ถ้าให้แบบไม่เลือกผู้รับเลยเนี่ยนะ เราอาจจะไปให้กับคนเลว ก็เป็นการให้กำลังกับคนเลวไปทำเลวได้มากขึ้นต่อไป นึกออกไหม? ดังนั้น ถ้าแม่จะทำการสงเคราะห์มนุษย์ ในระหว่างมนุษย์มีศีลกับมนุษย์ไม่มีศีล ก็ให้เลือกให้กับมนุษย์มีศีล ถ้ามนุษย์นั้นมีศีลด้วยและมีการฝึกจิตใจด้วย เป็นคนที่รู้ทันกิเลสตัวเอง มีข้อวัตรปฏิบัติแล้วดูน่าเชื่อว่าเขาเป็นคนดี แถมยังมีคุณธรรม ก็ควรจะให้กับคนที่มีคุณธรรมด้วย มีศีลด้วย เพราะอะไร? เพราะคนที่มีคุณธรรมและมีศีลเนี่ย เขานอกจากเขาจะมีความประพฤติดีงามแล้ว เขายังมีความรู้ที่จะเอาไปถ่ายทอดให้คนอื่น ให้เป็นคนที่มีคุณธรรมแบบที่เขาเป็น หรืออย่างน้อยก็เป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น ถ้าให้กับคนที่มีศีลด้วย มีคุณธรรมทางจิตใจ มีสมาธิ มีปัญญา และบรรลุมรรคผลด้วย ก็ยิ่งดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะการบรรลุมรรคผล คือการทำให้ตนเองนั้นพ้นจากทุกข์ใหญ่ ๆ ไปได้ ถ้าให้กับพระโสดาบัน ก็จะมาอานิสงส์มาก เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ที่รู้ทาง ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านก็อาจจะไปบอกวิธีการประพฤติปฏิบัติให้กับคนอื่นได้อย่างความมั่นใจด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำตารามา คนท่องตำรามาตอบ เมื่อเจอบางคำถามที่ตนเองไม่มีประสบการณ์ตรง ก็อาจจะตอบปัญหาแบบคลุมเครือฉะนั้น การให้กับครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุมรรคผล ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าให้กับท่านที่ไม่บรรลุมรรคผล (ในทานแบบเดียวกัน) การให้กับพระโสดาบัน..ก็มีอานิสงส์มากกว่าการให้กับปุถุชน การให้กับพระสกทาคามี..ซึ่งบรรลุธรรมขั้นที่ ๒ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระโสดาบัน การให้กับพระอนาคามี.. ซึ่งบรรลุธรรมขั้นที่ ๓ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระโสดาบัน หรือให้พระสกทาคามี การให้กับพระอรหันต์..ก็ย่อมมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระอริยะ ๓ ขั้นต้น การให้ทานที่มีอานิสงส์สูงสุด ก็คือการให้สังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งยุคนี้ไม่มีโอกาสให้ทานอย่างนั้นแล้ว ก็อาจจะให้กับส่วนรวมที่ไหนก็ได้ สังฆทาน แปลว่า ให้ทานแก่สงฆ์ คือถวายเป็นกลางๆ ไม่จำเพาะเจาะจงรูปหนึ่งรูปใด ให้กับส่วนรวม ไม่เจาะจงบุคคล เป็นการให้แบบที่ไม่ยึดติดกับบุคคล ให้แบบใจกว้าง การให้แบบใจกว้างนี้ อานิสงส์จึงเกิดผลกับผู้ให้มากกว่าการให้แบบเจาะจงบุคคล การให้แบบเจาะจงบุคคลเนี่ย บุคคลนั้นทีแรกเราอาจจะเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณธรรม แต่ภายหลังกลับมารู้ว่า “อ้าว! เราเข้าใจมันผิดไป” อย่างนี้เราก็จะเสียศรัทธา ที่ให้ไปก็กลับเสียดาย มานึกภายหลังก็ไม่เกิดบุญกุศล การให้แบบเจาะจงบุคคลจึงมีข้อเสียอย่างนี้นะ เพราะบางทีเรามองไม่ออกว่าเขาดีจริงหรือเปล่า ฉะนั้น การให้กับส่วนรวมก็หมายความว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้รักษาพระศาสนา ใครก็ตามที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา เราขอให้กับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งเป็นส่วนรวมไป มีคนที่ไม่รักษาศาสนา เป็นคนที่ปฏิปทาไม่ดี เขาก็ไม่อยู่ในกลุ่มที่เรามุ่งหมายอยู่แล้ว ยังมีอีกกลุ่มใหญ่ ๆ ที่ยังมีความปรารถนาที่จะฝึกตนเอง แล้วก็รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็มุ่งหมายที่ผู้รับกลุ่มนั้น อันนี้เรียกว่าให้แบบสังฆทาน ให้เป็นส่วนรวม เราจะไม่ยึดติดในบุคคล ใครจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา เขาก็รับวิบากกรรมของเขาเอง แล้วเราก็จะรู้สึกว่าไม่เสียศรัทธาเวลาที่ได้ข่าวใครประพฤติไม่ดี แต่ทั้งนี้ พึงระลึกไว้เสมอว่า การให้ทานก็ยังเป็นเพียงบุญประเภทเดียวเท่านั้น บุญมี ๓ ประเภท แบ่งตามที่มาของบุญคือ ๑. ให้ทาน ๒. รักษาศีล และ ๓. เจริญภาวนา การให้แม้จะได้บุญมากแค่ไหน ไม่ว่าจะทำสังฆทานมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.. ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าเราจะพ้นอบาย เราต้องทำตนเองให้พ้นอบายด้วย นั่นก็คือต้องป้องกันเหตุที่จะทำให้ไปสู่อบาย เหตุที่พาไปสู่อบาย คือการทำผิดศีลในเรื่องต่าง ๆ พ้นอบายแล้ว ก็ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องเจริญภาวนา ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ไหนๆ จะทำบุญแล้ว ก็ทำให้ครบทั้ง ๓ ประเภทนะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากรายการ คลิกใจให้ธรรม ตอนสมาธิมี ๒ แบบ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ลิงค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=iDQUOZme8Xg (ระหว่าง นาทีที่ 34:23-40:50)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๗๑ #แหกพรรษา ?? #ถาม : เนื่องจากผมจะบวชในระหว่างพรรษาเพียง ๒ เดือน เพราะทางวัดมีโควต้าให้แค่นั้น แต่แม่ผมมีความเชื่อว่าบวชระหว่างพรรษาไม่ดี แล้วแม่ก็กังวลใจ จนไม่อยากให้บวช แม้กระทั่งยังมีญาติๆ ก็ซักถามมาว่า “บวชระหว่างพรรษาได้หรือ? พระเขายอมบวชให้หรือ?” ผมจะอธิบายกับแม่และญาติๆ อย่างไรดีครับ #ตอบ : บวชได้นะ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ทั้งทางพระธรรมและพระวินัย เข้าใจว่าที่แม่และญาติๆ ของโยมกังวลใจ อาจจะเป็นเพราะไปโยงกับสำนวนไทยที่ว่า “แหกพรรษา”!!! แหกพรรษา หมายถึง พระที่อธิษฐานจำพรรษาตลอดสามเดือนที่อาวาสใดแล้วอยู่ไม่ครบตามที่อธิษฐานไว้ ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น หรือสึกออกไป ซึ่งการแหกพรรษาก็มักจะมีสาเหตุมาจากเรื่องไม่ดีไม่งาม น่าติเตียน เช่น – ทะเลาะวิวาทกับพระรูปอื่นในวัด จนอยู่ร่วมกันไม่ได้ – ดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของเจ้าอาวาส จนถูกไล่ออกจากวัด – ไม่อดทนต่อคำสอนของครูบาอาจารย์ หาทางหนี – ประพฤติเสียหาย จนชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่ อยู่ต่อไปไม่ได้ – ร้อนรนด้วยไฟกิเลส ทนประพฤติพรหมจรรย์ต่อไปไม่ไหว เรียกว่า “ผ้าเหลืองร้อน” เป็นต้น แต่ในกรณีของโยมนี้ ทางวัดมีโควต้าให้แค่นั้น แสดงว่าคงจะเป็นวัดที่มีผู้ประสงค์จะไปบวชเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางวัดอาจจะจำเป็นต้องแบ่งเวลาให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม และโยมได้ส่วนแบ่งมา ๒ เดือน เมื่อหมดเวลาก็จำเป็นต้องออกจากวัด ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ต้องยอมรับร่วมกันตั้งแต่ก่อนบวชอยู่แล้ว ถ้าตลอดเวลา ๒ เดือนที่ว่า ไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีไม่งามดังที่กล่าวมา ก็ไม่เข้าเกณฑ์ของคำว่า”แหกพรรษา”ข้างต้น ..สบายใจได้ ขอให้ใช้เวลา ๒ เดือนนี้ให้คุ้มค่าที่ท่านอุตส่าห์แบ่งเวลาให้ ก็ควรได้ประโยชน์ของการบวชให้มากที่สุด คือ – ทำหน้าที่ในฐานะพุทธศาสนิกชน นำตนมาศึกษาพระธรรมวินัย เรียนรู้แล้วประพฤติตาม ให้พระธรรมวินัยอยู่ในชีวิตของเรา ก็จะเท่ากับเราใช้ชีวิตรักษาพระพุทธศาสนา มีชีวิตที่ดีงามด้วยธรรม นอกจากตนเองจะได้ประโยชน์แล้ว ผู้อื่นก็ได้ประโยชน์ด้วย สังคมก็พลอยร่มเย็น เรียกว่า “สืบอายุพระศาสนาด้วยชีวิตของเราเอง” – ได้สนองคุณพ่อแม่ เพราะเรากำลังมาเพิ่มต้นทุนที่ดีให้ชีวิต ด้วยการเข้ามาฝึกฝนอบรมกับครูบาอาจารย์ พ่อแม่เห็นเราบวชพระ ก็คิดถึงพระ รวมทั้งคิดถึงครูบาอาจารย์และคิดถึงพระพุทธเจ้าบ่อยขึ้นด้วย ยิ่งเมื่อเห็นลูกเจริญก้าวหน้า มีการศึกษาในทางที่ถูก ท่านก็พลอยมีความสุข และได้ใกล้ชิดพระศาสนายิ่งขึ้น ยิ่งถ้าท่านไม่ค่อยมีศรัทธา แล้วเราสามารถชักจูงให้ท่านมีศรัทธา, ท่านไม่มีศีล เราชักจูงท่านให้รักษาศีล, ท่านไม่ภาวนา เราชักจูงให้ท่านภาวนา ก็ยิ่งเป็นการตอบแทนพระคุณของท่านที่ดีกว่าการตอบแทนด้วยวัตถุสิ่งของใดๆ – ประโยชน์ ๒ ข้อแรกจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องหมั่นฝึก หมั่นศึกษาพัฒนาตน ทั้งพฤติกรรมทางกายวาจา และพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งมั่นคง รวมทั้งมีปัญญาเข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามที่เป็นจริง ขอให้บวชแล้วก็จงเป็น “สุปฏิปันโน” ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้สมกับความตั้งใจเทอญ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๗๐ #พึ่งตนเองให้ได้ ?? #ถาม​ : ไม่มีหลาน​ คิดอยากจะไปขอเด็กตามโรงพยาบาล​ มันจะดีหรือไม่ดีคะ? #ตอบ​ : แล้วลูก​ ๆ​ ว่าอย่างไรละ?​ ลูก​ ๆ​ เห็นด้วยไหม? #ถาม​ : ลูกเห็นด้วยค่ะ​ แต่ลูกชายคนโตไม่เห็นด้วยนะคะ​ แต่คนเล็กเขาชอบ​ ก็อยากได้ค่ะ #ตอบ​ : แล้วเราอยู่กับใคร? เราอยู่คนเดียวหรือว่าอยู่กับลูกชายคนโตหรือคนเล็ก? #ถาม​ : เราก็อยู่กันสองตายายอยู่ที่บ้าน​ แต่ว่าลูกเขาทำงานอยู่ที่ศรีราชาค่ะ #ตอบ​ : ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเรา​ แล้วก็คนในครอบครัวเรา​ แต่ถ้าที่บ้านเราอยู่กันลำพังสองตายาย​ หากต้องการจะเลี้ยงเด็ก​ ก็สามารถทำได้​ แต่ก็ต้องยอมรับภาระนะ​ มันมีภาระนะ​ ถ้าเรายอมรับภาระนั้นได้..ก็ไม่มีปัญหาอะไร #ถาม​ : แต่ลูกชายเขาพูดว่า​ “อยากได้เด็กสักคนมาเลี้ยง​ เพื่อว่าจะได้ดูแลตอนแก่เฒ่า​ ก็จะให้พ่อแม่เป็นคนดูแลให้ซักระยะหนึ่ง​ หมายถึงคือ สองปี​ พอเด็กจะเข้าโรงเรียน​ พวกผมก็จะเอาไปเลี้ยงเอง” #ตอบ​ : ก็ดีนะเป็นการสงเคราะห์เด็ก​ ใช้ได้อยู่นะ​ ที่นี้เราก็​ ดูก็แล้วกัน​ เวลาไปรับสงเคราะห์​ เราก็ต้องไปดูเด็กด้วยใช่ไหม? แล้วเด็กเนี่ย..ก็ต้องยอมรับเราด้วย​ ทั้งสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน​ ปัญหามันก็น่าจะน้อยลง #ถาม​ : แต่ว่าลูกเขาบอกว่าจะไปเอาแบบแดง​ ๆ​ มาเลยนะเจ้าคะ #ตอบ​ : แบบแดง​ ๆ​ ก็ได้​ ยิ่งง่ายขึ้น..แต่เอ๊ะ!​ มันจะได้มายังไงละ? แบบแดง​ ๆ #ถาม​ : แบบแดง​ ๆ​ หมายถึงว่า​ จะเป็นเด็กน้อยมา​ ที่แบบว่าไม่โตมา​ มาเลี้ยงเหมือนลูกของเราเขาบอก #ตอบ​ : แล้วมันจะมีที่มาอย่างนี้ได้อย่างไร? อาตมาไม่เข้าใจเหมือนกัน​ #ถาม​ : ก็คงเลี้ยงประมาณสักห้าเดือน​ หรือสิบเดือนน่ะเจ้าค่ะ #ตอบ​ : ถ้ามี​ แล้วก็พ่อแม่เด็กนั้นเต็มใจด้วย​ ก็ไม่เป็นไรนะ​ น่าจะได้นะ​ คือที่มาเนี่ย​ ควรจะเป็นที่มาที่ถูกต้องด้วย​ เป็นการยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย #ถาม​ : ต้องไปเอาตามโรงพยาบาล​ ที่สถานสงเคราะห์อะไรพวกนี้นั้นเจ้าค่ะ​ #ตอบ​ : อย่างนั้นก็น่าจะได้อยู่ #ถาม​ : คงจะดีกว่า​ ที่เราไม่มีใครเลยนะเจ้าคะ? #ตอบ​ : อ๋อ..! อันนี้​ เราถือว่าเราทำบุญก็แล้วกัน​ ถือว่าเราทำบุญสงเคราะห์คน​ ๆ​ หนึ่ง​ขึ้นมา จากที่ว่าเขาอาจจะกำพร้าพ่อแม่อย่างนี้นะ..เราสงเคราะห์เขา​ ส่วนเขาจะดีแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่า (๑) เราอบรมสั่งสอนเขาด้วย​ แล้วก็มันก็ (๒) ขึ้นอยู่กับเขาด้วย​ ว่าเขาเนี่ยมีพื้นฐานมาแค่ไหน แต่จริง​ ๆ​ ไม่ว่าพื้นฐานเขามาอย่างไรก็แล้วแต่..ขอให้เรามีความจริงใจในการดูแลอบรมเขา​ เขาก็น่าจะเห็นความจริงใจในการดูแลอบรมของเรา​ เลี้ยงดูเขาอย่างนี้นะ! เขาน่าจะมีความกตัญญู​ ถ้าเขาเห็นเรา​เลี้ยงดูแบบไม่ใช่ว่าโหดร้ายอย่างนี้นะ..ก็น่าจะมีความกตัญญู​ แล้วก็​ “ไอ้ตัวความคาดหวัง” เนี่ยนะ ..เราอาจจะคาดหวังได้​ แต่ว่าส่วนเขาจะทำตามที่เราคาดหวังหรือเปล่าเนี่ย.. อย่าเพิ่งไปคาดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ลูกแท้​ ๆ​ ก็ยังบางทีตอนเราแก่ก็อาจจะไม่เลี้ยงเราด้วยซ้ำ ใช่ไหม? หลานแท้​ ๆ​ ก็อาจจะไม่มาเลี้ยงเรา คือในอนาคตเนี่ยนะ​ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าสังคมของเราเนี่ย​ มันจะเป็นสังคมที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องของสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ในอนาคต​ เด็ก​ ๆ​ ในยุคนี้ก็จะมีภาระอะไรของเขามากขึ้น​ ที่จะมารับเลี้ยงดูเราเนี่ยนะ..มันอาจจะหวังได้​ แต่อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราก็ถือว่า​ เราทำบุญก็แล้วกัน จริง​ ๆ​ แล้ว เราควรจะฝึกตนเอง​ให้อยู่ได้ แม้ไม่มีใคร​ จะปลอดภัยที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าจะสงเคราะห์เด็ก..ก็สงเคราะห์ได้​ แต่ถ้าสงเคราะห์ด้วยความคาดหวังว่าจะให้เขามาเลี้ยงดูเราเนี่ยนะ​ บางทีอาจจะผิดหวัง​ เข้าใจไหม? ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ก็คือ ทำอย่างไรเราจะฝึกให้เราสามารถอยู่ได้คนเดียว​ แม้ไม่มีใคร สมมุติว่าเขาเป็นเด็กดี​ แต่เผอิญ​ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อน​ เราก็ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง​ นึกออกไหม? ไม่ใช่ว่าเราจะเลี้ยงเขาแล้ว​ แล้วเขาจะต้องอยู่กับเรา เลี้ยงดูเราตอนเราแก่​ ตอนที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อะไรอย่างนี้นะ​ จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าที่เขาจะมีชีวิตมาเลี้ยงดูเรา​ นึกออกไหม? จริง​ ๆ​ แล้วเนี่ย​ ต้องพิจารณาความตายของตนเอง และพิจารณาความตายของคนอื่นเขาด้วย​ บางทีเราอาจจะตายก่อน​ บางทีเขาอาจจะตายก่อน​ ถ้าเราคาดหวังว่าต้องการคนมาเลี้ยงดูเราตอนแก่เนี่ยนะ​ บางทีเราคาดหวัง..แล้วเราจะผิดหวัง แต่ถ้าเราต้องการจะสงเคราะห์คน​ ๆ​ หนึ่ง เขาจะเลี้ยงดูเราก็ได้​ ไม่เลี้ยงก็ได้ อย่างนี้นะ​ ความคาดหวังจะน้อย หรือไม่มี ส่วนพอเราสงเคราะห์ด้วยใจจริงไม่คาดหวัง บางทีเขากลับเห็นคุณความดีของเราชัดเจน​ แล้วเขาก็กตัญญูกตเวทีเอง​ นึกออกไหม? ฉะนั้นเวลาทำ..แม้ว่าอาจจะแอบคาดหวังอยู่บ้าง​ ว่าให้เขามาเลี้ยงดูนี่นะ​ แต่ความคาดหวังนั้น​ ถ้ามากเกินไป​ จะกลายเป็นตัณหา​ แล้วก็อยากให้เขามาตอบสนองความต้องการของเรา​ ไอ้ความต้องการแบบนี้..จะทำให้เรา​บางทีตัดสินใจทำอะไร​ผิดพลาดไป​ เช่น ไปพูดกดดันเขา ถ้ารู้ไม่ทัน เราจะกลายเป็นผู้ทวงบุญคุณในอนาคต​ นึกออกไหม? ตอนที่เรา “สร้างบุญคุณ” กับใคร..ตอนนี้ดี​ แต่ตอนที่ “ทวงบุญคุณ” นะ..จะทำให้คุณความดีทั้งหมดเนี่ย​ หายหมดเลย​ ! คือถ้าเราตั้งความหวังไว้ อย่างที่โยมบอกเนี่ยนะ​..มันจะทำให้มีโอกาสมากเลยที่เราจะผิดหวัง​ และบางทีอาจจะมีคำพูดที่ไปเชือดเฉือนน้ำใจ​ ประเภททวงบุญคุณ “ทำไมเนี่ย? ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมา​ เก็บแกมาจากกองขยะ​ แกไม่เลี้ยงดูฉันตอบเลย”..ประมาณนี้นะ! พูดคำพูดแบบแรง​ ๆ​ มันจะออกมา​ ตอนที่เราผิดหวังหนัก​ ๆ​ ฉะนั้น ความคาดหวังแบบนี้​ มันก็จะทำด้วยตัณหาใช่ไหม? เราก็อยากให้เขามาสนองความต้องการของเรา ให้เขามาทำให้เรามีความสุข..นี่​คือตัณหา แต่ถ้าทำด้วยฉันทะ​ หรือว่าด้วยกรุณา..การแสดงออกของเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง​ เราทำกรุณา​ เจริญกรุณา​ คือได้เลี้ยงดูเขา​ ได้สงเคราะห์เขาแล้ว​ งานนี้หมดแล้ว​ เขาจะไปได้ดี..เราก็ดีใจด้วย​ เขาจะไม่กลับมาเลี้ยงดูเรา..เราก็ไม่ได้ว่าอะไร​ เราก็มีที่พึ่งของเรา​ คือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่างนี้นะ! ถ้าได้ที่พึ่งอย่างนี้ก็ปลอดภัย ต้องเตรียมตัว..​ แม้จะต้องป่วยอยู่คนเดียว​ ไม่มีใครมาดูแล.. เราก็อยู่ได้​ ดูกายนี้มันตายไป​ เห็นกายเป็นก้อนทุกข์​ ก้อนทุกข์มันจะตายไป​ เสียดายทำไม? ต้องทำให้ได้ขนาดนี้นะ ปัจจุบัน..ฝึกรู้ทันกิเลส รู้เท่าทันความจริงของสิ่งทั้งหลาย ว่ามันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา อนาคต..อย่าไปหวังว่าใครจะมาเลี้ยงดูเรา​ ถ้าเขามีคุณความดี​ มีความพร้อมพอ..เขาจะมาเลี้ยงดูเราเอง​ มาสงเคราะห์​ หรือมาแสดงความกตัญญูกตเวทีเอง​ ก็ถือว่า กุศลส่งผล มีเหตุดี ผลก็จะดี ทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่า..เราสร้างเหตุแบบไหน? เราเลี้ยงดูเขาแบบไหน?​ เลี้ยงดูแบบมีกรุณา​ มีเมตตา​โดยส่วนเดียว​ ไม่คิดจะทวงบุญคุณ​ อย่างนี้นะ!..เขาจะยิ่งเห็นบุญคุณของเรา​ แต่ถ้าเราทำเหมือนการลงทุน “เนี่ย!​ เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง​ เพื่อผลกำไรในภายหน้า​ พอเขาโตแล้ว​ เขาจะต้องเลี้ยงดูเรา” คิดเหมือนทำธุรกิ​จ​ ทำการลงทุน​ในชีวิตอีกแบบหนึ่ง​อย่างนี้ มีความคาดหวังขึ้นมา​ ความคาดหวังอย่างนี้..จะทำให้เราผิดหวัง​ หรืออาจจะทำให้เรามีการแสดงออกทางกายทางวาจาที่ไม่เหมาะไม่ควร.. นี่พูดเผื่อเอาไว้ ! ฉะนั้น อย่าไปวาดหวังอะไรมากมาย​ เกี่ยวกับว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือเราสามารถรับได้ไหม..แม้ในกรณีที่ว่าเขาไม่มาตอบแทนบุญคุณเรา​ รับได้ไหม​? นึกออกไหม? ไม่งั้นเราจะวาดฝันสวยหรู​ ชีวิตต่อไปนี้จะมี​เด็กคนนี้คอยดูแลเรารับใช้เรา​ บางทีวาดหวังมากเกินไป​ เข้าใจไหม? #ถาม​ : ทุกวันนี้ตายายก็อยู่กันสองคนอยู่แล้วนะเจ้าคะ #ตอบ​ : ให้ตายายเนี่ยนะ..ฝึกกรรมฐาน​ ให้ทาน​ รักษาศีล​ เจริญภาวนา​ พร้อมที่จะตายกันอยู่สองคนเนี่ย​ แม้ไม่มีใครมาดูแล..เราก็อยู่กันได้​ ใครตายก่อน..ก็ไปก่อน​ รอก็แล้วกันนะ​ ฉันไปทีหลัง..ฉันก็มีโอกาสภาวนานานขึ้นหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง​ เห็นความจริงของร่างกาย​ เห็นความจริงของจิตใจของเราไปดีกว่า แต่ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้สงเคราะห์เด็กนะ! โยมจะเอาเด็กมาสงเคราะห์ก็ได้นะ นี่พูดที่ว่านี้​ คือไม่ได้ห้ามสงเคราะห์​ แต่ให้เตรียมใจในแง่นี้ไว้บ้าง​ พอเข้าใจนะ #ถาม​ : ลูกชายเขาหวังแค่ว่า​ อยากให้มีใครสักคน​ มาอยู่ในตระกูลของเรา​ ก็แค่นั้นเจ้าค่ะ #ตอบ​ : มันก็เป็นความหวังแล้วใช่ไหมล่ะ? อาจจะผิดหวังก็ได้ใช่ไหม? ลูกชายเขากะว่าจะหาผู้ช่วยมาดูแลแม่ใช่ไหมละ? เราบอกลูกไปเลยว่า​ “ไม่จำเป็น​ ไม่มี​ก็ไม่เป็นไร” ​ เราฝึกตนเอง​ ให้เป็นที่พึ่งของตนให้ได้ดีกว่า​ มั่นใจกว่า​ ฝึกตนเอง เราจะป่วยจะเจ็บยังไง? ถ้าจิตใจไม่ป่วยไม่เจ็บ..ก็ไม่เป็นไร​ ใช่ไหม?​ มันอยู่ที่จิตใจต่างหาก​ ขากระเผก​ ก็กระเผกไป.. ดูไป​ กายเป็นทุกข์อย่างนี้​ กายมันก้อนทุกข์อย่างนี้..ดูไป แต่ถ้ารักษาได้ก็ต้องรักษามันไว้นะ​ รักษามันไว้​ รักษาเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าที่สุดแล้วเนี่ย..มันรักษาไม่ได้แล้ว​ มันก็แสดงความจริงของร่างกายนี้ ในที่สุดแล้วกายมันก็ถูกบีบคั้น​ กายเป็นก้อนทุกข์​ มันถูกบีบคั้นอยู่เสมอ..เห็นความจริงของกายไป​ แต่ไม่ใช่หดหู่ท้อถอย​ เห็นความจริงด้วยใจเบิกบาน​ นึกออกไหม? ถ้าเบิกบานไม่ได้..ก็ใจอุเบกขา​ มีสองอย่าง​ อนุญาตให้ใจสองแบบ​ แบบเบิกบาน​ กับอุเบกขาวางเฉย​ ไม่ทุกข์กับมัน​ ไม่หดหู่กับมัน​ ใจเป็นกลาง เห็นความจริง​ เห็นทุกข์..แต่ใจไม่ทุกข์​ เห็นกายเป็นทุกข์..แต่ใจไม่ทุกข์​ ฝึกให้ได้​ ทำที่บ้านของเรา​ ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเราไป แล้วก็ทำกิจวัตรที่บ้านให้เป็นวัดไปเลยก็ได้ ให้มีการสวดมนต์ทำวัตร​พร้อม​ ๆ​ กัน สองคนตายาย​ มาสวดมนต์พร้อมกันก็ได้​ ชวนกันทำ​ เป็นกำลังใจให้กัน​ นี้ในกรณีที่ว่าเสียงสวดมนต์สองคนเข้ากันนะ​ ถ้าสวดแล้ว​ เสียงไม่เข้ากัน..ก็แยกกันสวด​ ถ้าสวดมนต์เสียงเข้ากัน..ก็สวดพร้อมกัน​ สวดไม่เก่ง​ ถ้าสวดกันได้..เราก็เป็นเสียงนำ​ ให้ตาก็คลอไป​ เป็นเพื่อนกันก็ดี เป็นเพื่อนคู่ชีวิตในการที่จะพัฒนาจิตใจไปด้วยกัน​ โดยหลักการที่พูดมาทั้งหมดนี้​ ก็คือว่า ..ฝึกตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนให้ได้ แล้วก็ถ้าลูกกังวลเรื่องไม่มีคนดูแล​ ก็บอก..”ไม่ต้องกังวล” ลูกไม่มีเวลา..ก็ไม่เป็นไร คือเราก็เข้าใจลูก​ ลูกมีภาระ ไม่มีเวลามาดูแลเรา..ก็ไม่เป็นไร​ ไม่ต่อว่าลูก ไม่ต้องไปรอคอยด้วยนะ​ ไม่ใช่มานั่งชะเง้อ “เมื่อไหร่จะมา?“ ก็หาวิธีดำรงชีพของเราต่อไป​ ดำรงชีพเท่าที่จะเป็นไป​ ชีวิตอยู่ขณะนี้จนถึงวันตาย​ ก็ให้เป็นเวลาของการพัฒนาจิตใจของเราให้มากที่สุด เด็กอาจจะดีก็ได้นะ​ อาตมาไม่ได้ว่า​ ไม่ใช่ว่าเด็กจะไม่ดีนะ​ เด็กอาจจะดีก็ได้ ก็คือมันอาจจะดีก็ได้​ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ใช่ไหม? แม้แต่ครอบครัวเดียวกันนะ​ พี่น้องบางทีบางคนก็อาจจะแหวกเหล่าแหวกกอออกมา​ เลี้ยงดูก็เลี้ยงดูด้วยพ่อแม่คู่เดียวกัน​ บรรยากาศก็แบบพอ​ ๆ​ กัน ใช่ไหม? แต่บางทีจะมีแหวกออกมา​ นับประสาอะไรกับคนข้างนอก ถ้าเราทำด้วยความกรุณา​ เห็นเด็กเดือดร้อน​ ก็อยากจะช่วยเหลือสงเคราะห์คน​ ๆ​ หนึ่ง​ขึ้นมา​ อย่างนี้นะ​ ทำด้วยไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะมาเลี้ยงดูเรา.. อย่างนี้น่าจะได้กุศลกว่า ถ้าทำด้วยความคาดหวัง บางทีอาจจะผิดหวังนะ​ ก็ต้องเตรียมใจตรงนี้ด้วย​ ถ้าคิดจะรับมาเลี้ยงดูด้วยใจที่คาดหวัง..มันออกแนวที่เรียกว่ามีตัณหา มีความคาดหวังว่าเด็กคนนี้จะมาสนองความต้องการเรา​ ทำให้เรามีความสุข อย่างนี้​หวังพึ่งเด็ก​ มันไม่ได้หวังพึ่งตนเอง​ ถ้าหวังพึ่งตนเอง​ มันจะฝึกตนเอง​ ฝึกตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนเองให้ได้ รู้ว่าต่อไปเราต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย​ ทำอย่างไรที่จะให้อยู่กับสภาพแก่เจ็บตายโดยที่จิตใจไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้​ คิดพัฒนาตนเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้​ ไม่ใช่ว่าทำยังไงจะพัฒนาเด็ก​ ให้เด็กเป็นที่พึ่งของเรา​ ซึ่งความคิดแบบนี้มันไม่เป็นอิสระ​ ไม่มีอิสระในการที่จะมีความสุข​ เพราะว่าเด็กมันจะดีหรือไม่ดี? ก็ยังไม่แน่ใช่ไหม? ก็เรียกว่าหวังพึ่งผู้อื่นเนี่ย..มันไม่แน่นอน ต้องเอาตนเองให้เป็นที่พึ่งให้ได้​ อย่างนี้แน่นอนกว่า พระอาจารย์กฤช​ นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ​ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่​ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๖๘ #ไม่อยากผูกพันให้วนเวียนในสังสารวัฏ ?? #ถาม : โยมเห็นโทษภัยในการเวียนเกิดเวียนตาย ไม่อยากให้ใครมาโกรธเกลียดเราและทั้งไม่อยากให้ใครมารักเราด้วย รู้สึกว่ามันจะเป็นการผูกพันให้เราวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ควรจะทำอย่างไรดีคะ? #ตอบ : เดี๋ยวนะ! ต้องทำความเข้าใจกันใหม่นิดนึงก่อนนะ ถ้าต้องการจะพ้นจากวัฏสงสาร เราไม่ต้องรอให้ “ทุกคนในโลกนี้จงอย่ารักหรือชังเรา” นะ ถ้าจะรอให้ทุกคนเป็นกลางกับเรา ก็จะไม่เจอสภาวะนั้นสักที เพราะเหมือนกับบอกว่า รอให้ทุกคนบนโลกนี้เป็นพระอรหันต์กันทั้งหมดก่อน ฉันจึงจะพ้นทุกข์ได้ ต้องดูที่ใจเราต่างหาก! ใจเราเผลอไปผูกพันในแง่มีโทสะกับผู้อื่น ..ก็รู้ทัน ใจเราเผลอไปผูกพันในแง่มีราคะกับผู้อื่น ..ก็รู้ทัน แม้กระทั่ง เผลอไปผูกพันในภพต่างๆ เช่น ในรูปภพ อรูปภพ ..ก็รู้ทัน ด้วยวิธีนี้ต่างหาก จึงจะพ้นได้ ไม่ใช่ไปดูว่าใครคิดอะไรกับเรา พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นสัมมาสัมพุทธะ ก็ยังมีทั้งคนที่ชอบใจและไม่ชอบใจพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายด้วย เมื่อพระองค์ให้คำแนะนำสั่งสอนเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก จนกระทั่งพุทธบริษัททั้งสี่เข้มแข็ง พระศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้มั่นคงแล้ว พระองค์จึงปลงอายุสังขาร พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้งที่ยังคนจำนวนมากรักและอาลัยร้องไห้คร่ำครวญปรารถนาให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ต่อ รวมทั้งยังมีเหล่าเดียรถีย์อีกมากที่ยังคงไม่ชอบใจ รอเวลาหักล้างทำลายศาสนาพุทธ “ความรักความชังของผู้อื่น” ไม่ได้เป็นสิ่งหน่วงเหนี่ยวเราไว้ในสังสารวัฏ “ความรักความชังของเรา” นั้นต่างหากเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งเราไว้ ให้เวียนเกิดมาเพื่อรอวันสมหวังที่จะได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารัก แลรอวันสมหวังที่จะได้ล้างแค้นกับคนที่เราเกลียด “ความรักความชังของเรา” นั่นแหละ ที่ควรรู้ทันมัน เพราะมันหลอกให้เราหลงหวัง หวังแล้วก็ต้องเกิดมาเพื่อทำความหวังให้เต็ม และก็เป็นอย่างนี้มาตลอดสังสารวัฏ ต้องย้อนกลับมาดู “กิเลสที่ใจเรา” นะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๒ มิถุนายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๖๙ #การเห็นไตรลักษณ์ ?? #ถาม : โยมทำในรูปแบบทุกวันเช้า-เย็น ทุกวันตั้งใจรักษาศีล ๕ ทำในรูปแบบ มีเครี่องอยู่กับพุธโธ แล้วดูจิตที่ไหลไป คิดก็รู้ เพ่งก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ โกรธเองก็รู้ เห็นการเกิดดับของสภาวะ อยากทราบว่าโยมได้เห็นไตรลักษณ์รึยัง? และตอนระหว่างวันก็ได้มีเครื่องอยู่ ยืน-นั่ง-นอน-เดิน แล้วดูจิตที่ไหลไปคิด ในระหว่างวันก็ได้ ฝึกสติได้เนืองๆ หลงบ้าง รู้บ้าง บางวันหลงไม่ยาว บางวันหลงยาว และระหว่างวันบางครั้งได้เห็นจิตที่ไหลไปอยู่กับความคิด และเหมือนมีอีกตัวเห็นมันทำงานของมันเอง อันนี้คือการเห็นไตรลักษณ์รึยังเจ้าค่ะ? ปัญหาคือไม่เข้าใจการเห็นไตรลักษณ์เจ้าค่ะ! #ตอบ : ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ ๓ อย่าง หมายถึง ลักษณะที่เป็นเครื่องกำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่เป็นอย่างนั้นๆ ได้แก่ 1. อนิจจลักษณะ ความเป็นของไม่เที่ยง 2. ทุกขลักษณะ ความเป็นทุกข์ เป็นของคงทนอยู่ไม่ได้ 3. อนัตตลักษณะ ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน คนไทยนิยมพูดสั้นๆ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และแปลกันง่ายๆ ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งความเป็นไปลักษณะนี้พระพุทธองค์ทรงค้นพบ แล้วนำมาเปิดเผยต่อชาวโลก ดังมีพุทธพจน์ว่า “ตถาคต (พระพุทธเจ้า) ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ (หลัก) นั้นก็ดำรงอยู่ เป็นธรรมฐิติ (ภาวะที่ตั้งอยู่ หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา) เป็นธรรมนิยาม (ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน) ว่า (๑) สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง … (๒) สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ … (๓) ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา … ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่าย ว่า ‘สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง … สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ … ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา” “สังขาร” ในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม นั่นก็คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด “ธรรมทั้งปวง” ในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่เป็นสังขารและไม่ใช่สังขาร คือรวมมาถึงพระนิพพานด้วย ผู้ที่มีปัญญาเห็นความจริงของสภาวธรรม พูดอีกอย่างว่าเห็นไตรลักษณ์ จึงจะเรียกได้ว่า “เจริญวิปัสสนา” ผู้ที่ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ หรือยังเห็นไม่มากพอ ก็ยังมีความเห็นผิดว่า มีตัวตนเป็นเรา เราเป็นนั่น นั่นของเรา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดถืออะไร จึงเกิดทิฏฐิขึ้นว่า นั่นของเรา, เราเป็นนั่น, นั่นเป็นอัตตา/ตัวตนของเรา ภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูป…เมื่อเวทนา…เมื่อสัญญา…เมื่อสังขาร…เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย (รูป…เวทนา…สัญญา…สังขาร) วิญญาณ เพราะยึดมั่น (รูป…เวทนา…สัญญา…สังขาร) วิญญาณ จึงเกิดทิฏฐิว่า นั่นของเรา, เราเป็นนั่น, นั่นเป็นอัตตา/ตัวตนของเรา” การเห็นอนิจจลักษณะ หรือลักษณะที่ไม่เที่ยงนี้ จะเห็นได้ ๔ แง่ คือ 1. เห็นการเกิดและการสลาย คือ เกิดดับ-เกิดดับ มีแล้วก็ไม่มี 2. เห็นเป็นของแปรปรวน คือ เปลี่ยนแปลง แปรสภาพไปเรื่อยๆ 3. เห็นเป็นของชั่วคราว อยู่ได้ชั่วขณะ 4. แย้งต่อความเที่ยง คือสภาวะที่เห็นนั้นมันปฏิเสธความเที่ยงอยู่เอง ไม่พบความเที่ยงเลย การเห็นทุกขลักษณะ หรือลักษณะที่เป็นทุกข์ ก็เห็นได้ ๔ แง่ คือ 1. เห็นว่ามีความบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา 2. เห็นว่าเป็นสภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนไป กลายไป หมดสภาพไป 3. เห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ คือเมื่อโยงมาถึงคน ก็เป็นที่ก่อให้เกิดทุกข์ 4. แย้งต่อสุข คือ ความขัดแย้งบีบคั้นนั้น มันทำให้ไม่คล่อง ไม่สะดวก ไม่ราบรื่น การเห็นอนัตตลักษณะ หรือลักษณะที่เป็นอนัตตา ก็เห็นได้ ๖ แง่ คือ 1. เห็นเป็นสภาพว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ความเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีแก่นสารสาระที่เป็นตัวแท้ที่ยืนยงอยู่ตลอดไป 2. เห็นเป็นสภาพไร้เจ้าของ ไม่เป็นของใคร ไม่มีตัวตนใดๆ ที่จะเป็นเจ้าของครอบครอง 3. เห็นเป็นสภาพที่ไม่อยู่ในอำนาจใคร ไม่มีตัวตนที่ไหนจะมามีอำนาจสั่งบังคับได้ ไม่ขึ้นต่ออำนาจหรือความปรารถนาของใคร 4. เห็นเป็นสภาพเป็นกองแห่งธรรมล้วนๆ เป็นเพียงรูปธรรม-นามธรรม ที่เกิดจากองค์ประกอบรูป/นามย่อยๆ มาประชุมกัน 5. เห็นเป็นสภาพที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย องค์ประกอบทั้งหลายต่างก็สัมพันธ์เป็นปัจจัยแก่กัน มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ 6. แย้งต่ออัตตา มีสภาวะตามที่มันเป็นอย่างนั้นเอง การที่โยมเห็นการเกิดดับของสภาวะ ก็นับว่าเห็นไตรลักษณ์แล้ว คือเห็นในแง่ว่ามัน “ไม่เที่ยง” และที่โยมเห็นว่า จิตทำงานของมันเอง ก็นับว่าเห็นไตรลักษณ์ได้เหมือนกัน คือเห็นในแง่ของ “อนัตตา” แต่มีข้อสังเกตนิดหนึ่งว่า ที่ว่า “เห็น” นั้น เป็นการเห็นจริงๆ ไม่ใช่คิดเทียบเคียง การคิดเทียบเคียง จะเป็นการเอาสภาวะอดีตมาเทียบกับปัจจุบัน เช่น “เมื่อกี้โกรธ ตอนนี้ไม่โกรธ” อย่างนี้คือคิดเทียบเคียง เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา เพราะยังเจือความคิด การเห็นไตรลักษณ์ขั้นวิปัสสนา ก็ต้องเป็นการ “เห็น” ไม่ใช่ “คิด” คือจะต้องเห็นสภาวะปัจจุบันนั้นเองดับไป แปรไป ต่อหน้าต่อตาตรงนี้เลย การที่จิตจะเห็นไตรลักษณ์ได้ จึงต้องมีสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ พูดง่ายๆ ก็คือ ฝึกให้รู้สึกตัว และมีจิตผู้รู้ขึ้นมา เมื่อมีจิตผู้รู้ ก็จะเห็นว่า สิ่งที่ถูกรู้นั้นไม่ใช่เรา ดูไปมากเข้า จิตผู้รู้นั้นเองก็ไม่ใช่เราด้วย ในระหว่างการฝึกรู้เท่าทันธรรมดาของโลก เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์ ๕ ขึ้นมา ก็มักจะเกิดความเบื่อหน่าย รังเกียจ อยากจะหนีให้พ้นไปจากสภาวะเหล่านี้ไปเสีย เมื่อรู้สึกอย่างนี้ ก็ต้องรู้เท่าทันอีกว่า นี่เป็น “ความไม่เป็นกลาง” เมื่อความเบื่อหน่าย รังเกียจ อยากจะหนีให้พ้นนั้นดับหายไปแล้ว จิตมีความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลาย จิตจึงจะพร้อมที่จะเข้าถึงความหยั่งรู้อริยสัจ และบรรลุมรรคผลไปเป็นลำดับ การเห็นไตรลักษณ์จะเป็นตัวเร่งให้เกิดความไม่ประมาท – เมื่อเห็นอยู่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องเร่งรัดปฏิบัติให้ทัน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา มันย่อมแตกดับสลาย การเห็นไตรลักษณ์จึงกระตุ้นเตือนให้เร่งพัฒนาจิต เพื่อบรรลุภูมิธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะหลุดพ้นเป็นอิสระ – เมื่อเห็นทุกข์บีบคั้นอยู่ เหมือนเห็นภัยมาถึงตัว ท่าทีของใจก็ไม่มัวเมา – เมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ย่อมเร่งสร้างเหตุที่ดี ไม่เผลอทำเหตุที่ชั่ว โดยเฉพาะจะเร่งเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้บรรลุมรรคผล พ้นทุกข์พ้นภัยไป จิตนี้ยึดอะไร จึงเกิดมิจฉาทิฏฐิว่านี่เป็นเรา/ของเรา ก็ยึดขันธ์ ๕ นี้แหละ ดังนั้น พึงเร่งเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีขอบเขตอยู่ที่ขันธ์ ๕ นี้ ให้เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์​ ๕ นี้ เร่งภาวนาให้เห็นจริง เพราะชีวิตนี้ไม่เที่ยง และทุกข์ก็กำลังบีบคั้นอยู่นี่แหละ ให้สมกับคำเตือน อันเป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ว่า “สิ่งทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ที่มุ่งหวังให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๕ มิถุนายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๖๕ #เหงามากจะปฏิบัติต่อใจอย่างไร? ?? #ถาม​ : แฟนเสียชีวิตอาทิตย์ที่แล้ว​ แต่โยมอยู่บ้านคนเดียว​ เคยอยู่กันสองคน​ โยมก็เลยเศร้ามาก​ เหงามาก​ ให้ดิฉันปฏิบัติต่อใจอย่างไรดีคะ? #ตอบ​ : เหงาด้วย..เศร้าด้วย​ ใช้​ “พุทโธ” เป็นเพื่อนนะ​ เอา​ “พุทโธ” เป็นเพื่อน #ถาม : “พุทโธ” ก็เอาไม่อยู่ค่ะ #ตอบ : นั่นแหละ.. มีเพื่อนอีกตัวหนึ่งแล้ว​ มี “ความเผลอ”..เป็นเพื่อนอีกตัวแล้ว​ ​! เห็นไหม? แต่ไอ้ “ความเผลอ” เนี่ย.. เป็นเพื่อนไม่ดี​ เราไม่เอา เราเห็นมันนะ แล้วเราอยู่กับ​ “พุทโธ” ต่อ เอางี้นะ! คือมาคุยกับอาตมานี่นะ​ โยมมีอาตมาเป็นเพื่อน​ แต่อาตมานี่อยู่ตรงนี้ได้ไม่นานหรอกเพราะว่าหกโมงเย็น​ อาตมาก็จะไปแล้ว โยมก็ต้องมีเพื่อนด้วยตัวของตัวเองให้ได้ วิธีจะให้มีเพื่อนด้วยตัวของตัวเอง​ง่ายๆ ก็คือใช้​ “พุทโธ” นี่​ เป็นเพื่อน​ ใช้​ “ลมหายใจ” เป็นเพื่อนด้วย​ก็ได้ มีลมหายใจด้วย​ แล้วมีคบริกรรมำ​ “พุทโธ” ไปด้วย​ มันจะได้มีเพื่อนมีที่พึ่งของตัวเอง #ถาม​ : สวดมนต์วันนี้ก็สวดอยู่นะคะ​ แต่ใจมันเหงาน่ะค่ะ #ตอบ​ : “ความเหงา” เป็นเพื่อนอีกตัวหนึ่งแล้ว​ ! นอกจาก​ “พุทโธ” แล้ว..ยังมี “ความเหงา” ด้วย​ รู้ทันว่า​ เนี่ย!​ มี “ไอ้เหงา” อีกตัวแล้ว นึกออกไหม? #ถาม​ : แล้วยังมีใครอีกล่ะคะ? #ตอบ​ : เออ! ลองดูซิ​ว่า​จะมีใครอีก? โยมจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อเรามี​ “พุทโธ” มาก่อนนะ!​ บริกรรม “พุทโธ” ไป เดี๋ยว “ไอ้เหงา” โผล่มา​ “อ้าว!..นี่! ไอ้เหงา”..ทักมันด้วยนะ “ไอ้เหงา!​ ฉันเห็นแกแล้ว” แล้วก็กลับมา​ “พุทโธ” ใหม่ #ถาม​ : เวลาดูบ้านดูช่อง​ ดูที่แฟนเคยอยู่เคยทำ เวลานี้แกจะขี่รถมา​ แล้วเราก็คอยมอง.. ก็เลยไม่อยากเปิดบ้านเลย​ แบบไม่อยากเห็นภาพเดิม​ ๆ​ นะคะ #ตอบ​ : มันเป็นอย่างไร? เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร? #ถาม​ : เหงามากเลย​ หมูหมากาไก่ตีระเบิด #​ตอบ​ : ภาวนา “พุทโธ” ไปนะ​ แล้วเห็น “ไอ้เหงา” ที่มันแอบมาขอเป็นเพื่อนไปเรื่อย​ ๆ ทัก “ไอ้เหงา” บ่อย​ ๆ​..”ฉันเห็นแกอีกแล้ว..ไอ้เหงา! ฉันเห็นแกอีกแล้ว” ดูบ่อย​ ๆ​ “แกมาอีกแล้ว!” เห็นมัน แต่ไม่อยู่กับมัน ยิ่งมาบ่อย​ ๆ​ แล้วเห็นมันบ่อย​ ๆ​ นะ..เราจะมีสติได้เร็วขึ้น​ มีสติ​ ก็คือ​ รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตเมื่อกี้นี้​ “ไอ้เหงามาอีกแล้ว” บางทีก็มี​ “ไอ้เศร้า” นะ! ​​ ไอ้เศร้า,​ ไอ้โศก​, ไอ้เหงา​ ทำความรู้จักเพื่อนที่อยู่รอบ​ ๆ​ ตัวนี้บ่อย​ ๆ อยู่​ ๆ​ เดี๋ยวก็ผุดความเหงาขึ้นมา.. “อ้าว! ไอ้เหงามาอีกแล้ว” อยู่​ ๆ​ เดี๋ยวก็มีความเศร้าขึ้นมา..”อ้าว! ไอ้เศร้ามาอีกแล้ว” ไม่ต้องบังคับมัน..แค่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น​ ไม่ต้องบังคับนะ! ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร..ก็​ “พุทโธ​” ไป ” พุทโธ” ไว้ที่แถวๆ จมูกนี่แหละ ถ้าไม่รู้จะทำอะไรนะ “พุทโธ” ไปก่อน “พุทโธ​ ๆ​ ไป​”.. ไอ้เหงามาอีกแล้ว! ” รู้ทันไอ้เหงา “พุทโธ​”ๆ​ ไป​ ..เบื่อ​! “อ้าว! ไอ้เบื่อ” ​ จากไอ้เหงา..ตอนนี้เป็น “ไอ้เบื่อ” แล้ว​ “โอ้ย! เพื่อนเยอะเลย” ไม่ต้องกลัวเหงาเลย​ เพื่อนเยอะ! พระอาจารย์กฤช​ นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ​ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่​ ๒๒​ มกราคม ๒๕๖๓ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/E7HpvEzlYYo (นาทีที่​ 1:31:04​ -​ 1:36:56)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๖๔ #ขอแนวทางปฏิบัติเพื่อตั้งรับกับการสูญเสียคุณแม่ ?? #ถาม : ขอแนวทางปฏิบัติเพื่อเตรียมตัวตั้งรับกับการสูญเสียคุณแม่ สำหรับตัวคุณแม่เอง และ ลูกๆของท่าน ๑. คุณแม่อายุ ๘๕ ปี เป็นคนจีน ที่ทำบุญ ทำทาน แบบเทาๆ ยังไม่มีศรัทธาพระพุทธศาสนา 100% ทำบุญแบบมีอคติ ไม่สวดมนต์ ไม่ฟังธรรม แต่ท่านเป็นคนที่มีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ตอนนี้เพิ่งตรวจพบเป็นมะเร็งลำไส้ อยู่ระหว่างการตรวจรักษาและรอวินิจฉัยจากคุณหมอว่าจะสามารถรักษาได้หรือไม่? ๒. โยมอายุ ๕๓ ปี ทำงานบริษัทฯ เริ่มที่จะมีศรัทธาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยการได้ฟังโอวาทธรรมพระอาจารย์กฤช ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เป็นต้นมาฟังแล้วเข้าใจทั้งหมด แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอ เพราะเป็นคนฟุ้งซ่าน ขี้โกรธ ขี้โมโห คิดมาก #ตอบ : แนวเดียวกับอาตมาเลย 555 ดูจิตไปนะ ฟุ้งซ่านก็คอยรู้ไปนะ ตอนฟุ้งมันเอาแต่คิด ตอนรู้มันไม่ได้คิด มันแค่รู้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้นะ ทำไว้สักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ตอนที่จิตมันลืมกรรมฐานนั้นไป เห็นจิตที่เผลอ แล้วก็เริ่มใหม่ เก็บแต้มไปเรื่อยๆ สนุกดี ๓. ถาม : เราควรทำอย่างไรบ้างเพื่อให้แม่เห็นธรรม เริ่มสวดมนต์ (บทไหน?) และทำบุญทำทานด้วยศรัทธาพระศาสนาด้วยใจจริง อยากให้ท่านแนะนำบทสวดมนต์และการปฏิบัติเพื่อให้จิตท่านไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่ตกไปอบาย หลังจากเสียชีวิตค่ะ #ตอบ : ถ้าไม่เคยสวดบทไหนเลย ก็แนะนำให้สวดบทพุทธคุณ ที่มีคำสวดว่า “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.” สวดซ้ำ ๆ บทเดียวก็ได้ และแนะนำให้ดูคลิป “รายการคลิกใจให้ธรรม ตอน สิ่งที่ควรรู้ก่อนสวดอิติปิโส” ด้วยนะ เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของบทสวด สามารถดูได้ตามลิ้งค์นี้นะ https://youtu.be/dXJbzU-z8j8 ๔. ถาม : ในฐานะลูกที่เป็นคนดูแลแม่ พาแม่ไปหาหมอโดยตลอด ตอนนี้จมความทุกข์ ความเศร้า รู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่พาท่านตรวจร่างกายให้ครบทุกด้าน จึงทำให้ท่านป่วยโรคมะเร็ง มีความเครียดมากๆ งานการเริ่มล่าช้ากระทบกับเจ้านายและลูกน้อง ตอนนี้เราควรทำอย่างไรเพื่อให้พ้นจากสภาวะนี้ค่ะ #ตอบ : ทำความเข้าใจใหม่นะ ความเครียดและความกังวล ไม่ได้ช่วยให้แม่หายป่วย รวมทั้งไม่ได้ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น มันเป็นสภาวะที่ไม่จำเป็นต้องมีในขณะนี้ ให้รู้ทัน และไม่คิดต่อเรื่องกับมัน โยมก็บอกเองว่า พาแม่ไปหาหมอโดยตลอด แล้วจะมีความผิดอะไร? ถึงจะตรวจให้ครบถ้วน บางทีก็ไม่เจอ บางคนตรวจสม่ำเสมอ ผลตรวจออกมาก็ปกติ มาพบอีกทีก็ขั้นร้ายแรงแล้ว อย่างนี้ก็มีมากมาย ทำใจให้เป็นปกติ ร่างกายแม่ ก็ให้หมอดูแลไป เรามาช่วยดูแลใจแม่กันดีกว่า ๕. คำถาม : การตัดสินใจที่จะรักษาโดยการผ่าตัด 50:50 ถ้าแม่ตายเราก็รู้สึกผิด แต่ถ้าไม่ผ่าตัด เราก็ต้องเห็นแม่ทรมานจากการปวดท้อง ไปตลอดจนกว่าจะเสียชีวิต การเลือกตัดสินใจของเราทั้งหมดโดยที่ไม่บอกคุณแม่ว่าท่านเป็นมะเร็ง ถือว่าเราทำบาปมากไหมคะ ทำอย่างไรให้จิตเราดีขึ้น #ตอบ : ปรึกษาหมอว่า ถ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป วิธีไหนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ถ้าแม่จะจากไป วิธีไหนที่แม่จะมีทุกขเวทนาน้อยกว่า ย้ำกับคุณหมอว่า สุดท้ายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยื้อชีวิต ขอให้จากไปแบบธรรมชาติ เรามีเจตนาให้แม่จากไปอย่างสงบ ส่วนประเด็นที่ว่า จะบอกความจริงกับคุณแม่ดีไหม? อันนี้โยมต้องช่วยกันประเมิน ถ้าคุณแม่จิตใจเข้มแข็งพอ ก็ควรจะบอกความจริงได้ แต่การบอกก็ต้องมีศิลปะนะ ผู้บอกก็ต้องมีใจที่สบาย ผู้ฟังก็จะไม่เครียด เช่น เสริมว่า “ดีกว่าติดโควิดเนอะ ถ้าติดโควิดแม่ต้องนอนป่วยอยู่คนเดียว นี่ยังมาเยี่ยมมาเฝ้าได้ บีบนวดกันได้ มาสวดมนต์ด้วยกันได้ ยังกอดกันได้ หอมแก้มกันได้” พูดเสร็จก็กอดท่าน แล้วก็หอมแก้มสักฟอด 555 เวลานี้สำคัญที่จิตใจ จิตใจดี ก็พลอยให้ร่างกายดีด้วย บางคนเป็นมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าอยู่ได้ ๖ เดือน แต่เขาใช้ธรรมโอสถ สวดมนต์ เจริญสติ แถมเป็นจิตอาสาคอยดูแลผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่หนักกว่า ปรากฎว่าเธออยู่มาได้สิบกว่าปี ยังไม่ตาย ผู้ป่วยคนอื่นๆ มักจะถามว่า “คุณเป็นมะเร็งจริงๆหรือ? ดูไม่ออกเลย” เธอก็เปิดเสื้อให้ดู เอาผ้าขนหนูที่ยัดไว้ออกมา หน้าอกมีแต่รอยเย็บ มะเร็งเป็นได้แค่ที่กาย แต่ใจไม่เป็นมะเร็ง ใจมีแต่ความเบิกบาน ที่ได้ฝึกสติ สวดมนต์ และทำตนให้เป็นประโยชน์ ๖. ขอคำแนะนำสำหรับตัวโยมที่เพิ่งเริ่มฟังธรรมได้ดี แต่จิตยังไม่ชอบการสวดมนต์ และนั่งสมาธิ ไม่สามารถทำได้ถูกต้องต่อเนื่องทุกวัน ในเวลานี้ควรทำอย่างไรเพื่อให้มีบุญกุศลต่อเนื่อง และอุทิศให้แม่ได้มากที่สุด ตอบ : ทำใจสบายๆ นะ ฝากใจไว้กับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์นะ นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึก เราระลึกบ่อยๆ ใจก็เป็นกุศล และมีที่พึ่ง ไม่เคว้งคว้าง ใจที่ไม่มีที่พึ่ง ภาษาบาลีใช้คำว่า “อนาถา” นาถ แปลว่า ที่พึ่ง หรือผู้เป็นที่พึ่ง นึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ สวดอิติปิโส ให้ขึ้นใจ ใช้เป็นธรรมโอสถได้ด้วยนะ นิมฺมโลตอบโจทย์ #ขอแนวทางปฏิบัติเพื่อเตรียมตัวตั้งรับกับการสูญเสียคุณแม่ ทำใจสบายๆ นะ ฝากใจไว้กับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์นะ นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึก เราระลึกบ่อยๆ ใจก็เป็นกุศล และมีที่พึ่ง ไม่เคว้งคว้าง พระกฤช นิมฺมโล ๑๔ เมษายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #มุมมองการบริจาคเลือดในสถานการณ์โควิด19 ?? #ถาม: สามีอยากทำกุศล ด้วยการไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาล เพราะว่ารพ.ขาดเลือด แต่เราก็บอกเขาไปว่า “ไม่อยากขัดกับกุศลหรอกนะ! แต่ถ้าคุณไปในที่สุ่มเสี่ยง (รพ.ก็ถือว่าสุ่มเสี่ยงใช่ไหมค่ะ?) คุณก็ต้องพิจารณาตนเองว่า.. เราไปในที่สุ่มเสี่ยง ก็อาจจะมีผลกับคนรอบข้างที่บ้าน ถ้าพิจารณาแล้วว่าเสี่ยงจริง ก็ต้องนอนนอกห้อง กักตัวเอง 14 วัน” เขาก็เลยไม่ได้ไปทำกุศลในวันเกิด เราเลยไม่แน่ใจว่าที่บอกไปแบบนี้มันถูกไหมค่ะ? เพราะสังเกตุแล้วใจมันหมองหน่อย ๆ คือรู้สึกว่า..ขัดกุศลผู้อื่น แล้วถ้าหากทุกคนคิดเช่นเรา จะมีใครล่ะที่เสียสละเลือด กราบขอความเมตตาพระอาจารย์ให้มุมมองเรื่องนี้ค่ะ #ตอบ: ก็มองได้ทั้งสองมุมนะ ถูกทุกมุม ถ้าปฏิบัติให้ตรงตามมุมนั้น ๑. ถ้าไปบริจาคเลือด ก็ได้บุญจากการบริจาคนั้น แต่ก็ต้องยอมแยกตนเองออกมา ๑๔ วัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ (ถ้าเผื่อมี) อันนี้จะดี ถ้าทุกคนในบ้านเห็นดีด้วย ได้บุญกันทุกคน ๒. ถ้ายังไม่ไปบริจาคตอนนี้ ด้วยเจตนาจะป้องกันตัวเองและคนในครอบครัว เพื่อสะดวกต่อการทำงานและทำบุญอย่างอื่นไปก่อน รอดูสถานการณ์ไป ถ้าฉุกเฉินต้องการเลือดด่วน ก็พร้อมจะไปบริจาค และพร้อมจะทำตามเงื่อนไขของข้อ ๑. อย่างนี้ก็ยังได้บุญกันทุกคน อยู่ที่มีเจตนา และมีความเข้าใจตรงกันหรือไม่นะ! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ๘ เมษายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๖๑ #ไม่ชอบแม่สามีพูดเรื่องคนอื่น ?? #ถาม​ : โยมอยู่บ้านแม่สามีนะคะ​ ทีนี้แม่สามีชอบเอาเรื่องข้างนอก​ เรื่องคนอื่นมาพูด แล้วใจโยม​ก็รู้สึกว่าโยมไม่ค่อยชอบ​ เราจะแก้ยังไงดีคะ? แบบใจเรามันจะค้านว่า​ “ทำไมเอาเรื่องคนโน้นมาพูด? ทำไมต้องพูดโกหก? ทำไม..? อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ​ ..แต่โยมไม่ได้เถียงนะคะ​ ยังไม่ได้พูดอะไรนะคะ #ตอบ​ : ชักสีหน้าไหม? สีหน้าเปลี่ยนไหม? #ถาม : ไม่เปลี่ยนค่ะ​ โยมก็แบบ​.. “อุ้ย! เอาอีกแล้ว” พอเอาอีกแล้วนี่..โยมจะเงียบไปเล​ย แล้วบางทีโยมก็สงสารแกนะ​ เพราะว่าอย่างแกทานข้าวอย่างนี้​ แกก็ทานคนเดียวโยมก็ไปนั่งคุย​ พอโยมคุยได้ซัก ๒​ – ๓ คำ​ แกก็เอาคนอื่นมาอีกแล้วนะคะ​ แล้วโยมจะแก้อย่างไรดีคะ? #ตอบ​ : ไม่ได้แก้ที่แม่นะ! แม่เนี่ย​ ยังไม่ต้องแก้​ ให้รู้ทันจิตใจเรา​ เราได้ยินคำนี้..แล้วไม่ชอบใจ​ ให้รู้ทันว่า..มีโทสะ​เกิดขึ้นในใจ​ นึกออกไหม? แม่จะพูดอะไรมา​ เราก็ไม่เติมเรื่อง​ อาจจะพยักหน้าหงึก​ ๆ​ ไป​ ไอ้พยักหน้าเนี่ยนะ​ ไม่ได้เห็นด้วยอะไรกับเขาหรอก แค่ “อืม..เรื่องมันเป็นอย่างนี้” แล้วเราอาศัยกายเคลื่อนไหวเนี่ย..เจริญกรรมฐานรู้กาย​ เอาจิต..รู้กาย​ ฟัง..แล้วก็ยิ้ม​ ยิ้มแล้ว..มีความสุข เราก็รู้ว่า​ขณะนี้​ กาย..ยิ้ม​ ใจ..มีความสุข​ นึกออกไหม? เราไม่ได้สนับสนุนในสิ่งที่แม่พูดมา แต่เราก็ไม่ทำร้ายน้ำใจแม่​ นึกออกไหม? เราอาศัยอยู่กับเขาน่ะ จะไปดักคอแม่​ แม่ก็โกรธเราน่ะสิ​ ใช่ไหม? ไม่ต้องดักคอนะ ฟัง​ ๆ​ ไปก่อน ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาสอนแม่​ เราก็ฟัง​ ๆ​ ไป​ แล้วดูจังหวะดี​ ๆ ถ้ามีจังหวะอะไรที่ดี​ ๆ​ หน่อย​ คือ​พอจะบอกกันได้..ก็บอก “แม่อย่าพูดเลย​ ไม่มีประโยชน์หรอก​ ตรงนี้นะ!” “พูดไป​นะ! เราได้ยินกัน​ ๒​ คน​ พูดทีไรนะ..เราก็โกรธทุกที​ โกรธทีไรนะ..กินอาหารไม่อร่อยสักที” อย่างนี้นะ! ใจเราเนี่ย​ พอนึกถึงเรื่องนี้ คุยเรื่องนี้​ แล้วเราไม่ชอบใจ​ ใจเราเสียทันที อาหารยังไม่เสีย..แต่ใจเราเสีย เริ่มต้นทำใจตัวเองให้ได้ก่อน​ เพียงแค่.. รู้ทัน​ ความโกรธที่เกิดขึ้น ใจเป็นปกติแล้ว..รอดูจังหวะ​ ถ้าจังหวะนี้​ ยังไม่ควรพูด..ก็ยังไม่ต้องพูด​ นึกออกไหม? มันไม่ใช่ว่าจะเตือนกันได้ตลอดเวลา​นะ เราต้องดูจังหวะ​ ดู​ว่าเตือนไปแล้วเนี่ย.. ถ้าเตือนในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดจัด​ ๆ​ เนี่ยนะ..เราอาจจะโดนโกรธไปด้วย​ แม่อาจจะโกรธเราไปด้วย​ นึกออกไหม? ก็ดูจังหวะดี​ ๆ​ ว่า​ คือ​แต่ละคน​ ๆ​ ก็จะมีจังหวะที่ดีไม่เหมือนกัน โยมอยู่ด้วยกันกับคุณแม่มานานเนี่ยนะ​ ก็น่าจะพอจับจังหวะได้​ว่า​ ควรจะพูดเวลาไหน? ถ้าเห็นว่าพูดแล้วไม่ได้ผล​ ก็รอนาน​ ๆ​ รอไปก่อน​ อย่างน้อย​ ๆ​ ใจเราเนี่ย..อย่าเสียไปด้วย วิธีที่จะรักษาจิต..ก็คือ​ใช้​สติ​รักษา​ “สติ” เป็นเครื่องรักษาจิต เราไม่ต้องทำอะไรมาก..แค่​รู้ทัน​ เนี่ยนะ ตอน​ รู้ทัน..มีสติขึ้นมาแล้ว สติ..ที่รู้ทันกิเลสนั่นน่ะ​ สติ..เป็นตัวรักษาจิต​ เพราะตอนรู้ทันเนี่ย..ไม่มีกิเลส​ แล้วเราก็กินต่อไป​ เสพรสชาติอาหารได้เต็มที่​ ตอนเสพรสชาติอาหารนะ! จิตอยู่กับรสชาติเนี่ยนะ..มันไม่ได้ฟัง จิตเนี่ย..ทำงานทีละขณะ เวลาเสพรสชาติอาหารเนี่ยนะ..มันจะไม่ได้ดู​ ไม่ได้ฟัง​ ตอนดู..ก็ไม่ได้ฟัง​ ไม่ได้กิน​ ไม่ได้เสพรสชาติ ตอนโกรธนะ! อาหารอร่อยอยู่กับปากนะ ก็ไม่รับรู้เลยว่ามันอร่อย..มันกำลังโกรธ​ จิตเนี่ย​ เกิด-ดับทีละขณะ​ และทำงานได้ขณะละอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าคุณแม่เอาเรื่องคนอื่นมาคุยบนโต๊ะอาหารเนี่ยนะ เราก็กิน..แล้วเสพรสอาหารของเราไปเรื่อย​ ๆ​ มีความสุขกับน้ำพริกไปเรื่อย​ ๆ​ เนี่ยนะ​ นี่นะ! มีรสน้ำพริกอยู่ในปากเนี่ยนะ.. พอจิตไหวไปหาเสียงที่แม่กำลังคุยนะ! จิตแว๊ปไป..รู้ทัน อย่างนี้​ ได้ทำกรรมฐานบนโต๊ะอาหาร​เลย แว๊ปไป​ ๆ​ เผลอเนี่ยนะ! เห็นความเผลอ..ใช้ได้ ถ้าเผลอไป..ไม่รู้ทัน เห็นความโกรธ..ก็ยังใช้ได้ เห็นความไม่พอใจ..ใช้ได้ เห็นตอนไหน..เอาตอนนั้น เรียกว่าเราได้ทำกรรมฐานบนโต๊ะอาหารเนี่ยนะ ได้สติหลายตัวเลย บางทีก็อาจจะได้สมาธิจิตตั้งมั่นด้วยซ้ำไป เห็นจิตไหลไป​ เห็นจิตเผลอไปกับเรื่องราว​ที่แม่พูด​ โดยตั้งต้นจิตที่ว่า​ เรากินข้าว.. มีสติอยู่ตรงปากเราเนี่ย แล้วเผลอไป.. รู้ทัน เผลอไป.. รู้ทัน เวลาเผลอเนี่ยนะ.. คือจิตเปลี่ยนช่องทางรับรู้​ เปลี่ยนช่องทางทำงาน​ แทนที่จะรับรู้อยู่ที่ลิ้น​ ที่ปากเนี่ยนะ​ มันใช้ช่องหูแล้ว..ไปฟัง​ แล้วใช้มโนด้วย..ใช้ความคิดนึก​ ทำงานหลายช่อง​ บางทีเราอาจจะเห็นการทำงาน​ของจิต​หลากหลายรูปแบบ ในขณะที่กำลังกินข้าว..แล้วแม่กำลังคุยอยู่นี่แหละ เข้าใจเรื่องจิตไปเลย เข้าใจตรงนั้นเลย​ พระอาจารย์กฤช​ นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ​ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่​ 18 ธันวาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/9aFxtIfV5PQ (นาทีที่​ 1:09:50​ -​ 1:16:50)

อ่านต่อ