#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๗ #สามีเสียชีวิต กับ #วิธีตัดใจในความเศร้า ?? #ถาม : สามีเสียชีวิตไปปีกว่าแล้ว แต่โยมยังมีอาการร้องไห้คิดถึงเขาอยู่ทุกวัน ทำใจไม่ได้ จะตัดใจอย่างไรดีคะ? #ตอบ : วิธีตัดใจนะ! ถ้าสมมุติว่าสามีโยมนี่ตายไปแล้วไปสู่สุคติแล้วไปเป็นเทวดาแล้ว ถ้าเขามาดูอดีตภรรยา เห็นเรายังร้องไห้ทุกวันเลย เรายังรู้สึกว่าเศร้าใจ สามีก็จะเศร้าใจ คงจะนึกประมาณว่า “แทนที่จะทำบุญให้เรา กลับทำอกุศลให้เรา นึกถึงเราทีไร ก็ร้องไห้ทุกที” นี่ มันส่งอกุศลนะ! เพราะการร้องไห้นี่ก็เพราะมีความเศร้าโศก จิตเศร้าหมอง มันไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กับใครเลย กับตัวเอง..ก็ไม่ได้ กับสามีที่ตายไปแล้ว..ก็ไม่ได้ สมมุติเขาไม่ได้เป็นเทวดา..ไปเป็นเปรต..สมมุตินะ! สมมุติว่าเขาเป็นเปรต กำลังรอบุญอยู่ คงจะนึกประมาณว่า “แล้วไหนล่ะบุญ? ไม่เห็นมีบุญส่งมาเลย มีแต่น้ำตา มีแต่ความทุกข์” อย่างนี้ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย แล้วก็กลับกลายเป็นซ้ำเติมกันเองอีก เพราะเขาก็กำลังทุกข์ ต้องการความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น ทำใจให้สบาย ๆ ก่อนนะ ที่นี้ เราระลึกได้ว่า เราเคยมีชีวิตอยู่ร่วมกัน เคยมีสุขมีทุกข์ร่วมกัน เห็นอย่างนี้แล้ว เราระลึกถึงเขาแล้วเนี่ย เห็นความเอื้อเฟื้อที่เคยมีต่อกันอย่างนี้ ก็ควรจะทำบุญ ทำบุญมีอะไรได้บ้าง? มีให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ให้ทานก็มีได้ทั้งให้วัตถุทาน ให้อภัยทาน ให้ธรรมทาน จะเห็นว่าบุญทั้งหมดนี้ที่ว่ามานี้ มีเสียตังค์อยู่แค่ส่วนเดียว นอกนั้นเนี่ย.. ให้อภัยทานไม่ต้องเสียตังค์ ได้บุญมากด้วย แล้วก็ให้ธรรมทาน คือให้ความรู้ของเรามีประโยชน์กับคนอื่นต่อ ธรรมทานระดับสูง ก็คือว่า ได้ธรรมะแล้ว รู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ก็มาบอกต่อ แต่เราไม่ถึงขั้นนั้น ยังไม่รู้ธรรมเห็นธรรม ก็ดูว่า เรามีความรู้ความสามารถอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็ไปถ่ายทอด เช่น ทำขนมเก่ง ก็ไปสอนเขาทำขนม ทำกับข้าวเก่ง ก็ไปสอนเขาทำกับข้าว อย่างนี้นะ มีฝีมือในการประดิษฐ์อะไร ก็ไปสอน ให้คนเขาได้รับความรู้ความสามารถพัฒนาตัวเองต่อไป ทำแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์ด้วยนะ จิตก็เป็นกุศล บุญก็ได้มาก ได้บุญแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้สามีด้วยนะ ไม่ใช่มานั่งจมกับความเศร้า คิดถึงสามีด้วยจิตเศร้า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นกับใครเลย พยายามหาเวลา ทำตนเองให้เป็นประโยชน์ จะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า คุณค่าที่เกิดขึ้นนี่ จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ทีนี้ก็จะใช้ชีวิตขลุกอยู่กับบุญ ลืมร้องไห้คร่ำครวญไปเลย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “#ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/XP0EvakOHTk (นาทีที่ 10:34 – 14:00) Shortlink: January 8, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๖ #การเจริญสติปัฏฐาน ?? #ถาม : อยากทราบวิธีดู กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมครับ? #ตอบ : อันนี้เป็นเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน จะมีคำเป็นชุดอยู่ว่า “ตามดูกายในกาย… ตามดูเวทนาในเวทนา… ตามดูจิตในจิต… ตามดูธรรมในธรรม…” ที่ว่า “กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม” เนี่ย ก็มีอธิบายได้ ๒ แง่ใหญ่ ๆ ยกตัวอย่าง อย่างดู “กายในกาย” ก่อน “กายในกาย” ในแง่ที่หนึ่ง ก็คือ กายมันมีหลายส่วน ก็ดูเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เป็นตัวแทนของกาย เรียกกายในกาย เช่น ดูลมหายใจ ลมหายใจนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงกาย ในกายทั้งหมดนี้ หรือว่าจะดู ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง ก็คือแต่ละส่วน ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของกาย ในกายทั้งหมดนี้ เวลาดูกายก็คือ ยกเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมาพิจารณา และเห็นว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด จึงใช้คำว่า “กายในกาย” ดู “เวทนาในเวทนา” ก็เช่นเดียวกัน เวทนาก็มีสุข, ทุกข์ หรือเฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ภาษาบาลีเรียกว่า “อทุกขมสุข” เห็นสุข ก็คือ เห็นเป็นแค่เวทนาในบรรดาเวทนาทั้งหลาย เห็นทุกข์ ก็เห็นเป็นแค่เวทนาในบรรดาเวทนาทั้งหลาย นี่คือ เห็น “เวทนาในเวทนา“ เห็น “จิตในจิต” ก็คือ เห็นจิตมันแสดงการปรุงแต่งต่าง ๆ นานา พระพุทธเจ้าเวลาให้ดูจิตในจิตเนี่ย พระองค์ให้ดูว่า.. จิตมีราคะ ก็ให้รู้ว่า..มีราคะ จิตไม่มีราคะ ก็ให้รู้ว่า..ไม่มีราคะ เป็นต้น ราคะ ก็เป็นหนึ่งในความปรุงแต่งในจิตนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่า เห็น “จิตในจิต“ เห็น “ธรรมในธรรม” ก็เช่น เห็นความลังเลสงสัย ก็รู้ว่า นี่เป็นเพียงสภาวะหนึ่งในนิวรณ์ เป็นต้น แง่นี้คือ เห็นส่วนย่อยในส่วนองค์รวม อีกแง่หนึ่ง “กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม” ก็คือว่า เห็น “กายในกาย” ก็คือมันเป็นแค่ “กาย“ คนเวลาเห็น “กายที่ไม่ใช่กาย“ มันจะเห็นเป็นยังไง? ก็เห็นเป็น “กู“ เห็นเป็น “ฉัน” อย่างนี้นะ อย่างนี้ไม่ใช่.. ความจริงมันก็คือ “กาย” นั่นแหละ! ลม ก็คือ “กาย“ ผม, ขน, เล็บ ก็คือ “กาย“ ‘ไม่ใช่ผมฉัน ไม่ใช่เล็บฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่ฉัน’ ถ้ากำลังนั่ง ก็เป็น “กาย” อยู่ในอิริยาบถนั่ง ถ้าเดินจงกรมอยู่ ก็เห็น “กาย” กำลังอยู่ในอิริยาบถเดิน ไม่ใช่ “กู” เดิน ไม่ใช่ “ฉัน” เดิน นี่ก็คือ เห็น “กายในกาย“ เวลาเห็นเวทนา ก็เวทนานั่นแหละ เห็นสุข ก็คือ สุขเวทนา เห็นทุกข์ ก็คือ ทุกขเวทนา ‘ไม่ใช่ฉันทุกข์ ไม่ใช่ฉันสุข ไม่ใช่ฉันเฉย ๆ ด้วย’ มันเป็นแค่ “เวทนา” เห็น “เวทนาในเวทนา” ก็คือ.. เห็นเป็นเวทนา ไม่ใช่เห็นเป็น “ฉัน” ไม่ใช่เห็นเป็น “เรา“ ไม่ใช่เห็นเป็น “กู“ เวทนา ก็เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เวลาดูจิต เห็นราคะ.. ก็แค่ราคะ ไม่ใช่เป็น ”เรา” มีราคะ ไม่ใช่ “ฉัน” มีราคะ ‘ไม่ใช่ฉันโกรธ ไม่ใช่ฉันโลภ ไม่ใช่ฉันหลง’ มันเป็นแค่ เป็นความปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจ เรียกว่า เห็น “จิตในจิต” เห็นโทสะในจิต, เห็นโมหะในจิต, เห็นฟุ้งซ่านในจิต, เห็นหดหู่ในจิต อย่างนี้ก็เรียกว่า เห็น “จิตในจิต“ แล้วคือ มันเป็นเพียงแค่สภาวธรรม เป็นรูปธรรมบ้าง เป็นนามธรรมบ้าง ถ้าเห็นรูป..ก็เป็นรูปธรรม ถ้าเห็นเวทนา หรือเห็นจิตแสดงเป็นกิเลสต่าง ๆ ..ก็เป็นนามธรรม ก็สักแต่ว่า รูปธรรมบ้าง-นามธรรมบ้าง ที่เกิดขึ้นมา ให้สติไปรู้เข้าเท่านั้นเอง ไม่มีเราในบรรดาสิ่งเหล่านี้เลย รูป..ก็ไม่ใช่เรา เวทนา..ก็ไม่ใช่เรา จิตทั้งหลาย..ก็ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นต้น ..ก็ไม่ใช่เรา ขันธ์ ๕ มี รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ..ไม่ใช่เรา อายตนะทั้ง ๖ นี้ ก็มีอะไรบ้าง? ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ คู่กับ รูป, รส, กลิ่นเสียง, สัมผัส, ธรรมารมณ์ เหล่านี้..ไม่ใช่เราทั้งหมดเลย เห็นเป็นเพียงสภาพธรรม อันนี้เห็น “ธรรมในธรรม” นะ! เห็นเป็นสภาพธรรมของมันไปตามอย่างนี้..ไม่มีเรา เรียกว่าเห็น “กายในกาย”.. ‘ไม่ใช่เห็นกูในกาย เห็น “เวทนาในเวทนา” ‘ไม่ใช่เห็นว่ากูเจ็บ กูปวด’ เห็นเพียงแค่เวทนา เห็น “จิตในจิต“ ก็คือ เห็นมันแสดงความปรุงแต่ง เป็นราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ เป็นต้น เห็น “ธรรมในธรรม” ก็เห็นสภาวะธรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง มี นิวรณ์, ขันธ์, อายตนะ เป็นต้น ก็เป็นเพียงสภาวะธรรม เห็นทีไรก็เข้าใจมากขึ้น ว่าชีวิตนี้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบของรูปธรรมนามธรรมมาประกอบกัน พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/xGwa3WUjc4Y (นาทีที่ 12:30 -17:43) Shortlink: January 3, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๕ #ทำไมภาวนาแล้วเห็นจิตมีแต่ทุกข์ ?? #ถาม : โยมสวดมนต์เองบ้างไปสวดที่วัดบ้าง นั่งทำสมาธิได้น้อยมากไม่ค่อยได้นั่งทำเป็นกิจลักษณะ พยายามตามดูรู้ใจตามดูความคิด ก็เห็นแต่จิตทุกข์, จิตโกรธ, จิตกลัว, จิตกังวล, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ ปนเปกันไปว้าวุ่นวุ่นวาย ปฏิบ้ติไปนาน ๆ เข้า จิตมีแต่ความทุกข์ ไม่เห็นจิตจะมีพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เลยค่ะ #ตอบ : เวลาจิตเป็นทุกข์ จิตมันจะจมอยู่ในเรื่องราว ถ้ารู้ทันว่าจิตมันจมอยู่ในเรื่องราว ก็จะเห็นว่าจิตที่เป็นทุกข์เมื่อสักครู่นี้ถูกรู้ จิตปัจจุบันก็เป็นจิตผู้รู้อยู่ต่างหาก ถ้าดูไม่ทัน หรือไม่รู้ว่าจะภาวนายังไงต่อ ก็ให้กลับไปทำสมถะ เช่น กลับมารู้ที่กาย หรือเห็นกายหายใจก็ได้ เดี๋ยวก็จะเห็นจิตมันทำงานเอง ทบทวนหลักที่หลวงพ่อได้สอนไว้นะ คือ 1. ดูจิตได้ ให้ดูจิต 2. ดูจิตไม่ได้ ให้ดูกาย 3. ดูจิตไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้ ให้กลับไปทำสมถะ มีเวลาที่ไม่ต้องกังวลเรื่องภาวนาอยู่สองเวลา คือ 1. ตอนนอนหลับ 2. ตอนทำงานที่ต้องใช้ความคิด เวลานอกนั้น ภาวนาตามหลักสามข้อข้างบนนะ โยมไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก เพียงแค่บางทีมันลืมหลักไปน่ะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล Shortlink: December 30, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๔ #วางใจยังไงเพื่อไปสุคติภูมิ ?? #ถาม: ปุถุชนทั่วไป ซึ่งค่อนข้างจะไม่รู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากมาย ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ควรวางจิตอย่างไร ที่ให้พ้นจากนรก หรือเดรัจฉานครับ? #ตอบ: ถ้าจะให้อาตมาแนะนำก็คือ อย่ารอถึงวันตาย! คนปุถุชนชนทั้งหลาย ที่ตามสเปคที่โยมว่ามานี้นะ ถ้ารอถึงวันตายเนี่ย..ช่วยยาก ก็ต้องให้เขามาตระหนักความจริงที่ว่า คนเราเกิดมาต้องตายนะ แล้วทางไปหลังจากตายเนี่ย มันไปได้หลายทาง มีทั้งไปดีและไปไม่ดี ไปสุคติกับไปทุคติ ถ้าใจเรามีทุนไม่พอที่จะไปสุคติ มันก็มีโอกาสมากเลยที่จะไปทุคติ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หวังว่าไปวางใจยังไงตอนใกล้ตาย แต่ควรจะลึกถึงความตายเสียแต่บัดนี้ แล้วสร้างเหตุที่จะไปสุคติ ถ้าต้องการจะเวียนว่ายตายเกิดต่อนะ ก็สร้างเหตุที่จะไปสุคติซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อะไรที่ควรทำ สิ่งที่จำเป็นสิ่งเร่งด่วน เพื่อที่จะเตรียมตัวไปสุคติ ก็ต้องทำซะแต่เดี๋ยวนี้เลย ศึกษาวิธี..ถ้าไม่รู้..ก็เข้าหาครูบาอาจารย์ว่าต้องทำอะไรบ้าง? สรุปง่าย ๆ สิ่งที่ต้องทำก็คือ… ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็คือ การทำบุญ นั่นเอง การทำบุญ ก็ควรให้เกิดมีความอิ่มอกอิ่มใจในการทำด้วย ไม่ใช่รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำ ถ้าถูกบังคับให้ทำ เจ้าตัวให้ทานไปก็รู้สึกว่า “เสียดาย!” แทนที่จะได้บุญมาก บางทีอาจจะได้บาปด้วยซ้ำไป มัวแต่คิดเสียดาย หรือมัวแต่คิดตำหนิผู้รับอย่างนี้นะ ก็บางทีมันไม่คุ้ม #เรื่องการให้ทาน : ก็ต้องให้เขาเห็นประโยชน์ จากการที่จะสละสิ่งของให้กับบุคคลอื่น ได้รับความชุ่มชื่นใจ ที่ได้เห็นคนอื่นรับสิ่งของที่เราสละไปนั้น แล้วผู้รับเขามีความสุขขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น เห็นเขามีชีวิตดีขึ้น เราผู้ให้ก็อิ่มอกอิ่มใจ #เรื่องการรักษาศีล : ก็ควรจะรู้สึกว่า “การระวังรักษาการแสดงออกทางกายวาจา ที่จะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปล่วงเกินคนอื่น“ เป็นเรื่องดี เป็นการดี ที่ได้ทำตนให้ไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ด้วยการ.. – ไม่ไปทำร้ายชีวิตเขา – ไม่ไปทำลายทรัพย์สมบัติของคนอื่นเขา – ไม่ไปทำลายคนรักของคนอื่นเขา – ไม่ไปพูดร้าย ๆ ทำให้คนอื่นเขาต้องเสียผลประโยชน์ต่าง ๆ นะ คือ ไม่พูดปด, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ – แล้วก็รักษาตนเองให้เป็นผู้มีสติ ให้สังคมหรือคนที่อยู่รอบข้างที่พบเราแล้ว เขารู้สึกปลอดภัย ก็คือทำตนให้เป็นผู้ไม่มึนเมา รักษาตนด้วยการรู้ว่าถ้าเสพสิ่งนี้แล้วมึนเมา..อย่าไปยุ่ง! อย่าไปเกี่ยว ยุคนี้ ก็มีเสพวัตถุที่ทำให้เรามึนเมาได้หลายอย่าง..ก็ต้องหลีกเลี่ยงมัน แล้วก็ไม่พาตนเองไปในที่ที่อันตราย ที่เราอาจจะต้องไปเสพสิ่งเหล่านี้ด้วย ก็คือ..พัฒนาตนเอง ด้วยการ “ระวังรักษาการแสดงออกทางกายวาจา ที่จะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปล่วงเกินคนอื่น“ #เรื่องการเจริญภาวนา : พอพัฒนาตนเองด้วยการทำบุญได้ถึงรักษาศีลแล้ว ก็ต้องพัฒนาไปถึงขั้นที่จะพัฒนาจิตใจด้วย..ด้วยการทำสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ภาวนามี ๒ เรื่อง คือ สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา “สมถะ” คือ รู้จักทำจิตให้สงบบ้าง ที่มันฟุ้งซ่านวุ่นวายเนี่ย..ก็รู้จักทำความสงบบ้าง ทำความสงบได้แม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วนะ..จะรู้สึกแล้วว่า “ไอ้ความสงบเนี่ยนะ มันดีจังเลย!” เราวุ่นวายมามากเนี่ยนะ..พอสงบไปนิดเดียว จะรู้สึกว่า.. “ไอ้ที่เราสงบเนี่ย! เป็นความสุขอย่างมากเลย” “ไอ้ที่วุ่นวายทั้งหมดเนี่ย! มันเป็นเรื่องหยาบ ๆ แล้วก็ใจเป็นทุกข์” พอได้สงบสักนิดนึง ได้ลิ้มรสของความสงบนะ..ก็จะมีกำลังใจที่จะภาวนาต่อ ทีนี้พอสงบแล้วเนี่ย! อย่าให้สงบเพียงแค่พัก..แล้วก็ฟุ้งใหม่ สงบแล้ว..ฟุ้งใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้เฉย ๆ ก็ให้ความสงบนั้นมาเป็นบาทฐานให้เกิดความเข้าใจชีวิตจริงอันนี้ด้วย หาความจริงของชีวิตที่ว่า “กายนี้..ตกลงมันเป็นเราหรือเปล่า?” “ใจนี้..มันเป็นเราหรือเปล่า?” ที่เราเศร้า หรือที่เราทุกข์ทุกวันนี้ เพราะว่ามันมีการยึดถือ กายนี้..เป็นเรา ใจนี้..เป็นเรา แล้วพยายามแสวงหาอะไรต่างๆ มาสนองเรา ใครมาขัดขวาง..ก็โกรธเขา กายมันจะเจ็บ จะป่วย..ก็เดือดร้อนใจ กายมันจะตาย..ใจก็กระวนกระวาย จิตใจที่กระวนกระวายนั่นแหละ! จะพาไปทุคติ ถ้าเจริญวิปัสสนาด้วย..ก็จะเห็นความจริง มันเป็นธรรมดาอย่างนี้ ยอมรับความจริงได้ เพราะวิปัสสนา คือ กระบวนการเรียนรู้กายใจตามที่มันเป็น มันจะแก่ จะเจ็บ จะตาย.. ก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ไปเดือดร้อนอะไรกับมัน แต่รักษานะ! รักษามัน รักษา..เพื่อเอาชีวิตมาภาวนาต่อ มาพัฒนาจิตใจของเราให้เต็มที่ แต่ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว รักษาไม่ได้ มันป่วย..ถึงขั้นที่จะต้องตายแล้ว หรือว่า มันแก่..จนกระทั่งมันจะต้องตายแล้วเนี่ยนะ ก็รับความจริง ไม่ทุกข์กับมัน เพราะเห็นมามากแล้ว เรียนรู้กายใจตามที่มันเป็นมามากแล้ว อย่างนี้นะ การที่เราภาวนา ก็เพื่อที่จะมาถึงวาระสุดท้าย เห็นว่า..มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ ไม่เสียดาย ไม่อาลัยอาวรณ์ เข้าใจความจริงของมัน ใจที่มันมีปัญญาอย่างนี้ ถ้าแม้ว่าไม่บรรลุมรรคผล ก็จะไปสู่สุคติ แล้วก็จะไปภาวนาต่อที่สุคตินั้นได้ด้วย ไม่เหมือนกับคนที่ฟลุ๊ค ๆ ตายไปเป็นเทวดานะ ฟลุ๊ค ๆ เป็นเทวดานี่นะ ไปเป็นเทวดาแล้ว..ก็เพลิน.. ไม่ได้ภาวนาอะไรต่อหรอก ใช้ชีวิตเสวยบุญ หมดบุญ..แล้วก็ต้องตาย ตกอบายอยู่ดี ! เพราะวิบากกรรมก็ยังรอให้ผล และยังไม่เคยชินที่จะภาวนาเติมบุญกุศลให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นก็ แทนที่จะรอให้ “ถึงวันถึงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะตาย แล้วจะวางใจยังไง?” เนี่ยนะ คิดอย่างนี้ประมาทไป ต้องทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/W8m1Tx0SPQ0 (นาทีที่ 1:23:44 - 1:30:17) Shortlink: December 26, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๓ #จิตและเจตสิกคืออะไร ?? #ถาม : ที่พระสวดอภิธรรมแปล ที่ว่า จิต และ เจตสิก คืออะไรคะ? #ตอบ : จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบจิต จิต และ เจตสิก เป็นนามธรรมด้วยกันทั้งหมด รู้จักขันธ์ ๕ ไหม? ขันธ์ ๕ ส่วนประกอบห้าอย่างที่รวมกันเป็นชีวิต ได้แก่ รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์ เคยได้ยินนะ? รูปขันธ์ เป็นส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรม..ยกเอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึง ในส่วน นามธรรมมี เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์ เราแบ่งอย่างนี้ว่า เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์..เป็น เจตสิก ส่วนวิญญาณขันธ์..เป็น จิต ในอภิธรรมจะแยกอย่างนี้นะ! จิต พูดง่ายๆ คือ ความรับรู้ รับรู้ทางตา เรียกว่า จิตมันเกิดทางตา ศัพท์บาลีเรียกว่า “จักขุวิญญาณ” จิตที่รับรู้เสียงทางหู ภาษาบาลีเรียกว่า “โสตวิญญาณ” จิตที่รับรู้ทางจมูก คือรู้กลิ่น เรียกว่า “ฆานวิญญาน” จิตที่รับรู้ทางลิ้น คือรู้รส เรียกว่า “ชิวหาวิญญาน” จิตที่รับรู้สัมผัสทางกาย คือ เย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง เรียกว่า “กายวิญญาณ” จิตที่รับรู้เรื่องราวทางใจ เรียกว่า “มโนวิญญาณ” เป็นวิญญาณนะ! วิญญาณ คือ จิต อาการหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต เช่น เวลาเราไปเห็นอะไร มีจักขุวิญญาณนี่นะ.. เห็นแล้วเนี่ย เกิดรัก-เกิดชัง.. เป็นเรื่องของ สังขาร มีความปรุงแต่ง เห็นแล้ว มีความสุข ..ความสุขเป็นเวทนา เห็นแล้ว จำได้ว่า “นี่! คนนี้เคยเห็น จำได้” ..ก็มีความจำ เรียกว่า สัญญา จิต และ เจตสิกเนี่ย เกิด-ดับพร้อมกัน มีอารมณ์เดียวกัน นึกออกไหม? อย่างโยมฟังเสียงอาตมานี่นะ! ฟังแล้วเนี่ย.. “โอ้โห! พระเสียงดีจัง” สมมุตินะ! ไอ้ตอนฟังเสียงเนี่ย..จิตรับรู้เสียง เป็น “โสตวิญญาณ” ฟังแล้วมีความสุข สุข..ก็เป็นเวทนา เรียกว่า สุขเวทนา แล้วก็หมายรู้ว่า เสียงนี้เป็นพระ แน่ ๆ .. หมายรู้ว่าเป็นพระ ความหมายรู้ ก็คือ สัญญา ฟังแล้วชอบใจ “เสียงดีจัง” ไอ้ที่คิดว่า “เสียงดีจัง” ..เป็นความปรุงแต่ง เรียกว่า สังขาร นึกออกไหม? เนี่ย เกิดพร้อม ๆ กันเลย จากการที่ฟังเสียงเนี่ย..มีนามธรรมเกิดขึ้นพร้อมกัน-ดับพร้อมกัน มี โสตวิญญาณ ฟังเสียงนี้อยู่ด้วย..ก็เกิด-ดับด้วยกัน พร้อมกัน เวลาเราศึกษาเรื่องจิตนี่นะ จะแยกออกได้ว่า จิต เป็นเพียงแค่ “ตัวรับรู้“ ไอ้ที่เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับ จิต เช่น สุขนี่ ไม่ใช่จิตหรอก..เป็นเพียง ความรู้สึก ไอ้จำได้หมายรู้นี่ ไม่ใช่จิตหรอก..เป็นเพียง สัญญา ไอ้ที่ปรุงแต่ง เป็นสงสัย, เป็นศรัทธา, เป็นบุญ, เป็นบาป, เป็นกุศล, เป็นอกุศล นี่นะ มันไม่ใช่จิตหรอก ..เป็นเพียง สังขาร เป็นความปรุงแต่ง ไอ้ตัวจิต เป็นเพียงแค่ ตัวรับรู้, เป็นผู้รู้, เป็นตัวรับรู้ไปเรื่อย ต่อไป ฟังสวดอภิธรรมจะเข้าใจมากขึ้นแล้วนะคราวนี้! ฟังคำตอบเข้าใจแล้ว ก็ลองไปฝึกภาวนาเองด้วย ดูจิต.. จิต มันเป็นยังไง? ไอ้ความรับรู้ทาง ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ เนี่ย มันเป็นยังไง? สัญญา เป็นยังไง? สังขาร เป็นยังไง? เวทนา เป็นยังไง? ลองรับรู้ แล้วดูจริง ๆ ไม่ใช่ว่าฟังเอาเพียงปริยัติ แต่ต้องเอาไปปฏิบัติด้วย ปริยัติมันเป็นเพียงแค่ว่าฟังเป็นข้อมูลมา ฟังข้อมูลมาแล้ว ต้องลองเอาไปปฏิบัติให้ได้ผลจริง ว่า.. จิต เป็นอย่างนี้นะ เวทนา ..เป็นอย่างนี้นะ ความปรุงแต่งเป็นบุญเป็นบาป ..เป็นอย่างนี้นะ มันมีอยู่ในชีวิตนี้จริง ๆ แล้วชีวิตที่ควรเรียนรู้ คือ ชีวิตของเรา..ที่เรากำลังรู้สึกว่าเป็นเรานี่แหละ เรียนรู้ไป เราจะรู้สึกว่า “อ้าว! ไอ้พวกเหล่านี้นะ เป็นเพียงนามธรรมเกิด-ดับ ไม่ใช่เรา” ไอ้รูปขันธ์ ก็เป็นเพียง รูปธรรม เกิด-ดับ ไม่ใช่เรา นามธรรม ที่แบ่งออกมาเป็น ๔ อย่างนี่นะ..มันก็เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เรา ดูอย่างนี้ด้วย ให้เห็นความจริง ไม่ใช่เพียงท่องจำ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/FKI7va98dI0 (นาทีที่ 1:35:33 – 1:43:04) Shortlink: December 23, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๒ #ทำไมฌานเสื่อมง่ายจัง! ?? #ถาม : โยมทำอานาปานสติได้ฌาน แต่คราวนี้พอไม่ได้ทำฌาน ๓ วัน ฌานเสื่อม ทำไมฌานมันเสื่อมง่ายจังเลยคะ? #ตอบ : ฌาน ก็เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่งซึ่งเกิด-ดับ ฉะนั้น จะทำให้มันไม่เกิด-ไม่ดับเนี่ย ทำไม่ได้! ทำได้อย่างเดียว คือ ทำให้ชำนาญ ทำให้ชำนาญ คือ ทำบ่อย ๆ ทำครั้งเดียวแล้วจะให้มันมีอายุยืนยาวนานเนี่ย..ไม่พอ ต้องหมั่นทำ ทีนี้เวลาจะหมั่นทำเนี่ยนะ! เคยได้แล้ว อย่าอยากได้อีก เพราะความอยากจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ไม่ได้ ตอนที่ทำได้ครั้งแรกเนี่ยไม่มีความอยาก แค่จิตไปแตะรู้อารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ อารมณ์ที่เคยทำนั่นแหละ ทำแบบเดิม ส่วนไอ้ตัวเพิ่มเติม คือ ความอยากเนี่ย..ไม่ต้อง ไม่ต้องไปเติม ทำบ่อย ๆ ทำให้ชำนาญ แล้วก็ให้เห็นว่า มันเป็นธรรมดาของความปรุงแต่งทั้งหลายที่มันเกิดแล้วดับ ฉะนั้น เวลาฌานเสื่อมไป ก็ธรรมดา “ฌาน” ก็เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่งซึ่งเกิด-ดับ เราบังคับไม่ได้ เราทำได้เพียงทำเหตุ คือ ฝึกบ่อย ๆ ถ้าอยากให้มีฌานอีก ก็ฝึก เอาจิตไปรู้อารมณ์ที่จิตชอบแบบสบาย ๆ รู้อารมณ์ที่สบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ นึกออกไหม? อย่างที่เคยทำนั่นแหละ ในเมื่อฌาน มันแสดงความจริงแล้วว่ามันไม่เที่ยง ก็ให้รู้มันตรง ๆ ไปเลย ถ้ารู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์..ความเสียดายเนี่ย อยู่ที่จิต ก็รู้ทันไปเลยว่า..เมื่อกี้มีความเสียดายอาลัยอาวรณ์กับสภาวะ คือฌานที่เกิดขึ้นดับไปเมื่อกี้นี้ อยากได้ฌานอีก..ให้รู้ทันความอยาก อย่าทำฌานตามความอยาก เพราะจะไม่ได้ เพราะความอยากที่ว่าอยากได้ฌานเนี่ย เรียกว่าเป็น “ตัณหา” ตัณหาไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดฌาน แต่ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ให้รู้ทันตัวตัณหาคืออยากได้ฌานนั้นด้วย รู้ทันแล้ว..ทำยังไงต่อ? ก็เคยทำยังไง ก็ทำอย่างนั้นแหละ! เคยรู้อะไร ก็รู้สิ่งนั้นด้วยใจสบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ เคยรู้ลมหายใจ..ก็รู้ลมหายใจแบบสบาย ๆ เคยบริกรรม “พุท-โธ” ..ก็บริกรรม “พุท-โธ” แบบสบาย ๆ เคยหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” ..ก็หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อย่างสบาย ๆ ตอนรู้อารมณ์แบบสบาย ๆ ด้วยจิตสบาย ๆ นี่นะ! จิตจะมีความสุขเอง พอมีความสุขอยู่กับอารมณ์นั้น..จิตก็อยู่กับอารมณ์นั้นได้นานเอง ถ้ามันไม่อยู่ มันดิ้นไป มันไม่ยอม..เรียกว่า จิตอยู่ไม่สุข จิตดิ้นไปหาอารมณ์นู้นอารมณ์นี้..ให้รู้ทันไปเลยว่า จิตมันฟุ้งซ่าน เห็นความฟุ้งซ่านให้เป็นประโยชน์ อย่าให้เห็นความฟุ้งซ่านว่าเป็นศัตรู เห็นความฟุ้งซ่านเป็นประโยชน์ ก็คือว่า เห็นความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาจริงๆ รู้ทัน ความฟุ้งซ่าน..ความฟุ้งซ่านดับ นึกออกไหม? บางทีอาจจะเกิดแบบนี้นะ เนื่องจากคนเคยได้แล้วเนี่ย มักจะอยากได้อีก พออยากได้อีก ก็ทำด้วยตัณหา พอไม่รู้ตัณหานี่นะ มันก็จะไม่ได้นะ ถ้ารู้ทันตัณหาได้ ก็จะง่ายขึ้น ที่นี้ถ้าทำตามตัณหาไป มันก็จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จิตก็จะฟุ้งซ่าน เพราะว่าตัณหาเป็นตัวแปรที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งทำให้ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เหมือนทำเคมี สูตรผสมเคมีมันเปลี่ยนไป มีตัณหาปนเข้ามาเนี่ย ก็ผิดสูตร จะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ฉะนั้นตอนไม่ได้ผล เกิดหงุดหงิด..ให้รู้ทัน ความหงุดหงิด มันฟุ้งซ่าน..ให้รู้ทัน ความฟุ้งซ่าน นึกออกไหม? ไอ้ความหงุดหงิด ความฟุ้งซ่าน..ก็เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น ให้รู้ทันไป แต่ตัวเบื้องหลังจริง ๆ ที่ทำให้ไม่ได้ผล ก็คือ ตัวตัณหาอยากได้เหมือนเดิม ให้รู้ทันกิเลสที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ ตอนต้นนี้ก่อน ไม่งั้นแล้วมันจะทำตามตัณหาอยู่เรื่อย ๆ รู้ทันกิเลสเบื้องต้น ที่เป็นแรงผลักดันให้ทำตัวนี้ขึ้นมาแล้วนี่นะ คราวต่อไป มันก็จะทำอย่างที่ไม่ต้องมีตัณหาตัวนี้ พอทำอย่างไม่มีตัณหาตัวนี้เนี่ย บางทีก็จะเกิดจิตที่ฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก ให้รู้ทัน ฟุ้งซ่าน..ฟุ้งซ่านจะดับไป ความฟุ้งซ่านก็แสดงความจริงด้วย ไม่ใช่รอให้มีความสงบ แล้วจึงดู ความฟุ้งซ่าน ก็แสดงความจริงด้วย แสดงไตรลักษณ์ให้ดูได้ แสดงความไม่เที่ยงให้ดูได้ แสดงความเป็นอนัตตาให้ดูได้ จิตที่รู้..ก็เกิด-ดับด้วย ไม่ต้องไปประคอง ไม่ต้องไปรักษา จิตรู้เอง..ก็เกิด-ดับ ทั้งจิตดีและจิตไม่ดี..ก็เกิด-ดับให้ดู ปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะไม่ได้เห็นของจริงของสิ่งนั้น! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/edpg2OijZDM (นาทีที่ 1:38:58 - 1:44:25) Shortlink: December 17, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๑ #แสงโอภาสจากการทำสมาธิ ?? #ถาม: ทำไมเวลาผมนั่งหรือนอนทำสมาธิ ผมจะเห็นดวงสีม่วง ดวงสีแดง ดวงสีขาว ดวงสีแสด เล็ก ๆ ใหญ่ ๆ พระอาจารย์บางท่านบอกว่า “เป็นแสงโอภาส” “แสงโอภาส” คืออะไรครับ? #ตอบ: “โอภาส” เป็นภาษาบาลี แปลว่า แสงสว่าง เพราะฉะนั้น เห็นโอภาส คือ เห็นแสงสว่าง ก็แค่สักว่า “แสง” เท่านั้นเองไม่มีอะไร ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรน่ากลัว เวลาเห็น”แสง” แล้ว“ใจ”เป็นยังไง?..ให้รู้ทันใจ เห็นแสง..แล้วสงสัย ความสงสัยไม่ใช่แสงแล้ว ให้รู้ทันใจว่า..มีความสงสัยเกิดขึ้นกับใจ รู้ทันว่า..สงสัย เห็นแสง..แล้วดีใจ “โห! วันนี้ฉันปฏิบัติดี แสงสีม่วงสวยเชียว” อย่างนี้นะ! ให้รู้ทันว่า..ดีใจ “เฮ้ย! เห็นอย่างนี้ แสดงว่าเราปฏิบัติดี เก่ง” มีความภูมิใจในแง่ของถือตัว ว่าเราเป็นนักปฏิบัติที่ดี ให้รู้ทันว่า..ถือตัว นึกออกไหม? แสงที่เกิดขึ้น ก็สักว่าแสง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นแสงนั้นแล้ว ใจเราเป็นยังไง? ใจที่รับรู้แสงนั่นแล้ว เกิดอะไรขึ้น? สงสัย..ก็ให้รู้ กลัว..ก็ให้รู้ ดีใจ..ก็ให้รู้ ภูมิใจ เกิดมานะ..ก็ให้รู้ อย่างนี้นะ อย่างนี้เรียกว่าได้ประโยชน์จากการมี “แสง”ปรากฏ ตอนเห็นแสง.. แสงก็เป็นอารมณ์ของจิต แต่แสงก็อยู่ได้ไม่นาน เกิด-ดับไป มันไม่ได้มีแสงอยู่ตลอดเวลา เป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้น เรียกว่า “นิมิตโอภาส” ภาษาบาลี “โอภาส” ก็แปลว่า แสงสว่าง นั่นเอง ก็คือ เห็นแสง..ก็รู้ว่า แสง มันคือ แสง เท่านั้นเอง! ไม่ต้องไปแปลค่า ไม่ต้องตีความ.. มันคือ แสง ทีนี้พอเห็นแล้ว “ใจ” เป็นยังไง? คราวนี้ย้อนมาดู ใจ พอย้อนดู ใจ แล้วนี่นะ..ก็จะเห็น จิต เกิด-ดับเปลี่ยนแปลง เห็นจิตทำงานของมัน กระทบแสงนี่.. บางที ใจ ก็ไม่เหมือนกัน เห็น แสง ครั้งนึง..จิต อาจจะดีใจ เห็นอีกครั้งนึง.. อาจจะ “ไม่ใช่แค่ดีใจ” อาจจะพลิกกลายเป็นกิเลสเลย! อย่างที่บอกว่า เริ่มจากดีใจ..แล้วกลายเป็นถือตัว หรือมีความภูมิใจเห็นว่าตัวเองเก่ง..กลายเป็นมานะอย่างนี้ เห็นว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติที่รู้สึกเหนือกว่าคนอื่นแล้ว เวลามองคนอื่น รู้สึกว่า “เราเนี่ย! เหนือกว่าเขา” อย่างนี้ เห็นว่าเราเหนือกว่าเขานะ กลายเป็นมานะ มีการเทียบเขาเทียบเรา ก็ให้รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นด้วย บางคนเดินวิปัสสนามาอ่อนๆ แล้วเกิดแสงสว่าง ทำให้เข้าใจผิดว่าบรรลุมรรคผล อย่างนี้ก็เรียกว่า เกิด“วิปัสสนูปกิเลส” วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นได้เพราะจิตไม่ตั้งมั่น วิธีแก้คือ พอจิตถลำไปหาแสง ให้รู้ทัน พอเห็นจิตถลำไป จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา ก็จะเห็นว่า แสงก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง ที่ถูกรู้ เท่านั้น เพราะฉะนั้น แสง ก็ไม่ได้มีความหมายในตัวเอง ว่ามันจะดีหรือไม่ดี? ก็แค่..แสง เป็นสักว่า..แสง มันจะดีหรือไม่ดี?.. มันอยู่ที่ “จิต” หลังจากที่เห็นแสงแล้วนั้น มันเป็นยังไง? มันปรุงอะไรขึ้นมาอีก? ให้มารู้ทันที่จิต ไม่งั้นแล้ว ก็เห็นแสง..เกิดความภูมิใจ ไม่รู้ทัน ความภูมิใจ ก็กลายเป็นว่า ปรุงแต่งความภูมิใจ แล้วกลายเป็น ความถือตัว เป็นมานะ หรือเป็นวิปัสสนูปกิเลส อย่างนี้เป็นต้น ก็กลายเป็นว่า เอาสิ่งที่เห็น ซึ่งมันไม่ได้ดี ไม่ได้ร้ายอะไร กลายเป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับจิต ทีนี้ แทนที่จะไปดูแสง แล้วปล่อยให้จิตปรุงแต่งอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะ กลับมาดูจิตด้วย เห็นจิตมันแสดงความจริงไปด้วย บางทีมันก็ปรุงดี บางทีมันก็ปรุงร้าย มันงง ๆ ไม่รู้จะเป็นยังไง?.. ให้รู้ทันไปเลยว่า สงสัย เป็นวิจิกิจฉา สงสัยขึ้นมา แสงจะเป็นสีอะไรก็แล้วแต่ ไม่จำกัด ก็สักว่าแสงเท่านั้นเอง เป็นนิมิตขึ้นมา หลังจากที่เราทำจิตให้สงบไปสักพักนึง บางทีก็จะเป็นนิมิตที่เกิดจากเห็นสิ่งภายนอก เช่น มีเทวดามาก็มีแสงได้ แต่จริง ๆ ก็ไม่ต้องคิดมาก เห็นอะไร? เกิดสงสัย..รู้ทันว่า สงสัย อย่างนี้ดีกว่า พูดไปอย่างนี้ เดี๋ยวเกิดสงสัย หรือว่าไปปรุงแต่งกลายเป็นอะไร? ปรุงนำหน้าไป ทั้ง ๆ ที่จริงมันไม่มีอะไร เป็นเพียงผลจากการทำกรรมฐานเท่านั้นเอง สรุปแล้วคือ โอภาส แปลว่า แสง แล้วพอ เห็นโอภาส คือ เห็นแสงนั่นแล้ว..จิตเป็นยังไง? ให้รู้ทันจิต เอาอย่างนี้ดีกว่า พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอทhttps://youtu.be/ZKDjnBeK-k0 (นาทีที่ 1:19:20 – 1:24:20) Shortlink: December 13, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๑๐ #การดูจิตเหมาะกับคนช่างคิด ?? #ถาม : ขอให้พระอาจารย์ช่วยอธิบายถึงหลักการปฏิบัติที่ว่า “การรู้สึกตัว รู้ที่จิต” และ “รู้ถึงจิตที่รู้” ขั้นตอนการปฏิบัติในการเดินจิตค่ะ #ตอบ : การดูจิตนี่ เหมาะสำหรับคนที่เป็นประเภทพวกช่างคิด พวกช่างคิดนี่ จิตทำงานอยู่บ่อย ๆ จิตทำงานบ่อย ๆ นี่ คือมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง จิตนี่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ก็เหมาะสำหรับคนที่พวกช่างคิดนี่จะมาดูจิต เพราะจิตมันทำงานเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ใช่เป็นจิตนิ่ง ๆ ถ้าเป็นจิตนิ่งๆ ก็เป็นพวกทำสมาธิทำฌานได้ เขาจะมีจิตนิ่ง ๆ การดูจิตของคนจิตนิ่ง ๆ แล้วนี่นะ จิตไม่ได้แสดงไตรลักษณ์ให้ดู ไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตขณะนั้นที่นิ่งอยู่ มันไม่ได้แสดงไตรลักษณ์ แต่จิตที่กำลังทำงาน เดี๋ยวคิดนู้นเดี๋ยวคิดนี่ เป็นคนช่างคิดนี่นะ เหมาะที่สำหรับจะมาเจริญสติปัฏฐานในแง่ของการดูจิต แต่อยู่ ๆ จะไปดูจิตเลยเนี่ย บางทีก็ยาก ก็ควรจะทำสมถะไว้ก่อน ให้สมถะเป็นเพียงเครื่องเทียบให้เห็นว่า จิตที่เผลอจากสมถะนั้นหรือองค์ภาวนานั้น เป็นจิตที่เผลอ เช่น ดูลมหายใจ หรือว่า หายใจเข้า-หายใจออก หรือว่า หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ”นี่นะ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ”เนี่ย เป็นที่อยู่สำหรับทำสมถะของเรา แต่ทำสมถะครั้งนี้ ไม่ได้ทำสมถะเพื่อรักษาจิตให้อยู่กับองค์ภาวนาของเราไปตลอดเวลา เพราะจิตคนที่เหมาะสำหรับคนดูจิตนี่นะ เป็นจิตที่ชอบล่อกแล่ก ชอบคิดชอบนึก ช่างปรุงช่างแต่ง ฉะนั้นเวลาอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ”นะ มันก็อยู่ได้ไม่นานหรอก มันทนไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ต้องคิดนู้นคิดนี่อยู่เรื่อย ๆ นะ แต่การคิดหลังจากที่เรามีการภาวนาเป็นสมถะ คือหายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ”นี่ เราจะมีข้อสังเกตุได้ว่า ถ้ามันผิดไปจาก”พุทโธ”เมื่อไหร่ เรียกว่า..เผลอ เพราะเราตั้งใจ ตั้งกติกาไว้เมื่อสักครู่นี้ว่า เราจะใช้”พุทโธ” หรือ”ลมหายใจ”นี่ เป็นเครื่องอยู่ของจิต ถ้ามันออกจากที่อยู่ตรงนี้ (พุทโธ หรือ ลมหายใจ) แสดงว่า มันเผลอ เราก็จะรู้ได้ง่ายว่า ทุกครั้งที่ลืม”พุทโธ” หรือ ลืม”ลมหายใจ”ไป ไปรู้เรื่องอื่น..ขณะนั้นเผลอแล้ว บางทีก็ไม่ได้รู้อะไรชัดเจน แค่เบลอ ๆ แค่เบลอ ๆ มันลืมที่อยู่ (พุทโธ หรือ ลมหายใจ) ก็เรียกว่าเผลอแล้วเหมือนกัน ใจมันจะมีการลอย ก็เห็นว่า..จิตมันลอย มันมีการเคลื่อน ก็เห็นว่า..จิตมันเคลื่อน หรือว่า มันดับจากตรงนี้ แล้วไปเกิดตรงนู้น ก็เห็นว่า..มันเกิด-ดับ ๆ จิตมันจะแสดงอาการของมันอย่างไร ก็รู้ไปตามจริง ว่ามันเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเห็นจิตแสดงไตรลักษณ์ให้ดู เห็นจิตมันเกิดดับเปลี่ยนแปลง เห็นจิตมันเป็นไปเอง ตามเหตุ ตามปัจจัย เรียกว่า เห็นจิตแสดงไตรลักษณ์ให้ดู ตอนเห็นจิตแสดงไตรลักษณ์นี่ ถ้าเห็นตรงนี้ เรียกว่า “เจริญวิปัสสนา” ถ้าจิตอยู่กับที่นิ่ง ๆ อยู่ในอารมณ์นี้ เช่น ดูลมหายใจเข้า-หายใจออก แล้วอยู่กับมันนิ่ง ๆ นี่นะ ก็จะอาศัยลมหายใจนี้ เจริญสมถกรรมฐาน “สมถกรรมฐาน” แปลว่า งานฝึกจิตให้สงบ ให้จิตสงบอยู่กับอารมณ์ที่ต้องการ หรืออารมณ์ที่เราชอบหรือตั้งต้นเอาไว้ เช่นดูลมหายใจ ก็อยู่กับลมหายใจนาน ๆ อย่างนี้ ได้สมถะ แต่ถ้ามันไม่ยอมอยู่ ก็อาศัยที่มันไม่อยู่นี่แหละ ดูความจริงไปเลยว่า ความเผลอเกิดขึ้น ความเผลอเป็นความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ แล้วรู้ทันความเผลอ..เห็นความเผลอดับไป ความจริงที่เราเห็นนี่นะ เห็น หนึ่ง คือ”เห็นความเผลอ ที่เกิดขึ้นจริงๆ” สอง เห็นความเผลอที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้.. ดับไปแล้ว เห็นความจริงว่า “มันเกิด-ดับ” สาม เห็นความจริงว่าความเผลอที่มันเกิด-ดับเนี่ย..”ไม่ใช่เรา” เป็นเพียงสภาวะนึงที่เป็นนามธรรม..แล้วถูกรู้โดยจิตที่เป็น “ผู้รู้” นี้ เห็นมันแสดงความจริงอย่างนี้ สามระดับ บางคนเห็นระดับแรกอย่างเดียว คือว่าเห็นว่า..มีความเผลอเกิดขึ้น แต่ไม่เห็นว่า มันเกิด-ดับ ก็ให้ฝึกเห็นไปเรื่อย ๆ เจริญกรรมฐานไปเรื่อย ๆ เห็นความเผลอ..แล้วก็กลับมา อยู่ที่อารมณ์กรรมฐานเดิมใหม่ หายใจเข้า”พุท” หายใจออก”โธ”ต่อไป ก็เห็นความเผลออีก จิตมันเผลอ..ก็เห็นความเผลออีก เห็นไปบ่อย ๆ ก็จะเห็นว่ามันเกิด-ดับด้วย เพราะทันทีที่เห็นมัน..มันไม่เผลอแล้ว ความเผลอเกิดขึ้น เห็นความเผลอ..ความเผลอดับ ก็จะกลายจะเป็นว่า เริ่มเห็นความจริงในระดับที่สอง คือ มีความเผลอเกิดขึ้นจริง..แล้วความเผลอนั้นก็เกิด-ดับด้วย แต่ยังรู้สึกว่า..ไอ้ความเผลอที่ว่านี่เป็นเรา คือเราเป็นผู้เผลอ ดูไป ๆ ไอ้ผู้เผลอ..ไม่ใช่เรา ประมาณว่า..ความเผลอนั้นเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง ที่เมื่อกี้ เกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป “ไม่ใช่เรา” ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ ก็เริ่มพัฒนามากขึ้น ได้ “เจริญวิปัสสนา” เรียกว่า อาศัยสมถะเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ แล้วเจริญวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ ใช้วิปัสสนานำสมถะ หรือเรียกอีกอย่างว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ แล้วทำอย่างนี้แหละ มันจะทำให้มีสมาธิเกิดขึ้นง่าย สมาธิในแง่ที่ว่าเกิดขึ้นง่ายนี่ จะเป็นสมาธิที่เห็นจิตเคลื่อน พอจิตเคลื่อนไป..รู้ทัน จิตเคลื่อนไป..รู้ทันเนี่ย จิตเคลื่อน มันเป็นสภาวะที่จิตไม่ตั้งมั่น “สมาธิ” แปลว่า จิตตั้งมั่น อย่าแปล สมาธิ ว่าเป็นจิตสงบนะ! สมาธิ แปลว่า จิตตั้งมั่น จิตที่เคลื่อนไป แสดงความไม่ตั้งมั่น เห็นจิตที่เคลื่อน..ได้จิตตั้งมั่น แต่เป็นตั้งมั่นหนึ่งขณะ! การตั้งมั่นหนึ่งขณะเนี่ย เรียกว่าได้สมาธิหนึ่งขณะ ภาษาบาลีเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” นี่เรียกว่า อาศัยเจริญปัญญาไปก่อน แล้วค่อยไปได้สมาธิภายหลัง เห็นความฟุ้งซ่าน.. เห็นความเผลอ เกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป เห็นความเผลอเกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป ขณะที่เห็นอยู่นี่..มันจะเห็นว่าจิตมัน “มีการเคลื่อน” ด้วย..ที่เผลอนี่ มันเคลื่อนจากตรงนี้ ประมาณว่าตรงปลายจมูกนี่..แล้วมันเคลื่อนไป อย่างนี้ก็ได้ เห็นความเคลื่อนเกิดขึ้น..ได้ความไม่เคลื่อน เห็นความเผลอ..ได้ความไม่เผลอ เห็นความเคลื่อน..ได้ความไม่เคลื่อน ความเคลื่อนของจิต คือ จิตไม่ตั้งมั่น เห็นจิตเคลื่อน.. จึงได้ “จิตตั้งมั่น” แล้วอาศัยสติและสมาธิที่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมา แล้วก็พัฒนาปัญญาไปด้วย เห็นแม้กระทั่งว่า จิตที่เป็น “ผู้รู้” เนี่ย..ก็ไม่ใช่เรา! จากที่เคยเห็นว่า ไอ้ความเผลอ เกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป เห็นความเผลอ เกิด-ดับ ก็จริง แต่รู้สึกว่า “เรา” เป็นผู้รู้ ดูไปๆ เนี่ย.. “ผู้รู้” ก็ “ไม่ใช่เรา” เพราะเดี๋ยวก็เป็น”ผู้รู้”..เดี๋ยวก็เป็น”ผู้คิด” เดี๋ยวก็เป็น”ผู้รู้”..เดี๋ยวก็เป็น”ผู้เผลอ” เห็นทั้งหมดนี่ แสดงไตรลักษณ์ให้ดู ความเผลอที่ถูกรู้..ก็แสดงไตรลักษณ์ ตัวรู้เอง..ก็แสดงไตรลักษณ์ด้วย ตัว “ผู้รู้” เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็ไม่เกิด เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป..มันก็ไม่ใช่เรา เดี๋ยวก็เป็น “ผู้รู้” ..เดี๋ยวก็เป็น “ผู้คิด” ทั้งหมดแล้วก็คือ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตนี้ ทางด้านรูปธรรมและนามธรรม แต่ถ้าเป็นพวกที่ช่างคิด ก็มาเรียนรู้เรื่องนามธรรมก่อน เพราะตัวหลักใหญ่ก็คือตัวนามธรรมนี่แหละ คนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่า”จิต”..เนี่ย เป็นเรา และ”กายนี้”..เป็นเพียงแค่ของเรา ไอ้ตัวสำคัญ คือตัวจิต ถ้าเราเห็นความจริงของจิตว่า..ไม่ใช่เราแล้ว ไอ้ร่างกายก็พลอยเห็นว่า..มันไม่ใช่เรา ไปแล้วด้วย จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ก็รู้ทันที่จิต ก็เข้าใจถึงชีวิตนี้ไปด้วย พอเห็นจิตนี้..ไม่ใช่เราแล้วเนี่ย ทั้งกายนี้ ใจนี้..ก็ไม่ใช่เราไป ถ้าเห็นความจริงว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา ก็จะกลายเป็นพระโสดาบัน นี่คือวิธีการภาวนาของคนที่ เริ่มต้นจากทำสมถะไม่ค่อยได้.. แต่ว่าพัฒนาได้! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/clyuwC-c_JU (นาทีที่ 1:41:16 – 1:49:15 ) Shortlink: December 10, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
Nimmalo.com #วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑… Shortlink: December 4, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๙ #เดินจงกรมว่าพุทโธ #นอนว่าพุทโธ ?? #ถาม : การเดินจงกรม”พุทโธ” กับ การนอนภาวนา”พุทโธ” ต้องทำอย่างไรครับ? #ตอบ : เดินจงกรม กับ นอน แล้วมีคำบริกรรม”พุทโธ”ด้วยนี่นะ เอาเดินก่อนนะ.. เดินส่วนใหญ่ ถ้าใช้คำบริกรรม”พุทโธ” ก็จะสัมพันธ์กับการใช้ขาก้าวไป จะใช้ขาซ้ายก้าวไป พูดในใจว่า “พุท” ขาขวาก้าวไป พูดในใจว่า “โธ” อย่างนี้ก็ได้ “พุทโธ พุทโธ” พร้อมกับจังหวะการเดิน.. ก็อาศัย”พุทโธ”นั้นเป็นเครื่องอยู่ และ “พุทโธ”นั้น ก็พร้อมกับการเดินด้วย เดินไป”พุทโธ พุทโธ”ไป เดินไปจนถึงปลายทาง ทีนี้ เวลาเดินจงกรมในรูปแบบนี่ มันจะต้องมีจุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นก่อนจะเดิน..ก็ต้องยืน ก็เริ่มด้วยยืน..แล้วทำความรู้สึกตัว ตอนยืน..ก็ไม่มี”พุทโธ”อะไร ทำความรู้สึกตัวว่า ตอนนี้รูปร่างกายเรากำลังอยู่ในท่ายืน.. เมื่อพอสมควรแล้ว ก็ทำไว้ในใจว่าจะเดินแล้ว จะเดิน..ก็ก้าวเท้า จะก้าวเท้าซ้ายก่อน หรือก้าวเท้าขวาก่อนก็ได้ ถ้าเราเริ่มด้วยเท้าซ้าย ก็พูดในใจว่า “พุท” ก้าวต่อไปเป็นเท้าขวา ก็พูดในใจว่า “โธ” ก็ “พุท”, แล้วก็ “โธ” สลับกันไปพร้อมกันกับการก้าวเดิน ถ้าจะเริ่มด้วยการก้าวเท้าขวาก่อน.. ก็พูดในใจว่า “โธ” ก่อน แล้วค่อยก้าวเท้าซ้าย “พุท” อย่างนี้ก็ได้ เดินไป ก็กลายเป็น “พุทโธ” ไปเอง ก็แล้วแต่ว่าใช้คำไหน? พร้อมกับการก้าวของขาไหน? แล้วแต่เราจะกำหนด อันนี้เป็นสมมุติเฉย ๆ อาศัยภาพ..คือร่างกายที่เคลื่อนไหว แล้วก็อาศัยเสียง..ที่เราพูดอยู่ในใจกำกับไปด้วย ทั้งภาพทั้งเสียงที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวในท่าเดินนี่ ก็เป็นเครื่องอยู่ของจิตสำหรับทำความสงบ คือทำสมถะ ถ้าจิตมีความพอใจในการเคลื่อนไหว กับการบริกรรม”พุทโธ” มันก็จะเดินด้วยความสงบ ก็ได้สมถกรรมฐานกับการเดินครั้งนั้น ทีนี้ ถ้าเดินไป”พุทโธ”อยู่สองสามก้าว..แล้วเผลอคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือว่า แค่มีเสียงอะไรก๊อกแก๊กข้างๆ..แล้วมันก็เผลอไปฟัง จิตทำงานอย่างอื่นนอกจากเดิน แล้วก็มีคำบริกรรม อะไรก็ตามที่มันผิดไปจากนี้ เรียกว่า จิตมันทำงานนอกเหนือจากองค์กรรมฐาน ก็ให้รู้ว่ามันมี “ความเผลอ” เกิดขึ้น อาจจะเป็นเผลอคิด..เผลอเพลินไปเรื่องราวต่างๆ หรือจิตเผลอทำงาน.. เช่น หู..ไปได้ยินเสียง เราสนใจเสียงขึ้นมา มันก็กลายเป็น จิตทำงานผ่านหู การทำงานตรงนี้ เรียกว่า “โสตวิญญาณ” จากเดิมจิตมี “คำบริกรรม” เป็นอารมณ์ พร้อมกับมีท่าทางของการเดินเป็นเครื่องอยู่สำหรับทำสมถะ พอมีความเผลอเกิดขึ้น จิตมันออกจากการทำสมถะนี้ ก็ให้รู้ว่า จิตมีความเผลอเกิดขึ้น ก็เรียกว่าทำสมถะไป ถ้าออกจากสมถะ..ก็ให้รู้ทันจิตที่เผลอ อย่างนี้ก็ใช้ได้ เดินไป “พุทโธ”ไป..แล้วก็รู้ทันจิตที่เผลอ ตอนเผลอ..ถ้าเรารู้เฉย ๆ ว่ามีความเผลอเกิดขึ้น..ความเผลอก็ดับให้ดู เห็นความเกิด-ดับ อย่างนี้เรียกว่า เจริญวิปัสสนากรรมฐาน แต่ถ้าจิตอยู่กับการเดิน ขวา”พุท” ซ้าย”โธ”, ขวา”พุท” ซ้าย”โธ”..ไปเรื่อย ๆ นะ ถ้าอยู่แต่ตรงนี้ไม่เผลอไปไหน ก็เรียกว่า ได้ทำสมถะกรรมฐาน ทำจิตให้สงบอยู่กับอารมณ์”พุทโธ”พร้อมกับการเดิน ..นี่คือ เดิน”พุทโธ”นะ … ส่วนนอน”พุทโธ” ก็น่าจะใช้กายที่หายใจในอิริยาบถนอน รู้กายที่มีลมเข้ากับลมออก พร้อมกับมี “คำบริกรรม” กายมีอิริยาบถคือนอน ถ้ายังไม่ตายก็มีลมหายใจ ฉะนั้น เราก็เอาลมหายใจนี่ เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นอารมณ์สำหรับการทำสมถะกรรมฐาน ที่นี้ สำหรับคนบางคนนี่ ดูลมอย่างเดียวมันจะฟุ้งซ่านง่าย ก็อาศัยคำบริกรรมกำกับไปด้วย ก็คือ หายใจเข้า”พุท”, หายใจออก”โธ” มีอิริยาบถคือนอน แล้วมันไม่นอนนิ่งๆ กายนี้ยังไม่ตาย มันก็ทำงานก็หายใจ..ก็เห็นว่า กายนี้กำลังหายใจ กายหายใจเข้า ก็นึกบริกรรมในใจว่า “พุท” กายหายใจออก ก็นึกบริกรรมในใจว่า “โธ” ถ้าเผลอจากนี้ไป ให้รู้ทันว่าเผลอ นอนๆไป คิดเรื่องอื่น ก็ลืม “พุทโธ” คิดเรื่องอื่นเรียกว่า “เผลอ” ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร ก็เรียกว่า “เผลอ” ทั้งหมด รู้ทันว่าเผลอ..ความเผลอก็ดับ ก็กลายเป็น ขณะที่รู้ทันนี่..ขณะที่รู้จิตเผลอ เป็นขณะที่มีกุศลเกิดขึ้นแล้ว รู้ทันว่าจิตเผลอ..ความเผลอ ก็ดับไป อันนี้ แทนที่เราจะรู้..แล้วปล่อยลอย ๆ เมื่อรู้แล้ว..ก็กลับมารู้ที่กายกำลังนอนและกำลังหายใจ กลับมา.. ถ้ากำลังหายใจออก..ก็”โธ”ไปเลย หายใจเข้า..ก็”พุท” คือจะรู้ตอนไหน..เราก็บังคับไม่ได้ เราจะกลับมารู้สึกตัวตอนที่หายใจออกก็ได้.. กลับมารู้สึกตัวตอนหายใจเข้าก็ได้.. แต่ตอนเริ่มต้นเนี่ย ครูบาอาจารย์จะแนะนำว่า ตอนเริ่มต้นให้เริ่มด้วยหายใจออกก่อน ให้เริ่มรู้ตัวตอนหายใจออก เพราะว่าถ้าเริ่มด้วยรู้ตัวตอนหายใจเข้านี่ มันมักจะเพ่ง! ตอนหายใจเข้าเนี่ย มันมักจะสูดลมเข้าไป แล้วก็รู้สึกว่าแน่น ๆ ลองเริ่มต้นด้วยการหายใจออกนะ หายใจออกแล้วก็รู้สึกตัว บริกรรมว่า “โธ” ไปก่อนก็ได้ หายใจเข้า ก็บริกรรม “พุท” หายใจไป ก็กลายเป็น “พุทโธ” ไปเอง “พุทโธ”ไป..แล้วก็รู้ทันจิตที่เผลอ ตอนเริ่มต้นด้วยหายใจออกเนี่ย ใจมันจะไม่หนักไม่แน่น เพราะมันเป็นการผ่อนคลาย การหายใจออก มันร่างกายผ่อนคลาย จิตใจก็ผ่อนคลายได้ง่าย เป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการภาวนา ก็ปรับไปใช้กับอิริยาบถอื่นก็ได้ เช่น อิริยาบถนั่ง..ร่างกายอยู่ในท่านั่ง นั่งนิ่ง ๆ แต่มันไม่นิ่งจริง ร่างกายมันทำงานอยู่ มันมีการหายใจ ก็หายใจเข้า”พุท”, หายใจออก”โธ” “พุทโธ”ไป..แล้วก็รู้ทันจิตที่เผลอ อย่างนี้ก็ได้นะ ถ้าเผลอจาก “พุทโธ” นี้ไป ก็รู้ทันว่า..จิตทำงานอย่างอื่นแล้ว เห็นความเผลอ..ความเผลอดับ ไม่ต้องดูเรื่องที่คิด แต่เห็นว่ามีการทำสมถะอยู่ คือ เห็นกายหายใจ แล้วก็มีคำบริกรรม “พุทโธ” ไป เผลอจากสมถะนี้เมื่อไหร่ เรียกว่าเผลอ คือทำสมถะ เพื่อให้เห็นจิตที่เผลอ เผลอเนี่ย เผลอหลากหลายมาก เราไม่ต้องบอกเจาะจงว่า เผลอไปคิดเรื่องนั้น.. เผลอไปคิดเรื่องนี้.. เพราะพอจะคิดว่าเผลอไปคิดเรื่องอะไร..จะกลายเป็นฟุ้งซ่าน! แค่เรารู้ว่าเผลอ.. เมื่อกี้เผลอไป.. ไม่ต้องไปลงรายละเอียดว่าเผลอเรื่องอะไร.. อย่างนี้จะดีกว่า คือมันจะเห็นว่า มีสภาวะคือเผลอเกิดขึ้น..แล้วก็ดับไป มันจะเข้าวิปัสสนาได้ง่ายกว่า! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/xyVWwqKi7oo (นาทีที่13:55 – 21:00 ) Shortlink: December 2, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๘ #มีความทะนงตัวว่าตนดีกว่าผู้อื่น ?? #ถาม : น้องสาวของโยมอยู่กับแม่ แล้วก็ดูแลแม่อยู่ น้องสาวสวดมนต์เยอะมาก และมักคิดว่าเธอทำถูกแล้ว และตนเป็นคนดีกว่าคนอื่น น้องมักเอาความคิดของตัวเองพูดให้แม่เชื่อแต่ตัวเธอเอง และคนอื่นไม่ดีเท่าเธอ เราจะมีวิธีแก้ไขตัวเธอ?หรือว่ามีการปรับปรุงความคิดนี้ได้อย่างไรดีเจ้าคะ? #ตอบ : มันพูดยาก.. คือเจ้าตัวต้องมารู้ตัวเอง ตัวน้องสาวต้องเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ในแง่ที่ว่า ตัวเองทำดีนะดีแล้ว แต่ถ้ามันเลยเถิดถึงขั้นมองคนอื่นไม่ดี เรียกว่าขณะนั้นมี “มานะ” มีความทะนงตัว มีความคิดในเชิงเปรียบเทียบระหว่างตนเองกับผู้อื่น เป็น “อุปกิเลส” ตัวหนึ่ง คนที่จะมาดูตรงนี้ได้ ต้องเจริญสติสักหน่อย ก็คือ มีสติรู้ทันจิตใจตัวเอง กิเลสตัวนี้เป็นกิเลสที่พอรู้แล้วจะละอาย เจ้าตัวจะละอาย แต่ถ้ามีคนอื่นมาบอกนี่นะ..จะโกรธ เขาเองควรจะรู้ของเขาเอง ถ้าคนอื่นไปเตือนนี่นะ คนเตือนเนี่ยจะเสี่ยงมาก ครูบาอาจารย์เวลาเห็นลูกศิษย์มีมานะนี่นะ จะต้องดูก่อนว่าคนนี้ พร้อมจะรับฟังไหม? ถ้าพร้อมรับฟัง..ก็จะบอกได้ ถ้าไม่พร้อมจะรับฟังนี่นะ..บางทีท่านก็ปล่อยไปก่อน ยังไม่บอก ท่านบอกว่า “เปรียบเหมือนควาย มันอาจจะแว้งขวิดเราได้” อุปกิเลสที่เรียกว่ามานะถือตัว คือเห็นว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเนี่ยนะ.. .. ไอ้ความดีน่ะ.. ดี! แต่ตัวที่ถือว่า “ตัวเองดีกว่าคนอื่น” น่ะ..ไม่ดี! เพราะฉะนั้น เวลาเราเจอบุคคลที่มีมานะ จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกตัวได้? ก็ต้องให้เขาลองเจริญสติ ลองหาซีดีธรรมะของครูบาอาจารย์ในแง่ของสอนเจริญสติดูจิต ให้เขาไปฝึก บางทีเขาฝึกๆไป เห็นความไม่ดีของตัวเอง.. อย่างนี้เริ่มง่ายล่ะ!.. แต่ถ้ายังเห็นความดีของตัวเองอยู่เรื่อยๆนี่นะ อย่างนี้ก็ยังเรียกว่าเป็นการยากอยู่ แม้เราจะไปเตือน.. พี่ไปเตือน.. พระไปเตือน ก็อันตรายทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือจะเป็นพี่ก็อาจจะถูกแว้งกัดเอาได้ ฉะนั้น คนที่มีมานะ ถือตัว ทะนงตัว บางทีอาจต้องได้รับบทเรียนแบบเจ็บๆ ประมาณว่าทำให้อายขายหน้า แล้วตัวเองก็จะรู้สึกว่า “โอโห้! บทเรียนครั้งนี้แพงมาก” เช่น มีอยู่คนหนึ่ง รู้สึกว่าตนเองเนี่ยภาวนาดีมากเลย ไปกราบเรียนกับครูบาอาจารย์ว่า “ดิฉันภาวนามาถึงขั้นที่ไม่โกรธแล้ว” ไม่โกรธแล้วเหมือนเป็นพระอนาคามีแล้ว! ครูบาอาจารย์ดูแล้วไม่ใช่..ท่านก็ด่าเลย “อีตอแหล!” อย่างนี้นะ อย่างนี้ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ พอบอกโดนด่าว่า “อีตอแหล” เท่านั้น.. โยมคนนั้นโกรธเลย ทั้งๆที่เมื่อกี้บอกว่า.. ภาวนามาถึงขั้นที่ไม่โกรธแล้วนี่นะ มันโกรธเลย.. ลืมตัว ชี้หน้าว่าพระเลย..”พระอะไร.. พูดจาหยาบคาย!” แล้วก็เดินตึงตังๆออกนอกวัดไปเลย พ้นวัดไปแล้ว จึงรู้ตัวว่า “อ้าว! เมื่อกี้เราโกรธซะแล้ว” ก็เลยเห็นความไม่ดีของตัวเอง เห็นความผิดพลาดของตัวเอง แล้วจึงกลับไปกราบขอขมาและขอขอบคุณครูบาอาจารย์ที่่ท่านชี้ให้เห็นว่าเรายังมีกิเลส นี่โยมคนนี้ดีนะ ที่ยังเห็นกิเลสของตัวเอง แล้วกลับมาขอขมากับครูบาอารย์ท่านนั้น นี่เรียกว่า.. อาจจะต้องเจอครูบาอาจารย์ที่แบบโหดๆ อย่างนี้บ้าง ทีนี้ ถ้าเราไม่ถึงขั้นครูบาอาจารย์จะไปเตือนแบบนั้น คือเขาไม่ศรัทธาเรามากพอ เราก็รอรอจังหวะก่อน บางที่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะมาเห็นกิเลสตัวนี้ของเขา อดทนหน่อย! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/apvXItStMqw (นาทีที่ 1:23:10 – 1:27:52) Shortlink: November 28, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๔ #ปฏิจจสมุปบาท #ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ?? #ถาม : ปฏิจจสมุปบาท คืออะไรครับ? #ตอบ : ปฏิจจสมุปบาทนี่นะ เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ แล้วพระองค์เสวยวิมุตติสุขนี่นะ มีอยู่สัปดาห์หนึ่งพระองค์มาพิจารณาว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร? ก็เห็นว่าพระองค์ตรัสรู้ความจริงของโลก คือ ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ เป็นความจริงที่ว่า “สิ่งนี้มี..ทำให้อีกสิ่งหนึ่งมี” เรียกว่า รู้ความเป็นเหตุปัจจัยของทุกข์ และรู้ความเป็นเหตุปัจจัยของความดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทมี ๒ สาย สายหนึ่งคือสายที่ทำให้เกิดทุกข์ อีกสายหนึ่ง คือสายที่ทำให้ดับทุกข์ สายที่ทำให้เกิดทุกข์ พระองค์ก็เริ่มตั้งแต่มีอวิชชา อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ สฬายตนะ หมายถึง อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อายตนะภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ คือ ความคิดนึกปรุงแต่ง สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ เพราะว่า อายตนะภายนอก กับอายตนะภายในก็มาเจอกัน ผัสสะนี่ ก็คือ ต้องมีตัวรับรู้ด้วยนะ ตา กระทบ แสง แล้วต้องมีตัวรับรู้ คือ ตัววิญญาณ วิญญาณ ก็คือ ทำให้ผัสสะนั้นสมบูรณ์ ถ้ามี ตา กับ แสง กระทบกัน ไม่มีวิญญาณ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า ผัสสะ เป็นเพียงแค่ ตา กระทบ รูป แต่ไม่มีความรับรู้เกิดขึ้น เช่น ตาของศพ ตายใหม่ ๆ ยังมีตาอยู่แสงก็มี แหกตาศพมา แสงก็เข้าตา แต่ไม่มีตัวรับรู้ คือ ไม่มีวิญญาณ สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เวลาลมพัดมาก็มีผัสสะ เกิดขึ้นทางกาย ลมเย็น..ก็รู้ว่าเย็น เย็นแล้วก็เกิดสุข ก็รู้ว่า ไอ้เวทนาที่เป็นสุขนี่ เป็นผลมาจาก มีการสัมผัสหรือผัสสะกันระหว่าง ลม กาย และก็มีวิญญาณการรับรู้ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา เวลามีเวทนาเป็นสุข ก็ปรารถนาให้มีอีก มีเวทนาที่เป็นทุกข์ ก็ปรารถนาที่จะไม่ให้มี ตัณหานี่ มีได้ถึง ๓ แง่ คือ กามตัณหา อยากได้ อยากมี ภวตัณหา คือ อยากเป็น วิภวตัณหา คือ อยากพ้นไปจากสิ่งนั้น เรียกว่า อยากได้ อยากที่จะไม่ได้ อยากมี อยากที่จะไม่มี อยากเป็น อยากที่จะไม่เป็น รวมเป็น ตัณหา ทั้งหมดนะ! อยากได้ คือมีตัณหา ขึ้นมาแล้วน่ะ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด อุปทาน อุปทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น เพราะอยากได้ แล้วก็อยากจะให้มันอยู่อย่างนี้ และเป็นของเราด้วย ก็ยิ่งยึดเอาไว้ แต่ความจริงของสิ่งทั้งหลาย คือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือความจริงมันฟ้องอยู่ว่า มันรักษาไว้ไม่ได้ เหมือนกับของมันจะต้องหลุดมือไป ต้องรีบยึดสิ่งนั้นเอาไว้ เพราะกลัวมันจะหลุดมือ กลัวมันจะไม่ได้เป็นของเรา แต่ความจริง คือ มันไม่ใช่ของเรา และมันไม่เป็นเราด้วย ก็เลยรีบยึดเอาไว้ ตัวอุปทาน คือ มันต่อต้านกับความจริง ต่อต้านความเป็นจริงของโลกนี้ ของชีวิตนี้ ของธรรมชาตินี้ พอมีอุปทาน อุปทานอีกอย่างนึง คือ มีการแทรกแซง อุปทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ภพ ก็คือ การแทรกแซง การทำกรรมต่างๆ การทำกรรมต่าง ๆ เนี่ย ภพ มันมี ๒ แง่น่ะ ภพ ก็คือ เป็นแดนเกิด เช่น รูปภพ อรูปภพ อะไรอย่างนี้นะ ก็เป็นเรื่องของแดนเกิด แต่ภพอีกอย่างหนึ่ง คือเป็น กรรมภพ คือ การแทรกแซงการกระทำต่าง ๆ ด้วยเจตนา เช่น จิตเผลอไป..รีบดึงกลับมา นี่ก็คือ การแทรกแซง.. เกิดภพแล้ว ภพของนักปฏิบัติอย่างเนี้ย มีภพ ก็เกิด ชาติ ..คือการเกิด ชาตินี่ ก็มีชาติ มีการเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมา เกิดทีไรก็แก่ เจ็บ ตาย มีชาติ จึงมีชรา มีมรณะ พอมีชาติ ชรา มรณะ ก็ขัดแย้งกับความรู้สึกของบุคคลทั้งหลาย ของสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย ก็เกิด โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส สรุปแล้วคือเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นปัจจัยของสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อเนื่องกันมาจนกลายเป็นมีทุกข์ ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายที่ทำให้ทุกข์ดับ ก็คือ เพราะอวิชชาดับ ทำให้สังขารดับ และก็ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึง เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ชาติดับ ก็เป็นอันว่าทุกข์ดับ ความรู้อันนี้เป็นความรู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่า..พระองค์ตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้า ในคราวที่พระองค์เคยเสวยวิมุตติสุข ก็คือพระองค์ปรารภ พิจารณาธรรมะโดยพระองค์เอง อยู่พระองค์เดียวตามลำพัง ปฏิจจสมุปบาทเนี่ย พอพระองค์พิจารณาถึงธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาท พระองค์ก็ปรารภที่จะไม่สอน เพราะรู้สึกว่ายาก มันยากเกินไปที่สัตว์โลกจะมาทำความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ ก็ปรารภที่จะไม่สอน แต่ต่อมาพระองค์ก็พิจารณาเห็นว่าสัตว์โลกทั้งหลายเนี่ย ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ๆ ก็มี หมายความว่า มีกิเลสน้อย ๆ มีปัญญามากพอที่จะฟังคำสอนของพระองค์แล้วก็เข้าใจได้..มีอยู่! พระองค์พิจารณาอย่างนี้ โดยเปรียบกับบัวสามเหล่า เหล่าแรกก็คือ บัวที่พ้นน้ำแล้ว เพียงกระทบแดด ก็จะบาน บัวเหล่าที่สองก็คือ บัวอยู่ปริ่ม ๆ น้ำ รออีกไม่นาน ก็จะพ้นน้ำขึ้นมา แล้วก็กระทบแสงแดด ก็จะบาน บัวอีกเหล่านึงก็คือ อยู่ในน้ำ รออีกวันสองวัน ก็จะค่อย ๆ ชูดอกขึ้นมา แล้วก็พ้นน้ำ แล้วก็กระทบแดด แล้วก็บาน มีบุคคลสามประเภทนี้ ทำให้พระองค์ตัดสินใจที่จะออกมาแสดงธรรม บุคคลสามประเภทนี้ก็คือ เทียบกันกับบุคคลที่รู้ได้เร็ว ก็คือที่เป็นบัวพ้นน้ำแล้ว รู้ได้เร็วรองลงมา ก็เป็นประเภทที่อยู่ปริ่ม ๆ น้ำ คนที่ได้ยินได้ฟังธรรมะ แล้วก็ต้องฝึกฝนฝึกปรืออีกนานเลยนะ แต่ก็สามารถบรรลุธรรมได้ คนสามประเภทนี้ทำให้พระองค์ตัดสินใจที่จะแสดงธรรม ก็มองหาว่าควรจะแสดงให้ใครฟัง? เริ่มต้นก็ดูที่อาฬารดาบส อุทกดาบส ปรากฏว่าสองท่านนั้นสิ้นชีวิตแล้วไปเป็น “อรูปพรหม” ก็หมดโอกาสที่จะฟังธรรม เพราะไม่มีรูปแล้ว ก็หมายถึงว่า ไม่มีตา ไม่มีหู ไป..ก็ไม่เห็น พูด..ก็ไม่ได้ยิน เค้าเรียกว่าพูดง่าย ๆ ตามประสาปัจจุบัน เรียกว่า “ฟาว” หมดโอกาสที่จะมาฟังธรรม แล้วนึกถึงว่า “ใครล่ะ? ลำดับต่อไป” ก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ พอไปแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ “นี่เล่าแบบรัด ๆ นะ!” พอไปแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ แทนที่พระองค์จะแสดงธรรมปฏิจจสมุปบาท พระองค์ปรับคำสอนของพระองค์ให้เหมาะกับผู้ฟัง เพราะพระองค์ปรารภตั้งแต่คราวแรกแล้วว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องยาก ที่สัตว์โลกทั้งหลายจะมาฟังแล้วบรรลุธรรมได้ เวลาพระองค์แสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์ พระองค์ไม่ได้แสดงปฏิจจสมุปบาทแบบที่พระองค์ปรารภตอนที่เสวยวิมุตติสุข ปรับหัวข้อในการแสดงธรรมเสียใหม่ เรียกว่า “อริยสัจ ๔ ” ที่ปรับเนี่ยไม่ได้ค้านกันกับปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่ทำให้มันง่ายขึ้น โดยเอาจุดที่น่าสนใจมาเป็นการนำเสนอ เช่น ปฏิจจสมุปบาทสายให้เกิดทุกข์นี่ จะไล่มาตั้งแต่อวิชชาจนถึงทุกข์นี่นะ น่าจะทำให้ยากเกินไปสำหรับผู้ฟัง พระองค์ก็หยิบเอาตัวปัญหา คือ “ทุกข์” มาเป็นประเด็นขึ้นมา เอาปัญหาขึ้นมาว่า “เรามีปัญหาอย่างนี้นะ!” คนฟังก็จะรู้สึกว่า “เออ! เรามีปัญหาอย่างนี้” “แล้วปัญหานี้ มันมีเหตุนะ!” “เหตุ” มันก็คือ มันตั้งแต่ต้นสายเลย ตั้งแต่ “อวิชชา” มาจนถึงก่อนจะเกิดทุกข์เนี่ยก็เป็นสาเหตุ จะว่าให้ยาว ๆ อย่างนี้มันก็ดูยากไป พระองค์ก็จับเอาตัวเด่น ๆ หลัก ๆ ที่เข้าใจง่าย คือหยิบเอาตัว “ตัณหา” ขึ้นมา เป็นตัวบอกว่า นี่คือ “สมุทัย” เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ แต่มันแยกให้เป็นสองข้อ เป็นข้อทุกข์ และก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และก็ไม่ได้เอามาตลอดทั้งสาย เอาแต่ตัวเด่น ๆ มา เอาตัว “ตัณหา” ซึ่งทำความเข้าใจได้ง่ายหน่อย ส่วนปฏิจจสมุปบาทสายให้ดับทุกข์ พระองค์ก็ไม่ได้ว่าทั้งสาย หยิบเอาภาวะที่พ้นทุกข์คือปลายทาง มาเป็นตัวตั้งว่า..นี่เป็นเป้าหมาย ที่เราจะต้องไปให้ถึง ไปแสดงให้กับปัญจวัคคีย์ ให้เห็นว่า “มีทุกข์นะ!” นี่อริยสัจข้อที่หนึ่ง “มีเหตุแห่งทุกข์นะ!” นี่อริยสัจข้อที่สอง คือ สมุทัย และข้อที่สามคือ ชี้ให้เห็นเป้าหมายว่า “ต้องให้ถึงทางดับทุกข์นะ!” ส่วนข้อที่สี่ อันนี้แหละเป็นพระปัญญาของพระองค์ ในปฏิจจสมุปบาทเนี่ย ยังไม่ได้บอกวิธีการปฏิบัตินะ แต่เวลาพระองค์จะแสดงธรรม เพื่อให้คนไปให้ถึงปลายทาง คือความพ้นทุกข์ให้ได้เนี่ย พระองค์ก็หยิบเอาความรู้ที่พระองค์รู้แล้วเนี่ยมาปรับ แล้วก็บอกสอนว่าควรทำอย่างไร? ก็กลายเป็นว่ามีแนวสำหรับให้คนได้ฝึก เพื่อให้ถึงปลายทางก็คือ มรรคมีองค์แปด มรรคมีองค์แปดเนี่ย สอนกับพระปัญจวัคคีย์ แต่เวลาสอนกับคนอื่นหรือบุคคลอื่นนี่นะ อาจจะสอนเป็นไตรสิกขาก็ได้ “ไตรสิกขา คงเคยได้ยินนะ!” ก็คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา จริง ๆ ก็คือ มรรคมีองค์แปดที่ย่อเหลือสาม เวลาสอนกับพระภิกษุนักบวชก็สอนไตรสิกขา สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เวลาสอนกับชาวบ้านก็ปรับใหม่ให้เหมาะกับผู้ฟัง ก็กลายเป็น ทาน ศีล ภาวนา ก็คือ เป็นการปรับมรรคมีองค์แปดเนี่ยมาเป็นสามข้อ ให้เหมาะกับชาวบ้าน สรุปแล้วคือ ปฏิจจสมุปบาท ถ้ารู้สึกว่ายาก “ไม่เป็นไร! ธรรมดามากนะ” ให้มาเรียนอริยสัจ ๔ ก็ได้ เรียนอริยสัจ ๔ ก็มาทำความเข้าใจว่า..กิจในอริยสัจ ๔ นี่ ควรทำอะไรบ้าง? ทุกข์..ควรรู้ สมุทัย..ควรละ นิโรธ..ควรทำให้แจ้ง มรรค..ควรเจริญ ถ้าเรียนอริยสัจ แล้วไม่มาถึงกิจในอริยสัจนี่นะ เรียกว่ายังไม่จบ มันไม่ได้ทางปฏิบัติ กิจในอริยสัจ คือ ทุกข์..ควรรู้ เวลาเกิดอะไรเกิดขึ้นในชีวิตนี้ กายนี้ ใจนี้..แค่ รู้ แต่ถ้ามันเริ่มเป็นตัณหา คือ มีแรงขับดันผลักดันให้เราต้องทำอะไร ด้วยเจตนาดีบ้างไม่ดีบ้างนี่นะ ส่วนใหญ่ตัวปัญหา คือ เจตนาไม่ดี เป็นตัวตัณหาขึ้นมาเนี่ย.. ให้รู้ ..ไม่ใช่ รู้ อย่างเดียว รู้แล้ว..ต้องละมันด้วย ไม่เอามัน ไม่ตาม ส่วนนิโรธ คือนิพพานเนี่ยไม่ใช่ไปปรุง(แต่ง) แต่ทำมรรคให้เจริญ แล้วก็ไปรู้ตัวนิโรธขึ้นมาเอง นี่ว่าคร่าว ๆ เทียบเคียงให้เห็นกันระหว่าง ปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ ๔ เพื่อให้เห็นแนวทางการปฏิบัติ ให้เข้าถึง ให้เป็นประโยชน์ต่อพุทธบริษัทด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/J_UdRcRcHj0 (นาทีที่ 50:52 – 1:05:50 ) Shortlink: November 27, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๕ #สมาทานศีลแปดฟังเพลงบรรเลงได้มั้ย? ?? #ถาม : สมาทานศีลแปด สามารถฟังเพลงคลาสิคแบบเพลงบรรเลงฟังสบายๆ ได้หรือไม่? #ตอบ : เพลงบรรเลงก็คือเพลงนั้นแหละ มันก็คืออยู่ในข้อที่ขับร้องประโคมดนตรี ถึงแม้จะไม่มีเนื้อร้อง มันก็คือการประโคมดนตรี เป็นการฟังเพลงบรรเลงนี่นะ ถ้าเราจะถึอให้บริสุทธิ์ละก็อย่าไปฟัง ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยเสียงมากล่อมในช่วงที่ถือศีลแปด ถือเนกขัมมะ ก็ต้องให้บริสุทธิ์ ไม่ต้องมีเสียงเพลงบรรเลงเราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เอาไว้ลาศีลแล้วค่อยไปฟัง แผ่นก็คงยังอยู่ ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้ไปเปิดฟังตอนที่ลาศีลแล้วดีกว่า เพื่อให้การรักษาศีลของเราบริสุทธิ์ แล้วก็ไม่ถูกตำหนิจากเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน หรือไม่ถูกตำหนิจากครูบาอาจารย์ จริงๆ ก็คือว่าไม่ควรฟัง มันผิดศีลในข้อที่ ๗ “นัจจะ,คีตะ,วาทิตะ,วิสูกะทัสสะนาฯ” “นัจจะ” คือ การเต้นรำ ฟ้อนรำ “ทัสสะนา” ก็คือ ดูการละเล่น “วิสูกะ” แปลว่า เป็นข้าศึกของใจ “คีตะ” ก็คือ การขับร้อง “วาทิตะ” ก็คือ การประโคมดนตรี ประมาณนี้ รวมแล้วก็คือ การดูการละเล่น การเอนเตอร์เทน (Entertain) ทั้งหลาย คือความบันเทิงทั้งหลายนั่นเอง บันเทิงในที่นี้ก็คือว่า มีการขับร้อง ร้องรำทำเพลง ดูการละเล่น สมัยก่อนก็จะเป็นการละเล่นบนเวที เดี๋ยวนี้อยู่ในที่จอโทรทัศน์ จอโทรศัพท์ ถ้าดู ก็นับว่าเป็นการดูการเล่นด้วยกันหมดเลย ถ้าเราไปถือเนกขัมมะ เราก็ควรจะศึกษาข้อ ๗ นี้แหละ ซึ่งมันเป็นข้อที่ยาวมาก แล้วก็เป็นข้อที่คนมักจะไม่ค่อยเข้าใจ อาจจะเป็นเพราะมันยาวก็ได้ มีรายละเอียดเยอะ เช่นว่า การแต่งหน้าทาปากนี่นะ ไม่ควรจะไปแต่งหน้าทาปาก เว้นไว้แต่ปากแตก คือหน้าหนาวปากแห้ง ก็ใช้ลิปมันอย่างนี้ได้ ใช้เป็นยาเพื่อรักษาอาการป่วย หน้าแตกหน้าแห้งอย่างนี้นะ อาจจะลงโลชั่นได้อยู่ เพื่อที่จะรักษาผิวหรือรักษาร่างกายให้มันหายจากโรค บางคนเป็นผื่น ก็อาจจะต้องโรยแป้ง แต่ถ้าเวลาปกติ ไม่ได้ป่วยอะไร ไม่มีผื่นคันอะไรจะมาผลัดหน้าทาแป้งก็จะผิดข้อนี้ การร้องรำทำเพลง.. แม้แต่ผิวปาก ก็ไม่ควร บางคนไม่เข้าใจนึกว่า “อ่ะ! ผิวปากนี่ ก็ไม่ใช่เป็นการร้องเพลง!” แต่เป็นการประโคมดนตรีอย่างหนึ่งแล้ว เป็นการผิวปากบรรเลงเพลง.. อย่างนี้นะ ตอนบวชใหม่ๆ อาตมาไม่ค่อยเข้าใจตัวนี้เหมือนกัน ไปธุดงค์ในป่า แล้วก็ผิวปากเรียกเพื่อนพระด้วยกัน มีเณรมาเตือน “หลวงพี่ นี่ผิวปากไม่ได้นะ! ผิวปากก็ผิด” เป็นเณรก็จริง แต่มีประสบการณ์มากกว่า เราก็ต้องมาเรียน ทำความเข้าใจใหม่ว่า “อ้อ! ผิวปากก็ไม่ได้ด้วย!” กรณีนี้ก็นับว่า มีเณรเป็นอาจารย์ ก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดนั่นแหละ เราพลาดอะไรไป แล้วถ้ามีคนมาตักเตือน เราก็ตรวจสอบแล้วจดจำ และเตือนตนว่าเราจะไม่ทำในสิ่งที่เคยผิดพลาดไป ถ้ามีคนเตือน เราก็ควรจะน้อมรับ รับฟังด้วยความเคารพในคำตักเตือนอันนั้น แม้ผู้เตือนนั้นจะเป็นผู้น้อย แล้วก็ระวังไม่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดนั้นอีก พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ”ธรรมะสว่างใจ” เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/clyuwC-c_JU (นาทีที่ 43:26 – 49:20) Shortlink: November 27, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๐๖ #ปิดวาจาไม่พูดแล้วยิ้มได้ไหม ?? #ถาม : ไปวัดเขาบอกว่า “ให้ปิดวาจา ไม่พูด” แล้วเรามองกัน..คือไม่พูดแต่ก็เห็นหน้า ยิ้มให้กันได้ไหมค่ะ? #ตอบ : ได้ ๆ แต่จริง ๆ นี่นะ โดยหลักการนะ การปิดวาจาเนี่ย ไม่ใช่ปิดเพื่อที่จะเป็นใบ้ แต่ว่า ‘ปิด’ เนี่ย เพื่อให้รู้ความปรุงแต่งในใจให้ชัดเจนขึ้น เนี่ยมันปรุงอยู่ในใจนะ! แต่ปากไม่พูด ให้รู้ทันตัวที่มันปรุงแต่ง ไม่ใช่ว่าจะหาวิธียังไง ที่จะสื่อสารกับเขาให้ได้ โดยอาจจะเขียนอะไรอย่างนี้ อย่างนี้ก็พูดดีกว่า เข้าใจไหม? ยิ้มให้ได้ คืออยู่ด้วยกันแล้วก็ยิ้มให้กัน อย่างนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคิดจะสื่อสารอะไรกับเขาสักอย่าง อย่างนี้เราก็วุ่นวายใจอยู่ข้างใน #ถาม : คือหนูเข้าใจ แต่ทีนี้หนูเห็นทุกคนเขาหน้าบึ้งกันหมด ยิ้มก็ไม่ได้หรือเปล่า? หนูก็เลยสงสัยตรงนี้ #ตอบ : ยิ้มได้ ๆ “พุทธะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ผู้บึ้ง ผู้นิ่ง ผู้เครียด ยิ้มให้ได้ แต่ถ้าเราสมาทานปิดวาจานะ ก็ไม่พูดเท่านั้นเอง ทีนี้ไม่พูดเพื่ออะไร? นี่ต้องดูด้วย ดูจุดมุ่งหมายด้วยนะ ไม่พูดเพื่ออะไร? ไม่พูดเพื่อที่จะดูความปรุงแต่ง คือดูจิตนั่นเอง เห็นสังขารที่มันปรุงแต่งอยู่ข้างใน มี “วจีสังขาร” คือ มันปรุงเป็นคำพูด #ถาม : อันนี้หนูเข้าใจค่ะ เรื่องไม่พูดหนูเข้าใจ แต่ไม่พูด ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องหน้าบึ้งใส่กันไปเลย ไม่ใช่นะ! #ตอบ : กลายเป็นผู้เครียดใช่ไหม? ต้องเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ คือ รู้จิต รู้กิเลส รู้ความปรุงแต่ง ตื่น คือ รู้สึกตัวอยู่ ไม่ใช่หลับใหล หลับใหลในที่นี้ หมายถึงว่า มีโมหะ ลืมตาตื่นอยู่นะ แต่เป็นผู้หลับใหลได้ คือ มีโมหะ เราต้องเป็นผู้ตื่น คือ มีสติ รู้ทันกาย รู้ทันใจ ที่นี้สมมุติว่าไปเจอคนบึ้งนะ และเรานึก “แหม! ยายเนี่ย แสดงว่าไม่เข้าใจเลย” คิดตำหนิเขานะ นี่สมมุตินะ! คิดตำหนิเขา..ให้รู้ทันด้วยว่า เนี่ยเรามีความปรุงแต่งในแง่ตำหนิเขา ไอ้ความปรุงแต่งในแง่ตำหนิเขาเนี่ย..ไม่ดี เป็นอุปกิเลส ให้รู้ทันอุปกิเลสตัวนี้ เขาจะเป็นยังไง ก็เรื่องของเขานะ เขาจะหน้าบึ้ง เขาจะเครียด เขาจะอะไร ..ก็เรื่องของเขานะ แต่เราเนี่ย มีความเห็นอยู่ในใจเนี่ย..ให้รู้ทัน ความเห็นตรงนี้ด้วย เข้าใจไหม? #ถาม : ไอ้ที่ว่าทุกคนเขาอาจจะรู้อะไรกันมาไม่เหมือนกัน ในความคิดของแต่ละคน แต่ “เอ! เรายิ้มให้เขาเราผิดหรือเปล่า? นี่เขาห้ามยิ้มด้วยหรือเปล่า?” เราก็ไม่รู้ข้อปฏิบัติ #ตอบ : โอ้! ถ้าห้ามยิ้มด้วย ย้ายวัดเลย เปลี่ยนสำนักได้เลย เรียกว่า มีปราโมทย์อยู่ในใจ ปราโมทย์เนี่ยเป็นธรรมเริ่มต้นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ซึ่งเป็นต้นทาง มีธรรมอยู่ชุดนึงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้บ่อยมาก คือ มีปราโมทย์ มีปีติ มีปัสสัทธิ มีสุข แล้วจึงมีสมาธิ ปราโมทย์ ก็คือ ความเบิกบาน ร่าเริง ร่าเริงแล้ว ก็มีปีติ คือความอิ่มใจ ปัสสัทธิ นี่คือ ความไม่เครียด เป็นความปลอดโปร่งโล่งใจ ผ่อนคลายกายใจ แล้วค่อยมีสุข แล้วสุขนี่ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ดังนั้น คนที่จะมีสมาธิให้ถูกต้องเนี่ย ต้องเริ่มด้วยปราโมทย์ ไม่ใช่บึ้งตึง เครียด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/xGwa3WUjc4Y (ระหว่างนาทีที่ 7:33 - 12:24) Shortlink: November 27, 2019นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อ