Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๕ ?️?️?️ #ถาม : เนื่องจากช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง อยากทราบว่าการเป็นฆราวาสจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้แค่ไหน…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๕
?️?️?️
#ถาม : เนื่องจากช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง อยากทราบว่าการเป็นฆราวาสจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้แค่ไหน ให้อยู่ในสัมมาวาจาของมรรคมีองค์ ๘ ครับ? เราวิจารณ์บุคคล วิจารณ์นโยบายได้แค่ไหนครับ? เราจะไปเตือนคนอื่น หรือคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ว่าเลือกพรรคนี้นโยบายนี้ คนนั้นคนนี้ไม่ดีกับประเทศ ได้ไหมครับ? และถ้าเราเลือก แล้วคนนั้นดันเป็นคนที่ไม่ดี ได้เข้าไปบริหารประเทศ จะเป็นกรรมของเราไหมครับ จะมีผลให้เราห่างจากทางเดินมรรคมีองค์ ๘ ไหมครับ?
หรือถ้าเป็นนักปฏิบัติ ควรปลีกตัวไม่ติดตามเรื่องการเมือง วางอุเบกขา ไม่ต้องไปเลือกตั้งเลยครับ?

#ตอบ : ทีละประเด็นนะ
๑. ฆราวาสจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้แค่ไหน ให้อยู่ในสัมมาวาจาของมรรคมีองค์ ๘ ?
– สัมมาวาจา ได้แก่ เจตนางดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ฉะนั้น ถ้าการแสดงความเห็นที่เว้นจากการพูด ๔ แบบข้างต้น ก็ไม่ผิดจากข้อสัมมาวาจา
– ด้วยมาตรฐานนี้ เราก็สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้สมัครคนไหนมีสัมมาวาจาบ้าง ใครเอาแต่ด่า(พูดคำหยาบ) ใครชวนทะเลาะ หรือพูดมาแล้วก่อให้เกิดความแตกแยก(พูดส่อเสียด) ใครเสนอข้อมูลที่ไม่จริง บิดเบือนข้อมูล(พูดเท็จ) แม้จะดูน่าสนใจแค่ไหน ฟังดูสะใจแค่ไหน ก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่น่าเลือก เป็นต้น

๒. วิจารณ์บุคคล วิจารณ์นโยบายได้แค่ไหน?
– วิจารณ์ตามฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ด้วยคำสุภาพ

๓. เตือน หรือคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ว่าเลือกพรรคนี้นโยบายนี้ คนนั้นคนนี้ไม่ดีกับประเทศ ได้ไหม?
– ได้สิ แต่ก็ควรเตรียมพร้อมเปิดใจรับคำโต้แย้งจากเขาด้วย ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะนำเสนอความเห็นโดยใช้เหตุผล นำข้อมูลที่ปรากฏ ตามที่เป็นจริง มาแบ่งปันกัน ไม่ใช้อารมณ์

๔. เลือกแล้ว คนนั้นดันเป็นคนที่ไม่ดี ได้เข้าไปบริหารประเทศ จะเป็นกรรมของเราไหม?
– เป็นสิ!

๕. กรรมจากข้อ ๔ มีผลให้เราห่างจากทางเดินมรรคมีองค์ ๘ ไหม?
– คงไม่ขนาดนั้น แต่จะส่งผลให้มีทุกข์มากขึ้น และผู้รับผลก็มีมากมหาศาล

๖. เป็นนักปฏิบัติ ควรปลีกตัวไม่ติดตามเรื่องการเมือง วางอุเบกขา ไม่ต้องไปเลือกตั้งไหม?
– เรื่องการเมือง แม้เราไม่สนใจ มันก็ส่งผลถึงเราจนได้ ถึงจะปลีกตัวไปอยู่ผู้เดียวในป่าในถ้ำ ก็ไม่แน่ว่าจะพ้นไปได้ (เช่น เขามีนโยบายจะพัฒนาถ้ำที่เราอยู่ ให้เป็นที่ท่องเที่ยว เป็นต้น)
ทางที่ดี ควรติดตามอย่างผู้รู้ มองออกว่าใครดีใครร้าย ซึ่งคงไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเป็นดีมากดีน้อย ร้ายมากร้ายน้อย การที่จะแยกแยะได้ ก็ต้องติดตามข้อมูลบ้างจึงจะรู้ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ควรศึกษากฏหมายไว้บ้าง บางทีพูดคุยกันเพลิน เลยเถิดไป กลายเป็นทำผิดกฏหมาย

๒๒ มีนาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๔ ?? #ถาม​ : ขอสอบถามพระอาจารย์เรื่องการดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญาครับ เท่าที่รู้มา…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๔
??
#ถาม​ : ขอสอบถามพระอาจารย์เรื่องการดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญาครับ เท่าที่รู้มา การดูจิตนั้น เมื่อจิตมีสภาวะธรรมอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ดูไปตามนั้น แค่ดูไม่ใช่คิด และไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ปัญหาคือเท่าที่ได้ลองพยายามทำดู เวลาจิตเกิดสภาวะธรรมอะไรเกิดขึ้น เช่นจิตเกิดมีโลภะ โทสะ หรือโมหะ จิตไหลไปคิด จิตไหลไปอยู่ที่อารมณ์ของกรรมฐาน มักจะมีการพากย์ขึ้นมาในใจ ทำนองว่าตอนนี้จิตกำลังเกิดสภาวะธรรมอะไรอยู่ ก็เลยไม่ทราบว่าการทำเช่นนี้จะยังถือว่าเป็นการดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือไม่ครับ?

#ตอบ​ : โอ.. เรื่อง​พากย์​นี่​นะ​ ห้าม​ไม่ได้​หรอก​ คล้าย​ๆ​ ว่า​มัน​กลัว​จะ​รู้​น้อย​ไป​นะ​
ทีนี้​ ใน​เมื่อ​มัน​พากย์​ของ​มัน​เอง​ ก็​พิจารณา​เดิน​ปัญญา​ไป​เลย​สิ​ “แก​พากย์​ของ​แก​เอง​ ฉัน​ไม่​ได้​พากย์” อย่างนี้​เลย​นะ​ ไม่ต้อง​ไป​กลัว​มัน​นะ

แต่​ให้​รู้​อยู่​ในใจ​ว่า​ ตอน​ที่​ยัง​พากย์​อยู่​นี้​ยัง​ไม่ใช่​ของ​จริง​นะ​
ท่านเจ้า​คุณ​นรฯ​ (ธมฺมวิตกฺโก​ ภิกฺขุ)​ท่าน​สอน​ไว้​ว่า​ “ของ​จริง​นิ่ง​เป็น​ใบ้​ ของ​พูด​ได้​ไม่ใช่​ของ​จริง​”
ตอน​ที่​ท่าน​โกณฑัญญะ​ฟัง​พระ​พุทธ​เจ้า​แสดง​ธรรม​จักร​ฯ​ ตอน​บรรลุ​พระ​โสดาบัน​ ท่าน​ก็​อุทาน​ว่า​ “สิ่ง​ใด​สิ่ง​หนึ่ง​มี​ความ​เกิด​ขึ้น​เป็น​ธรรมดา​ สิ่ง​นั้น​ทั้งหมด​มี​ความ​ดับ​ไป​เป็น​ธรรมดา” คือ​ตอน​บรรลุ​ท่าน​ไม่​พากย์​ว่า​เกิด​สภาวะ​อะไร​ เป็น​แค่​”สิ่ง​ใด​สิ่ง​หนึ่ง”

แต่​ตอนนี้​มัน​พากย์​อยู่​ ก็​ดู​ไป​เลย​ว่า​มัน​พากย์​ของ​มัน​เอง​
มัน​เป็น​อนัตตา!

๑๘ มีนาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๓ ?? #ถาม​ : เวลา​นั่งทำในรูปแบบ​ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” แล้วดูว่าร่างกายนี้หายใจเข้า”พุท”…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๓
??
#ถาม​ : เวลา​นั่งทำในรูปแบบ​ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” แล้วดูว่าร่างกายนี้หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” ร่างกายนี้บริกรรมอยู่
ทำถูกไหมคะ?

และถ้าเดินจงกรมพร้อมบริกรรม​ ทำแบบไหนถึงจะถูกต้องคะ? เคยดูร่างกายเดินแต่ไม่มีบริกรรม พอเริ่มเดินพร้อมบริกรรมทำไม่เป็น​เลย​ค่ะ

#ตอบ​ : เวลา​นั่งทำในรูปแบบ​ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ” ร่างกาย​ไม่ได้​บริกรรม​”พุทโธ”นะ​ จิต​ต่างหาก​ที่​เป็น​ผู้​บริกรรม

ฉะนั้น​ แรก​ๆ​ จะ​เห็น​ว่า​ “พุทโธ”ถูก​บริกรรม​โดย​จิต​ จิต​กับ​”พุทโธ​”อยู่​ต่างหาก​จาก​กัน​ จิต​เป็น​ผู้​รู้​”พุทโธ”
ถ้า​เผลอ​ จิต​มัน​ลืม​”พุทโธ” ไป​รู้​อย่าง​อื่น​ ก็​รู้​ได้​ว่า​มี​ความ​เผลอ​เกิด​ขึ้น​กับ​จิต​

ตรงนี้​ พระ​อาจารย์​บุญ​จันทร์​ จนฺทวโร​ ท่าน​สอนว่า​ “พุทโธ​ใจ​รู้​ พุทโธ​รู้​ใจ” ใช้​พุทโธ​เป็น​อุบาย​คอย​รู้​ทัน​ใจ​
คือ​ใน​ขณะที่​บริกรรม​”พุทโธ” ก็​ให้​บริกรรม​บ่อย​ๆ​ จน​ใจ​มัน​ว่า”พุทโธ”ของ​มัน​เอง​ และ​ใน​ขณะที่​ใจ​ว่า​”พุทโธ” ก็​รู้​สึกอยู่​ด้วย​ว่า​ใจ​เป็น​ผู้​รู้​ “พุทโธ”ถูก​รู้
“พุทโธ”ไป​ ใจ​หนี​ไป​คิด​เรื่อง​อื่น​ ก็​รู้​ใจ​ว่า​เผลอ​ไป

สรุป​แล้ว​คือ​ “พุทโธ”เพื่อ​รู้​ใจ​ตนเอง

ส่วน​การ​เดิน​จงกรม​ ถ้า​ไม่​ถนัด​บริกรรม​ก็​ไม่ต้อง​บริกรรม​ เพราะเรา​เดิน​เอา​ความ​รู้สึก​ตัว​ กาย​เคลื่อนไหว​ มี​ใจ​รู้​ เห็น​กาย​ถูก​รู้​
ไม่​ต้อง​กังวล​กับ​ลม​หายใจ​ เพราะ​ตอนนี้​เรา​ใช้​กาย​ที่​เคลื่อนไหว​ใน​ท่า​เดิน​เป็น​เครื่อง​อยู่​
เดิน​สบาย​ๆ​ เพราะ​ไม่ได้​เดิน​เอา​ระยะ​ทาง​ ไม่ได้​เดิน​จับ​เวลา​ แต่​เดิน​เจริญ​สติ​ เห็น​กาย​เคลื่อนไหว​ไป​ พอ​ใจ​ลอย​ก็​รู้​ทัน
เดิน​ไป​สุด​ทาง​ก็​อย่า​เพิ่ง​กัน​กลับ​ทันที​ หยุด​ยืน​รู้สึกตัว​เสีย​ก่อน​ แล้ว​ค่อย​ๆ​หัน​กลับ​มา​ด้วย​ความ​รู้สึกตัว​ แล้ว​ยืน​รู้สึกตัว​อีก​สัก​หน่อย​ แล้ว​ค่อย​เดิน
ถ้า​สุด​ทาง​แล้ว​หัน​กลับ​มา​เดิน​ทันที​ จิต​มัน​จะ​ไป​ก่อน​ขา!
เดิน​ไป​ ใจ​ลอย​แล้ว​รู้​ ใจลอย​แล้ว​รู้​ ความ​รู้สึกตัว​จะ​ชัด​ขึ้น​ จะ​เห็น​ว่า​ ร่างกาย​ที่​กำลัง​เดิน​อยู่​นี้​มัน​เหมือน​ก้อน​อะไร​สัก​อย่าง​ที่​กำลัง​เคลื่อนไหว​ ไม่ใช่​เรา​เดิน​ ถ้าว่า​ตาม​ตำรา​ก็​ว่า​รูป​นี้​เดิน​ ใจ​เป็น​คน​ดู​ ก็​เฝ้า​รู้​เฝ้า​ดู​ไป
ตรงนี้​ระวัง​นิด​หนึ่ง​ บางที​มัน​จะ​ถลำไป​เพ่ง​กาย​ มัน​จะ​รู้สึก​แช่ๆ​อยู่ที่​กาย​ ถ้า​เห็น​จิต​มัน​ถลำไป​เพ่ง​
ก็​เริ่ม​ใหม่​ รู้สึกตัว​ขึ้นมา​ใหม่​ แล้ว​ค่อย​เดิน​ไป

เดิน​อยู่​ กุศล​เกิด​ก็​รู้​ อกุศล​เกิด​ก็​รู้​ ใช้​กาย​ที่​กำลัง​เดิน​เป็น​ตัว​กระตุ้น​ให้​เกิด​ความ​รู้สึกตัว​ รู้​กาย​บ้าง​ รู้​ใจ​บ้าง​ อย่างนี้​นะ​ ไม่​ต้อง​บริกรรม​ก็ได้

๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๒ ?? #ถาม​ : ทำอย่างไรให้คนที่ไม่เชื่อในบาปบุญมาเชื่อได้? #ตอบ​ : เบื้องต้น​…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๒
??
#ถาม​ : ทำอย่างไรให้คนที่ไม่เชื่อในบาปบุญมาเชื่อได้?

#ตอบ​ : เบื้องต้น​ ควร​เลี่ยง​คน​พาล​ ควร​คบ​บัณฑิต
ให้​เข้าหา​บัณฑิต​ มาพููด​คุยสนทนา​ เพื่อ​รับ​ข้อมูล​ที่​ถูกต้อง​ เพื่อ​รู้จัก​และ​ยอมรับ​ความ​เป็น​เหตุ​เป็น​ผล​ของ​ธรรมชาติ

โดย​ธรรมชาติ​ ทำ​ดี​ย่อม​ได้​ดี​ เหมือนกับ​ปลูก​พืช​อะไร​ก็​ย่อม​ได้​รับ​ผล​ของ​พืช​นั้น​ ปลูก​กล้วย​ต้น​กล้วย​ก็​ย่อม​ออก​ลูก​เป็น​กล้วย​ ไม่​เป็น​อย่างอื่น​ไป​ได้​ ปลูก​ต้นมะม่วง​ก็​ย่อม​ออก​ลูก​เป็น​มะม่วง​ อย่างนี้​เป็น​ต้น

การ​ที่​ได้​รับ​ทุกข์ทรมาน​ ไม่​น่า​ยินดี ก็​ย่อม​เป็น​ผล​จาก​บาป
การ​ได้​รับ​ความ​สุข​สบาย​ น่า​ยินดี​ ก็​ย่อม​เป็น​ผล​มา​จาก​บุญ

คบ​คน​พาล​ ก็​ชวน​กัน​ทำ​ความ​เดือดร้อน​ให้​กับ​สังคม​ ชวน​กัน​เบียดเบียน​ผู้​อื่น​เพื่อ​หา​ผล​ประโยชน์​ใส่​ตัว​และ​พวกพ้อง​ เรียก​รวม​ๆ​ว่า​ทำ​บาป​ แรก​ๆ​อาจจะ​ได้​ทรัพย์สิน​โดย​ง่าย​ เมื่อ​บาป​ยัง​ไม่​ให้​ผล​ก็​ย่ามใจ​ทำ​บาป​ต่อ​ แต่​นั่น​คือ​การ​สร้าง​เหตุ​ที่​ชั่ว​ไว้​แล้ว​ ก็​ย่อม​ได้​รับ​ผล​ชั่ว​แน่นอน​ แต่​อาจจะ​ไม่​รวดเร็วทันใจ​กอง​แช่ง​ทั้งหลาย

เรื่อง​บุญ​บาป​ บางที​ดู​ชาติ​เดียว​อาจจะยัง​ไม่​ชัด​เจน​พอ​ สอง​ชาติ​ก็​อาจจะ​ยัง​เข้าใจ​ผิด​ อย่าง​เช่น​ใน​เรื่อง​ ​”นารทชาดก​”
พระเจ้าอังคติ​ราช​เสด็จ​ไป​ฟัง​ธรรม​จากชีเปลือยรูปหนึ่งนามว่า คุณาชีวก ซึ่ง​สอน​ว่า​ “ไม่มีบิดามารดา อาจารย์ บุตร หรือภรรยา มนุษย์และสัตว์เกิดมาเท่าเทียมกัน บุญหรือบาปนั้นไม่มีจริง เมื่อตายไปร่างกายก็แตกสลายดับไปพร้อมทุกข์และสุข ใครจะทำร้ายใครก็ไม่ถือว่าเป็นบาป ทั้งสัตว์และมนุษย์เมื่อเกิดมาครบ 84 กัป ก็จะสามารถพ้นจากทุกข์ไปได้เอง ไม่ว่าจะทำบุญหรือบาปเท่าไรหากไม่ครบ 84 กัป ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ไปได้”
ขณะนั้นเอง อลาตะเสนาบดีผู้ระลึกชาติได้ก็กล่าวรับสมอ้างคุณาชีวกว่า” จริงอย่างท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเองเมื่อชาติก่อนเป็นคนฆ่าโค ชื่อปิงคละ ข้าพเจ้าฆ่าโคเสียไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันตัว​ ตายจากชาตินั้นมาเกิดในตระกูลเสนาบดี ได้เสวยสุขจนกระทั่งบัดนี้ ถ้านรกมีจริงข้าพเจ้าคงไปเกิดไปเกิดในนรกแล้ว ไม่ได้มาเกิดเป็นเสนาบดีดังนี้ ผลบาปต้องไม่มีแน่ ๆ ข้าพเจ้าจึงเกิดมาดังนี้”

เวลานั้น มีบุรุษยากจนคนหนึ่งชื่อ วิชกะ นั่งฟังอยู่ด้วยเขารับได้ฟังคำของอลาตะเสนาบดีแล้วอดใจอยู่ไม่ได้ ถึงกับน้ำตาไหลออกมานองหน้า พระเจ้าอังคติราชเห็นเข้าก็ให้ประหลาดพระทัยจึงตรัสถามว่า

“เจ้าวิชกะ เจ้าร้องไห้ทำไม ?”

“ขอเดชะ เพราะข้าพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ว่าเมื่อชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้าเป็นเศรษฐี มีจิตใจบุญ จำแนกแจกทานทานแก่สมณชีพราหมณ์และยาจกวณิพกตลอดมา แต่เมื่อตายแล้วแทนที่จะไปสวรรค์ กลับต้องมาเกิดในตระกูลจัณฑาล​ ได้รับรับความลำบากยากเข็ญอยู่ในบัดนี้ เพราะฉะนั้นที่ท่านอลาตะกล่าวว่าบุญไม่มีผล บาปไม่มีผล​นั้น​ เป็นความจริงแน่นนอน ถ้ามิฉะนั้นแล้วกระหม่อมฉันจะตกระกำลำบากไม่ได้”

พระเจ้า​อังคติราช​เห็น​ว่า​มี​พยาน​พร้อม​อย่าง​นี้​จึง​เชื่อ​ชี​เปลือย​อย่าง​เต็มที่​ เสด็จ​กลับ​วัง​ทันที​ ไม่​ทำบุญ​กับ​ชีเปลือย​นั้น​ด้วย​
นับแต่นั้นมาก็ปล่อยพระองค์ตกอยู่ในความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินกับสุรานารีดนตรีอบายมุขไปตามเรื่อง กิจราชการน้อยใหญ่มอบให้เป็นธุระของอำมาตย์ผู้ใหญ่​ ๓ คน​ ศาลาโรงทานที่เคยได้ตั้งไว้ ก็ตรัสให้เลิกทั้งหมด เพราะไม่มีผลจะทำไปทำไม ผลบุญทานก็ไม่มี หาความสุขดีกว่า สุรา นารี เออมันช่างแสนสุขสำราญเสียจริง ๆ

ที่จริง​ อลาตะเสนาบดี​นั้น ชาติ​ก่อน​ๆ​นั้น​ไป​อีก​เขา​ได้เกิดในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ได้บูชาพระเจดีย์ด้วยพวงอังกาบพวงหนึ่ง ตายจากชาตินั้นแล้วได้ท่องเที่ยวไป ๆ มา จนเกิดเป็นปิงคละ และด้วยอานิสงส์ได้บูชาพระเจดีย์ จึงได้ไปเกิดเป็นเสนาบดี แต่เพราะแกระลึกชาติได้เพียงชาติเดียว จึงเห็นว่าคนฆ่าสัตว์มากมายแต่กลับได้เสวยความสุข จึงทำให้เข้าใจผิดไปว่าแกทำบาปแต่กลับได้ดี อันผิดวิสัยความจริง​

ส่วน​นาย​วิชกะ​ ชาติ​ก่อน​ๆนั้น เขา​ได้เกิดเป็นคนเลี้ยงโค และได้ติดตามโคไป​ บังเอิญพบพระหลงทาง​รูปหนึ่ง ท่านก็เข้ามาถามหนทาง แต่เพราะเขากำลังขุ่นใจเรื่องตามโค จึงไม่ตอบท่าน ท่าน​ก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ยิน​ เลยถามอีก เขา​ยิ่ง​หงุดหงิด​ก็ตวาดไปว่า
“พระขี้ข้าอะไร​ ปาก​แข็ง​จริง ถามเซ้าซี้น่ารำคาญ”
เพราะกรรมนี้เองจึงทำให้เขาเกิดในตระกูลจัณฑาล แต่เพราะเขาระลึกชาติไปไม่ถึง​ จึงเห็นเพียงชาติที่​เขาเป็นเศรษฐีเท่านั้น

จะ​เห็น​ได้​ว่า​เวลาเพียง​ ๒ ชาติ​ก็​ใช่​ว่า​จะเพียงพอ​สำหรับ​คน​พาล​ที่​จะ​ทำ​ความ​เข้าใจ​เรื่อง​บาป​บุญ​ได้

ฉะนั้น​ เมื่อ​เรา​ได้​พยายาม​ช่วย​อธิบาย​แล้ว​ แต่​เขา​ไม่​รับฟัง​ ยัง​ยืนยัน​ความ​เชื่อ​เดิม​ บางที​ก็​ต้อง​วาง​ใจ​อุเบกขา​

(สำหรับพระ​เจ้า​อังคติ​ราช​นั้น​ ต่อมา​ก็ได้​รับ​การ​แก้​ทิฏฐิ​โดยพระ​โพธิสัตว์​ ผู้​เสวยพระชาติ​เป็นมหา​พรหม​นารท)​

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๑ ?? #ถาม​ : สืบเนื่องจากที่โยมบอกบุญงานไถ่โคกระบือที่ได้ข่าวมา..มีเพื่อนท่านหนึ่งมีข้อคิดเห็นว่า…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๑
??
#ถาม​ : สืบเนื่องจากที่โยมบอกบุญงานไถ่โคกระบือที่ได้ข่าวมา..มีเพื่อนท่านหนึ่งมีข้อคิดเห็นว่า การไถ่ขีวิตโคกระบือเป็นการก้าวก่ายหรือไถ่บาปให้กับมัน และไม่มีใครไถ่บาปให้กับใครได้…..จึงกราบเรียนถามเพื่อเป็นความรู้ในเส้นทางนี้ต่อไปและหากมีข้อพิจารณาอื่นใดที่พระอาจารย์เห็นสมควรเพื่อเป็นความรู้ เพื่อจะได้ระมัดระวังต่อไป ก็ขอรบกวนด้วยค่ะ

#ตอบ​ : เจตนา​ของ​ผู้​ที่​ไป​ไถ่​ชีวิต​โค​กระบือ​(รวม​ทั้ง​สัตว์​อื่น)​ น่าจะ​มี​เจตนา​ว่า​ “ปรารถนา​ให้โค​กระบือ​(รวม​ทั้ง​สัตว์​อื่น)​พ้น​จาก​ทุกข์​ที่​กำลัง​จะ​ถูก​ฆ่า​”

คำ​ว่า​ “ไถ่​” ในที่นี้​หมายความ​ว่า​ ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขัง

ไถ่​ชีวิต​สัตว์​ที่​นิยม​ทำ​กัน​ ก็​คือ​ การ​นำ​ทรัพย์​ไป​แลก​เปลี่ยน​ให้​สัตว์​ที่​กำลัง​ถูก​กักขัง​(และ​กำลัง​จะ​ถูก​ฆ่า)​ เพื่อ​นำ​ไป​เลี้ยง​ใน​ที่​ที่​ปลอดภัย​จาก​การ​ฆ่า​หรือ​ขาย​เพื่อ​ฆ่า

คง​ไม่มี​ใคร​คิด​ว่า​จะ​ไถ่​ชีวิต​กระบือ​เพื่อ​ให้​มัน​พ้น​จาก​ภพ​ภูมิ​ของ​กระบือ​ แต่​ให้​กระบือ​ยัง​คง​เป็น​กระบือ​ และ​เป็น​กระบือ​ที่​มี​สุข​ทุกข์​แก่​เจ็บ​ตาย​ไป​ตาม​ปกติ​ของ​อัตภาพ​กระบือ​ เพียง​แต่​ให้​พ้น​จาก​การ​ถูก​ฆ่า​ใน​คราวนี้​เท่านั้น
(ใน​กรณี​สัตว์​อื่น​ก็​เช่นเดียวกัน)

เมื่อ​เห็น​สัตว์ถูกกักขัง​เพื่อ​นำ​ไป​ฆ่า​
– แล้ว​เกิด​อุเบกขา​ เห็น​ว่า​สัตว์​โลก​ย่อม​เป็นไปตาม​กรรม​ ก็​สามารถ​ทำ​ได้
– เห็น​แล้ว​เกิด​สลด​สังเวช​ เห็น​ทุกข์ภัย​ของ​การ​เวียน​ว่าย​ตาย​เกิด​ คิด​หา​ทาง​ปฏิบัติให้​พ้น​ไป​จาก​ทุกข์​ ก็​สามารถ​ทำ​ได้
– เห็น​แล้ว​เกิด​ความ​กรุณา​ จะไถ่​ชีวิต​มัน​ ก็​สามารถ​ทำ​ได้

พระ​พุทธเจ้า​เมื่อ​ครั้ง​เสวย​พระ​ชาติ​เป็นพระ​โพธิสัตว์​ ก็​เคย​ช่วย​ชีวิต​สัตว์​ที่​กำลัง​จะ​ถูก​ฆ่า​ ปรากฏ​อยู่​ใน​ชาดก​หลาย​เรื่อง​ (เช่น​ใน”อัฏฐ​สัทท​ชาดก” เป็นต้น)​

ขอ​เสริม​ว่า​ ผู้​ที่​จะ​ไถ่​ชีวิต​สัตว์​ควรใส่ใจ​ใน​รายละเอียด​อีก​นิด​ว่า​ :-
– ที่​ที่​นำ​สัตว์ไป​ปล่อย​นั้น​ เหมาะกับ​การ​ดำรง​ชีวิต​ของ​สัตว์​นั้น​หรือ​ไม่?​ (เช่น​ ปลาไหลก็ชอบอยู่ในแหล่งน้ำตื้นๆที่มีพืชขึ้นรกๆ บางคน​ไป​ปล่อย​ที่​น้ำ​ลึก​ มี​ปลา​ใหญ่​ฮุบ​กิน​ต่อหน้าต่อตา เป็นต้น)​
– ปล่อย​สัตว์​นั้น​(หรือ​เหล่านั้น)​ไป​แล้วกระทบ​กับ​สิ่ง​แวดล้อม​หรือ​ระบบ​นิเวศน์​ใน​ที่​นั้น​หรือไม่? (เช่น​ นำ​ปลา​ต่าง​ถิ่น​ต่างประเทศ​ที่​ตัว​ใหญ่​และ​อึด​ มา​ปล่อย​ใน​แหล่ง​น้ำ​เมือง​ไทย​ ปลา​ท้องถิ่น​ของ​ไทย​ก็​ถูก​แย่ง​อาหาร​ แย่ง​ที่อยู่​ ที่​ร้าย​กว่า​นั้น​คือ​ถูก​ปลาต่าง​ถิ่น​กิน​ อาจ​ทำให้​ปลา​ท้องถิ่น​ของ​ไทย​สูญพันธุ์​ เป็นต้น)
ฯลฯ

ถ้า​ไถ่​ชีวิต​สัตว์​พร้อมทั้ง​ใส่ใจ​ใน​รายละเอียด​ดังกล่าว​ ก็​จะ​เป็น​การ​เจริญ​กรุณา​อัน​ประกอบ​ด้วย​ปัญญา​ ก็​นับ​ว่า​เป็น​การ​ทำ​กุศล​ที่​น่า​อนุโมทนา

๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๐ ?? #ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า.. ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๕๐
??

#ถาม : อาจารย์คะ โยมจะถามว่า..
ชีวิตเรามีลูกผู้ชายตั้งสี่คน ตอนนี้โยมอายุตั้ง ๘๒ แล้วค่ะ​ ลูกพวกนี้ไม่มีน้ำใจกับเรา เขาว่าเราไปว่าเขาไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าเขาอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ที่จริงโยมก็ไม่ได้พูด
ตั้งแต่เขามีเมียคนนี้มานะ​ แต่งงานมา ๑๕ ปี ไม่เคยถามเราว่ากินข้าวหรือยัง​ อะไรหรือยัง งานบ้านไม่เคยช่วยเราทำ ก็คือไม่ค่อยสนใจเราค่ะ แล้วก็มีถ้าเขาไม่พอใจเรา​ เขาก็จะหันซ้าย-หันขวา เวลาโยมทำกับข้าวเขาก็ไม่กิน​ ทำให้เราเครียด

ทุกวันนี้ถ้าเขามีอะไรเขาก็จะฟ้องลูกชาย ทำให้ลูกชายเวลาเจอหน้าเราก็ตาเหล่ๆ​เรา​ ไม่ค่อยพอใจเรา
ถ้าเราผิดอะไรลูกชายก็ต้องถามเรานะ​ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า​ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า นี่เขาไม่ถาม​ มีแต่เกลียดเรา​ มีแต่เหล่เรา

แล้วทุกวันนี้เขาว่าเรา​ ไปบอกชาวบ้านว่าไปว่าเมียเขา แล้วก็ว่าลูกเขาอย่างนี้ โยมบอกลูกอีกคนว่า เขาว่าเราลูกอีกคนนึง​ บอกว่าเขาว่าเรา ก็บอกเขาว่า อั๊วไม่ได้พูดเลย ไม่ได้ว่าลูกให้เขาฟังเลย มีแต่เขาถามว่าผู้หญิงคนนี้เราก็พูดให้เขาฟังบอกว่า เขาน่ะสิบกว่าปีแล้วไม่เคยเรียกโยมกินข้าวสักครั้งนึง เรียกว่ากินข้าวแล้วยัง​ แม่กินแล้วยัง​ อย่างนี้ไม่เคยเลย
ถ้าเขาไม่พอใจอะไรเราอย่างนี้ แต่ที่จริงโยมไม่เคยร้ายอะไรอย่างนั้นนะ ไม่รู้อะไรมันทำไม่ถูกน่ะเวลานั้นเขาก็จะหันซ้าย-หันขวา​ ไม่กินข้าวกับเรา มีแต่พูดอย่างนี้ให้เขาฟัง
แล้วเวลาเราไปหาหมอเช้าหรือเย็นอะไรนอกเวลาอะไร ลูกเราเขาไม่เคยไปสนใจเรา ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร​ กลับหรือยัง​ ไม่เคยถามเรา แต่เมียเขาอยู่ที่ไหนดึกๆนะ​ เขาก็จะไปรับเมียของเขากลับมาได้

ทีนี้ถามหลวงพ่อว่า​ ทำไมชีวิตเราอย่างนี้ล่ะ จะถามหลวงพ่อว่าฆ่าตัวตายได้มั้ย

แล้วที่ไปบ้านลูกชายคนที่สามเมื่อกี้นี้ เขาก็พูดเรื่องนี้ให้เรา เราก็ฟังแล้วมันตัวอ่อนไป ๆ แล้วก็เดินแล้วก็หกล้มลงไป แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยนะว่าเราหกล้ม แล้วเราไม่พูด​ ไม่มีใครสนใจ​ เราจะพูดให้ใครฟัง เราไม่รู้จะทำยังไงเนี่ย

คิดดูตอนนี้โยมนั่งอยู่บ้านเนี่ย ดูโทรทัศน์​(รายการธรรมะสว่างใจ) อยู่ จะถามหลวงพ่อว่าจะคิดยังไงเนี่ย อยากตายอย่างเดียว​ ไม่มีใครสนใจเรา ใครๆก็เข้าใจเราผิดหมดเลย ว่าเราไม่ดี ไม่รู้อะไรไม่ดี​ ไม่เข้าใจเลย
ในชีวิตเรานะไม่เคยให้ลูกได้เดือดร้อนอะไรเลย ไม่เคยเดือดร้อนเขานะ ไปหาหมออะไรไม่เคยเดือดร้อนเขานะ มีแต่เราเสียตังค์เอง
พอกลับมานะไม่มีใครถามแม่ว่า เออ กลับมาแล้วกินข้าวแล้ว​ หมอว่าไง ไม่เคยถามโยมเลย
จะถามหลวงพ่อให้ช่วยว่า จะแก้ไขยังไง​ ให้อยู่ให้ถึงตายได้ กราบรบกวนหลวงพ่อ

#ตอบ : ถ้าให้ช่วยแก้ไขน่ะโอเคนะ​
แต่ถ้าถามว่าจะฆ่าตัวตายนั่นน่ะ ไม่ควรฆ่าตัวตาย​นะ เดี๋ยวฟัง​ต่อทาง​โทรทัศน์​นะ​ …
น่าเห็นใจ
จริง ๆ แล้วเนี่ย​ ถ้าจะบอกว่าฆ่าตัวตาย มันเป็นการซ้ำเติมตัวเอง มันควรจะทำชีวิตจากนี้ไปจนตาย​เนี่ย​(ให้​เป็น​กุศล​มากที่สุด)​
ถ้ามันจะตายให้มันตายเอง..ไม่ต้องไปฆ่า เพราะเราก็อายุมากแล้ว แปดสิบกว่าแล้วเนี่ย ควรจะใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงวันตายเนี่ยนะสั่งสมกุศลให้มากที่สุด

กุศลง่ายๆเลยก็คือ ให้รู้ทันว่า..ขณะนี้จิตมันเป็นอกุศล
ตอนรู้ว่าจิตมันเป็นอกุศลเนี่ยนะ ตอนที่รู้..จิตเป็นกุศลทันที
อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระเนี่ยนะ สอนโยมด้วย ก็คือว่า ให้รู้จิตที่มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่

อย่างโยมกำลังคิดอย่างนี้นะ..เข้าอยู่ในข่ายหดหู่ ก็รู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้​ มันไม่ใช่เรา​ มันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว
เวลาใจมันหดหู่ขึ้นมา​ หรือว่ามองลูกชายบ้างลูกสะใภ้บ้าง​ แล้วไม่ชอบใจ​ ไม่พอใจ​ ก็​อย่าไปแสดงออกด้วยคำพูดหรือหน้าตาตามที่​กิเลส​สั่ง คืออย่าให้กิเลสครอบงำ​ ให้รู้ทันกิเลสก่อน

กิเลสเกิดขึ้นมา​ เช่นมันไม่ชอบใจ มันหดหู่ มันน้อยใจ อย่างนี้นะ​ ให้รู้ทันกิเลสเหล่านี้
อย่าเอาความไม่ชอบใจ ความน้อยใจ​ ความหดหู่นี้ บันดาล​ให้​เราไปพูดหรือไปแสดงออก เพราะทันทีที่เราพูดด้วยความน้อยใจ ความหดหู่หรือความไม่ชอบใจเนี่ยนะ​ มันจะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง

ลูกชายเราแท้ๆเลย เวลาเราหดหู่นะ​ หรือว่าเราพูดด้วยความไม่ชอบใจเนี่ย แม้แต่เป็นลูกชายเรา เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากฟังมันเลย เขาก็แสดงออกประมาณอย่างที่โยมเห็นนั่นแหละ ลูกสะใภ้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปต่อว่าไปเรียกร้องอะไรเขามาก​ เขาก็จะไม่ค่อยชอบใจ

ฉะนั้น เราหาที่พึ่งของเราให้ได้​ แล้วก็ไม่หวังจะไปพึ่งเขาดีกว่า

ที่พึ่งได้ง่ายๆเลยคือ ที่พึ่งทางใจ เราเตรียมตัวที่ว่าเราจะเดินทางต่อในสังสารวัฏ​ ก็คือว่า ถ้าโยมต้องการจะตายก็ควรจะตายอย่างสง่าผ่าเผย ตายอย่างพร้อมจะตาย ก็คือว่า มีจิตใจที่เป็นกุศลก่อนตาย

ฉะนั้น อย่าไปจมกับความคิดน้อยใจ อย่าไปจมกับความคิดที่ว่า​ “คนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราควรจะได้รับการดูแลหรือเอาใจใส่จากคนนั้นคนนี้มากกว่านี้” ถ้าคิดอย่างนี้แสดงว่ามีความน้อยใจ ให้รู้ทันความน้อยใจที่เกิดขึ้นในใจ
เราเวลาจะพูดอะไรกับใครให้รู้ใจตรงนี้ก่อน ให้จิตเป็นปกติก่อน

ถ้าจิตผิดปกติไปเนี่ย​ เวลาพูดก็จะพูดอย่างที่เคยพูดมาเนี่ยนะ พูดไปแล้วก็ไม่มีใครอยากฟัง พูดไปแล้วเขาก็รำคาญใจ
ฉะนั้น เวลาจะพูดให้พูดไพเราะ
ถ้าพูดลับหลังให้พูดแบบสรรเสริญ
พูดกับคนข้างบ้าน​ ก็ให้หาแง่มุมที่ดีของลูกๆรวมทั้งลูกสะใภ้ด้วย​ ไป​คุย
พูดกับคนที่บ้าน ใครมาเยี่ยมเราที่บ้าน อย่าไปนินทาลูกชาย อย่าไปนินทาลูกสะใภ้ ให้หาแง่มุมดีๆของลูกชาย ให้หาแง่มุมดีๆของลูกสะใภ้ มาพูดให้คนฟัง
มองเขาในแง่ดีหรือว่าหาแง่ดีของเขามาบอกกล่าวต่อ

ถ้าเรามองเขา​(ไม่​ดี)​ หรือว่าเราเก็บเอาเรื่องราวที่ไม่ดีมาคิด​ หรือว่ามาพูดต่อเนี่ยนะ ทุกครั้งที่เราเก็บเอาเรื่องราวมาพูดต่อ เล่าต่อกับคนอื่นเนี่ย​ ใจเรา​ก็จะไม่ดีไปด้วย เราจะไม่ชอบใจ เราจะไม่พอใจ​ พูดแล้วก็จะยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ ความน้อยใจ ความหดหู่ที่เกิดขึ้นกับใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดังนั้นเปลี่ยนใหม่ มองแง่ดีของเขาให้ออก ถ้ามองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเขา
แล้วถ้าไม่พูดถึงเขาไม่คิดถึงเขา แล้วเราจะพูดถึงใครคิดถึงใคร?
ก็มาคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรมคำสอนของพระองค์ คิดถึงพระสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วมีใจแช่มชื่นเบิกบาน​ อย่างนี้นะ ทำใจให้มันเป็นกุศลแช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ

วิธีทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานบ่อยๆ ทำง่ายๆ​ อีกวิธีหนึ่งคือ สวดมนต์
สวดมนต์ก็จะสวดมนต์ถึงพระพุทธคุณ ถึงธรรมคุณ ถึงสังฆคุณ
“อิติปิ​ โส​ ภะคะวา อะระหัง​ สัมมา​สัมพุทโธ” ..
หรือว่าสวดตามที่โทรทัศน์เปิดสวดทำวัตรเช้า-เย็นนี้ก็ได้
สวดไปจนคล่องปาก​ สวดบ่อยๆ

เวลาเจอใครก็ยิ้มให้ ไม่หน้าบึ้ง ไม่เรียกร้องให้ใครมาเอาใจเรา เพราะเราไม่ต้องพึ่งใคร เราพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราพึ่งตนเอง จะพัฒนาตนเองให้แจ่มใสเบิกบานขึ้นมาด้วยใจของตนเองให้ได้ ไม่ไปหวังพึ่งคนอื่น

ถ้าหวังพึ่งคนอื่นนะ..จะผิดหวัง
ผิดหวังแล้วก็มานั่งน้อยใจ บ่น.. อย่างนี้นะ ยิ่งบ่นเราก็ยิ่งทุกข์
ดังนั้นหยุดบ่น ตอนนี้เราจะทำใจให้เป็นกุศลแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้า สวดมนต์ไปนึกไปแล้วก็ยิ้มไป

ถ้าจะพูดถึงคนอื่นให้พูดในแง่ดี
พอพูดถึงคนอื่นในแง่ดีแล้ว จะมีสิ่งดีๆกลับเข้ามา คนอื่นเขาจะไปแก้ต่างแทนเราด้วย
พอเวลาลูกชายลูกสะใภ้มาคุยกับคนอื่นนะ พูดถึงเราในแง่ไม่ดี คนอื่นที่เขาเคยฟังเราชมลูกชายลูกสะใภ้เนี่ย​ เขาจะแก้ต่างให้เราว่า “ไม่จริงนะ อาม่าเนี่ยพูดถึงเธอดีนะ อาม่าพูดชมเธอนะ” เนี่ยเขาจะแก้ต่างให้เรา

ลองทำวิธีนี้ดูนะ​ แล้วชีวิตจะดีขึ้น

เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม
โดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เมื่อวัน​พุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ“
สถานีดาวเทียมพุทธภูมิ SBBTV 999
ณ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
ไฟล์ วิดีโอ ๑๖ ม.ค.๖๒ ธรรมะสว่างใจ
ระหว่างเวลา ๒๗.๔๗ – ๓๘.๑๑
https://youtu.be/B5-VL8-XYws


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๙ ?? #ถาม : เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ เวลาที่ใจมันคิดในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๙
??

#ถาม : เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ เวลาที่ใจมันคิดในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น ที่ผ่านมาเหมือนว่ายิ่งเราคอยไปบังคับใจเราไม่ให้คิดไม่ดี ใจเรากลับจะยิ่งคิดไม่ดีมากขึ้น การที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดีโดยที่เราไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น ถือว่าเป็นการทำบาปหรือเปล่าครับ?

#ตอบ​ : มันคิดไม่ดี..มันก็คิดกับมันเอง​ ก็​พิจารณา​ไปเลยนะ “ว่ามันเป็นอนัตตา เราบังคับจิตไม่ได้ จิตไม่ใช่เรา​ ไม่ใช่​ของ​เรา”

แต่​ก็ฝึก​จิตได้​!
แทนที่จะให้จิตคิดเรื่องไม่ดีไป​นานๆ​ ก็หาเรื่องดีๆให้​จิต​คิดไปเลย
เช่น​ คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า คิดถึงคุณของพระธรรม คิดถึงคุณของพระสงฆ์ เป็นต้น​ ตรงนี้ก็เป็นการทำกรรมฐาน เรียกว่า เจริญพุทธานุสติ เจริญธัมมานุสติ เจริญสังฆานุสสติ​ เป็นต้น

หรือ​ถ้า​ทำ​ใน​รูป​แบบ​ จะใช้บทสวดมนต์​ เช่น​บท​ “อิติปิ​ โสฯ” ก็ได้ สวดมนต์ไป ใช้บทสวดมนต์เป็นที่อยู่ของจิต สวดไปเผลอ​คิด ก็รู้ว่าเผลอ

หรือถ้าทำงานอะไรอยู่​ ก็ให้งานนั้นเป็นที่อยู่ของจิต​ก็ได้ จิตเผลอไปคิดเรื่องอื่นที่นอกจากงาน ก็รู้ว่าเผลอ

หลักการคือ​ หาเครื่อง​อยู่เอาไว้ เผลอไป​ก็​รู้ทัน​ว่า​เผลอ​ แต่ไม่ห้ามว่าอย่าเผลอ ให้เผลอแล้วรู้ อย่างน้อยก็อาศัยความเผลอนั้นเจริญสติไปเลย

บางทีเผลอไปคิด​ แล้วมันไปคิดไม่ดี​ ไม่พอใจความเผลอนั้น ก็ให้รู้ว่ามีโทสะเกิดขึ้น

บางที​จะ​เห็น​ว่า​ ​จิต​มัน​ไหล​ไป​ใน​ความ​คิด​ ก็​รู้​จิต​มัน​เคลื่อน​ไป​ ถ้า​เห็น​อย่างนี้​ได้​ก็​ยิ่ง​ดี​

หลัก​อีก​อย่าง​คือ​ ให้​ยอมรับ​ความจริง​ มัน​เผลอ​ไป​คิด​จริง​ๆ​ ก็​ยอมรับ​ซื่อ​ๆ​ ว่า​เผลอ​ไป​ จะ​คิด​ดีหรือ​คิดร้าย​ ก็​รวม​เรียก​ว่า​เผลอ​ทั้งหมด

อย่า​ไป​คิด​บังคับ​จิต​นะ​ ไม่​สำเร็จ​หรอก
มีเครื่องอยู่ของจิตเพื่อรู้ทันจิต ไม่ใช่เพื่อขังจิตให้อยู่นิ่งๆ​นะ

๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๘ ?? #ถาม : เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ เวลาที่ใจมันคิดในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๘
??
#ถาม : เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ เวลาที่ใจมันคิดในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น ที่ผ่านมาเหมือนว่ายิ่งเราคอยไปบังคับใจเราไม่ให้คิดไม่ดี ใจเรากลับจะยิ่งคิดไม่ดีมากขึ้น การที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดีโดยที่เราไม่ได้มีเจตนาอยากจะคิดเช่นนั้น ถือว่าเป็นการทำบาปหรือเปล่าครับ?

#ตอบ​ : มันคิดไม่ดี..มันก็คิดของมันเอง​ ก็​พิจารณา​ไปเลยนะ “ว่ามันเป็นอนัตตา เราบังคับจิตไม่ได้ จิตไม่ใช่เรา​ ไม่ใช่​ของ​เรา”

แต่​ก็ฝึก​จิตได้​!
แทนที่จะให้จิตคิดเรื่องไม่ดีไป​นานๆ​ ก็หาเรื่องดีๆให้​จิต​คิดไปเลย
เช่น​ คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า คิดถึงคุณของพระธรรม คิดถึงคุณของพระสงฆ์ เป็นต้น​ ตรงนี้ก็เป็นการทำกรรมฐาน เรียกว่า เจริญพุทธานุสติ เจริญธัมมานุสติ เจริญสังฆานุสสติ​ เป็นต้น

หรือ​ถ้า​ทำ​ใน​รูป​แบบ​ จะใช้บทสวดมนต์​ เช่น​บท​ “อิติปิ​ โสฯ” ก็ได้ สวดมนต์ไป ใช้บทสวดมนต์เป็นที่อยู่ของจิต สวดไปเผลอ​คิด ก็รู้ว่าเผลอ

หรือถ้าทำงานอะไรอยู่​ ก็ให้งานนั้นเป็นที่อยู่ของจิต​ก็ได้ จิตเผลอไปคิดเรื่องอื่นที่นอกจากงาน ก็รู้ว่าเผลอ

หลักการคือ​ หาเครื่อง​อยู่เอาไว้ เผลอไป​ก็​รู้ทัน​ว่า​เผลอ​ แต่ไม่ห้ามว่าอย่าเผลอ ให้เผลอแล้วรู้ อย่างน้อยก็อาศัยความเผลอนั้นเจริญสติไปเลย

บางทีเผลอไปคิด​ แล้วมันไปคิดไม่ดี​ ไม่พอใจความเผลอนั้น ก็ให้รู้ว่ามีโทสะเกิดขึ้น

บางที​จะ​เห็น​ว่า​ ​จิต​มัน​ไหล​ไป​ใน​ความ​คิด​ ก็​รู้​จิต​มัน​เคลื่อน​ไป​ ถ้า​เห็น​อย่างนี้​ได้​ก็​ยิ่ง​ดี​

หลัก​อีก​อย่าง​คือ​ ให้​ยอมรับ​ความจริง​ มัน​เผลอ​ไป​คิด​จริง​ๆ​ ก็​ยอมรับ​ซื่อ​ๆ​ ว่า​เผลอ​ไป​ จะ​คิด​ดีหรือ​คิดร้าย​ ก็​รวม​เรียก​ว่า​เผลอ​ทั้งหมด

อย่า​ไป​คิด​บังคับ​จิต​นะ​ ไม่​สำเร็จ​หรอก
มีเครื่องอยู่ของจิตเพื่อรู้ทันจิต ไม่ใช่เพื่อขังจิตให้อยู่นิ่งๆ​นะ

๒๑ มกราคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๗ ?? #ถาม : เคยได้ยินมาว่า “การฆ่าตัวตาย นั้นบาปกว่า การฆ่าคนอื่น” จริงไหมครับ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๗
??
#ถาม : เคยได้ยินมาว่า “การฆ่าตัวตาย นั้นบาปกว่า การฆ่าคนอื่น” จริงไหมครับ?

#ตอบ : ปัญหานี้จะชี้ลงไปทีเดียวไม่ได้ว่าแบบไหนบาปกว่า เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน ลองไล่ไปทีละเรื่องนะ

การฆ่าคนอื่น
การฆ่าคนอื่นนั้น ไม่จำกัดอยู่แค่การลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่ย่อมรวมไปถึง
– ฆ่าด้วยการใช้ให้ผู้อื่นไปทำ ไม่ว่าจะใช้ต่อกันกี่ทอดก็ตาม
– ฆ่าด้วยการใช้อาวุธให้เคลื่อนที่ไป เช่น ขว้าง ปา เหวี่ยง ทิ้ง โยน เป็นต้น
– ฆ่าด้วยการเตรียมเครื่องประหารแบบอยู่กับที่ เช่น หลุมพราง ลอบวาง เป็นต้น
– ฆ่าด้วยการใช้วิชาอาคม ไสยศาสตร์
– ฆ่าด้วยการใช้ฤทธิ์
– ฆ่าด้วยวิธีอื่นๆ เช่น วางยาพิษให้กิน ให้ยาบำรุงเกินขนาด พูดให้เจ็บใจจนเส้นเลือดแตกในสมองตาย แกล้งให้ของที่น่าพอใจอย่างยิ่งด้วยหวังว่าเขาจะซูบผอมตายเพราะหามาเสพอีกไม่ได้ ฯลฯ วิธีมีหลากหลายนะ
การฆ่าคนอื่น จะมีโทษมาก หรือโทษน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับ..
๑. กิเลสและความเพียรของผู้ฆ่า
ผู้ฆ่าใช้ความพยายามมาก ก็มีโทษมาก ถ้าใช้ความพยายามน้อยก็มีโทษน้อย
ผู้ฆ่าโกรธแค้นมาก วางแผนมาก ใช้วิธีทรมานมาก ก็มีโทษมาก
ผู้ฆ่ามีความเห็นว่าการฆ่าคนไม่บาป ก็มีโทษมาก
๒. คุณของคนที่ถูกฆ่า
– ฆ่าคนมีบุญคุณ มีโทษมากกว่า ฆ่าคนที่ไม่มีบุญคุณ
ฆ่าคนที่เคยช่วยเหลือ อุปถัมภ์ เลี้ยงดู มีโทษมากกว่าฆ่าคนที่ไม่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะถ้าฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ก็เป็นบาปหนัก ที่เรียกว่า อนันตริยกรรม ก็ยิ่งมีโทษมาก เป็นบาปที่สุด มีโทษหนักที่สุด ตัดทางสวรรค์ ตัดทางมรรคผล นิพพาน
– ฆ่าคนมีศีลมีธรรม มีโทษมากกว่า ฆ่าคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม
ฆ่าพระอริยะ มีโทษมากกว่าฆ่าโจรผู้ร้าย โดยเฉพาะถ้าฆ่าพระอรหันต์ ก็เป็นบาปหนัก ที่เรียกว่า อนันตริยกรรม ก็ยิ่งมีโทษมาก เป็นบาปที่สุด มีโทษหนักที่สุด ตัดทางสวรรค์ ตัดทางมรรคผล นิพพาน
โดยสรุปคือ ฆ่าคนที่มีคุณต่อตน ต่อสังคม ต่อบ้านเมือง ต่อโลก ก็มีโทษมาก เช่นในกรณีของ พระราชาพระนามว่ากลาปุ พระเทวทัต และ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นต้น
พระราชาพระนามว่ากลาปุ โกรธขันติวาทีดาบส สั่งให้เพชฌฆาตฉุดดาบสให้ล้มลง แล้วให้เฆี่ยน, ให้ตัดมือ, ตัดเท้า, ตัดหู, ตัดจมูกดาบสผู้ไม่โกรธเมื่อถูกด่า, ถูกเย้ยหยัน และถูกประหารอยู่นั้น เมื่อพระราชาเสด็จกลับไปเพียงพ้นสายตาดาบสเท่านั้น ก็ถูกธรณีสูบ ไปเกิดในอเวจีมหานรก
พระเทวทัตพยายามฆ่าพระพุทธเจ้า แม้ไม่มีโอกาสทำสำเร็จ เพราะพระองค์ไม่มีวิบากในเรื่องนี้ แต่เพียงทำให้พระโลหิตห้อ ก็เป็นการทำอนันตริยกรรมเช่นกัน และในท้ายที่สุดพระเทวทัตนั้นก็ถูกธรณีสูบ ไปเกิดในอเวจีมหานรก และเป็นผู้ไหวติงไม่ได้เพราะถูกตรึงด้วยหลาวเหล็ก ถูกไฟไหม้อยู่ เพราะเป็นผู้ผิดในพระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว
พระเจ้าอชาตศัตรู ด้วยการให้จับพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดามาคุมขังไว้ ให้ตัดพระกระยาหาร และให้ช่างตัดผมไปกรีดพระบาท ทำให้พระเจ้าพิมพิสารสวรรคต ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องสามัญผล เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทูลลากลับไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว”
ใน สัพพลหุสสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต มีพุทธพจน์ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาตอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาต อย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นผู้มีอายุน้อยให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ ฯ”
แต่ผู้ที่เคยฆ่าคน และยังไม่ถึงขั้นอนันตริยกรรม ถ้าภายหลังได้พบกัลยาณมิตร มาฟังธรรมปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้ ซึ่งก็มีหลายท่าน เช่น พระองคุลิมาลเถระ, พระกุณฑลเกสีเถรี และนายตัมพทาฐิกะ เพชฌฆาตเคราแดง เป็นต้น
พระองคุลิมาลเถระ เดิมชื่ออหิงสกะ ถูกอาจารย์หลอกให้ฆ่าคนเกือบพันคน ภายหลังมาพบพระพุทธเจ้า ออกบวชไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
พระกุณฑลเกสีเถรี เดิมเป็นลูกสาวเศรษฐี หลงรักโจร หาอุบายจนกระทั่งได้โจรเป็นสามี แต่โจรนั้นก็ไม่เลิกความเป็นโจร หาอุบายหลอกภรรยาไปฆ่าที่ภูเขาทิ้งโจร แต่นางก็ซ้อนกล เอาตัวรอดด้วยการผลักโจรตกเขาตาย แล้วหนีไปบวชเป็นปริพาชิกา ต่อมาได้พบกับท่านพระสารีบุตรเถระ ถามตอบปัญหากันจนเกิดศรัทธา ออกบวชเป็นภิกษุณี เพียง ๒-๓ วัน ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
นายตัมพทาฐิกะ เพชฌฆาตเคราแดง ทำหน้าที่ฆ่าโจรทุกวัน วันละคนบ้าง ๒ คนบ้าง บางวันมากถึง ๕๐๐ คน ทำอย่างนี้อยู่เป็นเวลา ๕๕ ปี เมื่อพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ก็ได้ทำบุญกับท่านพระสารีบุตรเถระ พระเถระก็ได้ให้อุบายคลายความกังวล และแสดงธรรมให้ฟัง จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน

ในทางพระวินัย ถ้าพระภิกษุฆ่าคนตาย ก็ต้องอาบัติปาราชิก
ฆ่าอมนุษย์ (เช่น ยักษ์ เป็นต้น) ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
พยายามฆ่าตัวตาย ต้องอาบัติทุกกฏ

การฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายก็หลายสาเหตุ ผลก็ต่างไปตามเหตุ
จะลองแจกแจงสาเหตุที่ทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย เท่าที่คิดได้ และปรุงคำให้คล้องจองกัน ดังนี้
เชื่อลัทธิ หนีทุกข์ ปลุกความสนใจ ให้ชีวิตเป็นทาน กรรมฐานเพื่อธรรม
และยังมีกรณีพิเศษอีกด้วย
๑. เชื่อลัทธิ
เป็นกลุ่มคนที่เชื่อเจ้าลัทธิที่บอกว่า ถ้าได้ตายตามที่เขานำ ก็จะได้ไปสู่โลกหน้าที่ดีแสนดี เรื่องที่ยกมาอ้างก็มีทั้งอ้างพระเจ้า ดาวหาง มนุษย์ต่างดาว ฯลฯ เจ้าลัทธิมักจะพูดโน้มน้าวจิตใจเก่ง และโดยมากจะเป็นการฆ่าตัวตายหมู่

คนที่เชื่อและทำตาม ก็ด้วยหวังภพหน้าที่ดี แต่ไม่ทำเหตุ มีแต่กิเลสคือโมหะและโลภะ คือมีมิจฉาทิฏฐิ และโลภอยากได้สวรรค์ หรือโลกหน้าที่ดีนั้น

ผล – เมื่อตายด้วยอกุศล ผลที่ได้ก็ย่อมไม่สมหวัง เพราะมีทุคติเป็นทางไป
และที่น่ากลัวคือ ชาติต่อๆไป ก็มีโอกาสที่จะเชื่อเจ้าลัทธิมิจฉาทิฏฐิได้อีก เว้นไว้แต่จะได้พบกัลยาณมิตรมาช่วยชี้แนะ

๒. หนีทุกข์
อาจสืบเนื่องมาจากทุกข์หลายแบบ เช่น อกหักรักสลาย หนี้สินรุงรัง ความผิดหวังในชีวิต มีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น แล้วคิดว่า “ถ้าตายได้ ก็จะพ้นจากทุกข์ที่ประสบอยู่”
คนที่ฆ่าตัวตายด้วยเหตุนี้ มักเป็นผู้มีใจเศร้าหมองอย่างหนักหน่วง กว่าจะตัดสินใจฆ่าตัวเองได้ จิตจะต้องมีอกุศลอย่างแรงกล้า ทั้งโมหะและโทสะ ทั้งมืดมัวและทุกข์โศก จิตใจก็อ่อนแอไร้กำลัง
ผล – เมื่อตายด้วยจิตเศร้าหมอง ก็ย่อมไปสู่ทุคติ
แต่ที่น่ากลัวคือ จิตจะต้องจมทุกข์ซ้ำซากยาวนานตลอดอายุขัยในภพชาตินั้น
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ จิตจะมีความเคยชินที่จะตัดสินใจแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีนี้ เป็นนิสัยติดไปข้ามภพข้ามชาติ มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างนี้อีกในชาติต่อๆไปด้วย ผู้ที่กล่าวว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปมาก ก็น่าจะหมายเอาคนกลุ่มนี้ เพราะตายไปพร้อมกับมีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรง
คนกลุ่มนี้ ถ้าได้กัลยาณมิตรมาช่วยชี้แนะให้เข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม อธิบายให้เข้าใจว่าจะต้องรับผลอะไร เห็นโทษภัยของการตายด้วยใจเศร้าหมอง หยุดความเข้าใจผิดที่คิดว่าการฆ่าตัวตายอย่างนี้เป็นเรื่องดีนั้นเสีย
ขณะใดที่มีความคิดจะปลิดชีพตนเองอีก แล้วตัดสินใจไม่ทำตามความคิดนั้น ก็จะทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นทุกๆขณะ และสามารถละเส้นทางอันน่ากลัวนั้นลงได้

๓. ปลุกความสนใจ
บางคนเชื่อว่าตนมีต้นทุนทางสังคมดีพอสมควร การตายของตนน่าจะทำให้สื่อมวลชนและคนทั้งหลายสนใจได้ ก็ฆ่าตัวตายด้วยหวังจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่ตนต้องการ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลดังหวังหรือไม่ อาจเป็นประเด็นถกเถียงกันขึ้นมาชั่วคราว เรื่องที่เรียกร้องดังกล่าวก็ถูกกลืนหายไปในกระแสข่าวอื่นตามกาลเวลา

คนที่ฆ่าตัวตายด้วยเหตุนี้ มักเป็นผู้ที่กำลังผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ สิ้นหวังกับผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ท้อใจที่ไม่มีใครมาแก้ไข ก็เป็นเหตุให้จิตยังขุ่นมัว

ผล – คนที่คิดทำอย่างนี้ ถ้ายังมีความผิดหวัง หรือความท้อใจแฝงอยู่ คติที่ไปก็ไม่น่าจะดี

๔. ให้ชีวิตเป็นทาน
เมื่อเห็นผู้อื่นเดือดร้อน เป็นทุกข์ ก็ยอมสละชีวิตเลือดเนื้อกายใจให้ เพื่อให้ผู้นั้นพ้นทุกข์
ดังเช่นเรื่องเล่าถึงฤษีตนหนึ่ง เห็นเสือแม่ลูกอ่อนในหลุมลึก อดอาหาร ไม่มีกำลังจะพาตนและลูกน้อยขึ้นมาได้ แม่เสือกำลังตัดสินใจจะกินลูกตนเอง ฤษีจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในหลุม สละชีวิตเป็นทาน เพื่อให้ชีวิตแก่เสือแม่ลูกนั้น

การให้ทานด้วยการสละชีวิต ถือเป็นการสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่ ในระดับปรมัตถบารมี ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้จึงมักจะเป็นพระโพธิสัตว์

ผล – คนที่จะทำอย่างนี้ได้ ใจต้องมีเมตตากรุณาและกล้าหาญมั่นคงอย่างมาก สภาพศพอาจดูไม่สวย หรืออาจจะไม่เหลือซากศพด้วยซ้ำ แต่ใจสวยใจหล่อ และสว่างไสวด้วยคุณธรรม มีปีติหล่อเลี้ยงใจให้ไปสู่สุคติ บางคนบุญกุศลพาให้จิตรวมก่อนตาย ก็ไปเป็นสหายในหมู่พรหม บารมีที่ได้สะสมก็เป็นเหตุให้ได้ตรัสรู้ในอนาคต

๕. กรรมฐานเพื่อธรรม
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก ดังที่ครูบาอาจารย์กล่าวว่า “ยอมสละชีพเพื่อธรรม”
ดังเช่น ภิกษุ ๗ รูป ในสมัยก่อนที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะจะเสื่อม เดินทางไปด้วยกัน ถึงภูเขาลูกหนึ่ง แล้วกล่าวแก่กันว่า “ผู้มีความอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้”
จากนั้น ทั้งหมดก็พากันผูกบันไดขึ้นหน้าผาของภูเขานั้น แล้วผลักบันไดลง กระทำสมณธรรมจนกว่าจะบรรลุมรรคผล หรือไม่ก็จบชีวิตบนนั้น
คืนแรก พระเถระบรรลุอรหัตตผล รุ่งเช้าท่านก็ไปบิณฑบาตมาเผื่อพระภิกษุที่เหลือ แต่พระภิกษุเหล่านั้นกล่าวปฏิเสธอาหารนั้นด้วยคำว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านได้ทำอย่างนี้ด้วยอานุภาพของตน ถ้าแม้พวกกระผมจักยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้เช่นท่านไซร้ จึงจะไปบิณฑบาตมาฉันเองครับ”
วันที่สอง พระเถระรูปที่สองบรรลุอนาคามีผล ก็ไปบิณฑบาตมาเผื่อพระภิกษุที่เหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธแบบเดียวกัน
ในที่สุด ไม่นาน ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป พระอนาคามีก็ไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาส ส่วนพระ ๕ รูปนอกนี้ แม้เพียรพยายามอยู่ก็ไม่อาจทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ ซูบผอม มรณภาพลงในที่นั้นเอง

ผล – พระ ๕ รูปนั้น แม้ยังไม่บรรลุมรรคผล แต่ก็เป็นผู้มีจิตเป็นกุศล เข้มแข็ง ไม่อาลัยต่อชีวิต ไปบังเกิดบนสวรรค์ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกตลอดหนึ่งพุทธันดร

ในคราวพุทธกาลนี้ คนหนึ่งได้เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสาติ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่โรงของช่างปั้นหม้อ ก็บรรลุอนาคามิผล ไปปรินิพพานบนพรหมโลก
คนหนึ่งเป็น พระกุมารกัสสปะ ออกบวชแล้วมาทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า จบการตอบปัญหานั้นแล้ว ก็บรรลุอรหัตตผล
คนหนึ่งเป็น พระทัพพมัลลบุตร ออกบวชเมื่ออายุ ๗ ขวบ บรรลุอรหัตผลตอนปลงผมเสร็จ ในวันบวชนั่นเอง
คนหนึ่งเป็น สภิยปริพาชก ทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าแล้วขอบวช ไม่นานก็บรรลุอรหัตตผล
อีกคนหนึ่งเป็น พาหิยะ ทารุจีริยะ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียง ๑ คาถา ก็บรรลุอรหัตตผล
สรุปว่า ผู้สละชีวิตเพื่อธรรม แม้ยังไม่บรรลุมรรคผล แต่ก็ทำให้มีอินทรีย์แก่กล้ามากขึ้น การปฏิบัติธรรมในชาติต่อไปก็ง่ายขึ้น

จะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อต่างเหตุ ก็ต่างผลจริงๆ

ยังมีการฆ่าตัวตายที่พิเศษกว่าที่กล่าวมานี้อีก คือ

ต่อ

๖. กรณีพิเศษ
มีสิ่งที่ยากจะเกิด แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว คือ ฆ่าตน แต่บรรลุมรรคผล เช่น พระโคธิกเถระ และ พระฉันนะ เป็นต้น

พระโคธิกเถระ
ท่านเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง เมื่อท่านทำฌานที่ ๒ บ้าง ที่ ๓ บ้าง ให้เกิดขึ้นถึง ๖ ครั้ง แต่แล้วฌานนั้นก็เสื่อมไปเพราะโรคนั้น
ท่านก็เพียรทำฌานให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๗ แล้วคิดว่า “เราเสื่อมจากฌานถึง ๖ ครั้งแล้ว ก็คติที่ไปของผู้มีฌานเสื่อมนั้นไม่แน่นอน คราวนี้ล่ะ เราจะนำศัสตรามา…” ดังนี้แล้ว จึงถือมีดที่ใช้สำหรับปลงผม นอนบนเตียง เตรียมจะเชือดคอตนเอง
พญามารเห็นว่าท่านเป็นผู้หมดความอาลัยในชีวิต (ไม่ใช่หมดอาลัยตายอยาก) และเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุพระอรหัตได้แน่ จึงรีบไปทูลให้พระศาสดาทรงทราบ เพื่อทรงห้าม
แต่กลับได้รับคำตอบจากพระองค์ว่า “โคธิกะนั้นถอนตัณหาขึ้นพร้อมทั้งรากได้แล้ว ปรินิพพานแล้ว”
เพราะในขณะที่พญามารมาหาพระพุทธเจ้านั้น พระโคธิกะได้ใช้มีดตัดก้านคอตนเองเรียบร้อยแล้ว
พญามารไม่เชื่อ พยายามแสวงหาวิญญาณของพระโคธิกะ หาเท่าไรก็ไม่พบ ที่ไม่พบก็เพราะท่านบรรลุอรหัตตผลแล้ว และปรินิพพานแล้วนั่นเอง

พระฉันนะ (ไม่ใช่เป็นพระเถระที่ออกไปด้วยกันกับเจ้าชายสิตธัตถะตอนออกอภิเนษกรมณ์)
ท่านอาพาธ เป็นไข้หนัก ทนทุกขเวทนาเหลือประมาณนั้นไม่ไหว จึงได้บอกกับพระสารีบุตรว่า “ผมจะหาศาตรามาฆ่าตัว อย่างมิให้ถูกตำหนิได้”
พระสารีบุตรห้าม แล้วสนทนาธรรมกัน
เมื่อท่านพระสารีบุตรหลีกไปไม่นาน พระฉันนะก็ได้หาศาตรามาฆ่าตัวเสียทันที
พระสารีบุตรกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรับรองว่า พระฉันนะตายอย่างไม่ควรตำหนิได้จริงว่า “ดูกรสารีบุตร บุคคลใดแล ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกตำหนิ ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่ ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัวอย่างไม่ควรถูกตำหนิ”
ท่านอธิบายว่า ท่านเอาศัสตราสำหรับคร่าชีวิตมาตัดก้านคอแล้ว ก็มีความกลัวตายปรากฏขึ้น ท่านรู้ตัวว่ายังเป็นปุถุชน เกิดสลดใจ ตั้งวิปัสสนาพิจารณาสังขาร สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นสมสีสี แล้วก็ปรินิพพาน

นี่เป็นตัวอย่างของกรณีพิเศษจริงๆ นำมากล่าวไว้เพื่อให้เนื้อหาครบเท่านั้น แต่อาตมาไม่แนะนำให้ทำตามอย่างนะ เพราะผู้ที่จะทำได้อย่างนี้ต้องมีพื้นฐานการปฏิบัติมาอย่างดี ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน พวกเราในยุคนี้ถ้าทำ ก็น่าจะไม่ได้ผลอย่างนี้ เสี่ยงที่จะไปอบายเสียมากกว่า

………………………
มีการฆ่าตัวตายอีกแบบหนึ่งที่แนะนำให้ทำ !
คือ ฆ่าตัวตนให้ตาย
ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน จนกระทั่งจิตเกิดความเข้าใจความจริง ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ละสักกายทิฏฐิคือความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้

เริ่มจากฆ่ากิเลสทีละขณะด้วยสติ
โกรธแล้วรู้สึกตัว ความโกรธก็ถูกฆ่าดับไปขณะหนึ่ง เกิดเป็นตัวรู้ขึ้นมาแทน
หลงแล้วรู้สึกตัว ความหลงก็ถูกฆ่าดับไปขณะหนึ่ง เกิดเป็นตัวรู้ขึ้นมาแทน
ฟุ้งซ่านแล้วรู้สึกตัว ความฟุ้งซ่านก็ถูกฆ่าดับไปขณะหนึ่ง เกิดเป็นตัวรู้ขึ้นมาแทน

ตัวรู้เกิดขึ้นมาทีไร จะรู้สึกได้ว่า..กิเลสถูกรู้ มีตัวผู้รู้อยู่ต่างหาก
และไม่ใช่ “เรา” ทั้งที่กิเลส และที่ตัวผู้รู้
และจิตก็จะเรียนรู้ทุกทีว่า กิเลสก็เกิดดับ ตัวผู้รู้ก็เกิดดับ
เห็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมบ้าง เห็นความไม่ใช่ตัวตนขอองสภาพธรรมบ้าง จนกระทั่งบรรลุมรรคผล
ก็เป็นอันฆ่ามิจฉาทิฏฐิดับไปได้

พึงเข้าใจไว้ด้วยว่า คำว่าฆ่าตัวตน หรือฆ่ากิเลสในที่นี้ ก็กล่าวโดยอาศัยแนวจากพุทธพจน์ในธรรมบท เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้

วันหนึ่ง ภิกษุอาคันตุกะหลายรูปด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ที่วัดเชตวัน
ขณะนั้น พระลกุณฏกภัททิยเถระเดินผ่านไปในที่ไม่ไกลนัก
พระพุทธเจ้าตรัสขึ้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นหรือไม่? ภิกษุนี้ฆ่ามารดาบิดาแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ เดินไปอยู่”
ภิกษุเหล่านั้นงงว่าพระองค์ตรัสอะไรอย่างนั้น มองดูหน้ากันและกัน แล้วทูลถามว่า “พระองค์ตรัสอะไรหนอ? พวกกระหม่อมฉันไม่เข้าใจ พระเจ้าข้า”

พระองค์จึงตรัสเป็นพระคาถาย้ำไปอีกว่า
บุคคลฆ่ามารดาแล้ว ฆ่าบิดาแล้ว
ฆ่าพระราชาทั้งสองพระองค์แล้ว
ทำลายทางเสือผ่านที่ ๕ ได้แล้ว
ก็ดำเนินชีวิตเป็นพราหมณ์ อยู่อย่างไร้ทุกข์

อธิบายว่า
ตัณหา ชื่อว่า มารดา เพราะทำให้สัตว์ทั้งหลายเกิดในภพทั้ง ๓
อัสมิมานะ-ชื่อว่า บิดา เพราะการถือว่า นี่ฉัน นี่กู กูเป็นนั่น เหมือนเป็นบิดาให้เกิดความรู้สึกว่า “เราเป็นเสนาบดีของพระราชาชื่อโน้น หรือ ฉันเป็นซีอีโอของบริษัทชื่อโน้น” เป็นต้น
สัสสตทิฏฐิ(ความเห็นว่าเที่ยง) และอุจเฉททิฏฐิ(ความเห็นว่าขาดสูญ) ชื่อว่า พระราชาผู้กษัตริย์สองพระองค์ เพราะมิจฉาทิฏฐิทุกชนิด ย่อมอิงอาศัยทิฏฐิทั้งสองนี้ เหมือนชาวโลกอาศัยพระราชา
วิจิกิจฉา(ความสงสัย)- ชื่อว่า ทางเสือผ่านที่ ๕ เพราะทางที่เสือผ่านย่อมเป็นทางมีภัย ไปลำบาก เปรียบได้ดังนิวรณ์ที่เป็นธรรมกั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม
ในที่นี้ระบุว่าเป็นนิวรณ์ข้อ ๕ คือความสงสัย
(ตรงนี้อาตมาเข้าใจว่า เป็นเพราะภิกษุเหล่านั้นกำลังมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจด้วย และผู้ที่ฆ่าตัณหาและอัสสมิมานะแล้ว ก็ย่อมหมดสงสัยในพระรัตนตรัยและในปฏิปทาที่ผ่านมาด้วย)
พราหมณ์ ในที่นี้ หมายถึง ผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว

เราฟังแล้วอาจจะตกใจ และรู้สึกว่ายากจัง
แต่พระภิกษุเหล่านั้น ฟังแล้วบรรลุอรหัตตผลเลยทีเดียว
พูดอีกสำนวนก็ได้ว่า
“มรรคมีองค์ ๘ ฆ่าความเป็นปุถุชนให้ตายไป
ยังผลให้ความเป็นพุทธะเกิดขึ้นมาแทน”

๘ มกราคม ๒๕๖๒


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๖ ?? #ถาม​ : ถ้าเกิดโทสะ แล้วเรานับว่าใช้ไปกี่ลมหายใจ พุธโธ นับหนึ่ง พุทโธนับสอง……..

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๖
??
#ถาม​ : ถ้าเกิดโทสะ แล้วเรานับว่าใช้ไปกี่ลมหายใจ พุธโธ นับหนึ่ง พุทโธนับสอง….. กี่พุทโธ ถึงโทสะจะเริ่มเบาบางลง ถือเป็นการแทรกแซงการปฏิบัติหรือเปล่าคะ?

#ตอบ​ : ถ้า​มี​เจตนา​ที่​จะ​นับ​”พุท​โ​ธ”เพื่อ​กับ​กิเลส​ ก็​เรียก​ได้​ว่า​แทรกแซง​แล้้ว

ถ้า​จะ​เจริญ​วิปัสสนา​ ก็​ให้​รู้​ว่า​มี​โทสะ
รู้​เฉย​ๆ​ ไม่ต้อง​ไป​ตั้งใจ​ดับ​โทสะ​ โทสะ​ก็​ดับ​อยู่แล้ว
และ​จิต​ก็​ได้​เรียนรู้​ด้วย​ว่า​โทสะ​มัน​ดับ​เอง​ ก็​จะ​เกิด​ปัญญา​เห็น​โทสะ​แสดง​ไตรลักษณ์​ให้​ดู

แต่​ถ้า​แทรกแซง​ เช่น​ไป​นับ​”พุทโธ” แล้ว​โทสะ​ดับ
จิต​ก็​เข้าใจ​เพียง​ว่า​ โทสะ​ดับ​เพราะ​นับ​”พุท​โ​ธ”
ซึ่ง​ก็​ดี​ แต่ได้​แค่​สมถกรรมฐาน​
ยัง​ไม่​ขึ้น​วิปัสสนา​ เพราะ​ยังไม่​เห็น​ไตร​ลัก​ษ​ณ์​ของ​สภาวะ

๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๕ ?? #ถาม : นิยาม ของคำว่า”จิตถึงฐาน” คืออะไรคะ ? จิตถึงฐาน จิตไม่ถึงฐาน …

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๕
??
#ถาม : นิยาม ของคำว่า”จิตถึงฐาน” คืออะไรคะ ?
จิตถึงฐาน จิตไม่ถึงฐาน ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ รบกวนพระอาจารย์กฤชด้วยค่ะ​

#ตอบ​ : จิต​ถึง​ฐาน​ ก็​คือ​ จิต​ที่​มี​สัมมา​สมาธิ
หรือ​เรียก​อีก​อย่าง​หนึ่ง​ว่า​ จิตตั้งมั่น​

จะ​เข้าใจ​”จิต​ถึง​ฐาน”มาก​ขึ้น​ เมื่อ​เห็น​”จิต​ที่​ไม่​ถึง​ฐาน​”

จิต​ไม่​ถึง​ฐาน​ ก็​คือ​ จิต​ที่​ถลำไป​รู้​อารมณ์
มัน​พุ่ง​ไป​ที่​อารมณ์​ ความ​สนใจ​มัน​ไป​เน้น​ที่​อารมณ์

ถ้า​เห็น​จิต​ที่​มัน​ถลำ​ไป​ เคลื่อน​ไป​ พุ่ง​ไป​ จิตขณะ​ที่​เห็น​นั้น​ก็​ถึง​ฐาน​พอดี

ผล​จาก​การ​ที่​จิต​ถึง​ฐาน​ จิต​จะ​มี​กำลัง​ จะ​สังเกต​ได้​จาก​การ​ที่​จิต​ไม่​ไหล​รวม​ไป​อยู่​กับ​อารมณ์
ความ​รู้สึก​ใน​ขณะนั้น​จะ​เห็น​ว่า​ อารมณ์​ก็​อยู่​ต่างหาก​ จิต​ที่​เป็น​ผู้​รู้​ก็​อยู่​ต่างหาก
ตรง​นี้​บางที​ครูบาอาจารย์​จะบอก​ว่า​ มัน​แยก​ธาตุ​แยก​ขันธ์​ เริ่ม​เดิน​ปัญญา​แล้ว

๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๔ ?? #ถาม : ตามพระพุทธพจน์ พ่อแม่ เป็นอรหันต์ของบุตร หรือ เป็นพรหมของบุตร ครับ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๔
??
#ถาม : ตามพระพุทธพจน์ พ่อแม่ เป็นอรหันต์ของบุตร หรือ เป็นพรหมของบุตร ครับ?

#ตอบ : เท่าที่ทราบ ไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า “พ่อแม่เป็นอรหันต์ของบุตร” นะ
มีแต่ที่ตรัสว่า “เป็นพรหมของบุตร”
พระพุทธพจน์นั้นมีปรากฏใน พรหมสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ดังนี้
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ

มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร
ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ และว่าอาหุไนยบุคคล
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการ และสักการะ มารดาบิดา
ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง
เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง
เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์”

คำว่า “พรหม” ในที่นี้ เป็นชื่อของท่านผู้ประเสริฐ
พ่อแม่ย่อมประเสริฐด้วยคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คือมีพรหมวิหาร ๔ นี้ กับบุตรของตนอยู่เสมอ
ในศาสนาพราหมณ์ เชื่อกันว่าทุกสิ่งในโลก รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากพระพรหม
แต่พระพุทธองค์แสดงให้เห็นความจริงว่า มนุษย์เกิดได้ก็เพราะมีพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง
นอกจากจะให้กำเนิดแล้ว ยังเลี้ยงดูด้วยความปรารถนาดี, เมื่อร้องไห้หรือไม่สบายก็มาบำบัดทุกข์ให้, บันเทิงเริงใจด้วยเมื่อเห็นลูกก้าวหน้าไปในทางที่ดี, เมื่อลูกมีครอบครัวแยกเรือนออกไปพ่อแม่ก็วางใจว่าลูกเราสามารถเป็นอยู่ได้ตามลำพัง

ที่ว่าเป็น “บุรพาจารย์” ก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้ลูกเรียนรู้การใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด สอนให้กิน สอนให้นอน สอนให้นั่ง สอนให้เดิน สอนให้พูด สอนว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ สอนสิ่งต่างๆ มากมาย ก่อนที่จะส่งไปให้อาจารย์เหล่าอื่นสอนศิลปวิทยาการต่างๆ
อาจารย์เหล่าอื่นทั้งหมดจึงชื่อว่า “ปัจฉาจารย์” คืออาจารย์ที่มาทีหลัง

ที่ว่าเป็น “อาหุไนยบุคคล” นั้น แปลว่า เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ คือมีคุณอันสมควรแก่ลูกที่จะนำของมาให้ด้วยความนอบน้อม เพื่อแสดงความนับถือเชิดชูบูชา จัดหาข้าวน้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม เตียงตั่ง เครื่องลูบไล้ผัดทาต่างๆ
บัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อเห็นลูกปรนนิบัติพ่อแม่แล้วก็ย่อมสรรเสริญ เพราะการทำอย่างนั้นเป็นบุญใหญ่ เป็นเหตุให้ไปสถิตอยู่ในสวรรค์ ร่าเริงบันเทิงใจด้วยทิพยสมบัติ

เข้าใจว่า ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าเปรียบมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตรว่าเป็น “อาหุไนยบุคคล” นี้ ก็ทำให้มีผู้ไปเทียบกับสังฆคุณ ที่มีคำว่า “อาหุเนยโย” ก็เลยโยงไปว่า พ่อแม่ก็น่าจะเป็นพระอรหันต์ของลูกด้วย
ตรงนี้ขออธิบายว่า
มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร เป็นอาหุไนยบุคคลเฉพาะกับบุตรของตนเท่านั้น
พระอริยบุคคล เป็นอาหุไนยบุคคลกับสัตว์ทั้งหลาย
จะเห็นได้ว่า ไม่เหมือนกัน
ถ้ามารดาบิดาฝึกภาวนาจนกระทั่งบรรลุผลเป็นพระโสดาบัน มารดาบิดานั้นก็เป็นอาหุไนยบุคคลสำหรับบุตรของตนด้วย และเป็นอาหุไนยบุคคลสำหรับสัตว์ทั้งหลายด้วย แต่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์อยู่ดี
เพราะคำว่า “อรหันต์” คือผู้พ้นจากกิเลส ทรงความบริสุทธิ์ ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด
สำหรับพระพุทธเจ้า จะใช้คำเต็มว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” (พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบเอง)
สำหรับพระสาวก จะใช้คำเต็มว่า “อรหันตขีณาสพ” (พระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะแล้ว)

มีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า
ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เอียฮู” ได้ข่าวว่าที่เมืองเสฉวนได้มีพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อ “บ่อจี่ไต้ซือ” เป็นพระอรหันต์ผู้สำเร็จฌานอภิญญา มีวิชาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน เอียฮูอยากได้วิชาวิเศษนั้นบ้าง อย่างน้อย หากได้พบพระอรหันต์แล้วก็จะเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต
เอียฮูออกตามหาพระอรหันต์ โดยทิ้งแม่ที่แก่ชราหูตาฝ้าฟางให้อยู่กับบ้านตามลำพัง แม้ว่าแม่จะห้ามจะอ้อนวอนเท่าไรเขาก็ไม่ฟัง ยังยืนยันว่าจะไปให้ได้ ปล่อยให้ผู้เฒ่าหงอยเหงา นั่งนอนเศร้าเฝ้าบ้านอยู่เดียวดาย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในระหว่างทาง เอียฮูพบพระเถระรูปหนึ่ง เห็นแล้วเลื่อมใส จึงเข้าไปกราบ แล้วถามว่า “ท่านมาจากไหน?”
พระเถระก็ตอบว่า “เรามาเมื่อน้ำจืด”
เอียฮูก็ถามต่อไปว่า “แล้วพระคุณเจ้าจะเดินทางต่อไปที่ไหนอีก?”
พระเถระตอบว่า “เราไปแล้วไม่มีใจ”
เอียฮูจึงถามต่อไปว่า “พระคุณเจ้าอายุพรรษาเท่าไรแล้ว?”
พระเถระตอบว่า “เราเรียนวิชาอายุวัฒนะได้สำเร็จแล้ว อายุของเราจึงประมาณไม่ได้ว่าเท่าไร”
เอียฮูดีใจว่าใช่พระอรหันต์ที่เราตามหาแน่ จึงถามหยั่งเชิงต่อไปว่า “พระคุณเจ้ามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยใครหรือ?”
พระเถระจึงตอบว่า “เรามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยคนที่ไม่มีความรู้สึกตัวว่าชั่ว”
เอียฮูรู้สึกว่านี่เป็นปริศนาธรรม จึงถามจี้เข้าเรื่องว่า “ท่านคือพระอรหันต์นามว่าบ่อจี่ไต้ซือ ใช่หรือไม่?”
พระเถระย้อนถามว่า “เธอถามถึงพระอรหันต์นามว่าบ่อจี่ไต้ซือไปทำไม?”
เมื่อเอียฮูบอกจุดประสงค์แล้ว พระเถระจึงบอกว่า “การที่จะพบพระอรหันต์นั่นไม่ยากหรอก เธอไม่ต้องเดินทางไปยังเสฉวนให้เหนื่อย เธอจงเดินกลับไปบ้านของเธอเถิด ถ้าพบผู้ใดที่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับ นั่นแหละคือพระอรหันต์ของเธอ เธอจง อย่าลืมคำที่เราบอกนะเอียฮู”
เอียฮูได้ยินพระเถระพูดเช่นนั้น ก็หันหน้ากลับเพื่อเก็บสัมภาระ รู้สึกอัศจรรย์ว่าในหมู่บ้านเราก็มีพระอรหันต์ด้วยหรือ จึงหันกลับไปเพื่อจะซักไซ้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ปรากฏว่าพระเถระหายตัวไปเสียแล้ว เอียฮูก็ยิ่งศรัทธาเชื่อมั่นในคำของพระเถระ รีบมุ่งหน้ากลับบ้าน
ระหว่างเดินทางก็ทบทวนคำของพระเถระอยู่เสมอ กลับถึงหมู่บ้านก็ดึกมากแล้ว ผู้คนหลับกันหมดแล้ว พอถึงหน้าบ้านก็เคาะประตูเรียกแม่ “แม่.. แม่จ๋า.. ลูกกลับมาแล้ว เปิดประตูที”
แม่ผู้เฝ้าคิดถึงแต่ลูก กินไม่ได้นอนไม่หลับมานาน ผ่ายผอมลงมาก เพิ่งจะเคลิ้มไป ได้ยินเสียงลูกมาเรียกที่หน้าบ้าน ทีแรกก็คิดว่าฝันไป ไม่เชื่อหูตัวเอง ฉุกคิดว่า “นี่เราไม่ได้หลับ นี่เสียงลูกมาเรียกจริงๆ”
แม่ที่รู้สึกสุดแสนดีใจ รีบกระวีกระวาดไปรับลูก ด้วยความที่รีบหยิบเสื้อมาสวม รีบหยิบรองเท้ามาใส่โดยไม่ทันดูให้ดี พอเปิดประตู เอียฮูเห็นแม่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับตรงตามที่พระเถระบอกไว้ว่า “ผู้ใดที่ใส่เสื้อกลับใส่รองเท้ากลับ นั่นแหละคือพระอรหันต์ของเธอ” เอียฮูเกิดความสำนึกผิด ก้มลงกราบที่เท้าผู้เป็นแม่ แล้วหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจในการกระทำของตน แล้วขอโทษที่ตนได้ทอดทิ้งไป ให้คำมั่นว่าต่อแต่นี้ไปตนจะประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของแม่ จะไม่ทอดทิ้งแม่อีก เพราะแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
เมื่อเอียฮูกตัญญูกับแม่ ปรนนิบัติแม่ดุจเป็นพระอรหันต์ ขยันขันแข็งทำงานเพื่อแม่ ข้าวในนาก็อุดมสมบูรณ์ ชีวิตเขาก็กลับเจริญรุ่งเรือง

นิทานเรื่องนี้ก็ทำให้เราคุ้นเคยกับคำว่า “พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” มากยิ่งขึ้น ถ้าเข้าใจและรู้ที่มาที่ไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ถ้าอยากจะเป็นพระอรหันต์ แล้วหาทางลัดด้วยการไปมีลูก อย่างนี้ก็น่าจะผิดทาง!

๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๓ ?? #ถาม : มงคล 38 ประการ ห้ามคบคนพาล คนพาลในที่นี้คือใคร #ตอบ : คนพาล คือ…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๓
??
#ถาม : มงคล 38 ประการ ห้ามคบคนพาล คนพาลในที่นี้คือใคร

#ตอบ : คนพาล คือ ผู้ที่มักทำอกุศลกรรม มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นผู้ที่สักแต่ว่าหายใจไปวันๆ เพราะไม่รู้ประโยชน์ของชาตินี้และชาติหน้า

คนที่ไม่ทำประโยชน์ของชาตินี้ ได้แก่
1. เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ทำงาน ไม่หาวิชาความรู้ที่จะนำมาหาเลี้ยงชีพ (ไม่หาทรัพย์ใหม่)
2. ไม่รักษาทรัพย์ของตนด้วยปัญญา (ไม่รักษาทรัพย์เก่า)
3. เป็นอยู่ด้วยความประมาท ฟุ่มเฟือย (ไม่ทำบุญ)
4. เป็นคนพาลสันดานบาป (ทำบาป)

คนที่ไม่ทำประโยชน์สำหรับชาติหน้า ได้แก่
1. ไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย (สัทธา)
2. ไม่มีศีล (สีล)
3. ไม่ฟังธรรม (สุตะ)
4. ไม่บริจาคทาน (จาคะ)

เมื่อไม่รู้ประโยชน์ของชาตินี้และชาติหน้า ก็จึงไม่ประกอบกุศลกรรม ไม่อบรมปัญญา รวมทั้งเป็นผู้ที่เห็นผิด คิดผิด พูดผิด เลี้ยงชีพผิด เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องแสดงความเป็นคนพาล

ส่วน บัณฑิต ย่อมเป็นผู้มักกระทำกุศลกรรม มีชีวิตที่เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น และทำประโยชน์สำหรับชาตินี้และชาติหน้า เป็นผู้มีความเห็นถูก คิดถูก พูดถูก มีอาชีพที่ถูก เป็นต้น

ในธรรมบท เรื่องโจรผู้ทำลายปม (คือ ชอบขโมยทรัพย์ที่ผู้อื่นขอดรัดเป็นห่อไว้ตามชายผ้า เป็นต้น) ได้กล่าวถึงโจร ๒ คน มุ่งที่จะไปขโมยทรัพย์ของคนที่มานั่งฟังธรรมที่พระวิหารเชตวัน

โจรคนหนึ่งมุ่งแต่จะหาทางขโมย แอบแก้ห่อลักเอาทรัพย์ของผู้อื่น โจรอีกคนหนึ่งแม้เดิมคิดจะมาขโมยแต่ด้วยความที่เคยสะสมบุญมาดี จึงเห็นว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรมเสียก่อน จึงตั้งใจฟังพระธรรมด้วยความเคารพ

ผลก็คือ ทำให้โจรคนที่ตั้งใจฟังพระธรรมได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่โจรคนที่มุ่งแต่จะลักทรัพย์ของผู้อื่น ก็กระทำบาปด้วยการลักขโมยโดยไม่สนใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร
เมื่อการแสดงธรรมจบลง โจรที่มุ่งแต่ขโมยก็ดีใจในทรัพย์สินที่ลักมา พร้อมกับดูหมิ่นเย้ยหยันเพื่อนที่บรรลุเป็นพระโสดาบันว่าไม่สามารถหาทรัพย์ได้ มาเสียเวลาเปล่า

สหายผู้บรรลุเป็นพระโสดาบัน คิดว่าโจรคนนี้สำคัญว่าตนเองเป็นบัณฑิต ทั้งๆ เป็นคนพาลแท้ๆ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลความเป็นไปทั้งหมด เป็นเหตุให้พระองค์ตรัสพระคาถาว่า
“คนพาลที่รู้ตัวว่าเป็นคนพาล
ยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่คนพาลที่สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต
นั่นแหละ เรียกว่า คนพาลแท้”

เมื่อบุคคลเสพคุ้นกับคนพาล-แม้ด้วยใจ คือยินดีพอใจในอกุศล ขณะนั้นชื่อว่ายินดีพอใจในความเป็นพาล และเสพคุ้นกับคนพาลแล้ว เพราะใจตนเองนั่นแหละเป็นพาล
เมื่อใจเป็นอกุศล ก็ทำให้ในขณะนั้นอกุศลเจริญขึ้น ความเห็นผิดและอกุศลประการต่างๆ ก็หยั่งรากลึกขึ้น เพราะการเสพคุ้นกับความเป็นคนพาล

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อยังเป็นปุถุชน..จิตใจก็มักไหลไปสู่ที่ต่ำ เมื่อเสพคุ้นคุ้นกับคนพาลผู้มากไปด้วยอกุศล คนพาลก็ย่อมแนะนำแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่ประเสริฐ ก็ทำให้จิตใจของผู้ที่อยู่ใกล้ก็คล้อยไปตามสิ่งเหล่านั้นได้ง่าย เพราะใจของคนที่ฝึกมาไม่ดีก็น้อมไปในทางอกุศลทางกิเลสได้ง่ายอยู่แล้ว

ต้นมะม่วง ที่ปลูกโดยมีต้นสะเดาล้อมรอบใกล้ชิด นานวันเข้า ผลมะม่วงก็ยังขมได้

ข้อสำคัญที่อยากจะเตือนก็คือ เรามักคิดว่าคนพาลเป็นคนอื่น และคิดที่จะปฏิบัติกับคนพาลภายนอกที่เป็นคนอื่น
แต่ในความเป็นจริง ความเป็นคนพาล..ก็คือสภาพธรรมที่เป็นอกุศล ดังนั้น ควรปฏิบัติกับความเป็นคนพาล คือใจของเรานี่แหละ ใจที่เป็นพาลอยู่บ่อยๆ ทุกๆขณะที่เป็นอกุศลกำลังเกิดขึ้น

มาฝึกพัฒนาจิตใจด้วยข้อปฏิบัติที่ละความเป็นคนพาล โดยมีสติรู้ทันความเป็นอกุศล เมื่อเห็นความพาลในใจบ่อยๆ จิตจะเรียนรู้ได้ว่าลักษณะของสภาวะพาลนั้นเป็นอย่างไร เมื่อพาลแล้วมีผลอย่างไร และอะไรเป็นเหตุให้พาล
ผลที่ได้จากการฝึกรู้ทันความพาล คือการเจริญขึ้นของกุศลธรรม
เมื่อเห็นว่าใจพาลไปมีกิเลส กุศลก็เกิด เพราะขณะนั้นมีสติ
เมื่อเห็นว่าใจพาลในลักษณะไม่ยอมนิ่ง เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย แต่ทันทีที่เห็นมันกลับตั้งมั่นชั่วขณะ ได้สมาธิ
เมื่อมีกำลังของสติและสมาธิ ปัญญาก็เกิด เห็นว่าความพาลก็เกิดดับ

ศีล-ค่อยๆ ข่มความเป็นพาลในจิตใจที่เป็นส่วนหยาบ
สมาธิ-ก็ค่อยๆ ข่มความพาลของใจในส่วนที่ละเอียดขึ้นมา
ปัญญา-จะเป็นความเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ถ้าบรรลุมรรคผลก็ละความพาลได้เด็ดขาดตามชั้นตามภูมิ
ความพาลสำคัญที่จะดับไปด้วยมรรค คือความเห็นผิด คิดว่ากายใจนี้เป็นเรา

การดับความเห็นผิดที่เป็นพาล สำคัญยิ่งกว่าไปดับความพาลของบุคคลอื่น ด้วยเหตุว่า ที่สัตว์ทั้งหลายทุกข์เจียนตายในอบายนั้น ก็เป็นผลจากความพาลในอดีตของตนทั้งสิ้น ความพาลของผู้อื่นไม่สามารถเป็นเหตุให้เราไปอบายได้เลย
ในทางตรงข้าม แม้สัตว์ทั้งโลกนี้ต่างมุ่งดี ทำแต่บุญกุศล มีเราผู้เดียวที่เป็นพาล กุศลของสัตว์ทั้งโลกนี้ก็ไม่อาจป้องกันเราจากอบายได้
คนพาลยอมได้รับผลความเป็นคนพาลนั้นเอง นอกเสียจากว่าคนพาลนั้นเริ่มรู้สึกตัวว่าตนเป็นคนพาลจริงๆ ก็ยังมีโอกาสพัฒนาให้พ้นจากความเป็นคนพาลนั้นได้

๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๒ ?? #ถาม​ : คำ​ว่า​ “เดินปัญญา” คืออะไรคะ?​ และการเดินปัญญาที่ถูกต้อง​ ควรทำอย่างไรคะ?…

#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๔๒
??
#ถาม​ : คำ​ว่า​ “เดินปัญญา” คืออะไรคะ?​ และการเดินปัญญาที่ถูกต้อง​ ควรทำอย่างไรคะ?

#ตอบ​ : คำ​ว่า​ “เดิน​ปัญญา” ที่​ครูบาอาจาร​ย์สอน​ คือ​การ​ที่​ภาวนา​ เจริญ​สติ​ เจริญ​สมาธิ​มี​จิต​ตั้งมั่น​ จน​เห็น​กาย​เห็น​ใจ​แสดง​ลักษณะ​สาม​อย่าง​ (ได้แก่​ ความ​ไม่​เที่ยง, เป็น​ทุกข์​ หรือ​เป็น​อนัตตา)​ อย่าง​ใด​อย่าง​หนึ่ง​ เรียก​เป็น​ศัพท์​ว่า​ “เจริญ​วิปัสสนา”

ถ้า​นั่ง​สมาธิ​ แล้ว​มี​ความ​สุข​ เพลิน​ สบาย.. ชวน​ให้​ติดใจ​ อย่างนี้​ครูบาอาจารย์​ท่าน​เรียก​ว่า​ “เดิน​สมถะ” ยัง​ไม่​ใช่เดิน​ปัญญา​

ถ้า​จิต​ตั้งมั่น​แล้ว​ :-
– เห็น​กาย​หายใจ​-ใจ​เป็น​คน​ดู​ ความ​รู้สึก​จะ​ประมาณ​ว่า.. กาย​นี้​เป็น​สิ่ง​ที่​ใจ​ไป​รู้​เข้า​ เห็น​กาย​แยก​ออก​ไป​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​-จิต​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู​ หรือ..
– เห็น​เวทนา​แยก​ออก​ไป​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​-จิต​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู​ หรือ..
– เห็น​กิเลส​แยก​ออก​ไป​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​-จิต​เป็น​ผู้​รู้​ผู้​ดู​
ทั้งสามอย่าง​นี้​เรียก​ว่า​ “เดิน​ปัญญา” ได้​เหมือนกัน​ แต่​ยัง​ไม่​ถึง​ขั้น​วิปัสสนา​ เพราะ​การ​เห็น​อย่างนี้​ยัง​ไม่​จัด​ว่า​เห็น​ไตรลักษณ์​ แต่​ก็​นับ​ว่า​ดี​มาก​แล้ว​นะ​ เป็น​ปัญญา​ระดับ​แยก​ธาตุ​แยก​ขันธ์

ถ้า​แยก​ธาตุ​แยก​ขันธ์​แล้ว​ เห็น​ว่ากายก็​เป็น​กาย​-ไม่​ใช่​เรา​ เห็น​ว่า​เวทนาก็​เป็น​เวทนา-ไม่​ใช่​เรา​ เห็น​ว่า​กิเลสก็​เป็น​ความ​ปรุงแต่ง​ใน​จิต-ไม่​ใช่​เรา​ อย่าง​นี้​เรียก​ว่า​ “เดิน​ปัญญา” ระดับ​วิปัสสนา​ เพราะ​เห็น​ความ​เป็น​อนัตตาของ​ขันธ์ที่​เห็น

ถ้า​จิต​ตั้งมั่น​แล้ว​ เห็น​จิต​เกิด​ดับ​ เดี๋ยว​ก็​เป็น​ผู้​รู้​ เดี๋ยว​ก็​เป็น​ผู้​หลง​ อย่าง​นี้​เรียก​ว่า​ “เดิน​ปัญญา” ระดับ​วิปัสสนา​ เพราะ​เห็น​ความ​ไม่​เที่ยง​ของจิต

เทียบ​ใน​”โสฬส​ญาณ” หรือ​ ญาณ​ ๑๖​ สาม​ข้อ​แรก​ก็​นับ​ว่า​เป็น​การ​เดิน​ปัญญา​ แต่​ยัง​ไม่​ใช่​ “วิปัสสนา​ญาณ” สาม​ข้อ​นั้น​คือ
๑.​ นาม​รูปปริจเฉท​ญาณ​ ญาณ​จำแนก​แจก​ได้​ว่า​อะไร​เป็น​รูป​ อะไร​เป็น​นาม​
๒.​ ปัจจยปริคค​ห​ญาณ​ ญาณ​รู้​ปัจจัย​ของ​นาม​และ​รูป
๓.​ สัมม​สนญาณ​ รู้​ด้วย​การ​คิด​พิจารณา​เห็น​นาม​และ​รูป​โดย​ไตรลักษณ์

ถ้า​เห็น​รูป​นาม​แสดง​ความจริง​ เกิด​เป็น​ความ​รู้​เข้าใจ​สภาวะ​ตาม​ไตรลักษณ์​แง่​ใ​ด​แง่​หนึ่ง​ จึง​จัด​ว่า​เป็น​การ​เจริญ​วิปัสสนา​ ซึ่ง​ท่าน​ได้​รวบรวม​ไว้​ได้​ ๙​ อย่าง​ คือ
๑.​ อุทยัพ​พยญาณ​ ญาณ​เห็น​รูป​นาม​เกิด​ดับ
๒.​ ภังค​ญาณ​ ญาณ​เห็น​ว่า​สังขาร​ทั้งปวง​ล้วน​ต้อง​ดับ​สลาย
๓.​ ภยญาณ​ ญาณ​เห็น​สังขาร​เป็น​ภัย​น่า​กลัว
๔.​ อาทีนวญาณ​ ญาณ​เห็น​โทษ​ของ​สังขาร​ว่า​ไม่​ปลอดภัย
๕.​ นิพพิทาญาณ​ ญาณ​เห็น​ความ​จริง​แล้ว​หน่าย​ ไม่​เพลิดเพลิน​ติดใจ
๖.​ มุญจิตุกัมมยตาญาณ​ ญาณ​คำนึง​ปรารถนา​จะ​พ้น​ไป​จาก​สังขาร
๗.​ ปฏิสังขาญาณ​ ญาณ​ยก​เอา​สังขาร​มา​พิจารณา​ด้วย​ไตรลักษณ์​เพื่อ​หา​อุบาย​ปลด​เปลื้อง​ออก​ไป
๘.​ สังขารุเปกขาญาณ​ ญาณ​เป็นไป​โดย​ความ​เป็นกลาง​ต่อ​สังขาร
๙.​ อนุโลม​ญาณ​ ญาณ​เป็นไป​โดย​อนุโลม​แก่​การ​หยั่งรู้​อริยสัจ

ทั้ง​ ๑๒​ (๓+๙) ข้อ​นี้​ เรียก​ว่า​ “เดิน​ปัญญา”

๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


อ่านบน Facebook