Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๙ ?? #ถาม​ : ใส่บาตรตอนเช้า​ แล้วเราใส่เงินในบาตร​ จะผิด​ไหมคะ? #ตอบ​ : เรารู้อยู่แล้วว่าพระท่านไม่รับเงิน​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๙
??
#ถาม​ : ใส่บาตรตอนเช้า​ แล้วเราใส่เงินในบาตร​ จะผิด​ไหมคะ?

#ตอบ​ : เรารู้อยู่แล้วว่าพระท่านไม่รับเงิน​ รับแล้วเป็นอาบัติ​
ถ้า​เราใส่​เงินไป​ใน​บาตร​ ก็ทำความลำบากให้กับพระ​

ถ้าเราอยากจะถวาย​เงิน​ถวายปัจจัย​ และถ้าพระ​ท่านมีลูกศิษย์​ ก็ให้ฝากลูกศิษย์ไป​ดีกว่า

หรือว่าเรารู้อยู่ว่าพระรูปนี้มาจากวัดไหน​ อยากจะทำบุญกับท่าน​ ก็ตามไปถวาย​ที่วัด​ เช่น​ ไป​ใส่​ที่​ตู้​บริจาค​ เป็นต้น
ก็จะช่วยท่านรักษาวินัยด้วย

พระท่านมีหน้าที่รักษาวินัย​
บาตร​ที่​ท่าน​อุ้ม​ไป​ตอน​เช้า​ ก็เอาไว้ใส่อาหาร​ ไม่ใช่​ใส่เงิน​

แต่ไม่ได้ห้ามทำบุญด้วยปัจจัยนะ​
แต่ว่าตอนบิณฑบาต​ เราไม่ควรใส่ปัจจัย​ในบาตร​

ถ้าเราต้องการจะถวายเป็นปัจจัย​ก็​สามารถทำได้​ ก็ไปที่วัด​ หรือ​ถ้าท่านมีลูกศิษย์​ ก็​ฝาก​ไว้​ที่​ลูกศิษย์ ลูกศิษย์​ก็ถือว่าเป็นไวยาวัจกรของ​ท่าน​

ไวยาวัจกร​ หมายถึง​ คฤหัสถ์​ผู้​ช่วยเหลือ​รับใช้​หรือ​ทำ​กิจ​ธุระ​ให้​แก่​พระ​ เป็นผู้ดูแลปัจจัยนี้แทนพระ​
ก็​มอบ​ทรัพย์ฝากปัจจัยนั้น​กับ​ไวยาวัจกร​ บอกว่า”เอาปัจจัยนี้นะ​ ถวาย​เป็น​ค่าใช้จ่ายเพื่อสมณะบริโภค​ สำหรับหลวงพี่​รูปนี้”

หรือว่าถวาย​เป็น​ส่วนกลาง ถวายเป็นสังฆทานก็ได้​

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมะ
ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ”
เมื่อ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
นาทีที่​ 1​:32:55 – 1:35:33
ลิงค์วีดีโอ ลิ้งค์​
https://youtu.be/ypuu7ZIIG3w


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๘ ?? #ถาม : การปฏิบัติธรรมที่บ้านกับที่วัด​ ต่างกันอย่างไร? #ตอบ : ไม่แตกต่าง​กัน​เท่าไหร่​หรอก​นะ​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๘
??
#ถาม : การปฏิบัติธรรมที่บ้านกับที่วัด​ ต่างกันอย่างไร?

#ตอบ : ไม่แตกต่าง​กัน​เท่าไหร่​หรอก​นะ​

ถ้าอยู่ที่บ้าน​แล้ว​สามารถ​ปฏิบัติ​ธรรม​ได้.. อยู่ที่บ้านก็ดี​นะ​
การ​มาอยู่ที่วัด.. บางทีพอมาเจอคนมากๆ​ เราอาจจะฟุ้งซ่านก็ได้

อย่างไรก็ตาม​ การอยู่ที่วัดก็ดีในแง่ที่ว่า​
ถ้าวัดนั้นมีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอนคอยแนะนำตักเตือน เราไปก็จะได้อยู่ในสายตาของท่าน เวลาเราทำอะไรผิด​ ท่านก็จะได้มาตักเตือน
เรา​จะ​ได้​ไม่​ทำ​ผิด​นาน

ฉะนั้น​ ถ้า​จะบอกว่า​ปฏิบัติ​ธรรม​ที่วัดดีกว่า​ที่​บ้าน หรือที่บ้านดีกว่าวัด จะ​ให้บอกฟันธงทีเดียวไปเลย​ไม่ได้​นะ
ก็ดูว่า​ ถ้าเราไม่มีเวลาว่างมาก​พอ​ ก็ใช้​ที่บ้าน​เป็น สถานที่​ปฏิบัติ​ธรรม​ของ​เรา​ได้
เหมือน​ที่​ครูบาอาจารย์​ท่าน​สอน​ว่า​ “ทำบ้านให้เป็นวัด” นั่นแหละ

แต่ไม่ได้หมายความว่า อย่ามาวัด​นะ!
มาวัดได้.. แต่​ก็​ควร​ที่จะ​เลือกวัดสักหน่อย
เลือกวัดที่ตรงจริตกับเรา
วัดที่มีครูบาอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนตักเตือนเราได้.. โดยเฉพาะในเรื่องของการทำกรรมฐาน ต้องให้มีผู้ที่รู้​ และแม่นหลักสักหน่อย
เวลาตักเตือนเราหรือแนะนำเราจะได้ไม่พาเราหลงทาง
ไม่ใช่ว่าเราทำดีอยู่แล้ว​ แล้วกลับมาทักเราให้เราเขว​ อย่างนี้เสียหายเลยนะ​

เช่น​ สมมุติว่า เราฟุ้งซ่าน​ แล้วเห็นว่าฟุ้งซ่านอยู่ เจอ​ผู้​ที่​ไม่เข้าใจ​ มาบอกว่า “โอ้ย! ฟุ้งซ่านไม่ดี​บังคับจิตให้มันอยู่กับที่ดีกว่า” อะไรอย่างนี้นะ
ถ้าเรา​เชื่อ​และ​ทำตาม​ ก็กลายเป็นว่าไปทำการบังคับจิตให้มันอยู่นิ่งๆ​ ก็เสียหายใหญ่เลย
พอ​รู้สึก​ว่า​บังคับจิต​ได้เนี่ย..แก้ยาก มัน​จะ​ภูมิใจ​ว่า​กู​เก่ง​นะ​ แล้ว​ไม่ค่อย​จะ​ฟัง​ใคร

ดูจิตที่มันแสดง​สภาวะตามความจริงออกมา​
​จนเข้าใจจิตว่า​ ไม่ว่า​จะ​เป็น​แบบ​ไหน​ มัน​ก็​มีลักษณะ​เหมือน​ๆ​ กัน​
คือ​ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
มัน​ก็​เจริญวิปัสสนา​ เกิดปัญญา​เข้าใจ​กาย​ใจ​ตาม​ที่​มัน​เป็น
อย่างนี้เข้าใกล้มรรคผลนิพพานมากว่า

ฉะนั้น​ อย่าว่าแต่เป็นพระเลย​นะ​
คนที่วัดที่เขาไม่แม่นหลัก​ หรือเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน มาได้ยินเราพูดถึงสภาวะของตัวเอง แล้วเขาก็แนะนำเรา​ แล้วเราเขวเนี่ยนะ มาอยู่กับ​คน​หมู่มากบางทีก็เสียหาย

ถ้าเรามีพื้นฐานดี​ มีหลักการปฏิบัติของเราดี​อยู่แล้ว ก็ปฏิบัติปฏิบัติ​ธรรม​เองที่บ้านด็ได้
แต่ก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่ามาวัด​นะ
พอเข้าใจตรงนี้นะ ไม่ใช่ว่าสุดโต่ง​นะ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรมะ
ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒
(ระหว่างเวลา ๑.๒๙.๕๗ – ๑.๓๒.๔๗ )
ไฟล์วิดีโอhttps://nimmalo.com/video/dhammasawangjai/s14/


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๗ ?? #ถาม : คนที่มีสติ​ ทำบาปได้ไหม? #ตอบ : ก็แล้วแต่​ว่า​ ที่​ว่า​ “มี​สติ”…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๗
??
#ถาม : คนที่มีสติ​ ทำบาปได้ไหม?

#ตอบ : ก็แล้วแต่​ว่า​ ที่​ว่า​ “มี​สติ” นั้น​ จะกินความครอบคลุมแค่ไหนนะ

ถ้าเป็น​ “สติแบบทั่ว​ ๆ​ ไป”
คนมีสติ​แบบนี้่มาตบเราได้ไหม?
ตบได้นะ! ต้องมีสติจึงตบถูก..ใช่ไหม?
คนมีสติ​แบบ​ทั่วไป​ ก็​เช่น​ คนไม่หลับ ไม่สลบ… คนมี​สติ​แบบนั้ฆ่าคนได้

ถ้าคนบ้า..ไม่มีสติ ก็​สามารถทำให้คนตาย​ได้​ ถ​้​า​พิสูจน์​ได้​ว่า​บ้า​จริง​ กฎหมายยกเว้น​โทษ​ให้​ด้วย รู้สึกไหม?
คนไม่มีสติ กลับไม่ผิด! คนมีสติ​ กลับผิด
นี่​คือสติแบบทั่ว​ ๆ ไป

เรื่อง​การ​เว้น​โทษ​ให้คน​บ​้​า​เนี่ย​ ไม่ใช่เฉพาะในกฎหมาย​นะ
ในพระวินัย​ของ​พระภิกษุ​ ก็ยังมี​ระบุ​ว่า​ พระ​ภิกษุที่่ไม่​ต้องอาบัติในทุกกรณี​ คือ​ ภิกษุ​วิกลจริต​
แปล​อีกที​ก็​คือ​ พระบ้า!

พระบ้าได้ไหม?
ต้องได้แน่​ ๆ เลยเพราะมีปรากฏ​คำ​นี้ในพระวินัย
ถ้ามีพระบ้า​ แล้ว​พระ​รูป​นั้น​ไปทำอาบัติอะไรสักอย่างหนึ่งนะ หาก​มี​คนมาโจทก์​ แล้วปรากฏว่า ดูไปดูมา.. ท่านบ้า!
บ้าชั่วขณะ ก่อนบวชไม่ได้บ้า​นะ​ แต่มาบวชแล้วบ้า เป็นไปได้​นะ​ เช่น​ ทำกรรมฐานผิด​ เป็นต้น

พระบ้านี่คือไม่มีสติแบบทั่วๆ ไป​ พระ​พุทธ​องค์​ทรง​ยกเว้น​ให้​ ไม่​ต้อง​อาบัติ

พระกระสับกระส่ายด้วยทุกขเวทนาก็ไม่มีสติ​นะ เช่น​มีทุกขเวทนามาก
เวลา​ที่​ท่านกระสับกระส่าย​ อาจจะดิ้น.. ดิ้นแรงพลาดไปชกพระที่ดูแล​ อย่างงี้นะ ไม่ถือว่าทำร้ายพระที่ดูแล​นั้น

ตอนนั้นทำด้วยขาดสติ ไม่มีเจตนาเจือปน

คน​ทั่วไปก็เหมือนกัน​นะ​
ในกฎหมายบ้านเมืองเนี่ย ถ้าคนนั้น​เขาพิสูจน์แล้วว่าบ้า หรือขาดสติ เขา​ก็​เว้น​โทษ​ให้​นะ

ที่​ว่า​ ขาดสติ​ ก็ในบางแง่นะ
ถ้าขาดสติ​เพราะเมา​ อย่างนี้​ต้อง​รับ​โทษ​นะ
เพราะก่อนเมามีสติ​ แล้วไปทำตัวเองให้เมา
อย่างนี้..ไม่ได้! ไม่พ้น!
เช่น​ เมาแล้วขับรถ​ นี่โดนหนัก
จะบอกว่า​ “ตอนนั้นผมเมา​ ไม่ได้มีสติ
เลยขับไปชน” อย่างนี้ไม่ได้! อ้างไม่ได้ ..

ฉะนั้น​ ถ้าสติทั่วไป มีสติทำผิด ทำบาปได้
ไม่มีสติ​ กลับไม่เป็นความผิด

แต่​ถ้า​มีสติปัฏฐาน…
สติปัฏฐานเนี่ย ขอบเขตของ​สติมันอยู่แค่รู้กาย เวทนา จิต ธรรม
ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มีการทำผิด ไม่มีการทำบาป
คนมีสติทั่วๆ ไป มันแค่ตื่นขึ้นมาเอากายตื่น​ จิต​ยัง​ไม่​ตื่น​ ยัง​ไม่มี​สติ​ปั​ฏ​ฐาน​ ก็ยังทำบาปได้ ทำผิดได้ ..

ฉะนั้น​ สติทั่วๆ ไปยังไม่พอ
ขอบเขตของสติที่จะทำให้ป้องกันตนเองได้จริงน่ะ​ ก็คือ​ สติปัฏฐาน
เพราะแค่คิดที่จะทำบาป มันมีความปรุงแต่งทางจิต ก็รู้ว่ามีจิตคิดไม่ดี​ คิด​เป็น​บาป คิดที่จะทำบาป
พอ​รู้​ทัน​ มัน​ก็​ดับ
ไม่ว่าจิตขณะนั้นมีโลภ มีโกรธ มีหลง กิเลสอะไรเกิดขึ้นมา เมื่อรู้ทันจิต​แล้ว​ อย่างนี้​ก็​ไม่เป็นไปในทางที่จะไปทำบาป

แล้วในการเจริญสติปัฏฐานนี้​ มันไม่ได้มีแค่สติ​นะ
ในสติปัฏฐานเนี่ย มีข้อความระบุถึงคุณธรรมหลายข้อ
เช่นในข้อความ​บาลีว่า “อาตาปี สัมปชาโน สติมา”
อาตาปี​ ก็คือ​ มีความเพียร ได้แก่​มี​ สัมมา​วายามะ
สัมปชาโน​ คือ​ มีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะนี้เป็น​ปัญญา​ เป็นความ​รู้เข้าใจ​ ว่าทำอะไร เพื่ออะไร​ ควร​ปฏิบัติ​ต่อ​มัน​อย่างไร ก็เป็นปัญญา เทียบ​ได้​กับ​ สัมมาทิฏฐิ​
สติมา​ แปลว่า​ มีสติ​ ซึ่ง​ก็​เป็น​ สัมมาสติ​

มี​ข้อความ​ต่อ​ท้าย​ใน​ทุก​ข้อ​อีก​ว่า
“ปลอด​ไร้​อภิชฌาและ​โทมนัส​ใน​โลก”
คือ​ มี​จิต​ที่​เป็น​กลาง

“มอง​เห็น​ความ​เกิด​ขึ้น​และ​ความ​เสื่อม​สิ้น​ไป” (ใน​กาย, เวทนา, จิต, ธรรม)
คือ​ มี​ปัญญา​เข้าใจ​ตาม​หลัก​ไตรลักษณ์

ดังนั้น​ ในสติปัฏฐานเนี่ย​ ไม่ได้มีแค่สติอย่างเดียว
ยังมีความเพียร มีปัญญา แล้วก็มีสติ
และ​ยังมีสมาธิแฝงอยู่​ด้วย
สมาธิเนี่ย ไม่ได้บอกชื่อตรงๆ เหมือนอาตาปี สัมปชาโน สติมา
แต่แฝงอยู่ใน..ในข้อความที่บอกว่า
“เห็นกายในกาย, เห็นเวทนาในเวทนา, เห็นจิตในจิต, เห็นธรรมในธรรม”
เพราะ​จะ​เห็น​อย่างนี้​ได้​ ก็​ต้อง​มี​สมาธิ​ที่​ถูก​ด้วย
เช่น​ เห็น​กาย​ตรง​ตาม​สภาวะ​ คือ​เป็น​ที่​ประชุม​ของ​ธาตุ​ ๔​ ดิน​ น้ำ​ ลม​ ไฟ
ไม่ใช่​เห็น​ “กู”

๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๔ ?? #ถาม​ : เคย​ได้ยิน​เขา​พูด​กัน​ว่า​ ใน​ยุค​นี้​ มี​คน​ดี​ ๓๐% มี​คน​ชั่ว​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๔
??
#ถาม​ : เคย​ได้ยิน​เขา​พูด​กัน​ว่า​ ใน​ยุค​นี้​ มี​คน​ดี​ ๓๐% มี​คน​ชั่ว​ ๗๐% อันนี้​จริง​ไหม​ครับ? มี​ตำรา​ไหน​ยืนยัน​ไหม​ครับ?

#ตอบ​ : เอ… จะ​มี​ตำรา​ไหน​บอก​หรือ​ป​ล่าว​ ก็​ไม่ทราบ​เหมือนกัน​นะ​ ถึง​จะ​มี​หรือ​ไม่มี​ อาตมา​ก็​ว่า​ไม่​สำคัญ​เท่า​ไหร่หรอก

ที่​สำคัญ​คือ​ กิเลส​ในใจ​เรา​ตอน​นี้​มี​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? มี​กุศล​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? ​ มี​อกุศล​อยู่​กี่​เปอร์เซ็นต์? อันนี้​สำคัญ​กว่า

คนอื่น​เขา​จะ​ชั่ว​มาก​แค่​ไหน​ ความชั่วของ​เขา​ก็​ไม่​ทำให้​เรา​ตก​นรก​ได้
ถ้า​เรา​จะ​ตก​นรก​ ก็​เป็น​เพราะ​ความ​ชั่ว​ที่​เรา​ทำ​เอง

คน​อื่น​เขา​จะ​ดี​มากแค่​ไหน​ ความ​ดี​ของ​เขา​ก็​ไม่​ทำให้​เรา​ขึ้น​สวรรค์​ได้
ถ้า​เรา​จะ​ขึ้น​สวรรค์​ ก็​เป็น​เพราะ​ความ​ดี​ที่​เรา​ทำ​เอง

คน​อื่น​เขา​จะ​ปฏิบัติ​ดี​ปฏิบัติ​ชอบ​มาก​แค่​ไหน​ ก็​ไม่​ทำให้​เรา​บรรลุ​ธรรม​ได้
ถ้า​เรา​จะ​บรรลุ​ธรรม​ ก็​เป็น​เพราะ​เรา​ได้​ปฏิบัติ​ดี​ปฏิบัติ​ชอบ​เอง

โลก​นี้​จะ​มี​คน​ดี​คน​ชั่ว​กี่​เปอร์เซ็นต์​ ไม่​สำคัญ​เท่า​ใจ​ของ​เรา​ว่า​มี​ดี​มี​ชั่ว​อยู่​เท่าไร​

แล้ว​เรา​รู้​หรือ​ไม่?

จะ​รู้​ได้​ ด้วย​การ​เจริญ​สติ​ดู​จิต​ลง​ใน​ปัจจุบันนี่แหละ!

บางที​ดู​แล้วอาจจะ​ตกใจ.. ว่า​อกุศล​ในใจ​เรา​มัน​เยอะ​จัง!
ไม่​ต้อง​ตกใจ..
เพราะ​ทันที​ที่​รู้​ กุศล​ก็​เกิด​แล้ว
ได้​เพิ่ม​กุศล​ขึ้น​มา​อีก​หนึ่ง​ขณะ​แล้ว

๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๕ ?? #ถาม​ : ดิฉัน​นึกถึง​พระ​พุทธเจ้า​ นึก​ถึง​ตอน​ที่​พระ​องค์​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๕
??
#ถาม​ : ดิฉัน​นึกถึง​พระ​พุทธเจ้า​ นึก​ถึง​ตอน​ที่​พระ​องค์​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​ นึก​แล้ว​ก็​สงสาร​ท่าน​มาก​เลย​ค่ะ​ ต้อง​มา​ทุกข์​เพื่อ​ช่วย​สัตว์​โลก​ ทำไม​จึง​เป็น​อย่างนี้​คะ?

#ตอบ​ : จิต​มัน​ไป​อิน​ (in) มาก​ไป​นะ​ หมายถึง​จิต​มัน​ไป​จม​อยู่ใน​ความคิด​มาก​ไปนะ

พระองค์​กว่า​จะ​ตรัสรู้​ได้​ ต้อง​ผ่าน​การ​สร้าง​บารมี​มา​นับ​ชาติ​ไม่ถ้วน​ ถ้า​นับ​ตั้งแต่​ได้​รับ​พยากรณ์​จาก​พระ​พุทธเจ้า​พระนาม​ว่า​ทีปัง​กร​ ก็​เป็น​เวลา​ ๔​ อสงไขย​ กับ​อีก​แสน​กัป​ มาถึง​ชาติ​สุดท้าย​ก็​ยัง​ต้อง​มา​บำเพ็ญ​ทุกรกิริยา​อีก​ถึง​ ๖​ ปี​ กว่า​จะ​ตรัสรู้

แต่ถ้า​จะ​สงสาร​พระ​พุทธเจ้า​ อาตมา​ว่า​ให้​มา​สงสาร​ตนเอง​ดีกว่า

ถ้า​สงสาร​พระองค์​จริง​ๆ​ ก็​ควร​เห็น​คุณค่า​ของ​ความ​ตรัสรู้​ของ​พระ​องค์​ แล้ว​ทรง​แสดง​ธรรม​ที่​ได้​จาก​การ​ตรัสรู้​นั้น​อย่างไร​ เรา​ก็​เรียนรู้​ธรรม​นั้น​ และ​นำ​มา​ปฏิบัติ​ให้​เห็น​จริง​ตาม​ที่​พระองค์​ทรง​สั่งสอน

การ​ตรัสรู้​ที่​ได้​มา​โดย​ยาก​ของ​พระองค์​ จะ​ได้​ไม่​ไร้​ประโยชน์​สำหรับ​เรา

พระองค์​ตรัสรู้​แล้ว​ พ้น​ทุกข์​แล้ว
แต่​เรา​ยัง​มี​ทุกข์​ท่วม​ใจ​อยู่

ถ้า​เรา​ไม่ได้​รับ​ประโยชน์​จาก​การ​ตรัสรู้​ของ​พระ​องค์​ ไม่​สามารถ​พัฒนา​จิตใจ​ตาม​คำ​สอน​ของ​พระ​องค์​ได้​เลย​ นี่​สิ! จึง​จะ​เรียก​ได้​ว่า​ เรา​เป็น​ผู้​น่า​สงสาร​ที่​แท้จริง!

๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๖ ?? #ถาม : เข้าพรรษาปีนี้ พระอาจารย์มีสิ่งใดแนะนำ เพื่อนำไปขัดเกลาตนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไปบ้างคะ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๖
??
#ถาม : เข้าพรรษาปีนี้ พระอาจารย์มีสิ่งใดแนะนำ
เพื่อนำไปขัดเกลาตนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไปบ้างคะ ?

#ตอบ : เทศกาลเข้าพรรษา
เป็นเทศกาลที่ชาวพุทธมักจะใช้อธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดี
และจะเว้นชั่ว/ทำความดีนั้นตลอด ๓ เดือน

ปีนี้ขอแนะเรื่องเป้าหมาย
คือที่เราอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีนั้น เพื่ออะไร ? หรือหวังอะไร ?

ขอเล่านิทานประกอบ ซึ่งเคยเล่าในการบรรยายหลายที่

ครั้งหนึ่ง พระพรหมท่านหนึ่ง มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กล่าวคาถาว่า
“ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย
เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน
บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะ
พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้”

เล่าถึงตรงนี้ อาตมามักจะหยุดถามผู้ฟังว่า

“เห็นด้วยกับคาถานี้มั้ย ?”

ผู้ฟังส่วนใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีใครแย้งเลย
แล้วอาตมาก็เฉลย ด้วยพุทธพจน์ ที่พระองค์ตอบพระพรหมนั้น

พระองค์ตรัสว่า

“ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย
เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน
บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ ในมรณะ
พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด”

พระองค์เห็นด้วยกับ ๓ บรรทัดแรก

แต่บรรทัดสุดท้าย พระองค์เห็นว่าไม่เหมาะสม
เพราะเป็นถ้อยคำที่ชวนให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ

ถ้าเราอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีต่าง ๆ แล้วหวังเพียงได้บุญ
หรือเพื่อมีความสุข หรือไปสุคติ
ก็เท่ากับหวังแบบเดียวกับพระพรหมองค์นี้ คือปรารถนาวนอยู่ในวัฏฏะ
ซึ่งไม่ตรงกับพุทธประสงค์
เพราะเกิดทีไรก็ทุกข์ทุกที

ชีวิตทุกชาติก็ถูกชราต้อนไป อายุมีน้อยทุกชาติ
ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปแล้วไม่มีอะไรจะต้านทานได้ทุกชาติ
มีมรณภัยนี้อยู่ทุกชาติ

การที่จะหวังบุญแบบให้ไปสุคติ จึงไม่พอ
ควรมุ่งสันติ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงหมายถึงสันติอันยั่งยืน
กล่าวคือ พระนิพพาน

เข้าพรรษานี้ ไม่ว่าจะอธิษฐานที่จะเว้นชั่ว/ทำความดีอะไร
ก็ควรมุ่งผลไปที่สันติ คือพระนิพพานนี้

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๓ ?? #ถาม​ : พระ​ท่าน​สอน​ว่า​ “สังขาร​ทั้งหลาย​ไม่​เที่ยง” กับ​คำ​ที่​ฆราวาส​พูด​กัน​ว่า​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๓
??
#ถาม​ : พระ​ท่าน​สอน​ว่า​ “สังขาร​ทั้งหลาย​ไม่​เที่ยง” กับ​คำ​ที่​ฆราวาส​พูด​กัน​ว่า​ “สังขาร​ร่างกาย” สังขาร​ทั้ง​สอง​คำ​นี้​จะ​มี​ความหมาย​เหมือน​กัน​ไหม​ครับ?

#ตอบ​ : ความหมาย​ของ​คำ​ว่า​ “สังขาร” นี้​ ก็​ต้อง​ดู​ที่​รูป​ประโยค​ จึง​จะ​ได้​ความหมาย​ที่​ชัดเจน เช่น

– ในคำ​ว่า​ “สังขาร​ทั้งหลาย​ไม่เที่ยง​”
คำ​ว่า​ สังขาร​ ในที่นี้​ จะกิน​ความหมาย​กว้าง​ที่สุด​ คือ​ หมายถึง​ สิ่ง​ปรุงแต่ง​ทั้งหมด​ ทั้งที่​เป็น​รูป​ธรรม​และ​นามธรรม​ ขันธ์​ทั้ง​ ๕​ ก็​อยู่​ใน​สังขาร​ใน​ความหมาย​นี้​ ตรง​กับ​คำ​ว่า​ “สังขตะ” หรือ​ “สังขตธรรม”

– ในคำ​ว่า​ “รูป​ไม่เที่ยง​ เวทนา​ไม่เที่ยง​ สัญญา​ไม่เที่ยง​ สังขาร​ไม่เที่ยง​ วิญญาณ​ไม่เที่ยง”
คำ​ว่า​ สังขาร​ ในที่นี้​ หมายถึง​ สภาพ​ปรุงแต่ง​ทาง​นามธรรม​ที่​มี​เจตนา​เป็น​ประธาน​ ปรุงแต่ง​ใจ​ให้​ดี​ให้​ชั่ว​ มี​ทั้ง​ที่​เป็น​กุศล, อกุศล​ และ​อัพยากฤต​(คือ​เป็น​กลาง​ๆ)​ ตรง​กับ​คำ​ว่า​ สังขาร​ขันธ์​ ใน​ขันธ์​ ๕

– ในคำ​ว่า​ “สัญเจตนา​ ได้แก่​ กาย​สังขาร​ วจี​สังขาร​ มโน​สังขาร”
สังขาร​ตามคำ​ชุด​นี้​ ก็​ยก​เอา​เจตนา​ขึ้น​เป็น​ตัว​นำ​หน้า​ เป็น​การ​จงใจ​ปรุงแต่ง​การ​กระทำ​ทาง​กาย, วาจา​ และ​ทาง​ใจ​ ตามลำดับ​ เป็น​เจตนา​ที่​แต่ง​กรรม

– ใน​คำ​ว่า​ “กาย​สังขาร​ ได้แก่​ ลม​หายใจ​เข้า​ออก, วจี​สังขาร​ ได้แก่​ วิตก​และ​วิจาร, จิตต​สังขาร​ ได้แก่​ สัญญา​และ​เวทนา”
คำ​ว่า​ สังขาร​ ในที่นี้​ หมายถึง​ สภาพ​ที่​ปรุงแต่ง​ชีวิต

– ใน​คำ​ว่า​ “ไม่​เจียม​สังขาร​เลย​ลุง”
อันนี้​เป็น​แบบ​ไทย​ๆ​ สังขาร​ หมายถึง​ ร่างกาย​

๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๒ ?? ถาม​ : ในการกล่าวถวายสังฆทาน ถ้าในพิธีมี ผ้าไตรจีวร ด้วย พร้อมบริวารอื่นๆ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๒
??
ถาม​ : ในการกล่าวถวายสังฆทาน
ถ้าในพิธีมี ผ้าไตรจีวร ด้วย พร้อมบริวารอื่นๆ
ผมต้องใช้คำว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…” หรือว่า
“อิมานิ มะยัง ภันเต บังสุกุละจีวรานิ สังฆทานนานิ สัปปะริวารานิ…”
ครับ?

ตอบ​ : ถ้า​จะ​ถวาย​ไตร​จีวร​แด่​สงฆ์​ ก็​คือ​ถวาย​เป็น​สังฆทาน​ มี​บริวาร​อื่น​ๆ​ด้วย​ ก็ใช้​คำ​ถวาย​ดังนี้

– คำ​ถวาย​ผ้า​ไตรจีวร

“อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ติจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าไตรจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าไตรจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์​และความสุข​แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย​ สิ้นกาลนานเทอญ”

ไม่​ใช้​คำ​ว่า​ “สังฆะทานานิ” นะ​
คำ​ว่า​ “ภิกขุ​สังฆัสสะ” ก็​เป็น​การ​ระบุ​ว่า​ถวาย​แด่​สงฆ์​ ซึ่ง​ก็​เป็น​สังฆทาน​อยู่​แล้ว

ถ้า​จะ​ถวาย​เป็น​ “​ผ้า​บังสุกุล” ​ ที่​คน​ไทย​เรียก​กัน​ว่า​ “ผ้าป่า” ก็​ใช้​คำ​ถวาย​ดังนี้

– คำ​ถวาย​ผ้า​บังสุกุล

“อิมานิ มะยัง ภันเต ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร​ กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”

ข้อ​สังเกต​ คำ​ว่า​ ผ้า​บังสุกุล​ ใน​ภาษา​ไทย​ มี​ศัพท์​บาลี​ว่า​ ปํสุกูลจีวร​ อ่าน​ว่า​ ปัง-สุ-กู-ละ-จี-วะ-ระ​ ศัพท์​บาลีใช้​ ป​ ปลา
ปํสุ​ แปล​ว่า​ ฝุ่น
ปํสุกูล​ แปล​ว่า​ กอง​ฝุ่น, คลุก​ฝุ่น
ปํสุกูลจีวร​ แปล​ว่า​ ผ้า​คลุก​ฝุ่น​ เก็บ​ความหมาย​ก็​คือ​ ผ้า​ที่​เขา​ทิ้ง​แล้ว​ ไม่​มี​เจ้าของ

ความ​แตกต่าง​ระหว่าง​ ​การ​ถวาย​ไตร​จีวร​ กับ​ ถวาย​บังสุกุล​จีวร​ ก็​คือ

การ​ถวาย​ไตร​จีวร​ เรียก​อีก​อย่างว่า​เป็น​การ​ถวาย “คหบดี​จีวร” (อ่านว่า คะ-หะ-บอ-ดี-จี-วอน) แปลตามศัพท์ว่า ผ้าของผู้เป็นเจ้าบ้าน คือผ้าที่ได้จากผู้ครองเรือน
ซึ่ง​หมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ขอพุทธานุญาตให้พระภิกษุสามารถรับจีวรที่มีผู้ศรัทธาถวายได้ และพระพุทธเจ้า​ก็ทรงอนุญาต ผู้​ถวาย​เมื่อ​กล่าว​คำ​ถวาย​แล้ว​ก็สามารถ​นำ​ผ้า​ไป​ถวาย​พระ​ภิกษุ​กับ​มือ​ได้​

แต่​การ​ถวาย​บังสุกุล​จีวร​ ผู้​ถวาย​เพียง​แต่​กล่าว​คำ​ถวาย​ แล้ว​พระ​ภิกษุ​จะ​ไป​ชัก​ผ้า​บังสุกุล​เอง​ แบบ​ที่​เรา​เห็น​เวลา​ไป​ถวาย​ผ้าป่า​ทั่วไป

ครั้ง​หนึ่ง​ ตอน​ที่​อาตมา​บวช​ได้​ประมาณ​ ๔-๕​ พรรษา เคย​มี​โยม​นำ​ผ้า​จีวรมา​พาด​ไว้​ที่​ต้น​ทองหลางหน้า​กุฏิ​ที่​อาตมา​พัก แล้ว​พูด​ด้วย​เสียง​อัน​ดัง​ว่า​ “ผ้า​จีวร​นี้​ไม่มี​ผู้​หวงแหน​ พระ​ภิกษุ​รูป​ใด​ปรารถนา​จะ​นำ​ไป​ใช้​ เพื่อ​ประโยชน์​สุข​แก่​โยม​ ก็​กรุณา​พิจารณา​นำ​ไป​ใช้​ได้​ด้วย​เทอญ”
แล้ว​ไปแอบ​อยู่​ตรง​ไหน​ก็​ไม่ทราบ​ แต่​ก็​ถือ​ว่า​เป็น​การ​กล่าว​คำ​ถวาย​แล้ว

อาตมา​ได้​ยิน​อย่างนั้น​ ก็​ห่ม​จีวร​ แล้วเดิน​ลง​ไป​ดู​ หา​อยู่​ว่า​เขา​พาด​ผ้า​ไว้​ตรง​ไหน​ พอ​เห็น​แล้ว​ก็ชัก​บังสุกุล​
อย่างนี้​ก็​เรียก​ว่า​ “ผ้าป่า” เหมือนกัน​ แต่​เป็นแบบ​ดั้งเดิม

ผ้าป่า​แบบ​นี้​ พระ​ภิกษุมักจะ​ชัก​ผ้าด้วยคำว่า
“อิทัง ปังสุกุละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ”
แปล​ว่า​
ผ้าบังสุกุลจีวรอันไม่มีเจ้าของ​หวงแหน​นี้ ย่อม​ถึงแก่ข้าพเจ้า​ ใน​กาล​บัดนี้​เทอญ

ถ้า​เป็น​การ​ทอด​ผ้า​บังสุกุล​ใน​งานศพ​ ก็​ไม่ต้อง​กล่าว​คำ​ถวาย​ เพียง​แต่​เจ้าภาพ​วาง​ผ้า​ไว้​ (คำ​ว่า​ “ทอด” ​ใน​ที่​นี้​ แปล​ว่า​” วาง​”)​ ทอดไว้หน้าศพ​บ้าง​ ทอดบนสายโยงหรือภูษาโยงที่ต่อจากศพ​บ้าง สำหรับให้ภิกษุมาปลงกรรมฐานและชักไป​ เมื่อนิมนต์​พระ​ภิกษุ​ชัก​บังสุกุล​ พอท่าน​มา​ถึง​ที่​ที่​ผ้า​วาง​อยู่ ท่านก็​ชัก​ผ้า​ได้​เลย​

คำ​ที่​พระ​ภิกษุ​ใช้​ชัก​ผ้า​บังสุกุล​ใน​กรณี​นี้ ก็​มัก​จะ​ใช้​คำ​ว่า​
“อะนิจจา​ วะตะ สังขารา
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ
เตสัง วูปะสะโม สุโข”

แปล​ว่า​
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดขึ้นและดับไป
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นได้​ เป็นสุข

ขณะ​ที่​ชัก​ผ้า​ ก็เป็น​การ​ที่​พระ​ภิกษุอาศัย​ศพ​นั้น​เจริญกรรมฐาน​

๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๑ ?? #ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าสิ่งที่เรารู้อยู่ เข้าใจอยู่ หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเล่าเรียนมา…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๑
??
#ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าสิ่งที่เรารู้อยู่ เข้าใจอยู่ หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเล่าเรียนมา เป็น“สัมมาทิฏฐิ”หรือเปล่าครับ?
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกัน ก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เป็น“สีลัพพตปรามาส”หรือไม่ครับ?

#ตอบ : ก่อนอื่น ถ้ารู้ว่า “มิจฉาทิฏฐิ” เป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เข้าใจสัมมาทิฏฐิได้ง่ายขึ้น
มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นผิด
คือ ความเห็นดังนี้ เช่น ทานที่ให้แล้วไม่มีผล, ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล, สังเวยที่บวงสรวงแล้วไม่มีผล, ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี, โลกนี้ไม่มี, โลกหน้าไม่มี, คุณมารดาไม่มี, คุณบิดาไม่มี, สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ(สัตว์ที่ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น)ไม่มี, พระพุทธเจ้าผู้รู้ยิ่งด้วยตนเอง ซึ่งประกาศโลกนี้และปรโลกให้แจ่มแจ้ง ในโลกนี้ไม่มี เป็นต้น

ส่วน สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ แยกเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. โลกิยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับโลกีย์ จัดเป็นฝ่ายบุญ ซึ่งอำนวยวิบากแก่ขันธ์(ยังต้องเกิดอีก) เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามหลักความดี สอดคล้องกับศีลธรรม เช่นความเห็นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล, การบำเพ็ญทานมีผล, การบูชามีผล, กรรมที่ทำไว้ดีและชั่วมีผล, มีวิบาก, โลกนี้มี, ปรโลกมี, คุณมารดามี, คุณบิดามี, สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ(สัตว์ที่ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น)มี, พระพุทธเจ้าผู้รู้ยิ่งด้วยตนเองในโลก ซึ่งประกาศโลกนี้และปรโลกให้แจ่มแจ้ง มีอยู่ เป็นต้น
๒. โลกุตรสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับโลกุตระ และเป็นสัมมาทิฏฐิในขั้นมรรคผล เป็นตัวปัญญาที่ทำให้เป็นอริยบุคคล เป็นปัญญาในระดับที่ตัดกิเลส ไม่ใช่เพียงกดข่ม เช่นพระโสดาบันโลกุตรสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ก็สามารถตัดกิเลสที่เรียกว่าสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ เป็นต้น

คำจำกัดความของ สัมมาทิฏฐิ จึงมีได้ตั้งแต่
– รู้ว่ากุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร และรู้มูลเหตุของกุศลและอกุศลนั้นด้วย
– เห็นไตรลักษณ์
– เห็นปฏิจจสมุปบาท
– เห็นอริยสัจ

โดยสรุป สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริง เห็นตรงตามสภาวะ

สัมมาทิฏฐิ ถ้ายังไม่ถึงขั้นโลกุตระ ก็สามารถเสื่อมได้ ฉะนั้น ก็ต้องมีองค์ประกอบมาคอยหนุน เพื่อให้เจริญสู่เป้าหมาย
องค์ประกอบเหล่านั้น ได้แก่
๑. ศีล คือ มีความประพฤติดีงาม
๒. สุตะ คือ การฟังธรรม รวมทั้งการเล่าเรียน การอ่านตำรา
๓. สากัจฉา คือ การสนทนาธรรม
๔. สมถะ คือ การฝึกทำใจให้สงบ
๕. วิปัสสนา คือ การมีปัญญาเห็นแจ้ง เห็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรมทั้งหลาย ถอนความหลงผิดในสังขารเสียได้
(ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อนุคคหสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต)

เมื่อมีโลกิยสัมมาทิฏฐิก็เป็นประโยชน์สุขกับชีวิตตนและสังคม ทั้งยังมีส่วนช่วยหนุนให้เจริญในธรรมที่เป็นองค์แห่งมรรคทั้งหลาย โลกิยสัมมาทิฏฐินี้จึงเป็นเหตุให้ก้าวต่อไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิได้ด้วย

สังโยชน์ ๓ ข้อ ที่ละได้เมื่อมีโลกุตรสัมมาทิฏฐิ ได้แก่ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส

ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) แสดงความหมายของสีลัพพตปรามาส ไว้ดังนี้
สีลัพพตปรามาส ความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตร (คือถือว่าเพียงประพฤติศีลและวัตรให้เคร่งครัดก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญาก็ตาม ถือศีลและวัตรที่งมงามหรืออย่างงมงายก็ตาม), ความถือศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายที่แท้จริง, ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่าจะมีได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงธรรมดาวิสัย (ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐)

สีลัพพตปรามาส อ่านว่า สี-ลับ-พะ-ตะ-ปะ-รา-มาด
แยกศัพท์เป็น สีล(ศีล) + วต(พรต) + ปรามาส(การถือเลยเถิด)
ที่ว่า “ถือเลยเถิด” ก็คือ “จับฉวยเอาเกินเลยสภาวะเป็นอย่างอื่นไป” คือคลาดจากที่ควรจะเป็น กลายเป็นอย่างอื่นไปเสีย
ศีลและพรตที่มีไว้เพื่อฝึกหัดขัดเกลา เพื่อไม่ให้เกิดวิปฏิสาร(คือความเดือดร้อนใจ) และเพื่อเป็นบาทฐานของการภาวนา ก็กลับ“ถือเลยเถิด”เป็นอย่างอื่นไป เช่น ถือว่าหรือเห็นว่าเพียงแค่บำเพ็ญศีลพรตอย่างนี้ๆ ก็สามารถจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้

การ“ถือเลยเถิด” ก็นับว่าเป็นทิฏฐิอย่างหนึ่งที่ผิด เมื่อนำมาปฏิบัติก็กลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค(การประกอบตนให้ลำบากเปล่า) ซึ่งเป็นหนึ่งในที่สุดสองด้านที่ชาวพุทธพึงเว้น

นอกจากนี้ ควรเข้าใจอีกว่า ศีลและพรตที่ถูกก็มี ที่ผิดก็มี
ศีลและพรตที่ผิด ก็ไม่ควรถือปฏิบัติเลย เช่น ถือปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโค อย่างม้า ถือการไหว้ทิศ
ศีลและพรตที่ถูก เช่น พระวินัยของพระภิกษุ หรือข้อวัตรในเรื่องธุดงค์ทั้งหลาย ก็ระวัง อย่าให้เป็นการ“ถือเลยเถิด”เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน ว่าใครดีใครเลว ใครถูกใครผิด หรือเอาข้อวัตรมาข่มกัน ว่าฉันหรือพวกฉันเคร่ง เธอหรือพวกเธอไม่เคร่ง สู้พวกเราไม่ได้

ศีลและพรตที่ถูก ก็ควรถือปฏิบัติในแนวทางสายกลางด้วย ไม่ถือโดยงมงาย ถือโดยเข้าใจจุดมุ่งหมาย รู้อยู่แก่ใจว่า ปฏิบัติไปเพื่อขัดเกลา เพื่อเป็นบามฐานของสมาธิ เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เพื่อพัฒนาตนไปในมรรค เพื่อความพ้นทุกข์

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“กุศลศีล มีความไม่มีวิปฏิสารเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ความไม่วิปฏิสาร มีปราโมทย์เป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปราโมทย์ มีปีติเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปีติ มีปัสสัทธิเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ปัสสัทธิ มีสุขเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
สุข มีสมาธิเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
นิพพิทา มีวิราคะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์,
วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอรรถเป็นอานิสงส์;
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมยังธรรม
ทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อการไปจากภาวะอันมิใช่ฝั่ง สู่ภาวะที่เป็นฝั่ง โดยประการดังนี้แล”
(จาก เจตนาสูตร อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต)

๒๖ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๐ ?? #ถาม​ : หากโดยปกติแล้วเราทำกรรมฐานเดินจงกรมและนั่งดูร่างกาย แต่เราจะมาใช้​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๖๐
??
#ถาม​ : หากโดยปกติแล้วเราทำกรรมฐานเดินจงกรมและนั่งดูร่างกาย แต่เราจะมาใช้​ “พุทโธ” เป็นวิหารธรรม​ แล้วดูจิตในระหว่างวัน สมควรทำหรือไม่คะ? หรือในระหว่างวันแค่มีวิหารธรรมเป็นกิจวัตรที่เราทำแทน​ เช่นกวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ขับรถ เดิน ยืน นั่ง นอน​ อยู่​ ก็รู้ทันที่จิตมันไหล และเพ่ง แล้วก็กลับมารู้ว่าเราทำอะไรอยู่​คะ?

#ตอบ​ : อาตมา​ไม่​ถนัด​บริกรรม​ “พุทโธ” เวลา​ที่​ภาวนา​ในชีวิต​ประจำวัน​นะ​

ใน​ระหว่าง​วัน​ “กาย​เคลื่อนไหว​ มี​ใจ​รู้” อย่างนี้​น่าจะ​ง่าย​กว่า​นะ​ เพราะ​มัน​เข้า​กัน​ได้​กับ​กิจกรรม​ที่​ทำ​ จะ​กวาด​บ้าน​ ล้าง​ห้องน้ำ​ ฯลฯ​ โดย​ก็​เคลื่อนไหว​อยู่​กับ​งาน​นั้น​ จะ​เรียกว่า​ “ใช้​งาน​ที่​กำลัง​ทำ” เป็น​ที่อยู่​ของ​จิต​ก็ได้​ พอ​จิต​มัน​เผลอไป​ก็​รู้​ทัน​ แล้ว​ก็​มา​รู้​ที่​งาน​ที่​กำลัง​ทำ​นั้น​ต่อ​ เพื่อ​ดู​จิต​ที่​เผลอ​ไป​อีก

มัน​อาจจะ​เผลอ​ไป​เพ่ง​ใน​งาน​นั้น​ก็ได้​นะ​ ก็​รู้​ไป​ตาม​ที่​มัน​เป็น

“งาน​ที่​กำลัง​ทำ​” หรือ​ “กาย​ที่​กำลัง​เคลื่อนไหว​” เป็น​เพียง​ที่อยู่​ชั่วคราว​นะ​ ยัง​ไม่ใช่​ “วิหาร​ธรรม”
เพราะ​วิหารธรรม​ใน​การ​เจริญ​สติ​ปัฏ​ฐาน​มี​อยู่​ ๔​ เท่านั้น​ คือ​ กาย, เวทนา, จิต​ และ​ ธรรม
ใน​กรณี​นี้​ เรา​มี​จิต​เป็น​วิหาร​ธรรม​ เพราะ​อาศัย”งาน​ที่​กำลัง​ทำ​” หรือ​ “กาย​ที่​กำลัง​เคลื่อนไหว​” เป็น​ที่อยู่​ชั่วคราว​ เพื่อ​ดู​จิต​ที่​มัน​ผิด​ไป​จาก​นี้

แต่​ก็​ไม่ใช่​ว่า​จะ​ดู​จิต​อย่าง​เดียว​ ถ้า​เวทนา​ชัด​ก็​ดู​เวทนา​ได้
พูด​ภาษา​ชาวบ้าน​ง่าย​ๆ​ ก็​คือ​ สุข​ก็​รู้​ ทุกข์​ก็​รู้​ ดี​ก็​รู้​ ร้ายก็​รู้​
ดู​บ่อย​ๆ​ จะ​เห็น​ว่า​ จิต​มัน​เปลี่ยน​แปลง​ตลอด​เวลา​ เดี๋ยว​สุข​ เดี๋ยว​ทุกข์​ เดี๋ยว​ดี​ เดี๋ยว​ร้าย​ โลภ​โกรธ​หลง​มี​อยู่​ชั่วคราว​ สติ​ก็​ชั่วคราว​ ทุกอย่าง​ที่​เกิด​มา​อยู่ชั่วคราว​แล้ว​ก็​หาย​ไป

๑๗ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๙ ?? #ถาม​ : มีเรื่องอยาก​ขอ​คำแนะนำค่ะ คนใกล้ชิดอยากฆ่าตัวตาย คือเค้ามีปัญหาทางด้านการลงทุน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๙
??
#ถาม​ : มีเรื่องอยาก​ขอ​คำแนะนำค่ะ คนใกล้ชิดอยากฆ่าตัวตาย คือเค้ามีปัญหาทางด้านการลงทุน ขาดสภาพคล่อง และรู้สึกหมดหนทาง เครียดหนักมาก ห่วงคนในครอบครัว แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีขึ้น จนคิดอยากจะตายๆไปเลย อยากขอคำแนะนำจะพูดอย่างไรดีให้เค้าดีขึ้นค่ะหรือพอจะคลายความเครียดลงได้บ้าง กราบขอรบกวนพระอาจารย์ชี้แนะด้วยนะคะ

#ตอบ​ : เรื่อง​แรก​ที่​ควร​พูด​ คือ​ อย่า​ซ้ำ​เติม​ตนเอง

การ​ฆ่าตัวตาย​ไม่ใช่​วิธี​แก้​ปัญหา​ แต่​เป็น​การ​ซ้ำ​เติม​ปัญหา​ ตัว​ก็​ตาย​ไป​อบาย​ ครอบครัว​ก็​ยิ่ง​ลำบาก​ คน​ที่​เรา​รัก​และ​รัก​เรา​ก็​ยิ่งเศร้าโศก

ปัญหา​บางอย่าง​เกิด​จาก​ปัจจัย​ที่​ควบคุม​ไม่ได้
แต่​ปัญหา​ทาง​ใจ​เรา​จัดการ​ได้​ เพราะ​จิต​นี้​ฝึก​ได้
และ​ “จิต​ที่​ฝึก​ดี​แล้ว​ ย่อม​นำ​สุข​มา​ให้”

เรื่อง​การ​ลงทุน​ก็​แก้ไข​ไป​เท่าที่​ทำ​ได้​ อาจจะ​ไม่ได้​ดี​ขึ้น​ทันที​ใน​ตอน​นี้​ อาจจะ​ลำบาก​บ้าง​ แต่​ถ้า​เรา​ยัง​ไม่​ยอมแพ้​ ค่อย​ๆ​หา​ทาง​ออก​ เดี๋ยว​ก็​ดี​ขึ้น​ได้​ เพราะ​ปัญหา​ต่าง​ๆ​ มัน​ก็​ไม่​เที่ยง​ เพียงแต่ว่า​เรา​อย่า​ไป​เติม​เหตุ​แห่ง​ปัญหา​ หรือ​สร้าง​เหตุ​แห่ง​ปัญหา​ใหม่ขึ้น​มา..ด้วย​การ​ทำ​ใจ​ให้​จม​ทุกข์

พระพุทธเจ้า​ตรัส​ว่า​ “คน​พาล​ทั้ง​หลาย​ ผู้​มี​ปัญญา​ทราม​ ย่อม​มี​ตนเอง​เหมือน​ดัง​ข้า​ศึก​ศัตรู” คือ​ชอบ​สร้าง​ความ​เดือดร้อน​ให้​กับ​ตน​เอง​ ทำ​กับ​ตนเอง​ราว​กับ​ว่า​คน​ที่​มี​เวร​ต่อ​กัน​ ไม่​เป็น​มิตร​กับ​ตนเอง.. เรา​ก็​อย่า​เป็น​อย่างนั้น

ถ้า​ไม่รู้​ว่า​จะ​แก้​ปัญหา​อย่างไร​ ก็​ยัง​ไม่​ต้อง​แก้​ ถ้า​ทำ​อะไร​ไม่ได้​ ก็​ยังไม่​ต้อง​ทำ​ นั่ง​ดู​กายหายใจ​ด้วย​ความ​รู้สึกตัว​ ประเดี๋ยว​ก็​อาจจะ​เห็น​ทางออก​ขึ้นมา​เอง​ พอ​ได้​จังหวะ​ ได้​โอกาส​ ก็​อย่า​ให้​โอกาส​ผ่าน​เลย​ไป​ คราว​นี้​ต้อง​เร่ง​ทำ

ถ้า​ผ่าน​จุด​นี้​ไป​ได้​ ก็​จะ​กลาย​เป็น​คน​เข้มแข็ง​ สามารถ​ช่วยเหลือ​หรือ​แนะนำ​ผู้อื่น​ต่อไป​ได้​ด้วย

สิ่ง​ที่​ควร​ทำ​คือ​ ยอมรับ​ความจริง​ อย่า​กลัว​เสียหน้า​ ทรัพย์​เป็น​ของ​นอก​กาย​ หา​ใหม่​ได้

คน​ฉลาด​ เขา​สามารถ​ได้​ประโยชน์​จาก​วิกฤต​ นอกจาก​จะ​เผชิญหน้า​กับ​ปัญหา​ด้วย​ใจ​ไม่​ทุกข์​แล้ว​ ยัง​ได้รับ​ประโยชน์​จาก​เหตุการณ์​นั้น​ ได้​ปัญญา

ท่าน​พุทธ​ทาส​เคย​กล่าว​ไว้​ว่า​ “ป่วย​ทุก​ที​ ก็​ให้​ฉลาด​ทุกที”
คือ​ฉลาด​ใน​เรื่อง​ความ​จริง​ของ​ชีวิต
ความ​เจ็บป่วย​ก็​เป็น​ปัญหา​ชีวิต​อีก​รูปแบบ​หนึ่ง​ ที่​คน​ทั่วไป​อยู่​กับ​ปัญหา​นี้​ด้วย​ความ​ทุกข์​ แต่​ผู้​มี​ปัญญา​ท่าน​รู้จัก​หา​และ​เห็น​ประโยชน์​จาก​ทุกข์​นั้น​ได้

ชีวิต​ก็​ย่อม​มี​ปัญหา​เป็น​ธรรมดา​ เราอาจจะ​เผลอ​ทุกข์​บ้าง​ แต่​เมื่อ​เข้าใจ​ความ​เป็น​ธรรมดา​ ปัญญา​ก็​เพิ่ม​ทุกที​

มัน​ตรง​กับ​สำนวน​ที่​ว่า​ “ตก​น้ำ​ไม่​ไหล​ ตก​ไฟ​ไม่​ไหม้”
มีปัญหา​ชีวิต​ก็​เหมือน​กับ​การ​ตก​น้ำ​ตกไฟ
ซึ่งไม่ใช่​ว่า​ชีวิตจะ​หลีก​เลี่ยง​สิ่ง​เหล่านี้​ไป​ได้​ แต่​ตก​ไปแล้ว​ใจ​ไม่​ไหล​ไป​ตาม​กระแสทุกข์​ และไม่​จุด​ไฟ​โทสะ(​คือ​ความ​เครียด​เป็นต้น)​เผา​ไหม้​ตน​ซ้ำ​เข้า​ไป​
แต่​สามารถ​เปลี่ยน​ร้าย​ให้​กลาย​เป็น​ดี​ใน​ที่สุด

๙ เมษายน ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๘ ?? #ถาม : ขออนุญาตทักท้วงคำอาราธนาธรรมใน ตอบโจทย์ ๑๕๗ นะครับ เพราะจำได้ว่าบทนี้…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๘
??
#ถาม : ขออนุญาตทักท้วงคำอาราธนาธรรมใน ตอบโจทย์ ๑๕๗ นะครับ เพราะจำได้ว่าบทนี้ ที่ถูกต้องตามพระไตรปิฏก (พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ สุตฺต. ขุ. อปทานํ (๒) พุทฺธวํโส จริยาปิฏกํ) ควรจะเป็น:

พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สมหฺปติ (พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ)
กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ (กะตัญชะลี อะนะธิวะรัง อะยาจะถะ)
สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา (สันตีธะ สัตตา อัปปะระชักขะชาติกา)
เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติฯ (เทเสหิ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชันติฯ)

ซึ่งใน ตอบโจทย์ ๑๕๗ มีทั้งหมด ๕ จุดที่ไม่ตรงตามบทบาลีในพระไตรปิฏก:
๑. กะตัญชะลี ไม่ใช่ กัตอัญชะลี
๒. อะนะธิวะรัง ไม่ใช่ อันธิวะรัง
๓. สัตตา อัปปะระชักขะชาติกา ไม่ใช่ สัตตาปปะระชักขะชาติกา
๔. เทเสหิ ไม่ใช่ เทเสตุ
๕. ปะชันติ ไม่ใช่ ปะชัง

ฝากพิจารณาด้วยครับ

#ตอบ : คำอาราธนาธรรมที่ชาวพุทธไทยใช้กันอยู่ และได้ยินกันมาอย่างคุ้นเคย เป็นแบบที่ปรากฏอยู่ใน “ตอบโจทย์ ๑๕๗” ไม่ตรงกันกับที่ปรากฏในพระไตรปิฎกตามที่มีผู้ทักท้วงมาจริง

แต่ใน“ตอบโจทย์ ๑๕๗” ยกเอาคำอาราธนาแบบดังกล่าวมาแสดง เพราะเห็นว่าเป็นคำที่คุ้นเคยของคนทั่วไป เผื่อว่าใครที่ฟังมาจนชินแต่ไม่ทราบความหมาย จะได้โยงเข้ากับเหตุการณ์ในพุทธประวัติตามที่เล่ามา
และที่ไม่ได้ยกข้อความบาลีในพระไตรปิฎกดังกล่าวมาเทียบเคียง เพราะเห็นว่าเดี๋ยวจะเกิดประเด็นใหม่ขึ้นมา เช่นอาจจะมีคนท้วงว่า “ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยิน” “ผิดจากที่ท่องมา-เรียนมาในนักธรรมตรี” ซึ่งยังไม่อยากเปิดประเด็นนี้ เกรงว่าจะออกนอกเรื่องไปไกล ยิ่งอาตมาเป็นพวกฟุ้งซ่าน ชอบออกนอกถนนใหญ่แล้วเลี้ยวเข้าซอยอยู่ด้วย ๕๕๕๕

แต่ที่ท้วงมาก็ดีนะ ขออนุโมทนา จะได้ใช้โอกาสนี้ยกมาให้เห็นกันชัดขึ้น และขออนุญาตเปลี่ยนวิธีเขียนเป็นแบบบาลีอักษรไทยให้เหมือนกัน เพื่อสะดวกในการเทียบเคียง

– ข้อความจาก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ สุตฺต. ขุ. อปทานํ (๒) พุทฺธวํโส จริยาปิฏกํ
“พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ
กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา
เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติ ฯ”

– คำอาราธนาธรรม ที่ใช้กันในประเทศไทย
“พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ
กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา
เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ.”

ข้อสังเกตความแตกต่าง
๑. บรรทัดที่ ๒ “กตญฺชลี อนธิวรํ” กับ “กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ”
๒. บรรทัดที่ ๓ “สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา” กับ “สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา”
๓. บรรทัดสุดท้าย “เทเสหิ” กับ “เทเสตุ” และ “ปชนฺติ” กับ “ปชํ”

เข้าใจเอาเองว่า ผู้ที่ปรุงคำอาราธนาธรรมขึ้นมานี้(ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด) น่าจะพยายามปรุงคำจากพระไตรปิฎก ให้เข้ากับอินทรวงศ์ฉันท์ เพื่อให้สะดวกต่อการสวดสรภัญญะ
อินทรวงศ์ฉันท์ มีข้อกำหนดว่า ใน ๑ คาถา มี ๒ บาท
ใน ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑๒ พยางค์
มีจำนวนพยางค์ ครุลหุ ตามบังคับฉันท์ดังนี้
O O I O O I I O I O I O
O O I O O I I O I O I O
หมายเหตุ
สัญญลักษณ์
O แทนพยางค์ครุ เสียงหนัก คือพยางค์ที่มีสระเสียงยาว หรือสระเสียงสั้นแต่มีตัวสะกด
I แทนพยางค์ลหุ เสียงเบา คือพยางค์ที่มีสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกด
จังหวะการสวด ในทุกบาทจะเป็นจังหวะ ๒+๓ พยางค์ และ ๓+๔ พยางค์ ดังนี้

พฺรหฺมา/ จ โลกา//ธิปตี/ สหมฺปติ//
กตฺอญฺ/ชลี อนฺ//ธิวรํ/ อยาจถ//
สนฺตี/ธ สตฺตาปฺ//ปรชกฺ/ขชาติกา//
เทเส/ตุ ธมฺมํ// อนุกมฺ/ปิมํ ปชํ//
หมายเหตุ สัญญลักษณ์ / แทนจังหวะหยุด
ทีนี้ พอปรุงมาแล้ว ก็สวดง่ายขึ้น

แต่ถ้าถามว่า “ตรงกับที่มีมาในพระไตรปิฎกไหม?” ก็ไม่ตรงหรอก!
ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปสั่งให้ปรับแก้อะไร
เป็นเพียงพระผู้น้อย ด้อยปัญญา ไม่ได้เป็นมหาฯ (แถมยังตาสั้นอีกต่างหาก)
คงต้องให้เป็นหน้าที่ของพระผู้ใหญ่ นักการศาสนา นักวิชาการ หรือนักนิรุกติศาสตร์ ท่านทำดีกว่า

แล้วประชาชนทั่วไปจะใช้อย่างไหนดี?
ก็แล้วแต่ว่าจะต้องการแบบไหน
ถ้าเอาตามความเคยชิน ก็ใช้คำที่ปรุงใหม่ไป
ถ้าต้องการใช้คำที่ถูกต้องตามพระไตรปิฏก ก็ใช้ไป

(นี่ยังนึกอยู่ว่า ถ้าขึ้นประเด็นนี้ตั้งแต่คำถามที่แล้ว เราจะวกกลับมาที่เรื่อ “ธุลีในดวงตา” ได้อย่างไร?)

หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับอาราธนาจากพระพรหมแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงประกาศพระสัทธรรมตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์คือให้สัตว์โลกทั้งหลายมีความเข้าใจโลก มีความเห็นที่ถูกต้อง ดำรงชีพอยู่อย่างมีทุกข์น้อยลง จนถึงพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง
สำหรับอาตมา เมื่อมีโอกาสไปบรรยายธรรม ไปสนทนาธรรม ผู้ฟังจะใช้คำแบบไหนก็ได้
แม้ไม่มีศาสนพิธีหรือพิธีกรรมใดๆ ไม่ได้กล่าวคำอาราธนาเป็นภาษาบาลี ขอให้มีใจนอบน้อม และพร้อมที่จะรับฟัง ก็ยินดีที่จะบรรยายและสนทนาธรรมด้วย โดยพยายามที่จะปฏิบัติตามพุทธพจน์ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระองค์ส่งสาวกออกประกาศพระศาสนาว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่อเกื้อการุณย์แก่โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย”

๒ เมษายน ๒๕๖๒

ลิงค์โพสต์ นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๗
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1130405487142491&id=354448708071510


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๗ ?? #ถาม : วิธีที่จะทำให้ฝุ่นในดวงตาน้อยลง ที่จะเข้าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะบรรลุธรรมมีกี่วิธี?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๗
??

#ถาม : วิธีที่จะทำให้ฝุ่นในดวงตาน้อยลง ที่จะเข้าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะบรรลุธรรมมีกี่วิธี? วิธีที่ง่ายสุดคือทำอย่างไร? พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกหรือไม่?

ตอบ : คำว่า “ฝุ่น” หรือ “ธุลีในดวงตา” หมายถึง กิเลส คือ ราคะ โทสะ และโมหะ
คำนี้ปรากฏในพุทธประวัติ ช่วงที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงดำริว่า “ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต” แล้วทรงดำริถึงสัตว์ทั้งหลาย ว่ายังติดอยู่ในกามคุณ ยากที่จะมาเห็นปฏิจจสมุปบาทตามพระองค์ได้ ถ้าสัตว์ทั้งหลายรู้ตามไม่ได้ การแสดงธรรมก็จะเป็นการลำบากเปล่า จึงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรม

ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้ทราบพุทธดำริ ก็คิดว่า “โลกจะฉิบหายหนอ โลกจะพินาศหนอ เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม” จึงรีบมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอร้องให้พระองค์ทรงแสดงธรรม ด้วยเหตุผลว่า “สัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นปรกติก็มีอยู่ หากมิได้สดับย่อมเสื่อมจากธรรม สัตว์ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมีเป็นแน่แท้”

พระพุทธเจ้าทรงทราบการอาราธนาของพระพรหม และทรงอาศัยพระกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงสอดส่องดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายบางพวกมีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย บางพวกมีกิเลสดุจธุลีในดวงตามาก บางพวกมีอินทรีย์กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการเลว บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดยยาก บางพวกมีปรกติเห็นโทษในปรโลกว่าเป็นภัยอยู่
เปรียบเหมือนกอบัวและดอกบัวชนิดต่างๆ เกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ บางเหล่ายังจมอยู่ในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าพ้นน้ำขึ้นมาแล้ว

พระพุทธองค์จึงได้ตรัสตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า
“ประตูอมตะ เราเปิดแล้วเพราะท่าน ชนผู้ฟังจงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เราจะไม่มีความสำคัญในความลำบาก แสดงธรรมอันประณีตที่ชำนิชำนาญในหมู่มนุษย์”

(ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ อายาจนสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)

และด้วยพุทธประวัติตอนนี้ ชาวพุทธทั้งหลายจึงนำมาเป็นคำอาราธนาธรรมว่า
“พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ ,
กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา ,
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง”
แปลว่า “ก็ท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่แห่งโลก กระทำอัญชลีแล้วกราบอาราธนาพระพุทธเจ้า ผู้กำจัดความมืดแก่โลกว่า หมู่สัตว์ผู้มีธุลีในจักษุน้อยในโลกนี้มีอยู่ ขอพระองค์ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก จงทรงแสดงธรรมเถิด พระเจ้าข้า”

ทรงดำริพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรจะรับฟังพระปฐมเทศนา ในชั้นแรกพระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา ท่านแรกคือ อาฬารดาบส แต่ได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมไปได้ ๗ วันแล้ว และอีกท่านหนึ่ง คือ อุทกดาบส แต่ก็ได้ทราบด้วยพระญาณว่าท่านเพิ่งจะสิ้นชีพไปเมื่อวันวานนี้เอง ทั้งสองท่านไปเกิดในอรูปภพ ไม่อาจฟังธรรมได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงดำริถึงทั้งสองท่านนี้ว่า เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะเป็นผู้เสื่อมเสียจากมรรคผลที่จะพึงบรรลุ

ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ผู้ซึ่งเคยมีอุปการคุณแก่พระองค์เมื่อสมัยทำทุกรกิริยา ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นปฐมเทศนา ท่านโกณฑัญญะได้มีดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุเป็นพระโสดาบัน อีก ๔ ท่านที่เหลือก็ได้บรรลุเป็นพพระโสดาบันในวันต่อๆมา ด้วยปกิณกธรรมของพระพุทธองค์ จากนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมมาตลอด ๔๕ พรรษา แม้ในวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพ ก็ยังตอบคำถามให้กับสุภัททปริพาชกว่า “ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ (ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ตามลำดับ) ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”
ท่านสุภัททะได้บรรพชาอุปสมบทในคืนนั้น และบรรลุอรหัตตผลเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่

ก่อนจะปรินิพพาน พระองค์มีพระปัจฉิมวาจาว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

ถ้าถามว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะบรรลุธรรมมีกี่วิธี?”
ก็ต้องเข้าใจว่า ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงแสดงธรรมไว้มากมาย ให้กับบุคคลทุกประเภท ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ คำสอนก็มีหลายระดับ แยกแยะไปตามความเหมาะสมของผู้ฟัง คำสอนของพระองค์จึงมีมากมาย ดังมีสำนวนว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ บางท่านฟังเพียงคาถาเดียวก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านฟังเพียงสองสามพระสูตรก็บรรลุ บางท่านฟังแล้วต้องมาปฏิบัติด้วยความเพียรจึงบรรลุ ก็เหมือนบัว ๓ เหล่า ตรงตามที่พระองค์ทรงเปรียบเทียบไว้เมื่อครั้งรับอาราธนาจากพระพรหม

วิธีปฏิบัติให้บรรลุธรรม จะสรุปลงเป็น
– ไตรสิกขา (อธิสีลสิกขา, อธิจิตตสิกขา, อธิปัญญาสิกขา) ก็ได้
– ภาวนา ๒ (สมถภาวนา, วิปัสสนาภาวนา) ก็ได้
– มรรคมีองค์ ๘ ก็ได้
– สติปัฏฐาน ๔ ก็ได้
– โพชฌงค์ ๗ ก็ได้
หรือธรรมหมวดอื่นที่จัดอยู่ในประเภท “ภาเวตัพพธรรม”(ธรรมที่พึงปฏิบัติ) ก็ใช้ได้ทั้งหมด

ถ้าถามว่า “วิธีที่ง่ายสุดคือทำอย่างไร?”
สำหรับอาตมา ตอบว่า วิธีที่ตรงกับจริต

เช่นใน สติปัฏฐานสูตร ท่านแบ่งผู้ฝึกหัดปฏิบัติธรรมเป็น ๒ ประเภท คือ ตัณหาจริต กับ ทิฏฐิจริต และแบ่งเป็น ผู้เป็นสมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน) กับ วิปัสสนายานิก (ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน) ที่เป็นไปโดยส่วนทั้งสอง คือ ปัญญาน้อย และปัญญามาก โดยแบ่งดังนี้
– กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์หยาบ เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต มีปัญญาน้อย
– เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ละเอียด เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต มีปัญญามาก
– จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์ไม่แยกออกมากนักเป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญาน้อย
– ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์แยกออกมาก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญามาก

เปรียบเหมือนประตูเมือง ๔ ทิศ จะเข้าประตูไหนก็ถึงเมืองเหมือนกัน
เมือง หมายถึง นิพพาน
ประตูทั้ง ๔ หมายถึง กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จะเข้าประตูไหน ก็ดูที่จริต

ตัณหาจริต คือ ผู้มีพื้นจิตหนักไปทางตัณหา พวกนี้จะรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม จริตแบบนี้ก็เหมาะที่จะดูกายกับเวทนา ซึ่งแล้วแต่ว่ามีปัญญามากหรือน้อย
ทิฏฐิจริต คือ ผู้มีพื้นจิตหนักไปทางทิฏฐิ พวกนี้จะคิดมาก เจ้าความคิดเจ้าความเห็น ชอบหาเหตุหาผล ชอบวิจัยวิจารณ์ จริตแบบนี้ก็เหมาะที่จะดูจิตกับธรรม ซึ่งก็แล้วแต่ว่ามีปัญญามากหรือน้อย

ถ้าภาวนาตรงกับจริต การภาวนาก็จะได้ผลง่าย

๓๐ มีนาคม ๒๕๖๒

หมายเหตุ : คำถามต่อเนื่องจาก โพสต์ #ฝากคิด #ฝากคำ ๒๐๓
ลิงค์โพสต์ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1128988423950864&id=354448708071510


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๖ ?? #ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๖
??
#ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า
ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง ๘๒ แล้วค่ะ​ ลูกพวกนี้ไม่มีน้ำใจกับเรา เขาว่าเราไปว่าเขาไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าเขาอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ที่จริงโยมก็ไม่ได้พูด
ตั้งแต่เขามีเมียคนนี้มานะ​ แต่งงานมา ๑๕ ปี ไม่เคยถามเราว่ากินข้าวหรือยัง​ อะไรหรือยัง งานบ้านไม่เคยช่วยเราทำ ก็คือไม่ค่อยสนใจเราค่ะ แล้วก็มีถ้าเขาไม่พอใจเรา​ เขาก็จะหันซ้าย-หันขวา เวลาโยมทำกับข้าวเขาก็ไม่กิน​ ทำให้เราเครียด

ทุกวันนี้ถ้าเขามีอะไรเขาก็จะฟ้องลูกชาย ทำให้ลูกชายเวลาเจอหน้าเราก็ตาเหล่ๆ​เรา​ ไม่ค่อยพอใจเรา
ถ้าเราผิดอะไรลูกชายก็ต้องถามเรานะ​ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า​ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า นี่เขาไม่ถาม​ มีแต่เกลียดเรา​ มีแต่เหล่เรา

แล้วทุกวันนี้เขาว่าเรา​ ไปบอกชาวบ้านว่าไปว่าเมียเขา แล้วก็ว่าลูกเขาอย่างนี้ โยมบอกลูกอีกคนว่า เขาว่าเราลูกอีกคนนึง​ บอกว่าเขาว่าเรา ก็บอกเขาว่า อั๊วไม่ได้พูดเลย ไม่ได้ว่าลูกให้เขาฟังเลย มีแต่เขาถามว่าผู้หญิงคนนี้เราก็พูดให้เขาฟังบอกว่า เขาน่ะสิบกว่าปีแล้วไม่เคยเรียกโยมกินข้าวสักครั้งนึง เรียกว่ากินข้าวแล้วยัง​ แม่กินแล้วยัง​ อย่างนี้ไม่เคยเลย
ถ้าเขาไม่พอใจอะไรเราอย่างนี้ แต่ที่จริงโยมไม่เคยร้ายอะไรอย่างนั้นนะ ไม่รู้อะไรมันทำไม่ถูกน่ะเวลานั้นเขาก็จะหันซ้าย-หันขวา​ ไม่กินข้าวกับเรา มีแต่พูดอย่างนี้ให้เขาฟัง
แล้วเวลาเราไปหาหมอเช้าหรือเย็นอะไรนอกเวลาอะไร ลูกเราเขาไม่เคยไปสนใจเรา ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร​ กลับหรือยัง​ ไม่เคยถามเรา แต่เมียเขาอยู่ที่ไหนดึกๆนะ​ เขาก็จะไปรับเมียของเขากลับมาได้

ทีนี้ถามหลวงพ่อว่า​ ทำไมชีวิตเราอย่างนี้ล่ะ จะถามหลวงพ่อว่าฆ่าตัวตายได้มั้ย

แล้วที่ไปบ้านลูกชายคนที่สามเมื่อกี้นี้ เขาก็พูดเรื่องนี้ให้เรา เราก็ฟังแล้วมันตัวอ่อนไป ๆ แล้วก็เดินแล้วก็หกล้มลงไป แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยนะว่าเราหกล้ม แล้วเราไม่พูด​ ไม่มีใครสนใจ​ เราจะพูดให้ใครฟัง เราไม่รู้จะทำยังไงเนี่ย

คิดดูตอนนี้โยมนั่งอยู่บ้านเนี่ย ดูโทรทัศน์​(รายการธรรมะสว่างใจ) อยู่ จะถามหลวงพ่อว่าจะคิดยังไงเนี่ย อยากตายอย่างเดียว​ ไม่มีใครสนใจเรา ใครๆก็เข้าใจเราผิดหมดเลย ว่าเราไม่ดี ไม่รู้อะไรไม่ดี​ ไม่เข้าใจเลย
ในชีวิตเรานะไม่เคยให้ลูกได้เดือดร้อนอะไรเลย ไม่เคยเดือดร้อนเขานะ ไปหาหมออะไรไม่เคยเดือดร้อนเขานะ มีแต่เราเสียตังค์เอง
พอกลับมานะไม่มีใครถามแม่ว่า เออ กลับมาแล้วกินข้าวแล้ว​ หมอว่าไง ไม่เคยถามโยมเลย
จะถามหลวงพ่อให้ช่วยว่า จะแก้ไขยังไง​ ให้อยู่ให้ถึงตายได้ กราบรบกวนหลวงพ่อ

#ตอบ : ถ้าให้ช่วยแก้ไขน่ะโอเคนะ​
แต่ถ้าถามว่าจะฆ่าตัวตายนั่นน่ะ ไม่ควรฆ่าตัวตาย​นะ เดี๋ยวฟัง​ต่อทาง​โทรทัศน์​นะ​ …
น่าเห็นใจ
จริง ๆ แล้วเนี่ย​ ถ้าจะบอกว่าฆ่าตัวตาย มันเป็นการซ้ำเติมตัวเอง มันควรจะทำชีวิตจากนี้ไปจนตาย​เนี่ย​(ให้​เป็น​กุศล​มากที่สุด)​
ถ้ามันจะตายให้มันตายเอง..ไม่ต้องไปฆ่า เพราะเราก็อายุมากแล้ว แปดสิบกว่าแล้วเนี่ย ควรจะใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงวันตายเนี่ยนะสั่งสมกุศลให้มากที่สุด

กุศลง่ายๆเลยก็คือ ให้รู้ทันว่า..ขณะนี้จิตมันเป็นอกุศล
ตอนรู้ว่าจิตมันเป็นอกุศลเนี่ยนะ ตอนที่รู้..จิตเป็นกุศลทันที
อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระเนี่ยนะ สอนโยมด้วย ก็คือว่า ให้รู้จิตที่มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่

อย่างโยมกำลังคิดอย่างนี้นะ..เข้าอยู่ในข่ายหดหู่ ก็รู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้​ มันไม่ใช่เรา​ มันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว
เวลาใจมันหดหู่ขึ้นมา​ หรือว่ามองลูกชายบ้างลูกสะใภ้บ้าง​ แล้วไม่ชอบใจ​ ไม่พอใจ​ ก็​อย่าไปแสดงออกด้วยคำพูดหรือหน้าตาตามที่​กิเลส​สั่ง คืออย่าให้กิเลสครอบงำ​ ให้รู้ทันกิเลสก่อน

กิเลสเกิดขึ้นมา​ เช่นมันไม่ชอบใจ มันหดหู่ มันน้อยใจ อย่างนี้นะ​ ให้รู้ทันกิเลสเหล่านี้
อย่าเอาความไม่ชอบใจ ความน้อยใจ​ ความหดหู่นี้ บันดาล​ให้​เราไปพูดหรือไปแสดงออก เพราะทันทีที่เราพูดด้วยความน้อยใจ ความหดหู่หรือความไม่ชอบใจเนี่ยนะ​ มันจะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง

ลูกชายเราแท้ๆเลย เวลาเราหดหู่นะ​ หรือว่าเราพูดด้วยความไม่ชอบใจเนี่ย แม้แต่เป็นลูกชายเรา เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากฟังมันเลย เขาก็แสดงออกประมาณอย่างที่โยมเห็นนั่นแหละ ลูกสะใภ้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปต่อว่าไปเรียกร้องอะไรเขามาก​ เขาก็จะไม่ค่อยชอบใจ

ฉะนั้น เราหาที่พึ่งของเราให้ได้​ แล้วก็ไม่หวังจะไปพึ่งเขาดีกว่า

ที่พึ่งได้ง่ายๆเลยคือ ที่พึ่งทางใจ เราเตรียมตัวที่ว่าเราจะเดินทางต่อในสังสารวัฏ​ ก็คือว่า ถ้าโยมต้องการจะตายก็ควรจะตายอย่างสง่าผ่าเผย ตายอย่างพร้อมจะตาย ก็คือว่า มีจิตใจที่เป็นกุศลก่อนตาย

ฉะนั้น อย่าไปจมกับความคิดน้อยใจ อย่าไปจมกับความคิดที่ว่า​ “คนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราควรจะได้รับการดูแลหรือเอาใจใส่จากคนนั้นคนนี้มากกว่านี้” ถ้าคิดอย่างนี้แสดงว่ามีความน้อยใจ ให้รู้ทันความน้อยใจที่เกิดขึ้นในใจ
เราเวลาจะพูดอะไรกับใครให้รู้ใจตรงนี้ก่อน ให้จิตเป็นปกติก่อน

ถ้าจิตผิดปกติไปเนี่ย​ เวลาพูดก็จะพูดอย่างที่เคยพูดมาเนี่ยนะ พูดไปแล้วก็ไม่มีใครอยากฟัง พูดไปแล้วเขาก็รำคาญใจ
ฉะนั้น เวลาจะพูดให้พูดไพเราะ
ถ้าพูดลับหลังให้พูดแบบสรรเสริญ
พูดกับคนข้างบ้าน​ ก็ให้หาแง่มุมที่ดีของลูกๆรวมทั้งลูกสะใภ้ด้วย​ ไป​คุย
พูดกับคนที่บ้าน ใครมาเยี่ยมเราที่บ้าน อย่าไปนินทาลูกชาย อย่าไปนินทาลูกสะใภ้ ให้หาแง่มุมดีๆของลูกชาย ให้หาแง่มุมดีๆของลูกสะใภ้ มาพูดให้คนฟัง
มองเขาในแง่ดีหรือว่าหาแง่ดีของเขามาบอกกล่าวต่อ

ถ้าเรามองเขา​(ไม่​ดี)​ หรือว่าเราเก็บเอาเรื่องราวที่ไม่ดีมาคิด​ หรือว่ามาพูดต่อเนี่ยนะ ทุกครั้งที่เราเก็บเอาเรื่องราวมาพูดต่อ เล่าต่อกับคนอื่นเนี่ย​ ใจเรา​ก็จะไม่ดีไปด้วย เราจะไม่ชอบใจ เราจะไม่พอใจ​ พูดแล้วก็จะยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ ความน้อยใจ ความหดหู่ที่เกิดขึ้นกับใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดังนั้นเปลี่ยนใหม่ มองแง่ดีของเขาให้ออก ถ้ามองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเขา
แล้วถ้าไม่พูดถึงเขาไม่คิดถึงเขา แล้วเราจะพูดถึงใครคิดถึงใคร?
ก็มาคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรมคำสอนของพระองค์ คิดถึงพระสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วมีใจแช่มชื่นเบิกบาน​ อย่างนี้นะ ทำใจให้มันเป็นกุศลแช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ

วิธีทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ ทำง่ายๆ​ อีกวิธีหนึ่งคือ สวดมนต์
สวดมนต์ก็จะสวดมนต์ถึงพระพุทธคุณ ถึงธรรมคุณ ถึงสังฆคุณ
“อิติปิ​ โส​ ภะคะวา อะระหัง​ สัมมา​สัมพุทโธ” ..
หรือว่าสวดตามที่โทรทัศน์เปิดสวดทำวัตรเช้า-เย็นนี้ก็ได้
สวดไปจนคล่องปาก​ สวดบ่อยๆ

เวลาเจอใครก็ยิ้มให้ ไม่หน้าบึ้ง ไม่เรียกร้องให้ใครมาเอาใจเรา เพราะเราไม่ต้องพึ่งใคร เราพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราพึ่งตนเอง จะพัฒนาตนเองให้แจ่มใสเบิกบานขึ้นมาด้วยใจของตนเองให้ได้ ไม่ไปหวังพึ่งคนอื่น

ถ้าหวังพึ่งคนอื่นนะ..จะผิดหวัง
ผิดหวังแล้วก็มานั่งน้อยใจ บ่น.. อย่างนี้นะ ยิ่งบ่นเราก็ยิ่งทุกข์
ดังนั้นหยุดบ่น ตอนนี้เราจะทำใจให้เป็นกุศลแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้า สวดมนต์ไปนึกไปแล้วก็ยิ้มไป

ถ้าจะพูดถึงคนอื่นให้พูดในแง่ดี
พอพูดถึงคนอื่นในแง่ดีแล้ว จะมีสิ่งดีๆกลับเข้ามา คนอื่นเขาจะไปแก้ต่างแทนเราด้วย
พอเวลาลูกชายลูกสะใภ้มาคุยกับคนอื่นนะ พูดถึงเราในแง่ไม่ดี คนอื่นที่เขาเคยฟังเราชมลูกชายลูกสะใภ้เนี่ย​ เขาจะแก้ต่างให้เราว่า “ไม่จริงนะ อาม่าเนี่ยพูดถึงเธอดีนะ อาม่าพูดชมเธอนะ” เนี่ยเขาจะแก้ต่างให้เรา

ลองทำวิธีนี้ดูนะ​ แล้วชีวิตจะดีขึ้น

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการตอบคำถาม
ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ“
สถานีดาวเทียมพุทธภูมิ SBBTV 999
ณ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
เมื่อวัน​พุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
ไฟล์ วิดีโอ ๑๖ ม.ค.๖๒ ธรรมะสว่างใจ
ระหว่างเวลา ๒๗.๔๗ – ๓๘.๑๑
https://youtu.be/B5-VL8-XYws


อ่านบน Facebook